Doombringer the 5th 96

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 96 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.96 – วันเปิดเทอมของผู้สร้างหายนะ (2)

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 92

วันเปิดเทอมของผู้สร้างหายนะ (2)

 

Part 1

 

ซาลยังคงตะลึงงันกับภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า

เขาพิจารณาดูบุคคลทั้งสี่อย่างละเอียด แม้แต่ละคนจะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาเคยรู้จักเล็กน้อย แต่ซาลก็มั่นใจว่าทั้งสามคนคือ ‘ตัวจริง’ ของเหล่าผองเพื่อนในโรงเรียนอีจิส และเด็กผู้หญิงผมแดงอีกคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นก็คือลาซ น้องสาวของเขาอย่างแน่นอน

สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดคำถามขึ้นมาในจิตใจมากมายจนทำอะไรไม่ถูก เขาอยากเข้าไปพูดคุยกับน้องสาว ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ และสอบถามเกี่ยวกับเพื่อน ๆ ทั้งสามคนด้วย แต่ก็ยังไม่กล้า ทั้งเพราะไม่รู้ว่าควรจะเปิดประเด็นอย่างไรดี และไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จึงตัดสินใจอัญเชิญแมลงสอดแนมออกมาและส่งมันเข้าไปแอบฟังการสนทนาของคนทั้งสี่ พลางจ้องมองพวกเขาไปด้วย

ทางด้านเด็กชายหญิงทั้งสี่คนก็เดินทอดน่องชมทิวทัศน์พลางพูดคุยกันไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ โดยยังไม่รู้ตัวว่ามีคนกำลังแอบมองอยู่

“ความจริงเราน่าจะไปรอที่หน้าหอประชุมได้แล้วนะ ใกล้จะถึงเวลาปฐมนิเทศแล้วนี่นา”

เด็กผู้ชายที่สวมแว่นพูดขึ้น แต่ก็ถูกเด็กผู้ชายตาตี่อีกคนแย้งขึ้นมาในทันทีด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายียวน

“ใกล้อะไรกันล่ะคุณอลัน อีกตั้งสิบกว่านาทีแน่ะ ประตูหอเปิดรึยังก็ไม่รู้เลย จะรีบไปไหน?”

“เหลืออีกแค่สิบนาทีต่างหากล่ะ ยังไงเราก็ควรไปก่อนเวลานะ”

“เฮ้อ… งั้นทำไมไม่ลองถามสาว ๆ ดูล่ะ ว่ามีความเห็นยังไงบ้าง”

เด็กผู้ชายตาตี่ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้ามยังไงดี จึงหันไปหาตัวช่วยคือเด็กผู้หญิงอีกสองคนที่อยู่ใกล้ ๆ เด็กผู้หญิงผมเปียจึงเอ่ยตอบกลับมาอย่างสุภาพด้วยท่าทีเกรงใจ

“ฉะ.. ฉันน่ะ จะยังไงก็ได้จ้ะ”

คำตอบนั้นทำให้เด็กผู้ชายตาตี่แสดงอาการผิดหวังออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ว่ายังมีอีกตัวช่วยหนึ่งที่น่าจะพึ่งพาได้ จึงหันไปถามเด็กผู้หญิงผมแดงอีกคนด้วยรอยยิ้มอันมีเลศนัย

“เธอล่ะลาซ? ว่าไง?”

เด็กผู้หญิงผมแดงหันไปมองหน้าเด็กผู้หญิงผมเปียครั้งหนึ่งเพื่ออ่านสีหน้าของอีกฝ่าย เธอมองออกว่าความจริงแล้วเพื่อนของเธอคนนี้อยากจะเดินกินลมชมวิวต่อไปมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาเพราะความเกรงใจ จึงหันกลับไปตอบเด็กผู้ชายตาตี่อย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยท่าทางอันกระฉับกระเฉง ราวกับมีพลังล้นเหลือ

“ก็ต้องเดินเล่นก่อนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ! นี่เป็นช่วงเวลาแรกของพวกเราในโรงเรียนอีจิสไพร์มเชียวนะ! จะใช้มันไปกับกันยืนรอเข้าหอประชุมรึไง!? ความจริงเราควรจะเดินดูโรงเรียนให้ทั่วเลยมากกว่า!”

“พะ.. พูดเบา ๆ หน่อยสิลาซ คนอื่นเขามองกันใหญ่แล้วนะ…”

เด็กผู้หญิงผมเปียกล่าวปรามเพื่อนของเธอที่ประกาศกร้าวด้วยเสียงอันดังจนเกินพอดี ทำให้คนที่อยู่รอบลานน้ำพุนั้นเริ่มหันมามอง แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

เด็กผู้ชายตาตี่ยิ้มอย่างผู้มีชัยพลางหันไปมองเด็กผู้ชายสวมแว่นอีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นมาขยับแว่นเพื่อปกปิดสีหน้าที่กำลังแสดงอาการเซ็งจิตเอาไว้ เพราะต้องยอมทำตามเสียงข้างมาก

“พูดถึงคนมองแล้ว… ฉันว่าคนที่อยู่ตรงนั้นน่ะมองพวกเรามาพักหนึ่งแล้วนะ”

คำพูดของเด็กชายผู้สวมแว่นทำให้ซาลถึงกับสะดุ้งขึ้นมา เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำลังจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งเกินไป เพราะความสงสัยใคร่รู้ของเขาทำให้ลืมระมัดระวังในเรื่องนี้

คนอื่น ๆ ในกลุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันมองมาทางซาลเช่นกัน และหลายคนก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

“เห… คน ๆ นั้นน่ะดู… คลับคล้ายคลับคลายังไงก็ไม่รู้นะ”

เด็กผู้ชายตาตี่พูดขึ้น ในขณะที่เด็กผู้หญิงผมเปียก็เริ่มสมทบด้วย

“นั่นสิ… ผมสีแดงแบบนั้น แถมยังรูปร่างแบบนั้น… ดูคล้ายกับลาซเลยเนอะ?”

เมื่อเธอพูดออกมา เหล่าเพื่อน ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย ผิดกับเจ้าตัวคือเด็กผู้หญิงผมแดงที่ยังคงจับจ้องมาทางซาลด้วยดวงตากลมโตที่สื่อความรู้สึกสงสัยและสนอกสนใจในตัวอีกฝ่ายออกมาอย่างชัดแจ้ง

ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ เธอก็ออกวิ่ง

มันเป็นการก้าวเดินอย่างเร่งรีบเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนจะเพิ่มระดับจนกลายเป็นการวิ่งไป ทำให้เธอพุ่งเข้ามาถึงตัวซาลซึ่งอยู่ห่างออกมาเกือบยี่สิบเมตรได้อย่างรวดเร็ว จนทุกคนได้แต่มองตาม

แม้แต่ซาลเองก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะอีกฝ่ายได้เข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เด็กผู้หญิงผมแดงก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เธอยกมือขึ้นมาเสยปอยผมของเขาที่ห้อยย้อยลงมาจนทำให้เห็นหน้าไม่ถนัด เพื่อที่จะมองหน้าเขาได้ชัดเจนขึ้น เป็นการกระทำอันบุ่มบ่ามที่ไม่สนเรื่องมารยาทหรือสิทธิส่วนบุคคลเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ซาลที่คาดไม่ถึงยิ่งรู้สึกอึ้งขึ้นไปอีก

แม้จะสวมแว่นตาปิดบังใบหน้าอยู่ แต่ในระยะประชิดแบบนี้ก็ทำให้เด็กผู้หญิงผมแดงมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญคือดวงตาสีส้มอำพันอันโดดเด่นยากจะหาใครเหมือนนั้นยิ่งเป็นหลักฐานสำคัญให้อีกฝ่ายแน่ใจในตัวตนของเขา

“ซาล?”

เธอเอ่ยชื่อของเขาออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจและน้ำเสียงอันคลุมเครือ ไม่รู้ว่านั่นเป็นคำถาม หรือเป็นแค่คำอุทานกันแน่

ส่วนซาลเอง แม้จะยังตั้งตัวไม่ทัน แต่ในความสับสนนั้นก็ยังมีความรู้สึกดีใจและโล่งอกปนอยู่ด้วย เพราะนี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มและสายตาอันอ่อนโยนออกมา ก่อนจะตอบอีกฝ่ายกลับไป

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ลาซ…”

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

เด็กผู้หญิงผมแดงยังคงจ้องมองซาลด้วยอาการตื่นตะลึง สายตาของเธอก็สื่อความรู้สึกอันซับซ้อนออกมาไม่แพ้กัน มันเป็นแววตาที่แสดงอาการตื่นเต้นดีใจและโหยหา ท่าทางของเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอหรี่ตาลงจ้องมองเขาทั้งยังพองแก้มเล็กน้อยเหมือนกับแสดงอาการไม่พอใจ ก่อนจะเค่นเสียงพูดกับเขาด้วยถ้อยคำอันเย็นชา

“นายมาทำอะไรที่นี่?”

ซาลรู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นความสัมพันธ์ปกติของเขากับลาซอยู่แล้ว ทั้งสองคนเป็นพี่น้องคู่กัดที่ไม่มีใครยอมใคร ทำให้มักจะชิงดีชิงเด่นและพูดจากระทบกระเทียบกันอยู่เสมอ

แม้จะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้เห็นน้องสาวแสดงอาการดีใจเมื่อได้พบกันออกมามากกว่านี้ แต่การได้เห็นว่าเธอแทบจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้เวลาจะผ่านไปร่วมหกปีแล้วก็ทำให้เขารู้สึกดีใจเช่นกัน จึงปรับสีหน้าและตอบกลับไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัว

“มาทำอะไรน่ะเหรอ? อืม… ที่นี่คือโรงเรียนอีจิสไพร์ม โรงเรียนนักผจญภัยที่ใหญ่และเพียบพร้อมที่สุดในโลกซึ่งอนุญาตให้เฉพาะนักเรียนของโรงเรียนเท่านั้นที่เข้ามาได้ ส่วนฉันเองก็ใส่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนอยู่ แถมยังมานั่งใกล้ ๆ กับลานน้ำพุด้านหน้าหอประชุมก่อนการปฐมนิเทศแบบนี้ สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ… มาซักผ้าไงล่ะ! เดี๋ยวพอทุกคนเข้าไปในหอประชุมกันหมดแล้ว ฉันก็จะเอาตะกร้าผ้าออกมาแล้วเอาลงไปซักที่น้ำพุนั่นแหละ”

เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ลาซก็ปั้นยิ้มฝืน ๆ ออกมาพลางหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่ากำลังเจ็บใจหรือสมใจกันแน่ เป็นเวลาเดียวกับที่เพื่อน ๆ ทั้งสามคนของเธอเดินเข้ามาสมทบพอดี

“คนรู้จักของเธอเหรอลาซ? หืม… นี่มัน?”

เด็กชายผู้สวมแว่นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองคนแลกเปลี่ยนบทสนทนากัน แต่เมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กผู้ชายที่ลาซพูดคุยอยู่ด้วยนั้นมีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับเธอมากทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาสีส้มอำพันที่เขาไม่เคยพบเห็นในผู้ใดมาก่อนก็ยังปรากฏอยู่บนหน้าของเด็กผู้ชายคนนี้ด้วย

ทุกคนต่างก็เคยได้ยินลาซเล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดของเธอให้ฟังมาก่อน เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าจึงสามารถเชื่อมโยงได้ทันทีว่าคน ๆ นี้ควรจะเป็นใคร ซึ่งลาซก็ไม่รอให้ใครต้องถามซ้ำอีก เธอหันกลับมาและแนะนำตัวซาลให้กับเพื่อนทุกคนได้รู้จักด้วยท่าทางแบบขอไปทีและสีหน้าที่ไม่เต็มใจนัก

“ใช่แล้วล่ะ… ทุกคน นี่คือลูกชายของพ่อกับแม่ฉันเอง ชื่อว่าซาลารัส”

เพื่อนทั้งสามต่างก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพราะการแนะนำตัวอันอ้อมค้อมนั้น แต่ในที่สุดเด็กชายตาตี่ก็เรียบเรียงใจความได้และเอ่ยคำพูดออกมา

“อ๋อ นี่คือน้องชายที่เธอเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ สินะ?”

“บ่อยที่ไหนกันล่ะ!? นาน ๆ ทีจะพูดถึงสักครั้งนึงเอง อย่าพูดเรื่อยเปื่อยสิโลเฟ่น!”

ลาซเค่นเสียงและจิกสายตาใส่เด็กผู้ชายตาตี่ด้วยท่าทีเหมือนกับใส่อารมณ์ ทำให้อีกฝ่ายต้องผงกหัวขอโทษแต่ก็ยังแอบแลบลิ้นออกมาด้วยท่าทางขี้เล่น เพราะเขารู้ว่าเธอไม่ได้โกรธจริง ๆ แค่พยายามใช้ความโกรธกลบเกลื่อนก่อนจะแสดงอาการเขินอายออกมาเท่านั้น

ซาลรู้สึกประหลาดใจที่เด็กผู้ชายตาตี่คนนี้ก็ชื่อโลเฟ่นด้วย แต่ตอนนี้เขายังมีเรื่องอื่นที่ข้องใจมากกว่า

“เดี๋ยวก่อน… พูดอะไรน่ะ? คนที่เป็นพี่คือฉันต่างหาก”

คำพูดของซาลทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองทางลาซโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้เจ้าตัวต้องขมวดคิ้วและแสดงอาการไม่พอใจออกมามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“อย่ามาโมเมน่า! ฉันต่างหากที่เป็นพี่น่ะ!”

“โมเมอะไรกัน? ก็พ่อให้ฉันเป็นพี่นี่นา เรื่องนี้ทุกคนในครอบครัวก็ยอมรับด้วย!”

“นั่นมันเรื่องที่พ่อพูดเอาเองต่างหาก ฉันไม่ยอมรับหรอก!”

ทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างไม่ลดราวาศอก ในหัวข้อที่ทำให้ทุกคนต่างก็ต้องรู้สึกงุนงงสงสัย

ความจริงคือทั้งสองคนเกิดมาพร้อมกัน ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง ซารามอธ พ่อของพวกเขาจึงตัดสินใจให้ซาลเป็นคนพี่ เพราะอยากให้ลาซซึ่งเป็นผู้หญิงมีพี่ชายคอยดูแล แต่เพราะความรู้สึกเป็นคู่แข่งของทั้งสองคนในทุก ๆ เรื่อง ทำให้ลาซอยากจะเป็นคนพี่มากกว่า จึงไม่ยอมรับฐานะของซาลที่เป็นพี่เพราะการแต่งตั้งจากพ่อ ไม่ใช่พี่จริง ๆ ตามลำดับ

เพราะเห็นว่ามันเป็นการโต้เถียงที่เหมือนกับการพายเรือในอ่าง ซาลจึงตัดบทประเด็นนั้นไปแบบห้วน ๆ และเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขาอยากรู้เป็นลำดับต่อมาแทน

“เฮ้อ… เรื่องนั้นช่างเถอะ… ว่าแต่ ทั้งสามคนนี้คือ?”

ซาลเอ่ยถามพลางมองไปยังเพื่อน ๆ ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของลาซ ซึ่งแต่ละคนก็ก้าวออกมาแนะนำตัวโดยไม่รอให้เธอต้องเป็นคนพูด

“ฉัน อลัน คอนแสตนซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ส่วนฉัน โลเฟ่น เทมเพอร์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

“ฉะ.. ฉัน ทาลิส อาเทเลีย ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”

เด็กชายผู้สวมแว่น, เด็กผู้ชายตาตี่, และเด็กผู้หญิงผมเปีย แนะนำตัวตามลำดับ ด้วยท่าทีเป็นกันเอง

อาจเพราะเขามีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเพื่อนในกลุ่มอย่างลาซ ทำให้ทุกคนไม่ได้มองเขาเป็นคนแปลกหน้ามากนัก ซาลจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง พลางแอบคิดว่าคนของพีชคีปเปอร์นี่ช่างขี้เกียจจริง ๆ เพราะเอาชื่อจริงของทุกคนมาใช้เลยโดยเปลี่ยนแค่นามสกุลอย่างเดียว แต่เรื่องนี้ก็อาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันไม่ให้ร่างเสมือนเกิดความขัดแย้งทางบุคลิกจนผิดสังเกตด้วยก็ได้

“ฉัน ซาลารัส แฮลเซียน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

ซาลแนะนำตัวด้วยสีหน้ายิ้มและความรู้สึกโล่งอก ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับตัวจริงของทุกคน แต่จากที่ดูแล้วแต่ละคนก็มีนิสัยไม่ต่างไปจากที่เขาเคยรู้มากนัก แม้ตอนนี้จะไม่มีใครที่รู้จักเขาเลย แต่ซาลก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเป็นเพื่อนกับทุกคนอีกครั้งให้ได้

ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ เสียงระฆังของโรงเรียนก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าการปฐมนิเทศกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว นักเรียนทุกคนจึงเริ่มทยอยกันเดินเข้าไปในหอประชุม อลันที่เห็นเช่นนั้นจึงชวนทุกคนให้เข้าไปยังหอประชุมด้วยกัน

ที่นั่งในหอประชุมได้ถูกจัดแบ่งไว้สำหรับนักเรียนแต่ละคนเป็นการเฉพาะโดยแยกเป็นฝั่งชายและหญิง ทุกคนจึงไม่ได้นั่งด้วยกัน แต่มีซาลเพียงคนเดียวที่ถูกจัดให้นั่งแถวหลังสุดติดมุมโดยไม่มีใครนั่งอยู่ในที่นั่งติดกันเลย ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่การที่นักเรียนบางส่วนจะไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศ หรือไม่ได้มาในวันแรกก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก

เมื่อนักเรียนทุกคนเข้ามานั่งประจำที่กันครบแล้ว การปฐมนิเทศก็เริ่มต้นขึ้น

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

ผู้ที่มากล่าวให้โอวาทในงานปฐมนิเทศคือผู้อำนวยการแห่งโรงเรียนอีจิสไพร์ม ชื่อว่า เอโรเดล เบมุด เป็นชายแก่ที่มีหนวดเคราดกหนาแต่ก็ตัดเล็มจนดูเรียบร้อย ใบหน้าของเขาดูดุดันและแข็งกร้าว มีลักษณะของนักผจญภัยผู้มากประสบการณ์ แม้เขาจะไม่มีรอยแผลเป็นปรากฏให้เห็นตามใบหน้าเลยก็ตาม

เอโรเดลคนนี้ดูจะเป็นคนที่ไม่เน้นพิธีรีตองนัก เพราะการปฐมนิเทศของเขาล้วนมุ่งเน้นแต่ประเด็นที่สำคัญอย่างเจตนารมณ์ของโรงเรียน และเป้าหมายที่ทางโรงเรียนต้องการจะให้เหล่านักผจญภัยรุ่นเยาว์ (ที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นนักผจญภัยรุ่นสามัญแล้ว) ได้มุ่งหน้าไป รวมไปถึงความต้องการที่จะเห็นนักเรียนทุกคนได้เป็นนักผจญภัยชั้นยอดหลังจบการศึกษาจากที่นี่ไปด้วย

สิ่งที่เขาพูดไม่มีเรื่องน่าเบื่ออย่างประวัติโรงเรียนหรือเรื่องจิปาถะอื่น ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้การปฐมนิเทศเหมือนกับเป็นการปลุกเร้าความมุ่งมั่นและสร้างความกดดันให้กับเหล่านักเรียนไปด้วย แต่ก็ไม่มีใครแสดงสีหน้าหวาดวิตกหรือกังวลกับการให้โอวาทที่เหมือนกับเป็นคำขู่ถึงความลำบากที่ทุกคนต้องเผชิญในโรงเรียนนี้เลยแม้แต่คนเดียว ซาลคิดว่านั่นเพราะทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกสุดโหดมาแล้ว หรือไม่ก็แค่ฟังโดยไม่ได้คิดอะไรเท่านั้นเอง

เพราะเป็นการให้โอวาทแบบเน้นใจความสำคัญ การปฐมนิเทศจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อจบแล้ว อาจารย์ท่านหนึ่งก็ขึ้นมาประกาศให้นักเรียนทุกคนนำบัตรนักเรียนของตนเองขึ้นมาเพื่อดูว่าแต่ละคนถูกจัดสรรให้อยู่ห้องอะไร จะได้แยกย้ายกันไปยังห้องของตัวเองได้ถูก

เมื่อซาลหยิบบัตรนักเรียนขึ้นมาดูก็พบว่า ด้านหลังบัตรซึ่งเคยเป็นเพียงพื้นโล่ง ๆ ที่มีตราโรงเรียนอยู่ตรงกลางอย่างเดียว ตอนนี้กลับแปรสภาพไปเหมือนกับเป็นจอแก้วซึ่งแสดงภาพตัวเลขและตัวอักษรขึ้นมา ซึ่งบนบัตรของเขาเขียนเอาไว้ว่า 1-E แปลว่าเขาเป็นนักเรียนปีหนึ่งและได้อยู่ห้อง E นั่นเอง

เพราะนักเรียนแต่ละชั้นปีจะมีจำนวน 200 คน จึงมีการแบ่งนักเรียนออกเป็นห้าห้อง ห้องละ 40 คน ไล่ตั้งแต่อักษร A ไปจนถึง E โดยการจัดแบ่งนักเรียนลงแต่ละห้องก็จะดูจากคะแนนจากการสอบเข้าเช่นกัน โดยห้อง A จะเป็นกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด 40 คน ส่วนห้อง E ก็จะเป็นกลุ่มที่ได้คะแนนต่ำสุด 40 คน

อันที่จริงคะแนนสอบของนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์เข้ามาได้ก็มักจะไม่ต่างกันมาก โดยเฉพาะ 100 คนหลังมักจะมีคะแนนเกาะกลุ่มกันจนเกือบจะแยกไม่ออก แต่นักเรียนห้องสูงบางคนก็มักจะถือตัวว่าเหนือกว่าและคอยข่มนักเรียนที่อยู่ห้องต่ำกว่าอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นแค่นิสัยส่วนบุคคล ไม่ใช่ค่านิยมของนักเรียนทั้งหมด

สำหรับซาล ความจริงแล้วคะแนนสอบของเขาก็ไม่ได้ต่ำขนาดที่ควรจะอยู่ห้อง E แต่เพราะไม่อยากจะโดดเด่นเกินไปจึงขอให้ ‘บิ๊กซิสฯ’ ช่วยทำอะไรสักอย่างเพื่อปรับคะแนนลงมา แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าจะหล่นมาอยู่ห้อง E ทำให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ

อย่างไรก็ตาม การจัดห้องตามลำดับนี้เป็นแค่การจัดแบ่งขั้นต้นเท่านั้น เพราะทุก ๆ เทอมจะมีการประเมินผลการเรียนของนักเรียนแต่ละคนเพื่อพิจารณาปรับลำดับห้องใหม่ คือนักเรียนที่มีผลการเรียนดีก็มีโอกาสจะได้เลื่อนไปอยู่ห้องที่สูงขึ้น ส่วนนักเรียนที่มีผลการเรียนแย่ก็จะถูกปรับมาอยู่ห้องที่ต่ำลงเช่นกัน นี่เป็นระบบของโรงเรียนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนทุกคนเกิดความกระตือรือร้นและพยายามแข่งขันกันพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้นักผจญภัยที่จบการศึกษาออกไปเป็นนักผจญภัยที่มีคุณภาพสูงสุด

ความพิเศษของระบบนี้ก็คือ แม้จะจัดสรรนักเรียนไว้ห้องละ 40 คนในตอนเปิดภาคเรียน แต่เมื่อมีการเลื่อนชั้นหรือลดชั้นของนักเรียนเกิดขึ้น แต่ละห้องจะสามารถมีนักเรียนมากกว่าหรือน้อยกว่า 40 คนก็ได้ นั่นเพราะการจะปรับลดชั้นของนักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับใช้ได้ลงเพียงเพราะผลการเรียนของเขาต่ำกว่าคนที่กำลังจะได้เลื่อนชั้นขึ้นมานั้นเป็นการไม่ยุติธรรมนัก บางครั้งจึงมีคนเลื่อนห้องขึ้นมาโดยที่ห้องเดิมยังมีสมาชิกอยู่ครบทุกคน

ด้วยรูปแบบนี้ทำให้ในปีที่ทุกคนต่างก็ทำผลงานได้ดี เด็กนักเรียนอาจขึ้นไปกองรวมกันอยู่ที่ห้อง A B C โดยทิ้งห้อง D E ไว้เป็นห้องร้างเลยก็ได้ หรือถ้าเป็นปีที่ทุกคนทำผลงานได้แย่ ห้อง A B C ก็อาจเหลือคนอยู่ไม่กี่คนโดยนักเรียนส่วนใหญ่ลงไปกองกันอยู่ที่ห้อง D E เช่นกัน แต่นั่นก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะเหล่านักผจญภัยรุ่นเยาว์ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาในยุคนี้ต่างก็เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพด้วยกันทั้งสิ้น

ซาลคิดว่าการอยู่ห้อง E ก็ดูต่ำไปหน่อย ถึงเขาจะอยากนำเสนอตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนไม่เอาไหนและไม่น่าจะเป็นผู้สร้างหายนะได้ แต่การที่ลูกชายของ ‘เทพสงคราม’ ซารามอธ จะมาแหงกอยู่ในห้องต่ำสุดของโรงเรียนอีจิสไพร์มไปตลอดหกปีมันก็จะดูเป็นเรื่องที่ผิดสังเกตเกินไป จึงคิดว่าควรจะหาทางเลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่แถว ๆ ห้อง C ให้ได้จะดีกว่า

ในระหว่างที่กำลังจะลุกเพื่อเดินออกจากหอประชุม ลาซก็เดินมาชะโงกหน้าดูบัตรประจำตัวในมือของซาล เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ห้อง E เธอก็แสยะยิ้มและมองเขาด้วยแววตาเย้ยหยัน ก่อนจะเดินถอยหลังจากไปพร้อมกับโบกบัตรประจำตัวในมือเธอที่เขียนว่า 1-A ไปด้วย

ท่าทางอันยียวนนั้นทำให้ซาลถึงกับหนังตากระตุกและเกิดความมุ่งมั่นที่จะเลื่อนชั้นขึ้นไปห้องบนมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็พยายามสงบใจไว้ ก่อนจะเดินออกจากหอประชุมและตรงไปยังอาคารเรียนเพื่อเข้าชั่วโมงโฮมรูม

 

——————————————————————————–

 

Part 4

 

อาคารเรียนของนักเรียนปีหนึ่งก็อยู่ถัดไปจากหอประชุมแค่หนึ่งสนามหญ้า

แต่สนามหญ้าที่กั้นระหว่างอาคารแต่ละหลังในอีจิสไพร์มนั้นมักจะมีความกว้างตั้งแต่ 100 – 200 เมตร ทำให้ต้องใช้เวลาเดินอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะไปถึงตัวอาคารได้

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซาลจึงเดินสำรวจอาคารไปทีละชั้น ความจริงนี่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำก่อนพิธีปฐมนิเทศ แต่ดันไปเจอกับกลุ่มของลาซเข้าซะก่อนทำให้ไม่ได้มา แต่เพราะเห็นว่ายังพอมีเวลาพอสมควรก่อนชั่วโมงโฮมรูมจะเริ่มขึ้น จึงแวะสำรวจชั้นอื่น ๆ ของอาคารไปด้วย

ชั้นล่างสุดของอาคารเป็นส่วนของห้องสวัสดิการต่าง ๆ เช่นห้องพยาบาล, ห้องนั่งเล่นกึ่งห้องสมุด, และห้องอาหารขนาดเล็กที่มีขนมและอาหารกล่องแบบง่าย ๆ ให้บริการอยู่ ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องปฏิบัติการอเนกประสงค์สำหรับการเรียนภาคปฏิบัติ และชั้นสามถึงจะเป็นห้องเรียนจริง ๆ

ห้อง E อยู่บริเวณริมสุดของอาคาร ทำให้อยู่เกือบจะติดกับบันไดของอาคารเลย เมื่อซาลขึ้นบันไดมาและเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาก็พบว่าที่นั่นมีนักเรียนกว่าสามสิบคนมารออยู่ก่อนแล้ว คงเพราะเขาเถลไถลมากเกินไปหน่อย

ตัวห้องจะมีลักษณะเป็นห้องบรรยายที่ผู้บรรยายจะยืนอยู่ตรงกลางห้อง ส่วนนักเรียนจะนั่งประจำอยู่กับโต๊ะที่เรียงรายกันเป็นทรงโค้งและยกระดับขึ้นไปทีละแถวเพื่อให้คนแถวหลังมองเห็นการบรรยายได้ชัดเจนขึ้น โต๊ะยกระดับนี้มีทั้งหมดสี่แถว แปลว่าน่าจะรองรับนักเรียนได้แถวละสิบคนด้วยกัน

เพราะด้านหน้ามีคนจับจองที่ไปหมดแล้ว ซาลจึงต้องเดินขึ้นไปที่โต๊ะแถวหลังสุด ซึ่งมีนักเรียนเพียงสี่คนจับกลุ่มกันอยู่ ในระหว่างนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพอดีและตรงไปยังโพเดียมที่อยู่กลางห้อง แปลว่าคนผู้นี้คืออาจารย์ประจำชั้นของห้อง E

เขาเป็นชายหนุ่มอายุราว 30 ปี สวมเสื้อเชิ้ต ผูกเน็คไท และใส่เวสต์ทับ คลุมด้วยเสื้อโค้ทผ้าอีกตัวหนึ่ง ชายคนนี้ตัดผมสั้นเกรียน มีใบหน้าเรียวรี ไว้หนวดเคราหรอมแหรม และมีผิวคล้ำเล็กน้อย ทันทีที่ขึ้นไปยืนที่โพเดียม เขาก็กล่าวแนะนำตัวกับทุกคนในทันที

“ฉัน วารัล วารันเด้ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอ วันนี้ดูเหมือนจะมีอีกหลายคนที่ยังมาไม่ถึงสินะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะจัดกลุ่มกันก่อนเลย คนที่มาทีหลังก็ให้แทรกกลุ่มหรือจัดกลุ่มต่างหากเอาก็ได้”

เพราะการเรียนการสอนของอีจิสไพร์มจะเกี่ยวข้องกับการทำภารกิจของนักผจญภัยค่อนข้างมาก ตั้งแต่การเรียนในห้องเรียนไปจนถึงการรับภารกิจของสมาคมนักผจญภัยมาทำต่างก็เป็นกิจกรรมที่ต้องทำเป็นกลุ่มทั้งสิ้น ทำให้ต้องมีการแบ่งกลุ่มกันตั้งแต่ชั่วโมงโฮมรูมเพื่อให้เกิดความสะดวกในการเรียนการสอนนั่นเอง

วารัลหยิบแท็บเล็ทของเขาขึ้นมาเพื่อดูรายชื่อของนักเรียนในห้องและเช็คจำนวนนักเรียน หลังจากดูเสร็จเขาก็เหลือบตาขึ้นมามองทางทิศที่ซาลยืนอยู่ ก่อนจะแสยะยิ้มและกล่าวออกมา

“โอ้~ นี่เรามีทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่มาร่วมเป็นเกียรติในชั้นเรียนด้วยรึเนี่ย? โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยนะ พวกเธอทุกคน อย่าลืมดูแลคุณแฮลเซียนคนนั้นให้ดี ๆ ล่ะ”

วารัลพูดพลางโบกแท็บเล็ทมาทางโต๊ะด้านหลังที่ซาลยืนอยู่ ทำให้ทุกคนในห้องต่างก็หันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งปฏิกิริยาของคนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าเขาเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะย่อมไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก สายตาที่จ้องมองมาจึงเป็นแววตาที่เคลือบแคลงหรือขุ่นเคืองซะส่วนใหญ่

เรื่องที่เขาเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ จะช้าหรือเร็วทุกคนก็ต้องรู้อยู่แล้ว ซาลจึงไม่ได้ติดใจอะไรนัก แต่เขารู้สึกประหลาดใจมากกว่าที่อาจารย์ประจำชั้นจงใจประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้งก่อนที่จะมีการจับกลุ่ม เหมือนกับมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ทั้งยังมีคำพูดที่พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย้ยหยันนั่นอีก ซาลจึงคิดว่าอาจารย์คนนี้คงมีเจตนาที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม เขาได้ลองนับจำนวนคนดูแล้ว ตอนนี้ในห้องมีนักเรียนอยู่ทั้งสิ้น 36 คน ตามปกติการแบ่งกลุ่มจะให้นักเรียนจับกลุ่มกันกลุ่มละ 4 คน แปลว่าในห้องนี้จะได้นักเรียน 9 กลุ่ม และเขาจะมีกลุ่มอยู่อย่างแน่นอน การถูกประกาศฐานะในตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลอะไรนัก

แต่ความคิดของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อได้ยินคำประกาศถัดมา

“ช่วงนี้ภารกิจในจูริสมีความยากเพิ่มขึ้นพอสมควรทีเดียว การจับกลุ่มแค่สี่คนดูเหมือนจะน้อยเกินไปและตอบสนองเงื่อนไขภารกิจได้ไม่มากนัก ปีนี้ฉันเลยอยากจะให้ทำการแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละห้าคนแทน ตกลงตามนี้นะ เอ้า เริ่มจับกลุ่มกันได้”

เมื่อสิ้นคำประกาศ ในห้องก็เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่ว เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าการแบ่งกลุ่มจะเป็นไปตามมาตรฐานคือแบ่งกลุ่มละสี่คน เลยจัดกลุ่มกันล่วงหน้าเอาไว้บ้างแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย

ไม่นานนัก ทั้งห้องก็จับกลุ่มกันใหม่จนเสร็จสิ้น และเป็นไปตามคาด ทั้ง 35 คนถูกแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม โดยที่เขากลายเป็นเศษเกินเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีกลุ่มอยู่

วารัลแสยะยิ้มและมองขึ้นมายังซาลด้วยสีหน้าเย้ยหยันอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องหุบยิ้มลงในทันที เมื่อเห็นว่าซาลกำลังทำท่าเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะอยู่ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ผิดจากที่เขาคาดไปมาก

ที่ซาลเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะเมื่อสักครู่นี้เขากำลังทำการสนทนากับตัวเองอยู่ในใจ

ในหัวเขามีความคิดหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ‘ดูเหมือนอาจารย์คนนี้เขาจะไม่ค่อยชอบนายนะ’ และในเวลาถัดมาก็มีอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า ‘ดูเหมือนเหรอ? ที่หมอนี่ยังไม่ได้ทำก็เหลือแค่ชักดาบออกมาแทงนายเท่านั้นเอง ทำไมถึงคิดว่าเขาไม่ชอบนายล่ะ?’ เมื่อได้ยินบทสนทนาโต้แย้งในหัวตัวเองแบบนี้ ซาลก็รู้สึกขบขันจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

เพราะไม่ได้เห็นปฏิกิริยาที่คาดหวังไว้ วารัลจึงแสดงอาการหงุดหงิดออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็คิดว่าซาลแค่ทำใจดีสู้เสือไปอย่างนั้นเองจึงแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง ในระหว่างนั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน

คนที่เข้ามาเป็นเด็กผู้ชายผมสีเทาหน้าตาน่ารัก มีหางตาชี้ขึ้นเหมือนคนเจ้าเล่ห์ แต่ดวงตาของเขากลับดูใสซื่อออกไปทางน่าสงสาร อาจเพราะเขาหอบกองเอกสารกองเบ้อเร่อมาด้วยตัวคนเดียวทำให้เหนื่อยหอบจนเหงื่อโทรมกาย ดวงตาที่โรยแรงนั้นจึงดูน่าเวทนาขึ้นไปอีก

เมื่อเห็นเด็กชายหอบเอกสารมากองไว้ให้ วารัลก็แสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวคำพูดกับเขา

“ขอบใจมากนะชิโระ ไปนั่งที่ได้แล้วล่ะ อ้อ ตอนนี้เขาแบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยแล้วนะ แต่ก็ยังเหลือคนที่ยังไม่มีกลุ่มอยู่บ้างล่ะมั้ง ไปจับคู่กับเขาสิ รู้สึกเขาจะเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ด้วยนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กชายก็แสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย แต่ก็ค้อมหัวลงเพื่อทำความเคารพและขอตัวออกมา ก่อนจะเดินมายังที่นั่งด้านหลังซึ่งซาลยืนอยู่

เขาเหลือบตามองซาลด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อเห็นซาลจ้องตอบ เขาก็หลบตาหนีไปทันที ราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจที่ไปสบตาเข้า ซาลจึงพยายามชวนคุยเพื่อให้เขาผ่อนคลายลง

“สวัสดี ฉันซาลารัส แฮลเซียน ยินดีที่ได้รู้จักนะ นายชื่ออะไรเหรอ?”

เมื่อได้ยินซาลแนะนำตัว เด็กชายก็แสดงอาการอึกอักออกมา คงเพราะไม่อยากจะคุยด้วยนัก แต่ถ้าไม่ตอบกลับไปก็อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาจึงตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกัก

“ผะ.. ผม… คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ ครับ ยะ.. ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ…”

“คุโรฮาเนะเหรอ? แต่ตะกี้…”

“อาจารย์เขาเรียกชื่อผมผิดน่ะครับ…”

“อืม… ว่าแต่นายเป็นชาวคามิเท็นงั้นเหรอ? แปลว่ามาจากโดมินาเรียสินะ?”

“ปะ.. เปล่าหรอกครับ พ่อกับแม่ของผมเป็นชาวคามิเท็นที่ย้ายมาอยู่จูริส ผมก็เลยได้ชื่อแบบนี้ ส่วนตัวผมเองก็เกิดและโตขึ้นที่นี่แหละครับ”

“ออ… ว่าแต่ทำไมนายถึงหอบเอกสารพวกนั้นมาเองล่ะ เอาเข้าช่องมิติเก็บของไปก็จะสบายกว่าไม่ใช่เหรอ?”

“เอกสารพวกนั้นลงเวทป้องกันไว้ทำให้คนอื่นเก็บเข้าช่องมิติเก็บของไม่ได้น่ะครับ… ผมก็เลยต้องหอบมาด้วยตัวเอง…”

เวทป้องกันที่ว่ามีไว้สำหรับป้องกันสิ่งของจากการขโมย เพราะการใช้งานช่องมิติเก็บของทำให้การลักขโมยสิ่งของทำได้ง่ายตามไปด้วยและยากที่จะจับคนร้ายได้ ตั้งแต่ยุคแรก ๆ จึงมีการคิดค้นเวทป้องกันขึ้นมา ให้เฉพาะผู้มีสิทธิ์ หรือเจ้าของตัวจริงเท่านั้นที่สามารถเก็บของเหล่านั้นเข้าช่องมิติเก็บของได้ พวกสิ่งของที่วางขายอยู่ตามร้านค้าต่าง ๆ ก็ใช้เวทนี้ในการป้องกันการลักขโมยเช่นกัน

การที่คุโรฮาเนะถูกส่งไปเอาเอกสารก่อนชั่วโมงโฮมรูมจะเริ่มต้นขึ้น ทำให้เขากลับมาหลังจากมีการแบ่งกลุ่มเสร็จแล้วจนกลายเป็นส่วนเกินอีกคน แถมเอกสารที่ให้ไปเอายังเป็นของที่ต้องหอบมาด้วยตัวเองจนลิ้นห้อยอีก ทำให้ซาลคิดว่าวารัล (ซึ่งตอนนี้เขาไม่อยากเรียกว่าอาจารย์แล้ว) คงจะมีอคติส่วนตัวกับเด็กคนนี้ไม่น้อยไปกว่าเขาเลย

ยิ่งได้เห็นสีหน้ากรุ้มกริ่มของวารัลในยามเฝ้าดูปฏิกิริยาลำบากใจของคุโรฮาเนะซึ่งกำลังคุยกับเขาแล้ว ซาลก็ยิ่งแน่ใจในเรื่องนั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกี่ยวกับวารัลหรือไม่ เขาก็ไม่อยากให้คุโรฮาเนะรู้สึกกลัวเขาอยู่แบบนี้ จึงพยายามชวนอีกฝ่ายพูดคุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์

“นี่ คุโรฮาเนะ”

“ระ.. เรียกผมว่าคุโระก็ได้ครับ…”

“โอเค คุโระ ดูเหมือนเราจะต้องอยู่กลุ่มเดียวกันแล้วล่ะ มาพยายามด้วยกันเถอะนะ”

แม้จะได้ยินคำพูดนั้น คุโระก็ยังมีสีหน้าลำบากใจและไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ซาลที่รู้สึกสงสัยจึงถามเขาอีกครั้ง

“มีอะไรเหรอ?”

“ถ้ามีแค่สองคน… คงไม่ไหวหรอกครับ…”

“พูดอะไรอย่างนั้น เดี๋ยวก็มีคนอื่น ๆ มาสมทบอีกน่า ห้องนึงต้องมี 40 คนไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่เสมอไปหรอกครับ… ตำแหน่งที่ว่างอยู่นี่น่ะ บางทีก็เป็นตำแหน่งที่กันเอาไว้สำหรับพวกลูกหลานของผู้มีอำนาจหรือพวกพ่อค้าที่เป็นผู้สนับสนุนใหญ่ของโรงเรียน หากพวกเขาไม่ได้มาในวันแรกนี่ ส่วนใหญ่จะแปลว่าตัดสินใจไปเรียนที่อื่นแล้ว และอาจจะมีคนแค่นี้ไปจนจบเทอมนั่นแหละครับ…”

ซาลแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แม้เขาจะพอรู้เรื่องการกั๊กโควต้าสำหรับเด็กเส้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่นึกว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนอันดับหนึ่งอย่างอีจิสไพร์มด้วย

แต่พอหันไปดูวารัลที่ยืนอยู่บนโพเดียมแล้ว นั่นก็เป็นอาจารย์ที่ไม่ควรจะได้มาสอนในโรงเรียนอันดับหนึ่งอย่างอีจิสไพร์มเช่นกัน ทำให้เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ ที่ความเป็นจริงมักจะแตกต่างไปจากอุดมคติที่คาดหวังเอาไว้

“ถึงจะมีแค่สองคนก็ไม่เป็นไรหรอกน่า~ แค่ฉันกับนายก็ผ่านภารกิจกันได้อยู่แล้ว”

“มะ.. ไม่ไหวหรอกครับภารกิจในหลักสูตรของอีจิสไพร์มนี่น่ะ ถ้าไม่มีปาร์ตี้สักสี่คนละก็…”

“หืม? แปลว่าถ้าคนน้อยกว่าสี่คนจะรับภารกิจไม่ได้เหรอ?”

“ดะ.. ได้ครับ แต่ว่า…”

“ถ้ารับได้ก็ไม่มีปัญหาแล้วนี่! มาพยายามด้วยกันนะ!”

โดยไม่ได้สนท่าทีลังเลและลำบากใจของอีกฝ่าย ซาลก็จับมือของคุโระแล้วเขย่าขึ้นลงเหมือนเป็นการบังคับทำสัญญา ทำให้อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนและจำใจยอมรับสภาพไป

 

——————————————————————————–

 

Part 5

 

หลังจากจบชั่วโมงโฮมรูม ก็เป็นการพานักเรียนใหม่ทุกคนเดินทัวร์ชมโรงเรียนโดยคณะอาจารย์

เพราะความกว้างขวางและใหญ่โตของอีจิสไพร์ม ทำให้ต้องใช้เวลาในการเที่ยวชมค่อนข้างมาก ที่สำคัญคือการพาไปรู้จักกับสถานที่ต่าง ๆ นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในส่วนของโรงเรียน แต่ยังพาออกไปทำความรู้จักกับสถานที่สำคัญในเขตชุมชน เช่นสมาคมประจำคลาส, สมาคมนักผจญภัย, และร้านค้าหรือร้านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นักเรียนต้องใช้บริการในระหว่างเรียนที่นี่ด้วย ทำให้การพาชมพื้นที่ในครั้งนี้กินเวลาอย่างยาวนาน กว่าจะชมสถานที่ได้ครบและกลับเข้ามาในโรงเรียนก็เป็นช่วงเย็นแล้ว

เพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว คณะอาจารย์ก็พาเหล่านักเรียนไปยังโรงอาหารส่วนกลางเพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารเย็นกัน จากนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องพร้อมกับอาจารย์ผู้ช่วยอีกหนึ่งคนก็จะนำนักเรียนแยกชายและหญิงเพื่อเดินทางไปยังหอพักที่ทุกคนจะใช้ในการอยู่อาศัยเป็นเวลาหกปีต่อจากนี้ไป

วารัลพากลุ่มนักเรียนชายเดินมายังหอพักของนักเรียนชาย ส่วนอาจารย์หญิงอีกคนก็พากลุ่มนักเรียนหญิงแยกทางเพื่อไปยังหอพักนักเรียนหญิงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโรงเรียนก่อนแล้ว

อาคารหอพักเป็นอาคารสามชั้นที่ไม่ใหญ่นัก โดยแต่ละห้องเป็นห้องพักขนาด 6×5 เมตรที่มีห้องน้ำในตัวไว้รองรับนักเรียนสองคนต่อห้อง เมื่อเดินไปถึงห้องที่จัดสรรเอาไว้ วารัสก็จะให้นักเรียนแต่ละคู่เข้าไปในห้องเพื่อจัดสรรสัมภาระและทำการพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องที่สามของชั้นสาม ก็เหลือเพียงซาลกับคุโระอยู่เพียงแค่สองคน แต่วารัลกลับพาพวกเขาเดินเลยไปจนถึงห้องสุดท้ายที่อยู่สุดปลายของอาคาร ก่อนจะหันมาพูดกับคุโระ

“ชิโระ ห้องของเธอคือห้องนั้น เข้าไปจัดของได้ ตามสบายนะ”

แม้จะรู้สึกแปลกใจที่วารัลจงใจเว้นห้องอีกสองห้องมา แต่คุโระคิดว่านั่นเพราะคน ๆ นี้อยากทำให้พวกเขาต้องแปลกแยกจากคนอื่นมากที่สุด จึงจงใจให้มาอยู่ที่นี่ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาและเตรียมจะเข้าไปในห้อง

ระหว่างนั้น ซาลก็เอ่ยถามขึ้นมาเพราะความสงสัย เนื่องจากเห็นวารัลเรียกชื่อคุโระ (แบบผิด ๆ ) แค่คนเดียว โดยไม่ได้เรียกเขาด้วย

“เอ่อ… แล้วห้องของผมล่ะครับ?”

“อ้อ ห้องของเธอน่ะเหรอ? ตามมาสิ”

วารัลพาซาลไปยังบันไดที่อยู่ใกล้ ๆ และเดินขึ้นไปชั้นบน ซึ่งเป็นชั้นลอยสำหรับออกไปนอกดาดฟ้า ทำให้คุโระรู้สึกแปลกใจขึ้นมา จนต้องแอบเดินตามไปดูด้วย

ที่นั่น เขาเห็นวารัลกับซาลกำลังยืนอยู่บนชั้นลอยหน้าประตูดาดฟ้า และวารัลก็พูดออกมา

“ที่นี่แหละ”

คำพูดนั้นทำให้ซาลแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ผิดกับคุโระที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ซาลมองไปรอบ ๆ ชั้นลอยอันว่างเปล่านั้นเพราะยังไม่ค่อยแน่ใจคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

“หมายถึง ตรงนี้น่ะเหรอครับ?”

“ใช่ ตรงนี้แหละคือห้องนอนของเธอ”

วารัลพูดด้วยรอยยิ้มอันน่ารังเกียจเพราะหมายจะได้เห็นสีหน้าที่เจ็บแค้นของซาล แต่เขาก็ต้องผิดหวังเพราะอีกฝ่ายเพียงแค่แสดงสีหน้าประหลาดใจธรรมดา ๆ ออกมา

“ทำไมต้องที่นี่ด้วยล่ะครับ? ก็ยังมีห้องว่างอีกตั้งหลายห้องไม่ใช่เหรอ?”

“ห้องพวกนั้นมีคนจองเอาไว้แล้วน่ะ พวกนักเรียนที่ยังไม่มาไงล่ะ”

“แล้วห้องของคุโรฮาเนะล่ะครับ? ห้องเมื่อตะกี้น่ะ เขาพักอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ?”

“ห้องนั้นก็มีนักเรียนอีกคนจองไว้แล้วเหมือนกัน ตอนนี้เขายังไม่มาเท่านั้นเอง ที่ ๆ พอจะว่างก็เหลือแค่ที่นี่เท่านั้นแหละ”

“อืม… แต่มันไม่เห็นมีเตียงเลยนี่ครับ?”

“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเอง ไม่ต้องห่วงหรอก เอ้านี่”

เมื่อพูดจบ วารัลก็นำถุงนอนเก่า ๆ อันหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ แล้วโยนมันลงไปบนพื้น จนฝุ่นหนาเตอะที่จับตัวอยู่ฟุ้งขึ้นมาตลบอบอวลไปหมด

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะ อ้อ แล้วอย่าเดินเพ่นพ่านหรือแอบไปนอนที่ห้องของคนอื่นล่ะ มันผิดกฎของโรงเรียนและอาจถึงขั้นถูกภาคทัณฑ์ได้เลยนะรู้มั้ย?”

วารัลพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันก่อนจะหันหลังกลับและเดินลงจากชั้นลอยไป คุโระที่แอบฟังอยู่จึงต้องรีบหลบกลับเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกเห็น ก่อนจะแอบกลับออกมาอีกครั้งหลังได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินลงบันไดไปแล้ว

เขาแอบมองซาลจากมุมบันไดด้วยความรู้สึกซับซ้อน ความจริงเขารู้สึกกลัวและไม่อยากจะสุงสิงกับลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่คนนี้นัก ไม่ใช่เพราะรังเกียจฐานะของเขาเป็นการส่วนตัว แต่เพราะกลัวว่าจะพลอยถูกคนอื่นรังเกียจและกีดกันไปด้วย ซึ่งตัวเขาเองก็มีปัญหาเรื่องนี้มากพออยู่แล้วจึงไม่อยากเพิ่มภาระให้กับตัวเองอีก แต่พอได้มาเห็นอีกฝ่ายถูกกระทำแบบนี้ เขาก็อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้

ในขณะนั้นเอง ลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ที่เขาแอบดูอยู่ก็ยิ้มพลางพูดออกมา

“อย่างน้อยก็มีถุงนอนให้อะนะ.. อุ๊บ.. ฮุฮุฮุฮุ”

เมื่อพูดจบ เจ้าตัวก็พยายามกลั้นขำจนตัวงอ เหมือนกับเป็นการเล่นมุขแบบชงเองกินเองเสร็จสรรพ จนคุโระได้แต่รู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เห็น เพราะไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

หลังจากกินมุขที่ชงเองจนพอใจแล้ว ซาลก็ยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพิจารณาสภาพโดยรอบของชั้นลอยนี้ และพึมพำออกมา

“ตั้งอยู่ในที่ลับตาคน… มีทางเข้าออกทางเดียว… แถมยังอยู่ในตำแหน่งสูงซึ่งถือว่าเป็นชัยภูมิที่ดี… มีประตูสำหรับออกไปนอกดาดฟ้าได้ทุกเมื่อ… ทำเลตรงนี้ก็ไม่เลวเลยนี่นา หึหึหึหึ~”

เขาพูดพลางหัวเราะในลำคอออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มซึ่งเกือบจะดูชั่วร้าย แต่นั่นก็เป็นรอยยิ้มที่ปราศจากความกังวลหรือความขุ่นเคืองใด ๆ ออกจะไปทางพึงพอใจด้วยซ้ำ

คุโระที่เห็นอาการนั้นของซาลก็ได้แต่คิดว่า ลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่คนนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด