Doombringer the 5th 97

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 97 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.97 – เก้าหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 93

เก้าหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

 

Part 1

 

ตามปกติ คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ จะนอนแต่หัวค่ำ เพราะเขาเป็นคนตื่นเช้า เวลาเข้านอนจึงอยู่ในช่วงสองถึงสามทุ่ม ทว่าตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้

เพราะในหัวของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและไม่สบายใจ

คุโระรู้สึกเป็นห่วงซาลซึ่งถูกจัดให้ไปนอนอยู่บริเวณชั้นลอยก่อนออกดาดฟ้า ซึ่งที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ห้องด้วยซ้ำ มันไม่มีกำแพงสำหรับป้องกันลมหนาว ไม่มีประตูสำหรับความเป็นส่วนตัว ไม่มีทั้งห้องน้ำและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ แม้แต่เตียงก็ยังไม่มีเลย

เขาไม่อยากสุงสิงกับบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่คนนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเพราะอีกฝ่ายมีประวัติทางบ้านไม่ดี ทั้งกลัวนักเรียนคนอื่นจะพลอยรังเกียจเขาไปด้วย และยังกลัวว่าจะเป็นเหตุให้อาจารย์วารัลซึ่งมีอคติกับเขาอยู่แล้วมีเรื่องเล่นงานเขามากขึ้นอีก

ความจริงการที่มีคนมาเป็นเป้าโจมตีแทนเขาก็นับเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องไปนอนบนชั้นลอยที่ไม่มีอะไรเลยนั่นอาจเป็นตัวเขาเองก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น คุโระก็ไม่สามารถสงบใจได้อยู่ดี

เขาเอาแต่กังวลว่าบุตรชายของผู้สร้างหายนะคนนั้นจะนอนอยู่ที่นั่นได้อย่างไร โดยเฉพาะคืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น บริเวณชั้นลอยที่อยู่ติดกับดาดฟ้าคงจะยิ่งหนาวเป็นพิเศษ แค่คิดภาพของอีกฝ่ายที่ต้องนอนขดตัวอยู่ในถุงนอนเก่า ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจจนนอนไม่หลับแล้ว

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น และหอบเอาหมอนกับผ้าห่มของเตียงข้าง ๆ ขึ้นมา

วารัลเคยพูดดักเรื่องการไปนอนห้องคนอื่นเอาไว้แล้ว แปลว่าจะมีการขึ้นมาตรวจห้องในภายหลัง หากให้ซาลมานอนในห้องด้วยก็อาจทำให้ถูกลงโทษทั้งสองคน แต่ถ้าแค่เอาเครื่องนอนไปให้ อย่างน้อยก็ไม่น่าจะผิดข้อห้ามอะไร

ความจริงถ้าวารัลพบว่าเขาแอบเอาเครื่องนอนไปให้อีกฝ่าย เขาก็คงจะถูกตำหนิหรือหาเรื่องลงโทษอยู่ดี แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ตัวเขาเองก็คงจะนอนไม่หลับเพราะความไม่สบายใจเป็นแน่ คุโระจึงตัดสินใจว่าต่อให้ต้องถูกเล่นงานในภายหลัง ก็ขอทำเรื่องที่ตัวเองสบายใจในตอนนี้ก่อนดีกว่า

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงหอบเอาเครื่องนอนเท่าที่หาได้ ทั้งหมอน ผ้าห่ม และผ้าห่มสำรอง ก่อนจะแง้มประตูเพื่อย่องออกจากห้องไป

ตอนนี้เลยเวลาสี่ทุ่มซึ่งเป็นเวลาปิดไฟของพอพักสำหรับนักเรียนปีหนึ่งไปแล้ว ทำให้บริเวณระเบียงค่อนข้างมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาตกกระทบกับพื้นระเบียงเท่านั้น

เพราะห้องของเขาอยู่ริมสุดของอาคารติดกับบริเวณบันได คุโระจึงอาศัยการย่องเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปถึงเชิงบันไดสำหรับขึ้นไปบนชั้นลอยที่ซาลอยู่ได้

เขาค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าผ้าห่มจะห้อยลงไปลากกับขั้นบันไดจนเปื้อนฝุ่น ประกอบนั้นค่อนข้างมืดจึงต้องระวังการก้าวด้วย แต่เมื่อขึ้นไปถึงชั้นลอย คุโระกลับพบว่าที่นั่นมีแต่เพียงความว่างเปล่า

บนชั้นลอยที่ทั้งมืดทึบและเย็นเยียบทั้งยังมีฝุ่นจับหนาเตอะนั้น มีเพียงถุงนอนเก่า ๆ หนึ่งอันถูกวางอยู่บนพื้น โดยปราศจากร่องรอยของเด็กอีกคนซึ่งควรจะอยู่ที่นี่

คุโระคิดว่าซาลอาจจะลงไปเข้าห้องน้ำที่ไหนสักแห่ง เพราะในหอพักก็มีห้องน้ำรวมอยู่ในหลายจุด ความจริงเขาอยากจะรอให้อีกฝ่ายกลับมาก่อน แต่เพราะกลัวว่าวารัลจะเดินขึ้นมาตรวจหอและพบกับเขาเข้า เขาจึงตัดสินใจทิ้งหมอนกับผ้าห่มเอาไว้ เพื่อจะได้รีบกลับไปยังห้องของตัวเอง

เพราะพื้นโดยรอบนั้นสกปรกและเต็มไปด้วยฝุ่น การจะวางเครื่องนอนทิ้งไว้บนพื้นก็คงจะไม่ดีนัก คุโระจึงวางทั้งหมอนและผ้าห่มลงบนถุงนอนที่อยู่บนพื้น

แต่ในขณะที่วางผ้าห่มลงไป มือของเขาก็ไปสัมผัสเข้ากับวัตถุบางอย่างที่อยู่ภายในถุงนอน

มันเป็นวัตถุทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือ ทำให้ถุงนอนที่ห่อหุ้มอยู่ถูกดันจนนูนขึ้นมา เพราะบริเวณนี้ค่อนข้างมืดทำให้เขามองไม่เห็นมันในทีแรก แต่เมื่อไปสัมผัสไปโดนมันเข้า เขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา

แม้จะเป็นการผิดมารยาทไปสักหน่อย แต่คุโระก็แหวกถุงนอนออกด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพื่อดูของที่อยู่ภายใน ทว่าเพราะความมืดทำให้เขาเห็นแค่ว่ามันเป็นวัตถุทรงกลมซึ่งมีเงาแวว เหมือนกับลูกแก้วที่พวกนักทำนายใช้กัน การที่ซาลจะทิ้งสัมภาระบางอย่างเอาไว้ในถุงนอนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คุโระไม่เข้าใจว่าทำไมของที่ถูกทิ้งไว้ถึงเป็นลูกแก้วลูกหนึ่ง ซึ่งดูไม่น่าจะใช่ของที่คนทั่วไปพกติดตัวเลย

ด้วยความสงสัย คุโระจึงเอื้อมมือเข้าไปในถุงนอนเพื่อจะหยิบลูกแก้วลูกนั้นออกมาดู

แต่ทันทีที่สัมผัสเข้ากับมัน ทั้งทิวทัศน์และบรรยากาศโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เขาเห็นภาพเหมือนกับมีอุโมงค์สีขาวกำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง จนต้องหลับตาลงด้วยความตกใจ

แล้วร่างของคุโระก็หายไปจากตรงนั้น

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง คุโระก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนชั้นลอยอันมืดทึบและหนาวเย็นของหอพักอีกแล้ว แต่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นไม้ในห้องโถงอันอบอุ่นและสว่างไสว

ห้องนั้นเป็นห้องเพดานสูงที่มีเตาผิงอยู่ในตัว มีโซฟายาว, เก้าอี้ไม้, และโต๊ะเตี้ย วางเรียงกันอยู่บนพรมผืนใหญ่ เหมือนกับเป็นส่วนรับแขก ข้าง ๆ เก้าอี้และโซฟาทุกตัวจะมีโต๊ะวางของตัวเล็ก ๆ ตั้งอยู่ โดยบนโต๊ะก็จะมีโคมไฟที่ให้แสงสีนวลเปล่งออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบนั้นดูสว่างไสวและสบายตา

เตาผิงที่อยู่ไม่ห่างจากชุดรับแขกไปสักเท่าไหร่นั้นสร้างขึ้นมาจากการนำก้อนหินทรงมนมาวางทับซ้อนกันแล้วประสานให้อยู่ตัวด้วยปูน จากนั้นจึงตีกรอบด้วยท่อนไม้เนื้อหนาที่ถูกนำมาประดับตกแต่งตามขอบมุมอย่างสวยงาม เช่นเดียวกับบริเวณผนังของสถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นท่อนไม้ขนาดกลางที่ถูกนำมาวางทับซ้อนและประกอบกันด้วยการเข้าลิ่มอย่างวิจิตรบรรจง ทำให้ที่นี่ดูเหมือนกับเป็นภายในของกระท่อมไม้อันหรูหรา หรือเป็นบ้านพักตากอากาศของพวกชนชั้นสูงก็ว่าได้

สองฟากข้างของเตาผิงจะเป็นทางเดินสำหรับไปยังส่วนอื่นของบ้าน และเหนือเตาผิงขึ้นไปก็เป็นระเบียงของชั้นลอยซึ่งอยู่สูงจากพื้นขึ้นไปราว ๆ สามเมตร ที่นั่น คุโระได้เห็นเงาของคน ๆ หนึ่งที่มีเส้นผมสีส้มและมีลักษณะคล้ายกับซาลกำลังยืนอยู่ แต่เมื่อเห็นเขา อีกฝ่ายก็รีบเร้นกายหายเข้าไปในมุมกำแพงทันที

ด้วยความสับสนทั้งกับสถานที่นี้และคนที่เขามองเห็น ทำให้คุโระรู้สึกงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก เขายันตัวลุกขึ้นยืนและมองไปรอบ ๆ โดยครุ่นคิดอยู่ว่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ก่อน หรือไปตามหาคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นี้ดี แต่ในระหว่างนั้นก็มีเสียงคนเรียกชื่อเขาขึ้นมา

“เฮ้ คุโระ มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

เมื่อหันกลับไปทางต้นเสียง คุโระก็พบว่าเจ้าของน้ำเสียงอันคุ้นเคยนั้นก็คือซาล ลูกชายของผู้สร้างหายนะคนที่สี่นั่นเอง

“คะ.. คุณซาลารัส? ที่นี่คือ?”

ซาลยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อถูกถาม เพราะความจริงแล้วเขายังไม่ค่อยอยากให้คนอื่นรู้เรื่องสถานที่นี้สักเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อคุโระได้เข้ามาเห็นทุกอย่างแล้วจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกไปตามตรง

“ที่นี่คือที่กบดานส่วนตัวของฉันเอง เป็นห้องมิติส่วนตัว คล้าย ๆ กับห้องตามโรงแรมบางแห่งไงล่ะ”

“ห้องมิติเหรอครับ? แบบเดียวกับห้องในโรงแรมห้าดาวที่ใช้หลักการเดียวกับการกำเนิดดันเจียนสร้างขึ้นมา? คุณซาลารัสมีอาติแฟคแบบนี้อยู่ด้วยเหรอครับเนี่ย?”

คุโระถามย้อนกลับไปด้วยสีหน้าที่ทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าลูกแก้วที่เขาสัมผัสเป็นอาติแฟคที่ทำให้เข้ามาในห้องมิติแบบนี้ได้ ซึ่งเรื่องนั้นก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงนัก

แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือมันเป็นของที่ซาลสร้างขึ้นมาเองด้วยวิทยาการที่ค้นคว้าขึ้นสำหรับสร้างบ้านให้อัลดูอินกับวาเคียใช้อาศัยอยู่ ซึ่งตอนนี้เขาพัฒนามันจนสมบูรณ์แล้ว ทำให้สามารถสร้างสถานที่แบบนี้ขึ้นมาได้ และใช้เป็นที่พักส่วนตัวได้เช่นเดียวกับคฤหาสน์ต่างมิติของแซนโดร ต่างกันตรงซาลเชื่อมต่อทางเข้าของที่แห่งนี้เข้ากับลูกแก้วที่บรรจุแบบจำลองของบ้านเอาไว้ภายใน ทั้งยังทำระบบเชื่อมต่อด้วยการสัมผัสเอาไว้ด้วย ทำให้เมื่อคุโระสัมผัสถูกตัวลูกแก้ว เขาจึงถูกส่งเข้ามาที่นี่

ด้วยของสิ่งนี้ ทำให้ซาลไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่อยู่ที่นอนเลย เพราะเขาสามารถเข้ามาใช้งานบ้านพักส่วนตัวแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

อย่างไรก็ตาม วิทยาการนี้เป็นวิทยาการแบบเดียวกับการสร้างดันเจียน ซึ่งจำเป็นต้องมีใบอนุญาตในการสร้างด้วย แปลว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นอย่างผิดกฎหมาย ประกอบกับเขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามีความสามารถในการสร้างดันเจียน จึงคิดว่าควรปล่อยให้คุโระเข้าใจว่ามันเป็นอาติแฟคที่เขาได้มาจากที่อื่นจะดีกว่า

“ใช่แล้วล่ะ นี่เป็นอาติแฟคที่ฉันได้มาจากคนรู้จักน่ะ นายคงไปแตะสัมผัสลูกแก้วในถุงนอนเข้าสินะถึงได้เข้ามาในนี้ได้? …ว่าแต่มาหาฉันเนี่ย มีธุระอะไรเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้น คุโระก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะทีแรกเขาคิดว่าซาลคงกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากเพราะต้องนอนขดตัวอยู่ในถุงนอนบนชั้นลอยมืด ๆ อันหนาวเย็น จึงนำเครื่องนอนมาให้ แต่ตอนนี้เขากลับพบว่าที่ ๆ อีกฝ่ายอยู่นี่กลับดูสุขสบายกว่าห้องพักของเขาซะอีก ทำให้คุโระรู้สึกกระดากที่จะพูดออกมา

“คะ.. คือ… ผมคิดว่าคุณซาลารัสมีแค่ถุงนอนอย่างเดียวและต้องนอนอยู่บนชั้นลอยนั่น ก็เลยจะเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้น่ะครับ…”

เขาพูดด้วยยิ้มแห้ง ๆ พลางหลบสายตาไปทางอื่น เพราะรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองทำอยู่นี้ช่างดูตลกซะจริง ผิดกับซาลที่จ้องมองคุโระด้วยสายตาที่แสดงความประทับใจออกมา

ซาลมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะอยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเท่าไหร่นัก ทั้งเจ้าตัวยังถูกจ้องหาเรื่องจากอาจารย์อย่างวารัลด้วย แต่ก็ยังอุตส่าห์นำเครื่องนอนมาให้เขาทั้ง ๆ ที่มันน่าจะขัดแย้งกับความรู้สึกส่วนตัวพอสมควร นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ซาลประทับใจมาก

“ฉันไม่เป็นไรหรอก ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ …แล้วก็ เรียกฉันว่าซาลเฉย ๆ ก็ได้”

ซาลยิ้มละไมพลางบอกกับคุโระด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นกันเอง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังเว้นระยะห่างอยู่ จึงตอบกลับมาด้วยท่าทีเกรงใจ

“คะ.. ครับ คุณซาล…”

“เฮ้อ.. ช่างเถอะ… อ้อ แล้วก็ช่วยปิดเรื่องที่นี่ไว้เป็นความลับด้วยนะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้น่ะ”

“ครับ ผมเข้าใจครับ …ว่าแต่ ผมจะกลับออกไปได้ยังไงเหรอครับ?”

“อ้อ เห็นลูกแก้วที่อยู่ข้าง ๆ ประตูนั่นมั้ย? แค่สัมผัสกับมันก็จะกลับไปโผล่ที่เดิมได้แล้วล่ะ”

คุโระหันกลับไปมองยังประตูทางเข้าของบ้าน ก็พบว่ามีลูกแก้วลูกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะวางของข้าง ๆ ประตูจริง ๆ จึงเดินไปที่นั่นและหันกลับมาบอกลาอีกครั้ง

“ถ้างั้น ผมไปก่อนนะครับ”

“อื้ม ขอบใจมากนะ”

เมื่อร่ำลากันเสร็จ คุโระก็เอามือแตะสัมผัสลูกแก้วที่ข้างประตู ทำให้ร่างของเขาถูกแสงสว่างที่ส่องวาบออกมาจากลูกแก้วกลืนหายไป และมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านข้างของถุงนอนซึ่งวางอยู่บนชั้นลอยอันมืดทึบของหอพักนั่นเอง

แม้จะมีเรื่องที่รู้สึกสงสัยอีกหลายอย่าง แต่คุโระก็คิดว่าไม่ควรถามซอกแซกมากจนเกินไป และสำหรับตอนนี้แค่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่อย่างสุขสบายดีไม่ได้ลำบากอะไรเขาก็พอใจแล้ว จึงหอบเอาหมอนและผ้าห่มที่วางอยู่ขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับลงไปยังห้องพักของตนเอง

อีกด้านหนึ่ง ซาลที่ยังยืนอยู่บริเวณทางเข้าของบ้านพักต่างมิติก็มองดูลูกแก้วที่คุโระเพิ่งจะใช้เทเลพอร์ทออกไปด้วยความรู้สึกประทับใจ

เขารู้ว่าคนส่วนใหญ่คงไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว บางส่วนอาจถึงกับรังเกียจหรือจ้องจะเล่นงานเขาด้วย จึงทำใจล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าชีวิตในโรงเรียนคงจะไม่ราบรื่นนัก เพราะเหมือนกับแวดล้อมไปด้วยศัตรู การจะผูกมิตรหรือคบหากับคนอื่นจึงยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเขาเองก็ไม่อยากจะตีสีหน้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์จอมปลอมขึ้นมาเช่นกัน

แต่ในตอนนี้ เมื่อได้เห็นว่าในบรรดาผู้คนที่แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือพยายามจะหลบเลี่ยงเขาก็ยังมีคนที่มีคุณธรรมอยู่ในใจ และยอมทำเรื่องที่ขัดแย้งกับความคิดของตัวเองเพื่อความถูกต้อง ทำให้เขาเริ่มคิดว่าผู้คนที่นี่ก็ยังไม่สิ้นหวังซะทีเดียว และทุกอย่างอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

ในระหว่างที่เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีเด็กผู้ชายผมสีน้ำเงินที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเขาเป็นอย่างมากเดินเข้ามาทักจากด้านหลัง

“ทุกคนมากันพร้อมหมดแล้วครับ”

“โอ้ งั้นก็ไปกันเถอะ”

เมื่อพูดจบ ซาลก็กลับหลังหันและเดินตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นลอยของบ้านพักแห่งนี้ โดยมีเด็กผู้ชายผมสีน้ำเงินเดินตามไป

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

หลังจากขึ้นมาบนชั้นลอยแล้ว ซาลก็เดินตรงไปยังปีกตะวันตกของบ้านพัก ซึ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีโต๊ะยาวตั้งอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยเก้าอี้พนักสูงฟากละสี่ตัว และที่หัวโต๊ะก็มีเก้าอี้พนักสูงตัวใหญ่ที่มีลายสลักที่ดูงดงามและโดดเด่นเป็นพิเศษตั้งอยู่ ลักษณะของมันเหมือนกับเป็นห้องประชุม

บนเก้าอี้ทั้งสองฟากข้างมีเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขานั่งประจำอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน แต่ละคนต่างก็มีสีผมที่แตกต่างกันออกไป ทั้งสีขาว, สีดำ, สีม่วง, สีฟ้า, สีเขียว, สีทอง, และสีส้ม

เมื่อซาลนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่อยู่บริเวณหัวโต๊ะ เด็กผู้ชายที่มีผมสีน้ำเงินก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งขวาถัดออกไปอีกสามตัว ทำให้ผู้ร่วมประชุมทั้งเก้าคนเข้านั่งประจำที่โดยสมบูรณ์แล้ว

เด็กผู้ชายเหล่านี้คือ ‘แปดขุนพล’ ซึ่งเป็นสมุนคู่ใจที่ซาลสร้างขึ้นมาด้วยเวทจำแนกบุคลิกเพื่อให้ได้กลุ่มคนสนิทที่สามารถเป็นที่ปรึกษาและมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ทำเพื่อแบ่งเบาภาระในการดำเนินแผนการต่าง ๆ ตามที่เขาต้องการได้

เดิมทีทั้งแปดคนก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ศึกษาหาความรู้ในห้องสมุดลับของลิลลี่โฮไรซอนเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับเขา รวมไปถึงคอยบริหารจัดการดันเจียนด้วย แต่เพราะในห้องสมุดลับเวลาจะผ่านไปเร็วกว่าโลกภายนอกเกือบหกสิบเท่า หนึ่งสัปดาห์จึงกินเวลาเทียบเท่ากับหนึ่งปี เหล่าขุนพลที่ศึกษาแต่ตำราอยู่ในห้องนั้นเพียงอย่างเดียวจึงเกิดอาการเบื่อหน่ายอย่างรุนแรงและเริ่มมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่

เพราะเหตุนี้ ซาลจึงให้พวกเขาได้ออกมาใช้เวลาด้านนอกห้องสมุดบ้าง โดยให้ไปร่วมกับสมาคมนักผจญภัยของลิลลี่โฮไรซอนในการทำภารกิจต่าง ๆ ทั้งเพื่อเป็นการผ่อนคลายและเพื่อเป็นการทดสอบวิชาความรู้ที่ได้มาด้วย

การให้ทุกคนได้ใช้เวลาในโลกภายนอกช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวามากขึ้นมาก ทั้งยังได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่หาไม่ได้จากในตำราอีกมากมาย ที่สำคัญคือเมื่อได้ทดสอบวิชาแล้วก็จะเกิดการแข่งขันภายในกลุ่ม ทำให้แต่ละคนอยากกลับไปศึกษาค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาตนเองให้เหนือกว่าขุนพลคนอื่น ๆ ให้ได้

การออกมาใช้ชีวิตด้านนอกห้องสมุดลับทำให้เสียเวลาในโลกจริงไปพอสมควร ขุนพลทั้งแปดจึงศึกษาหาความรู้จากห้องสมุดได้น้อยกว่าที่ซาลตั้งใจไว้ในทีแรก แต่พอมานึก ๆ ดูแล้ว หากทุกคนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราตลอดสามปีของโลกจริง ก็เท่ากับเวลาร้อยแปดสิบปีในนั้น ซึ่งแค่คิดเขาก็เบื่อแทนแล้ว ดีไม่ดีทั้งแปดคนนี้อาจเป็นบ้าไปก่อนก็ได้

ถึงกระนั้น แปดขุนพลแต่ละคนก็ยังใช้เวลาในห้องสมุดไปนับสิบปี ทำให้ทุกคนมีทั้งความรู้และวิชาติดตัวมาในระดับที่น่าพอใจ

ผู้ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของซาลคือเด็กผู้ชายผมสีขาว ชื่อว่า อาซาเรล (Azarel) เขาเป็นคนอ่อนโยน รักในความถูกต้องยุติธรรม และชอบใช้การประนีประนอมเป็นหลัก จึงมักจะมีความเห็นขัดแย้งกับเซธ (Seth) เด็กผู้ชายผมดำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่เสมอ

ถัดจากอาซาเรลคือเด็กผู้ชายผมสีฟ้า ชื่อว่า เอ็มเมอริช (Emmerich) เขาเป็นคนที่นอบน้อมถ่อมตัวและขี้อาย แต่ก็เป็นคนที่รอบคอบ มักทำอะไรโดยเน้นความมั่นคงและปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งเสมอ คนอื่นจึงอาจมองว่าเขาเป็นพวกขี้กังวลหรือคิดมากไปสักหน่อย แต่สำหรับซาลแล้วเอ็มเมอริชเป็นหนึ่งในขุนพลที่เขาไว้วางใจในการมอบหมายงานให้มากที่สุด เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายทำดำเนินการอย่างรัดกุมนั่นเอง

ถัดจากเอ็มเมอริชไปอีกคือเด็กผู้ชายผมสีทอง ชื่อว่า ลูเซียน (Lucian) เป็นคนที่ฉลาด, มีอารมณ์ขัน, และกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนเปิดเผย เชื่อมั่นในตนเอง และมักจะทำอะไรตามใจชอบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้วเขามักจะไม่สนเรื่องวิธีการ เมื่อรวมกับไหวพริบอันเฉียบคมที่ติดตัวมาจึงทำให้เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์แสนกลคนหนึ่ง

คนที่นั่งอยู่ปลายสุดของฝั่งซ้ายก็คือเด็กผู้ชายที่มีผมสีส้ม ชื่อว่า เทเรนซ์ (Terence) เขาเป็นคนขี้เล่น, ร่าเริง, และมีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังมองโลกในแง่ดีเสมอ เทเรนซ์มักจะหาเหตุผลและคำอธิบายในแง่ดีให้กับทุก ๆ เรื่อง หลายคนจึงรู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่กับเขา แต่บางคนก็อาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญได้เช่นกัน

ทางฝั่งขวามือ คนแรกที่นั่งอยู่ติดกับซาลก็คือเด็กผู้ชายผมสีดำ ชื่อว่า เซธ (Seth) เป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าวและจริงจัง เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย วิธีดำเนินงานแบบไม่เลือกวิธีการของเขาจึงมักจะทำให้ขัดแย้งกับอาซาเรลอยู่บ่อย ๆ

ถัดจากเซธคือเด็กผู้ชายผมสีม่วง ชื่อว่า บริแกนดีน (Brigandine) เขาเป็นคนที่มีสัญชาตญาณดี มองการณ์ไกล และมีจินตนาการสูง การวิเคราะห์และคาดคะเนของเขาอาจดูเฟื่องจนเกินไปในบางครั้ง แต่เพราะแบบนั้นมันจึงครอบคลุมผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในเกือบทุกกรณี ทำให้เขาสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนอื่น และเป็นนักลงทุนมือฉมังของกองทัพ

คนที่นั่งถัดจากบริแกนดีนไปอีกก็คือเด็กผู้ชายผมสีน้ำเงินชื่อว่า ออร์เฟียซ (Orpheus) เป็นคนที่ค่อนข้างจะเก็บตัว รักสันโดษ และขาดความมั่นใจในตัวเองขั้นร้ายแรง ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนที่ทำอะไรด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ สามารถทำงานที่รับมอบหมายได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ปัญหาเรื่องนิสัยของเขาจึงเป็นเรื่องที่ซาลให้ความสำคัญเป็นลำดับรอง

คนสุดท้ายที่นั่งอยู่ปลายสุดของฝั่งขวาก็คือเด็กผู้ชายผมสีเขียวชื่อว่า ยูนิตี้ (Unity) เขามีรอยยิ้มอันผ่อนคลายอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แม้จะมีนิสัยรักสบาย ทำอะไรเนิบนาบ ไม่เร่งรีบ จนดูเหมือนคนขี้เกียจ แต่ผลผลิตในการทำงานของเขากลับอยู่ในระดับต้น ๆ ของเหล่าขุนพล นอกจากนี้ยูนิตี้ยังเป็นคนกลางที่คอยประสานความสัมพันธ์ของเหล่าขุนพลทั้งแปดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย

ในบรรดาแปดคนนี้ มีเพียงเอ็มเมอริชคนเดียวที่ใช้ชื่อที่ซาลตั้งให้ นอกนั้นจะไม่ค่อยพอใจกับชื่อที่ได้รับและไปคิดชื่อเอง  เพราะมันเป็นชื่อที่ไม่ตรงกับรสนิยมหรือความชอบของแต่ละคนสักเท่าไหร่

ทั้งแปดคนต่างก็มีอุปนิสัยพื้นฐานใกล้เคียงกับซาล แต่จะมีนิสัยบางอย่างที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ออกมาให้เห็น ซึ่งก็เป็นไปตามผลของเวทจำแนกบุคลิก ที่ดึงเอาบุคลิกในด้านต่าง ๆ ของซาลออกมาสร้างเป็นจิตสังเคราะห์ของแต่ละคน

ในการมาเรียนที่อีจิสไพร์มครั้งนี้ ซาลได้พาขุนพลทั้งแปดติดตามมาด้วย เพราะการดำเนินการตามแผนการต่าง ๆ ที่เขาวางเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว โดยเฉพาะตัวเขาเองที่อาจจะต้องเทเวลาบางส่วนให้กับการเรียนหรือการเข้าสังคม ดังนั้นการมอบหมายงานให้ขุนพลทั้งแปดนำไปดำเนินการจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า

ซาลกวาดสายตามองไปโดยรอบ เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็จ้องมองเขาด้วยแววตาที่กระตือรือร้น จึงกล่าวเปิดการประชุมในทันที

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็… เริ่มการประชุมเพื่อการยึดครองโรงเรียนอีจิสไพร์มได้”

แม้เนื้อหาจริง ๆ ของการประชุมจะไม่ได้มีความหมายนี้ตามตัวอักษร เป็นเพียงการเลือกใช้คำให้ดูเลิศหรูอลังการตามไสตล์ของซาลเท่านั้นเอง แต่ถ้อยคำนั้นก็ช่วยปลุกเร้าให้เหล่าขุนพลทั้งแปดเกิดความฮึกเหิมจนจ้องมองมายังเขาด้วยแววตาและรอยยิ้มอันมุ่งมั่นโดยพร้อมเพรียงกัน

การประชุมของซาลกับแปดขุนพลก็ได้เริ่มต้นขึ้นในลักษณะนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด