Doombringer the 5th67

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 67 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.67 – จุดสิ้นสุดแห่งยามสนธยา

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 67

จุดสิ้นสุดแห่งยามสนธยา

 

Part 1

 

ที่ห้องฝึกของสมาคมทไวไลท์เมอริเดียน

เอธริคกำลังฝึกฝนเวทของเนโครแมนเซอร์ระดับสูงให้กับแซนโดรเหมือนเช่นทุกวัน

แซนโดรเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาก เธอสามารถเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ได้โดยแทบไม่ต้องฝึกฝนความรู้ขั้นพื้นฐานเลย ทำให้สามารถข้ามไปฝึกวิชาขั้นสูงได้อย่างรวดเร็ว จนเอธริคคิดว่าในเวลาไม่นานเธออาจถูกแซนโดรแซงหน้าเข้าก็ได้ เธอเองจึงต้องพยายามศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมควบคู่ไปด้วยเช่นกัน

แม้จะมีพัฒนาการที่รวดเร็วอยู่แล้ว แต่แซนโดรก็ดูจะยังไม่พอใจกับมันอยู่ดี และพยายามเร่งเร้าให้เอธริคสอนวิชาระดับสูงยิ่งขึ้นไปอีกอย่างไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับวันนี้

“นี่ ๆ เอธริค ทำยังไงถึงจะเลื่อนขั้นเป็นลิชได้ล่ะ?”

คำถามที่สื่อถึงความรีบร้อนและกระหายในวิชาของอีกฝ่ายทำให้เอธริคแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรกับความกระตือรือร้นนี้ จึงตอบกลับไปอย่างสุภาพเหมือนเช่นทุกครั้ง

“การเป็นลิชมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หรอกนะ ต้องทำการสร้างร่างลิชขึ้นมาก่อนแล้วค่อยเคลื่อนย้ายวิญญาณไปอยู่ในร่างลิชแทน แต่วิทยาการในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ทำให้ร่างที่สร้างออกมาไม่สมบูรณ์ไปด้วย มันเป็นวิชาที่ยังต้องปรับปรุงพัฒนาอีกเยอะแหละ”

“งั้นก็สอนหน่อยสิ เดี๋ยวฉันจะลองเอาไปปรับปรุงดูเอง”

เอธริคจ้องมองแซนโดรด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง ก่อนจะดีดหน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ

“โอ๊ย!”

“เลิกคิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย ๆ ได้แล้ว ฉันไม่ได้รังเกียจความกระตือรือร้นของเธอหรอกนะ แต่ศาสตร์มืดไม่ใช่ของเล่น ถ้าศึกษาอย่างไม่ระวังจะเกิดอันตรายได้ เข้าใจรึเปล่า?”

“เข้าใจแล้วน่า ก็แค่อยากจะศึกษาทฤษฎีเอาไว้เฉย ๆ ก่อน เผื่ออนาคตไง นะ ๆ ๆ ”

“เฮ้อ… ก็ได้ ๆ ไว้เราไปที่มาลาไคท์คีปกันเมื่อไหร่ฉันจะพาไปดูตำราเอง แต่ตอนนี้ศึกษาตำราพื้นฐานอื่น ๆ ไปก่อนก็แล้วกันนะ”

“ไชโย~”

แซนโดรกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่ในที่สุดเอธริคก็ยอมรับปาก

ความจริงเธอยังไม่อยากให้แซนโดรเข้าถึงวิทยาการของศาสตร์มืดระดับสูงมากจนเกินไปนัก แต่ก็ทนการรบเร้าของเด็กคนนี้ไม่ได้ซะทุกที

มาลาไคท์คีปคือดันเจียนมิติอีกแห่งที่เอธริคสร้างขึ้น มีลักษณะเหมือนกับภายในของหอคอย ซึ่งในชั้นใต้ดินถูกทำเป็นห้องสมุดสำหรับเก็บตำราวิชาของศาสตร์มืดที่เธอรวบรวมมาจากที่ต่าง ๆ

เพราะตำราวิชาจัดเป็นของสำคัญ และมีเป็นจำนวนมาก เอธริคจึงเก็บเพียงบางส่วนไว้ที่สมาคม และนำส่วนที่เหลือไปเก็บไว้ในมาลาไคท์คีป ซึ่งนาน ๆ ครั้งเธอก็จะพาแซนโดรไปด้วย

เอธริคพาแซนโดรเดินมายังห้องโถงของสมาคมเพื่อผ่านไปยังห้องสมุดที่อยู่อีกฟากหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงเธอก็พบกับแซนเดอร์ที่วิ่งเข้ามาในห้องด้วยท่าทีเร่งรีบ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนนี้เขาน่าจะยังอยู่ที่อินิสตร้า และยังไม่มีกำหนดที่จะกลับมา

“อ้าว แซนเดอร์? กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? แล้วทำไมรีบร้อนแบบนั้นล่ะ?”

แซนเดอร์มีท่าทีกระวนกระวายและเหงื่อแตกอย่างเห็นได้ชัด เขาพักสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างร้อนรน

“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว! คนอื่น ๆ อยู่ไหนล่ะเอธริค!?”

“ทุกคนก็ออกไปฝึกนักเรียนกับทำภารกิจตามปกติแหละ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?”

เมื่อเห็นท่าทีผิดปกติของแซนเดอร์ เอธริคก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี และถามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“รีบติดต่อเรียกทุกคนกลับมาเร็วเข้า! ไม่สิ บอกให้ทุกคนรีบออกจากเอราเทียโดยด่วนที่สุดเลย! สายของฉันได้ข่าวมาว่าทางการเอราเทียส่งเรื่องร้องเรียนไปยังพีชคีปเปอร์ว่าในเอราเทียมีสมาคมผู้ใช้ศาสตร์มืดกำลังซ่องสุมกำลังพลเพื่อโค่นล้มอาณาจักรอยู่ ทางนั้นเลยส่งผู้สร้างสันติภาพมากวาดล้างพวกเรา!”

“ว่าไงนะ!?”

เอธริครู้สึกตกใจกับสิ่งที่แซนเดอร์บอกเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามตั้งสติและหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาติดต่อกับทุกคนผ่านช่องสื่อสารของสมาคม ทว่าก็ไม่มีใครตอบรับเลย

“ไม่จริงน่า… ทำไมถึงไม่มีใครตอบกลับมาเลยล่ะ…”

เมื่อไม่มีการตอบรับการสื่อสาร สีหน้าของเอธริคจึงมีความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ แซนเดอร์เห็นว่าไม่ควรเสียเวลามากจนเกินไปจึงเสนอให้รีบเดินทางกันก่อน

“เดี๋ยวค่อยหาทางติดต่อกับพวกเขาก็ได้ ตอนนี้รีบไปกันก่อนดีกว่า ขืนช้าจะยิ่งไม่ปลอดภัยนะ”

“อะ.. อืม…”

เอธริคเห็นด้วยกับข้อเสนอของแซนเดอร์ จึงพากันเดินไปยังประตูหน้าเพื่อออกจากสมาคม แต่ทันใดนั้นก็มีลูกธนูที่หุ้มด้วยพลังเวทสีขาวจำนวนมากพุ่งทะลุผ่านประตูเข้ามา จนแซนเดอร์ต้องชักดาบขึ้นมาปัดป้อง ส่วนเอธริคก็อัญเชิญอัศวินชุดเกราะสองตัวที่ถือโล่ขนาดใหญ่ขึ้นมาบังลูกธนูเอาไว้ได้เช่นกัน

พริบตาต่อมา ประตูด้านหน้าของสมาคมก็ถูกทำลาย และมีกลุ่มคนในชุดนักผจญภัยสีขาวพุ่งฝ่าม่านควันเข้ามา และตรงเข้าโจมตีทุกคนในทันที

เอธริคอัญเชิญสเกลตันกลุ่มใหญ่ออกมาเพื่อรับมือ แต่เหล่าผู้บุกรุกก็มีฝีมือค่อนข้างสูงจึงสามารถจัดการกับสมุนของเธอได้อย่างง่ายดาย เธอจึงต้องอัญเชิญสมุนระดับสูงขึ้นคือฟอลเลนแชมเปี้ยนออกมาใช้แทน แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สู้ดีนัก แถมฝ่ายตรงข้ามยังมีคนเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

แซนเดอร์เห็นว่าประตูด้านหน้าคงใช้ออกไปไม่ได้แล้ว จึงให้เอธริคพาแซนโดรหนีออกไปทางอื่นแทน

“เอธริค! วงเวทเคลื่อนย้ายที่ชั้นล่างยังอยู่รึเปล่า!?”

“ยังอยู่นะ! แต่ว่าจะลงไปชั้นล่างก็ต้องไปทางห้องสมุดที่พวกนั้นขวางอยู่น่ะสิ!”

“เดี๋ยวผมจะเปิดทางให้เอง! รีบอาศัยจังหวะนั้นฝ่าเข้าไปนะ!”

“เดี๋ยวก่อน! แล้วแซนเดอร์ล่ะ!?”

แซนโดรที่รู้สึกเป็นห่วงตะโกนแทรกขึ้นมา แซนเดอร์จึงยิ้มและลูบหัวของเธอ ก่อนจะพูดปลอบให้เธอไม่ต้องกังวล

“เดี๋ยวพอสบโอกาสแล้วฉันจะรีบตามลงไป ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

เมื่อพูดจบ แซนเดอร์ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเอธริคอีกครั้ง ซึ่งเธอก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดี จึงพยักหน้ารับ ก่อนจะกุมมือของแซนโดรและอัญเชิญสมุนออกมาเพิ่มเพื่อช่วยสนับสนุนการเปิดทางด้วย

แซนเดอร์อาบใบดาบด้วยของเหลวสีแดงเข้ม ก่อนจะฟาดดาบปักลงกับพื้น ทันใดนั้นก็เกิดรอยแตกบนพื้นหินวิ่งตรงไปยังเหล่าผู้บุกรุกที่ขวางทางอยู่อย่างรวดเร็ว

ทันทีที่รอยแยกวิ่งไปถึง ใบดาบสีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุพื้นขึ้นมาแทงใส่เหล่าผู้บุกรุก แต่พวกเขาก็สามารถกระโจนหลบออกไปได้ทัน ทว่าแซนเดอร์ก็อาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้าโจมตีและปลิดชีวิตของผู้บุกรุกได้หนึ่งคน ส่วนคนที่เหลือก็ถูกสมุนของเอธริคพุ่งเข้าผลักดันจนต้องถอยร่นไป

เอธริคอาศัยจังหวะนั้นพาแซนโดรวิ่งฝ่าเข้าไปยังห้องสมุดได้สำเร็จ แซนเดอร์และเหล่าสมุนของเอธริคจึงปักหลักต้านการโจมตีอยู่ที่ด้านหน้าห้องสมุดเพื่อไม่ให้มีใครตามทั้งสองคนไปได้

แซนโดรหันมามองชายหนุ่มผู้กำลังต่อสู้กับศัตรูอย่างสุดความสามารถอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่เอธริคจะจูงมือเธอวิ่งไปอีกห้องแล้วภาพแผ่นหลังของแซนเดอร์ก็ค่อย ๆ ลับตาไป แซนโดรจึงได้แต่ภาวนาขอให้เขาตามมาอย่างปลอดภัย

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

เมื่อผ่านห้องสมุดมาทะลุอีกฟากหนึ่ง ทั้งสองคนก็พบกับบันไดวนสำหรับลงไปยังชั้นล่างสุดของสมาคม

เอธริคพาแซนโดรวิ่งลงบันไดนั้นพลางอัญเชิญสมุนที่มีออกมาเรื่อย ๆ และส่งพวกมันขึ้นไปช่วยสนับสนุนแซนเดอร์อีกแรง โดยหวังว่าเขาจะหาจังหวะเหมาะ ๆ ปลีกตัวจากการต่อสู้และตามลงมาได้

บันไดวนลงมาสุดที่ห้องโถงแห่งหนึ่งซึ่งมีข้าวของถูกคลุมด้วยผ้าคลุมวางเรียงรายกันอยู่มากมายราวกับเป็นห้องเก็บของ เอธริคพาแซนโดรวิ่งต่อไปยังด้านในสุดของห้อง ก่อนจะขยับของออกเพื่อเคลียร์พื้นที่เล็กน้อยและร่ายเวท พลันก็ค่อย ๆ เกิดเส้นแสงวิ่งไปตามพื้น และก่อรูปร่างเป็นวงเวทขึ้นมา

มันคือวงเวทเคลื่อนย้ายที่เอธริคเคยทดลองสร้างเอาไว้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นทางหนีฉุกเฉิน แต่ในเวลาแบบนี้มันกลับกลายเป็นความหวังสุดท้ายที่จะพาเธอกับแซนโดรออกไปจากที่นี่ได้

เอธริคให้แซนโดรยืนตรงกลางวงเวท ก่อนที่เธอจะถอยออกมาเพื่อเตรียมร่ายเวท

“ฉันจะส่งเธอออกไปก่อนนะ ยังจำทางไปมาลาไคท์คีปได้ใช่มั้ย? พอเทเลพอร์ทเสร็จแล้วให้รีบไปรอที่นั่น แล้วฉันจะรีบตามไป”

“ไม่ได้นะ! ต้องไปพร้อมกันสิ!”

เอธริคไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับแซนโดรจึงเริ่มการร่ายเวททันที แต่วงเวทก็ส่องแสงสว่างวาบออกมาเพียงวูบเดียวก่อนที่จะดับไป

แซนโดรยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพราะวงเวทไม่ได้ทำงานอย่างสมบูรณ์ ทำให้เอธริครู้สึกข้องใจอย่างมาก

“ทะ.. ทำไมกัน? วงเวทก็มีโครงสร้างที่สมบูรณ์นี่นา?”

เอธริคตรวจสอบโครงสร้างของวงเวทอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ในระหว่างนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องมาจากชั้นบน แล้วเศษหินกับฝุ่นควันมากมายก็ตกลงมาทางช่องบันใดวน ทำให้แซนโดรตกใจจนร้องออกมา

“แซนเดอร์!!”

แซนโดรพยายามจะวิ่งไปยังบันได แต่ก็ถูกเอธริคฉุดแขนเอาไว้ซะก่อน

“ไม่ได้นะแซนโดร!”

“แต่ว่า!!”

แซนโดรหันไปมองอีกฝ่ายและพบว่าเอธริคก็มีสีหน้าที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน เธอก็คงอยากจะกลับไปช่วยแซนเดอร์ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่พวกเธอสามารถทำได้แล้ว แซนโดรเลยต้องพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกไว้ด้วย

เอธริคก้าวกลับเข้ามาในวงเวทและโอบตัวแซนโดรเอาไว้ก่อนจะร่ายเวทอีกครั้ง แต่วงเวทก็ส่งแสงออกมาแค่แวบเดียวแล้วดับวูบไปเหมือนเดิม โดยที่การเคลื่อนย้ายไม่ได้เกิดขึ้น ทำให้เอธริคนิ่งรู้สึกหงุดหงิดและร้อนใจ

“วงเวทก็สมบูรณ์ดีนี่นา… รึว่าพวกนั้นจะวางเครือข่ายเวทป้องกันการเคลื่อนย้ายออกจากบริเวณนี้ไว้แล้ว? ถ้าเป็นแบบนี้ละก็…”

“หมายความว่าเราไม่มีทางหนีไปจากที่นี่แล้วเหรอ?”

เอธริคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและทำหน้าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะนำชุดเกราะชุดหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของแล้วสวมมันให้กับแซนโดร

มันเป็นชุดเกราะสีดำรูปร่างแปลกประหลาดซึ่งมีดีไซน์คล้ายกับชุดของนักเวท ขนาดของมันไม่ใช่ขนาดสำหรับเด็ก มันจึงใหญ่เกินร่างกายเล็ก ๆ ของแซนโดรไปมาก แต่เอธริคก็ยังใส่ทุกส่วนให้กับแซนโดรจนครบ รวมไปถึงหน้ากากของชุด ที่เป็นหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลกด้วย

แซนโดรที่รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกก็เปิดหน้ากากนั้นออก ก่อนจะถามเอธริคถึงชุดที่เธอสวมให้

“นี่มันชุดอะไรน่ะเอธริค? ทำไมต้องใส่ด้วยล่ะ?”

“นี่คือเกราะกันเวท ‘เรธเชล’ (Wraith Shell) เป็นชุดต่อสู้ของฉันเอง ชุดนี้มีคุณสมบัติป้องกันเวทมนตร์ได้เกือบทุกชนิด บางทีถ้าสวมชุดนี้เอาไว้ละก็ อาจทำการเคลื่อนย้ายผ่านเครือข่ายเวทป้องกันของพวกนั้นออกไปได้”

แซนโดรไม่ทันได้คิดอะไรในทีแรก แต่ครู่ต่อมาเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเอธริคยังคงอยู่ในชุดเดิมของเธออยู่เลย

“ถ้าเอาชุดนี้มาให้ฉัน แล้วเอธริคล่ะ!?”

“ฉันจะลองหาทางอื่นดูเอง”

เอธริคเอามือสัมผัสแก้มของแซนโดรพลางยิ้มออกมาเพื่อปลอบขวัญเธอให้ไม่ต้องกังวล แต่แซนโดรเข้าใจสถานการณ์ดีว่าเลวร้ายแค่ไหน จึงโต้แย้งอย่างร้อนรน

“มันจะมีทางอื่นได้ไงเล่า!? ก็ที่นี่น่ะ!…”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากม่านควันที่ปกคลุมบันไดวนอยู่ ทำให้แซนโดรค้างคำพูดเอาไว้แค่นั้น

ในแวบแรกเธอรู้สึกดีใจเพราะคิดว่าเป็นแซนเดอร์ที่ตามลงมา แต่เมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่าไม่ใช่

ผู้ชายที่มาเป็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าดุดันและแววตาอันคมกริบ ในมือของเขายังถือปืนพกกระบอกโตเอาไว้ข้างละกระบอกด้วย

“พยายามจะใช้วงเวทเคลื่อนย้ายหนีออกไปงั้นเหรอ? ไม่มีประโยชน์หรอก พวกเรากางเขตแดนสกัดกั้นเวทเคลื่อนย้ายเอาไว้หมดแล้ว… หืม? มีเด็กอยู่ด้วยรึเนี่ย?”

ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเมื่อเห็นแซนโดรที่หลบอยู่ด้านหลังของเอธริค แต่ยังไม่ทันที่เอธริคจะตอบอะไร แซนโดรก็ตะโกนสวนไปซะก่อน

“แกเป็นใครกันแน่น่ะ!? ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย!?”

ชายวัยกลางคนเอียงคอมองดูแซนโดรด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ไม่สื่อถึงความรู้สึกใด ๆ

“ฉันคือเซดดริก เดรค ผู้สร้างสันติภาพแห่งพีชคีปเปอร์ มีหน้าที่ขจัดภัยร้ายที่เป็นอันตรายต่อความสงบสุขของโลก หรือก็คือพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดอย่างพวกเธอไงล่ะ”

“อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ! พวกเราไปทำอะไรให้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”

แซนโดรพยายามตะโกนถามกลับไป แต่เอธริคก็กางแขนออกมาปรามเอาไว้ ก่อนที่จะหันไปพูดกับเซดดริกด้วยตนเอง

“ถ้าเป็นไปได้ ช่วยไว้ชีวิตเด็กคนนี้จะได้รึเปล่า?”

“พุดอะไรน่ะเอธริค!? ฉันน่ะ!”

แซนโดรพยายามโต้แย้ง แต่เอธริคก็เอานิ้วแตะริมฝีปากของแซนโดรและใช้สายตาบอกให้เธอหยุดพูดก่อน แซนโดรจึงยอมสงบปากสงบคำลง

“อืม… เด็กอายุแค่นี้น่าจะยังพอสั่งสอนให้กลับเข้าสู่ทางที่ถูกต้องได้นะ… ตกลง ฉันจะรับตัวเด็กคนนี้เอาไว้เอง แต่สำหรับเธอ ก็เหมือนกับคนของทไวไลท์เมอริเดียนคนอื่น ๆ นั่นแหละนะ ต้องรับโทษประหารเท่านั้น”

เมื่อพูดจบ ก็มีกระสุนเวทมนตร์ลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่เซดดริกทันที แต่เขาก็ยกด้ามปืนขึ้นมากันเอาไว้ได้ และเพราะมันเป็นกระสุนเวทที่มีพลังค่อนข้างอ่อน เซดดริกจึงแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

มันเป็นกระสุนเวทที่ยิงมาจากแซนโดรนั่นเอง ทำให้เอธริครู้สึกตกใจเช่นกัน

“แซนโดร!?”

“แกฆ่าทุกคนไปหมดแล้วงั้นเหรอ!? ไอ้คนชั่ว! ถ้าคิดจะฆ่าเอธริคอีกคนละก็ ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”

แซนโดรตะโกนออกมาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและน้ำตาคลอเบ้า ส่วนเซดดริกก็ลดปืนลงและมองมายังทั้งสองคนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

“ถูกพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดล้างสมองจนเกินจะเยียวยาแล้วสินะ… จริง ๆ ฉันก็ไม่อยากฆ่าเด็กเลย… แต่เมล็ดพันธุ์ที่ชั่วร้ายก็มีแต่จะก่อให้เกิดเทือกเถาเหล่ากออันชั่วร้ายเปล่า ๆ คงต้องขอจำกัดทิ้งซะที่นี่แหละ”

เมื่อพูดจบ เซดดริกก็กางวงเวทขึ้นมาตรงหน้า ก่อนจะยกปืนทั้งสองกระบอกขึ้นมาจ่อที่วงเวท

เมื่อเห็นเช่นนั้น เอธริคก็หันกลับมาโอบกอดแซนโดรไว้ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเธอ

“ฉันขอฝากความฝันของฉันเอาไว้กับเธอด้วยนะ…”

เมื่อพูดจบ เอธริคก็ยิ้มละไมให้กับแซนโดร ก่อนจะร่ายเวทเคลื่อนย้ายอีกครั้ง

พอเห็นแสงที่วงเวทสว่างขึ้น เซดดริกก็เหนี่ยวไกทันที ลำแสงสีขาวขนาดใหญ่จึงพุ่งเข้ามาอาบร่างของทั้งสองคนที่อยู่ในวงเวท

แซนโดรที่สวมชุดเกราะเรธเชลอยู่ไม่ได้รับผลใด ๆ จากการโจมตี ผิดกับร่างของเอธริคที่ถูกลำแสงนั้นกลืนหายไปต่อหน้าต่อตาของแซนโดร

“เอธริคคคค!!!”

ทิวทัศน์รอบตัวของแซนโดรเริ่มถูกอาบไปด้วยแสงสว่างจากวงเวทจนตาของเธอพร่ามัว แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนตัวผ่านห้วงอากาศทั้ง ๆ ที่ยังคงยืนอยู่กับที่

เมื่อแสงสว่างจากวงเวทดับวูบลง แซนโดรก็ลืมตาขึ้นและพบว่าเธอมาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าทฤษฎีของเอธริคจะถูกต้อง ชุดเกราะเรธเชลทำให้สามารถเคลื่อนย้ายฝ่าเขตปิดกั้นออกมาได้จริง ๆ

แซนโดรพยายามมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นใครคนอื่นอยู่บริเวณนั้นเลย ความเศร้าและเจ็บปวดเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ แต่เธอก็พยายามเข้มแข็งและกลั้นน้ำตาเอาไว้

ทว่าในที่สุดเธอก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่และปล่อยโฮออกมา เพราะทนรับไม่ได้กับความจริงที่ว่าเธอได้สูญเสียครอบครัวไปอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ที่ทางระบายน้ำใต้เมืองอินิสตร้า ช่วงเวลาปัจจุบัน

เซดดริกได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อนให้คอนคอร์ดได้ฟังจนหมด ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“ตอนนั้นน่ะ เราเชื่อคำบอกเล่าของผู้ครองแคว้นมากเกินไป เลยทำการกวาดล้างสมาคมทไวไลท์เมอริเดียนโดยที่ไม่ได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงให้ดีพอ… ความจริงเรื่องที่ว่าทไวไลท์เมอริเดียนเป็นกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ชั่วร้ายและกำลังซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มอาณาจักรน่ะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งนั้น…

พวกเขาคอยช่วยเหลือชาวบ้าน ทั้งรับทำภารกิจและสอนวิชาของนักผจญภัยให้ ซึ่งเป็นการขัดผลประโยชน์ของผู้ครองแคว้นเข้าก็เลยถูกหมายหัว แต่ทหารของแคว้นไม่สามารถทำอะไรได้ พวกนั้นก็เลยแต่งเรื่องเพื่อให้เราส่งผู้สร้างสันติภาพไปกวาดล้างแทน…

เรามารู้เรื่องนี้หลังจากการกวาดล้างเสร็จสิ้นแล้วและพวกชาวบ้านเกิดการต่อต้านขึ้นมา เพราะบรรดาคนที่ถูกฆ่าไปก็มีลูกหลานของชาวบ้านธรรมดาที่ไปขอฝึกวิชากับทไวไลท์เมอริเดียนอยู่เป็นจำนวนมาก เรื่องคราวนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่สุดครั้งหนึ่งขององค์กรเราเลย…”

คอนคอร์ดรู้สึกตกใจกับเรื่องราวที่เซดดริกเล่าให้ฟังเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เพราะทางผู้บริหารขององค์กรในสมัยนั้นพยายามปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้มีการบอกต่อกับคนรุ่นหลัง เนื่องจากจับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความด่างพร้อยให้กับองค์กร

เขาเคยได้ยินสาเหตุที่เซดดริกเปลี่ยนมาทำงานสายข่าวกรองมานานแล้ว ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเคยทำงานพลาดอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง จึงถอนตัวจากการทำงานสายตรงมาทำงานหลังฉากแทน แต่เขาก็ไม่เคยรู้รายละเอียดของมัน

“เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของคุณเซดดริกหรอกนะครับ ก็คุณเซดดริกไม่รู้นี่นา…”

“หึหึหึ คำว่าไม่รู้น่ะใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้หรอกนะ… ยังไงเรื่องมันก็เกิดเพราะฉันทำงานไม่รัดกุมเอง… ด้วยเหตุนี้ ฉันก็เลยเปลี่ยนสายงานมาอยู่หน่วยข่าวกรองแทน เพราะรู้ว่าข้อมูลที่ถูกต้องมันมีความสำคัญแค่ไหน และเราจะพึ่งพาแต่ข่าวสารหรือข้อมูลจากคนอื่นแค่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นแค่เครื่องมือหรือหุ่นเชิดของพวกมันเท่านั้นเอง…”

“……แล้วที่ว่าผู้เหลือรอดคนนั้นเคยกลับมาแก้แค้นที่เอราเทียแล้วล่ะครับ?”

“อืม… หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นราว ๆ หกปี ก็มีข่าวแจ้งมาว่าอาณาจักรเอราเทียถูกโจมตีจนล่มสลาย…  ทั้งคณะปกครองและทหารประจำเมืองนับพันคนต่างก็ถูกสังหารจนเรียบ ด้วยกองทัพอันเดดที่นำโดย ‘แอนเชี่ยนลิช’ ซึ่งหลังจากยึดแคว้นได้แล้วก็เปลี่ยนธงประจำแคว้นเป็นธงสัญลักษณ์ของทไวไลท์เมอริเดียน ฉันเลยแน่ใจว่านั่นน่าจะเป็นผู้เหลือรอดของทไวไลท์เมอริเดียนไงล่ะ…”

คอนคอร์ดครุ่นคิดเหมือนจะทบทวนความทรงจำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกรายละเอียดขึ้นมาได้

“เหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็เคยได้ยินมาบ้าง เขาเรียกมันว่า ‘ยามสนธยาแห่งเอราเทีย’ (Twilight of Eratia) สินะครับ? กองทัพอันเดดได้บุกเข้าไปสังหารคณะปกครองทั้งหมดและฆ่าทหารทุกคนที่ขวางทาง แต่ไม่แตะต้องประชาชนหรือชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่คนที่ยุติเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ก็คือเทพสงคราม ซารามอธ”

“อืม… ตอนนั้นซารามอธเพิ่งได้รับฉายาเทพสงครามมาหมาด ๆ และกำลังประจำการอยู่ที่ทวีปเทอร่าพอดี เขาจึงเข้าไปจัดการกับเรื่องนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ในรายงานก็เขียนว่าเขาได้สังหารแอนเชี่ยนลิชไปแล้วนี่นา… ทำไมถึงยังมีแอนเชี่ยนลิชแห่งทไวไลท์เมอริเดียนโผล่มาอีกได้นะ…”

“นั่นคือผู้สร้างหายนะคนที่สี่เชียวนะครับ เขาอาจวางแผนที่จะทรยศเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ เลยแอบไว้ชีวิตแอนเชี่ยนลิชเพื่อเอาเป็นพวก แล้วหลอกพวกเราว่าได้ฆ่าแอนเชี่ยนลิชไปแล้ว”

“ไม่ใช่หรอก… ไม่มีทางแน่… ซารามอธน่ะไม่ใช่พวกคิดคดอย่างที่หลาย ๆ คนพูดกันหรอกนะ… ความจริงแล้วถ้าไม่เพราะพวกเรา เขาเองก็คงไม่ต้องกลายเป็นผู้สร้างหายนะคนที่สี่ด้วยซ้ำไป…”

“เอ๋?”

คอนคอร์ดไม่เข้าใจในสิ่งที่เซดดริกพูดจนถึงกับอุทานออกมาด้วยความสงสัย แต่เซดดริกก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมและยังพูดอะไรเรื่อยเปื่อยต่อไป

“ดูเหมือนว่าปัญหาที่เกิดจากการกระทำของเราเองมันจะมีมากกว่าปัญหาที่เกิดจากคนอื่นจริงๆด้วยนะ… แกริส…”

พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มจะพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว คอนคอร์ทก็ชักรู้สึกไม่ค่อยดี

“คุณเซดดริก? ตั้งสติหน่อยสิครับ สติหลุดไปแล้วเหรอ? อย่าเพิ่งมาตายตอนนี้ได้มั้ยอะ? พวกผมเพิ่งแพ้ที่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสมาหมาด ๆ ถ้ายังมาปล่อยให้บุคคลสำคัญตายระหว่างการคุ้มกันอีก มีหวังโดนลดขั้นไปเป็นพนักงานเฝ้ารถม้าแหง ๆ ”

คอนคอร์ดกังวลเมื่อเห็นท่าทางแปลก ๆ ของเซดดริก แต่ก็ยังพูดแซวไปตามปกติเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้นบ้าง ซึ่งก็ดูจะได้ผล

“หึหึหึ ไม่ต้องห่วงน่า ฉันยังไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก… อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว… อีกนิดเดียวก็จะถึงคามิเท็น ดินแดนต้นกำเนิดแห่งเมดคาเฟ่แล้ว… ถ้ายังไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นให้หนำใจละก็ ฉันคงตายตาไม่หลับแน่…”

เมื่อได้ยินเซดดริกพูดแบบนั้นออกมาได้ คอนคอร์ดก็รู้สึกเบาใจลง แต่ในระหว่างนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งในทางระบายน้ำนี้

“ฟังจากจังหวะการก้าวเท้าแล้ว น่าจะเป็นพวกอันเดดนะครับ พวกมันเริ่มลงมาหาข้างล่างนี่แล้ว เรารีบเดินทางต่อกันดีกว่า ลุกไหวมั้ยครับ?”

“อืม… ไม่ต้องห่วง ฉันยังไหวอยู่”

เซดดริกพยุงตัวขึ้นเองโดยไม่ต้องอาศัยการประคองจากคอนคอร์ด จากนั้นทั้งสองคนก็เดินมุ่งหน้าต่อไปเพื่อให้ห่างจากเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา

 

อีกด้านหนึ่ง บนยอดหอคอยใจกลางเมืองอินิสตร้าที่แซนโดรใช้เป็นที่เฝ้าดูสถานการณ์ในเมือง

มีเงาของคน ๆ หนึ่งบินมาลงที่ระเบียงใกล้ ๆ กับจุดที่แซนโดรยืนอยู่ แต่แซนโดรก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนแต่อย่างใด

ผู้ที่มาจ้องมองแซนโดรด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและขุ่นข้องใจ

เธอก็คือลานาเทลนั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด