Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 306

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 306 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนังสือประหลาด!

“ป้าหลี่.. นี่หนังสืออะไรเหรอครับ?” หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย

ตี้เสี่ยวอู๋ หลี่หยุนเซียง และหลิวลี่ต่างก็มองหนังสือเก่าจนขาดวิ่นที่ป้าหลี่ส่งให้กับหลิงหยุนด้วยความอยากรู้อยากเห็น

จากสีหน้าของหลี่หยุนเซียงและหลิวลี่ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เองก็เพิ่งจะเคยเห็นหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

ขณะที่หลิงหยุนกำลังจะเปิดออกดูนั้น ป้าหลี่ที่กำลังยิ้มให้หลิงหยุนก็รีบพูดขึ้นมาว่า “พ่อหนุ่ม.. หนังสือเล่มนี้ยกให้เธอแล้ว อย่าเพิ่งเปิดอ่านที่นี่ เก็บกลับไปอ่านที่บ้าน!”

เมื่อเห็นท่าทางที่ดูลึกลับของหญิงชรา หลิงหยุนจึงได้แต่พยักหน้าแทน และรีบปิดหนังสือเก่าแก่เล่มนั้นลง

ในเมื่อกำลังถามถึงที่มาที่ไปของพู่กันจักพรรดิ แต่จู่ๆหญิงชรากลับเดินเข้าไปหยิบหนังสือเล่มนี้ออกมาให้ อาจเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกที่มาของพู่กันจักรพรรดิด้ามนี้ไว้ หรือไม่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับพู่กัน..

หลังจากที่ป้าหลี่มอบหนังสือเล่มนั้นให้กับหลิงหยุนแล้ว เธอก็เรียกลูกสะใภ้ให้ไปช่วยเธอทำไส้เกี๊ยวสำหรับอาหารกลางวันต่ออย่างขมักเขม้น

หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าป้าหลี่และหลิวลี่จะทำอาหารได้เก่งถึงเพียงนี้ สองคนช่วยกันทำกับข้าวจนเต็มโต๊ะ แม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารพื้นๆธรรมดา แต่ก็มีกลิ่นหอมกระตุ้นต่อมอาหารอย่างมาก

หลังจากสิ้นสุดอาหารกลางวัน หลิงหยุนกลับรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวหลี่นั้นสนิทสนมมากขึ้นอีกหนึ่งขั้น และสามารถพูดคุยกันได้ราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

และในเวลาบ่ายโมงตรง เฉิงเม่ยเฟิงก็โทรเข้ามาหาหลิงหยุนพอดี เขาจึงได้ขอตัวกลับ และยิ่งนึกถึงหนังสือที่หญิงชรามอบให้ เขาก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันคือหนังสืออะไรกันแน่

ทุกคนในครอบครัวหลี่รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นมีธุระมากมาย พวกเขาจึงไม่รั้งหลิงหยุนไว้อีก ทั้งสามคนเดินออกมาส่งหลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋ที่หน้าประตู และรอจนทั้งคู่ขับรถออกไป

เมื่อรถออดี้สีดำลับสายตาไปแล้ว ป้าหลี่จึงหันไปพูดกับหลิวลี่และหลี่หยุนเซียงด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ หลิงหยุนเป็นเทพจุติมา ตระกูลหลี่ของเรานับว่ามีบุญอย่างมาก…”

หลังจากได้ฟัง ดวงตาคู่สวยของหลิวลี่ถึงกับเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่ในสมองกลับคิดอะไรไม่ออก!

…………..

ตี้เสี่ยวอู๋ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว ส่วนหลิงหยุนก็เริ่มหยิบหนังสือเก่าแก่เล่มนั้นออกมาเปิดอ่าน

หนังสือเล่มนี้ถูกเย็บเข้าด้วยกันด้วยลวด และด้วยความเก่าแก่ของมัน ลวดที่ผูกอยู่ก็ขาดออกจากกันหลายจุด กระดาษก็ทั้งเหลืองและคอยจะหลุดขาดจากกันอยู่ตลอดเวลา

หลิงหยุนค่อยๆเปิดออกอย่างระมัดระวัง เขาพบว่าหนังสือเล่มนี้ต้องอ่านจากขวาไปซ้าย ซึ่งบังเอิญตรงกับการอ่านแบบเดียวกับในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ!

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวอักษรในหนังสือยังเขียนด้วยอักษรจีนโบราณ และมีหลายคำที่หลิงหยุนเองก็อ่านไม่ออก แต่ด้วยความเป็นอัจฉริยะของหลิงหยุน ทำให้เขาสามารถพอที่จะเดาออก และสามารถเข้าใจได้

จากการอ่านคร่าวๆ หลิงหยุนจึงรู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีผู้คัดด้วยลายมือมาจากหนังสือเล่มอื่นอีกที และมีทั้งหมดสามส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่อง ‘พิธีการฝังศพ’ ที่เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ส่วนที่สองเป็นเรื่อง ‘หลุมฟังศพในสุสาน’ ซึ่งจะเขียนถึงเฉพาะศพของขุนนางขั้นห้าขึ้นไปเท่านั้น และส่วนที่สามจะเป็นบันทึกของผู้เขียนเอง ที่เขียนเกี่ยวกับการขโมยขุดสุสานสำคัญบางแห่ง

และแน่นอนว่าผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบรรพบุรุษของหลี่หยุนเซียง

ตอนนี้สิ่งที่หลิงหยุนอยากรู้ที่สุดก็คือเรื่องที่มาของพู่กันจักรพรรดิ เขาอยากรู้ว่าพู่กันด้ามนี้ถูกขุดมาจากสุสานแห่งใหน แต่น่าเสียดายที่หลังจากอ่านหนังสื่อส่วนที่สามจนจบ หลิงหยุนก็ยังคงไม่พบเรื่องที่เกี่ยวกับพู่กันด้ามนี้แม้แต่น้อย

มีเพียงเรื่องเดียวที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับพู่กันจักรพรรดิด้ามนี้ก็คือ บรรพบุรุษของหลี่หยุนเซียงเป็นผู้ขโมยมาจากสุสาน แต่หลังจากนั้นเมื่อพบว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า เพราะไม่ว่าจะพยายามขายอย่างไรก็ขายไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ได้ทำการบันทึกไว้

แต่บรรพบุรุษของหลี่หยุนเซียงก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดมากทีเดียว เพราะหลังจากที่ขโมยขุดสุสานแต่ละสุสานแล้ว เขาไม่เพียงบันทึกกระบวนการขุดสุสานอย่างละเอียด แต่ยังบันทึกตำแหน่งของสุสานแต่และแห่งอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้หลิงหยุนสนใจมากกว่าส่วนอื่น

‘ไว้ว่างๆคงต้องมาค่อยๆอ่านดู…’ หลิงหยุนคิดอยู่ในใจว่า ในเมื่อไม่รู้ว่าพู่กันจักรพรรดิถูกขุดมาจากหลุมใหน เขาก็จะค่อยๆอ่านไปทีละนิดอย่างละเอียด

ในหนังสือเล่มนี้มีอักษรโบราณบางตัวที่หลิงหยุนยังคงไม่สามารถเดาออกได้ เขาจึงยังไม่อยากครุ่นคิดในเรื่องนี้มากนัก หลิงหยุนจัดการเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ในแหวนพื้นที่ก่อน ไว้เขาเรียนเรื่องอักษรจีนโบราณให้เข้าใจก่อน แล้วจึงค่อยหยิบมาอ่านใหม่

และด้วยความทรงจำที่เหนือธรรมดของหลิงหยุน การเรียนรู้อักษรโบราณของหลิงหยุนจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่ได้อ่านรอบเดียว เขาก็จะสามารถจำอักษรโบราณได้ทุกคำแล้ว

หนังสือเล่มนี้ช่างแปลกนัก! หลิงหยุนเชื่อว่า หลังจากที่เขาสามารถพัฒนาขึ้นสู่ขั้นที่สูงกว่านี้ได้ หนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์กับเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงต้องการศึกษามันอย่างจริงๆจังๆ

“พี่หยุน.. พวกเราจะไปใหนกันต่อ?” หลังจากที่รถออดี้ของตี้เสี่ยวอู๋เลี้ยวแล่นเข้าสู่ถนนวงแหวนตะวันออก เขาก็ถามหลิงหยุนขึ้นมาทันที

“ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อน แล้วค่อยกลับไปที่อพาร์ทเมนท์” หลิงหยุนตอบ

ทั้งคู่เข้าไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตฮัวเหลียน หลิงหยุนจัดการซื้ออาหารและน้ำดื่มจำนวนมาก และหลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาก็จัดการเก็บของที่ซื้อมาทั้งหมดไว้ในแหวนพื้นที่

และแน่นอนว่าของเหล่านี้หลิงหยุนเตรียมไว้สำหรับการสำรวจหลุมยักษ์ในคืนนี้!

หลิงหยุนคิดจะไปหาซื้อมีดสั้นสักสองเล่มไว้สำหรับเป็นอาวุธป้องกันตัว แต่เมื่อคิดว่าอาวุธชนิดใดก็คงไม่ดีเท่าพู่กันจักรพรรดิของเขา เขาจึงได้เปลี่ยนใจ..

เวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง หลิงหยุนก็กลับไปถึงที่อพาร์ทเมนท์พอดี เขาสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋กลับไปพักผ่อนที่บ้านไม่ต้องลงมาด้วย เพราะตี้เสี่ยวอู๋ไม่ได้นอนติดต่อกันมาสองวันคืนแล้ว..

ทันทีที่หลิงหยุนเปิดประตูห้องเข้าไป เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันที เฉิงเม่ยเฟิงพุ่งร่างที่แสนเซ็กซี่ของเธอเข้าโอบกอดหลิงหยุนไว้แน่น จากนั้นก็พูดไปร้องไห้ไป

“นายออกไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า จนบ่ายก็ยังไม่กลับมา ฉันเป็นห่วงมากเลยรู้ไม๊!?”

หลิงหยุนรู้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิดเอง จึงได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับฝืนยิ้ม แล้วอุ้มร่างของเฉิงเม่ยเฟิงเข้าไปในห้องนอนทันที

“วางฉันลงเดี๋ยวนี้.. พี่เสี่ยวกำลังมองอยู่นะ..” ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงแดงก่ำ พร้อมกับส่งเสียงหวานเตือนหลิงหยุน

“ไม่เป็นไร.. ฉันไม่เห็นอะไรสักหน่อย!” เสี่ยวเม่ยเม่ยพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก แล้วเดิมตามหลิงหยุนเข้าไปในบ้าน

หลังจากที่ได้ฟังน้ำเสียงของหญิงสาวทั้งสองคน  หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่า หลังจากที่ผ่านพ้นความเป็นความตายมาด้วยกัน ทั้งคู่ก็ได้พังกำแพงที่ขวางกั้นพวกเธอสองคนลงได้แล้ว และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับเฉิงเม่ยเฟิง เขาต้องการเอื้อมมือไปจับหน้าอกใหญ่โตของเธอ แต่กลับถูกเธอปัดออก หลิงหยุนจึงตัดสินใจล้มเลิกความต้องการชั่วคราว

“เจ้าขาวปุยไปใหนแล้วล่ะ?” หลิงหยุนกวาดสายตาสำรวจไปรอบห้อง แต่ก็ไม่เห็นเจ้าขาวปุย จึงถามด้วยความแปลกใจ

วันนี้หลิงหยุนต้องการลงไปสำรวจหลุมยักษ์ แม้เขาจะไม่ต้องการพาใครไปด้วย แต่เขาต้องพาเจ้าขาวปุยไปด้วยแน่นอน เพราะหลุมทั้งสามที่เจ้าขาวปุยอาศัยอยู่นั้น อยู่ใกล้ๆกับหลุมยักษ์พอดี ดังนั้นเจ้าขาวปุยจะต้องคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมรอบๆบริเวณนั้นเป็นอย่างดี และมันจะสามารถเตือนเขาได้หากเขาตกอยู่ในอันตราย

แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงอยากให้มือใหญ่ของหลิงหยุนลูบไล้หน้าอกของเธอ แต่เมื่อเห็นเสี่ยวเม่ยเม่ยที่นั่งอยู่ตรงข้าม เธอจึงได้แต่หักห้ามใจ และลุกขึ้นนั่งลงข้างๆหลิงหยุนแทน

เฉิงเม่ยเฟิงขยับก้นจากตักของหลิงหยุนลงไปนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆหลิงหยุน จากนั้นก็เริ่มลูบไล้ผมที่ยาวสลวยราวกับไหมของเธอแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าขาวปุย? นายหมายถึงจิ้งจอกขาวที่จู่ๆก็มีหางเพิ่มขึ้นมาน่ะเหรอ?”

“นี่หลิงหยุน.. นายยังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า ทำไมจู่ๆจิ้งจอกขาวตัวนั้นถึงได้มีหางงอกขั้นมาได้?”

สองสาวเห็นแม้กระทั่งมังกรที่บินวนอยู่รอบตัวของเขาแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่หลิงหยุนจะต้องปกปิดหญิงสาวทั้งสองคนที่สามารถสละชีวิตเพื่อเขาได้ ดังนั้นหลิงหยุนจึงบอกกับหญิงสาวทั้งสองคนไปว่า เจ้าขาวปุยนั้นความจริงแล้วเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง และนับว่าเป็นสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

“อะไรนะ? เจ้าขาวปุยนี่นะมีเก้าหาง? ถ้างั้น.. ก็หมายความว่า…”

ทั้งเฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยต่างก็ตกใจจนแทบช็อค แม้ว่าหลิงหยุนจะเรียกเจ้าขาวปุยว่าสัตว์วิญญาณ แต่ความจริงแล้วมันก็คือปีศาจนั่นเอง

“ใช่.. มันคือสุนัขจิ้งจอก แต่เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีพลังอำนาจมาก!” หลิงหยุนมองสองสาวที่มีสีหน้าตกใจกลัวอย่างขำๆ

เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยที่คิดว่าพวกเธออยู่กับสุนัขจิ้งจอกธรรมดาๆมาสองสามวัน จู่ๆก็มองหน้ากัน เสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นใจกล้ากว่าเฉิงเม่ยเฟิงที่ตอนนี้ถึงกับหน้าซีดและพึมพำออกมาว่า “แล้วมันกินคนไม๊?”

เฉิงเม่ยเฟิงถามพร้อมกับซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุนด้วยความกลัว หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเธอ

เมื่อเห็นเฉิงเม่ยเฟิงกลัวมากขนาดนี้ เขาก็ได้แต่ยื่นมือไปบีบจมูกของเธอและพูดยิ้มๆว่า “คิดอะไรแบบนั้น? ถ้าเจ้าขาวปุยกินคนได้ มันคงกินคุณไปตั้งนานแล้ว จะรอดมาได้ถึงตอนนี้เหรอ?”

“ตอนที่ผมพบเจ้าขาวปุยนั้น สมองของมันฉลาดเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งทีเดียว ตอนนี้มีหางของมันก็งอกขึ้นมาอีกหนึ่งหาง ความฉลาดของมันในจึงเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน และที่สำคัญมันก็ไม่กินคนด้วย!”

“และในวันข้างหน้า เมื่อไหร่ที่หางของเจ้าขาวปุยงอกครบสางหางอย่างสมบูรณ์ มันก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และสามารถเลียนแบบภาษามนุษย์ได้ มันจะดูไม่แตกต่างจากมนุษย์คนหนึ่งเลยล่ะ”

เฉิงเม่ยเฟิงเองก็ไม่ได้อยากรู้สึกกลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร จู่ๆเธอก็ลุกพรวดขึ้นมาจากอ้อมแขนของหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “แล้วมันจะกลายเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง?”

หลิงหยุนถึงกับถามยิ้มๆ “คุณเคยเห็นสุนัขจิ้งจอกกลายเป็นผู้ชายด้วยเหรอ?”

เฉิงเม่ยเฟิงนึกถึงภาพสนมซูฉีที่เป็นปีศาจจิ้งจอกกลายร่าง และก็เป็นผู้หญิงเช่นกันไม่ใช่ผู้ชาย..

ความจริงที่หลิงหยุนต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟังล่วงหน้า ก็เพื่อต้องการให้เฉิงเม่ยเฟิงได้มีเวลาเตรียมใจ เพราะเมื่อหางที่สามของเจ้าขาวปุยงอกสมบูรณ์และกลายร่างเป็นคนเมื่อไหร่ ทั้งเฉิงเม่ยเฟิงและสี่ยวเม่ยเม่ยก็จะสามารถยอมรับได้

เฉิงเม่ยเฟิงนั้นตกใจอย่างมาก ในใจปรากฏอารมณ์ความรู้สึกมากมาย และทำให้เธอกลับไปมองโลกในแง่ร้ายอีกครั้ง

เสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นยอมรับได้มากกว่า เพราะเมื่อตอนที่เธอกลับมาเอาปืนที่ห้องเพื่อไปช่วยหลิงหยุนนั้น เธอก็ได้เห็นความเฉลียวฉลาดราวกับรู้ภาษามนุษย์ของเจ้าขาวปุยมาก่อนแล้ว

“อยากรู้จริงๆว่าถ้าเจ้าขาวปุยกลายเป็นผู้หญิง หน้าตาของมันจะเป็นยังไง…”

เสี่ยวเม่ยเม่ยตั้งใจพูดเสียงดังให้หลิงหยุนได้ยิน พร้อมกับหันไปมองหน้าเขา

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ยังไงผมก็ว่าคุณสองคนน่าจะเป็นนางจิ้งจอกที่สวยที่สุดแล้วล่ะ..”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด