Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 488

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 488 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]

บทที่ 488 : คู่แข่งหัวใจ – พี่น้องพบกันครั้งแรก!

เมื่อครั้งที่อยู่ในป่าเสินหนงเจี๋ยนั้น หลิงหยุนรู้ดีว่าตระกูลเฉินนั้นทำเรื่องที่ไม่ดีนัก พวกเขาสมคบกับตระกูลโทคุงาวะของญี่ปุ่น เพื่อที่จะหาทางขโมยหม้อเสินหนงไปจากประเทศจีน

เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 นั้น หลิงหยุนได้ลงมือสังหารเฉินเจี้ยนเหยินแห่งตระกูลเฉินได้อย่างง่ายดาย จึงแทบไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ที่เขาอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-7 แล้ว ในสายตาของหลิงหยุนเวลานี้ ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 แทบไม่มีความหมายอะไรในสายตาของเขา เฉินเจี้ยนโหยวจึงไม่ต่างจากแมลงสาบ หรือมดเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น และเขาก็สามารถสังหารนางได้ภายในชั่วลัดนิ้วเดียวเท่านั้น

เฉินเจี้ยนโหยวนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหลิงหยุน นางก็ถึงกับโกรธขึ้นมาทันที นางเติบโตขึ้นมาในตระกูลเฉินด้วยความภาคภูมิใจ อีกทั้งยังหมั่นฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบปี ซึ่งก็ต้องนับว่าเก่งไม่เบาเลยทีเดียว และนางก็มีโอกาสสูงมากที่จะฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ หากจะพูดว่านางเป็นเพชรเม็ดหนึ่งของตระกูลเฉิน ก็คงจะไม่เกินจริงนัก!

ใบหน้าของเฉินเจี้ยนโหยวแดงก่ำด้วยความโกรธ นางชี้หน้าหลิงหยุนด้วยความไม่พอใจพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว..

“นี่เจ้า.. ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือขั้นใหน? หรือจะเป็นคนของตระกูลเก่าแก่ตระกูลใด? เจ้ากล้าใช้วรยุทธบุกขึ้นเกาะเตียวหยูโดยเพิกเฉยต่อข้อตกลงระหว่างสองประเทศ ส่งผลต่อกองทัพและการเมืองของประเทศจีน เจ้าคิดว่าการที่เจ้านำธงขึ้นไปปักบนเกาะเตียวหยูได้นั้น คนทั่วทั้งประเทศจะยกย่องชื่นชมเจ้าหรือยังไง? เจ้าคิดผิดแล้ว.. เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าได้สร้างปัญหาให้กับประเทศจีนมากมายแค่ใหน?!”

ตระกูลเฉินเองนั้นได้ตระกูลเก่าแก่ และนิกายลับหลายนิกาย ให้การสนับสนุนอยู่ จึงได้เป็นตระกูลใหญ่อันดับสามของประเทศจีน และตอนนี้ก็ยังแอบเชื่อมสัมพันธไมตรีกับตระกูลโทคุงาวะของญี่ปุ่นด้วย ความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินที่มีขึ้นอย่างลับๆนั้น ทำให้เฉินเจี้ยนโหยวไม่เพียงถือดี แต่ยังหยิ่งจองหองอย่างมาก ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าผู้ใด นางก็มักจะแสดงสีหน้าท่าทางราวกับว่า ทุกคนต้องฟังคำพูดของนางแต่เพียงผู้เดียว!

แต่นั่นก็ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่นางแสดงท่าทีจองหองกับหลิงหยุน!

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ.. หลิงหยุนเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าตนนั้นเป็นยอดฝีมือที่เก่งกล้าแต่อย่างใด อีกทั้งยังสวมผ้าคลุมสีดำปิดบังใบหน้าไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่ไม่แม้แต่จะมองหน้านางด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของเฉินเจี้ยนโหยวนั้น หลิงหยุนจึงดูไม่ต่างจากคนธรรมดทั่วไป

แต่เฉินเจี้ยนโหยวหารู้ไม่ว่า ตั้งแต่หลิงหยุนฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกายได้แล้ว อารมณ์ของเขาก็จะเริ่มสงบนิ่ง

นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ได้แล้วนั้น แม้แต่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนก็ยังไม่สามารถมองเห็นระดับกำลังภายในของเขาได้!

จึงแทบไม่ต้องพูดหลิงหยุนในตอนนี้ที่เข้าสู่ขั้นปรับบร่างกาย-7 แล้ว อีกทั้งยังมีสายฟ้าเทวะสีทองซึ่งทรงอานุภาพมากมายอยู่ในร่างกาย หากหลิงหยุนไม่ต้องการให้เห็น ก็ยากที่ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อย่างเฉินเจี้ยนโหยวจะสามารถมองออก!

“หนวกหู..!” หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับสบถออกมา

จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา.. “เจ้าพูดมา.. ข้าสร้างปัญหาอะไรให้กับประเทศจีนบ้าง?”

เฉินเจี้ยนโหยวยกเรื่องของประเทศชาติขึ้นมาเพื่อกดดันหลิงหยุน และแอบคิดในใจว่าหลิงหยุนยังอ่อนหัดนัก! จากนั้นจึงตอบหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และเหยียดหยัน

“ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาประกาศกร้าวว่า หากทางจีนไม่ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล พวกเขาก็จะไม่ร่วมสังฆกรรมระหว่างประเทศกับจีน และจะคว่ำบาตรกับจีนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และทางด้านการทหาร สิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นได้ไปแตะต้องในจุดที่อเมริกาไม่อาจยอมได้อีกแล้ว!”

ในบรรดายอดฝีมือทั้งสามคนนั้น เฉินเจี้ยนโหยวดูเหมือนจะโกรธ และไม่พอใจในการกระทำของหลิงหยุนมากที่สุด นั่นก็เพราะหลิงหยุนได้ทำการสังหารคนญี่ปุ่นไปเป็นจำนวนมาก!

ครั้งที่แล้วพี่ชายของนางได้รับมอบหมายให้เข้าป่าเสินหนงเจี๋ยไปพร้อมกับโทคุงาวะ ทาเคซูกะเพื่อค้นหาหม้อเสินหนง แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งหมดถูกฆ่าตาย และจนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถหามือสังหารพบ!

ตอนนี้ประเทศจีนกับประเทศญี่ปุ่นก็กำลังมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับเกาะเตียวหยู และตระกูลเฉินก็แอบช่วย และสนับสนุนญี่ปุ่นอย่างลับๆ แต่เพราะหลิงหยุนเข้ามายุ่ง จึงทำให้สถานการณ์กลับตาลปัตรไปหมด เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ตระกูลเฉินกรีดร้องออกมาด้วยความโมโหได้อย่างไรกัน?!

หากเขาช่วยญี่ปุ่นไม่ได้ ตระกูลโทคุงาวะซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นก็จะไม่สนับสนุนตระกูลเฉินอีก

สำหรับตระกูลเฉินแล้ว.. เพื่อแลกกับการที่พวกเขาจะสามารถล้มตระกูลหลงได้ บวกกับผลตอบแทนที่จะได้รับอีกมากมายมหาศาล เพียงแค่เกาะเตียวหยูเล็กๆเกาะเดียวจะเป็นอะไรไป?

หากขายได้.. ก็ควรจะขายไป.. ประเทศจีนยังมีดินแดนอีกกว้างใหญ่ไพศาล..

ดังนั้น.. เฉินเจี้ยนโหยวจึงดูเหมือนเป็นตัวแทนที่ตระกูลเฉินส่งมาที่นี่ เพื่อรอคอยและสอบถามจุดประสงค์ที่แท้จริงของหลิงหยุน

แต่ความจริงก็คือว่า.. ตระกูลเฉินต้องการจะเป็นตระกูลแรกที่ได้ข้อมูลของหลิงหยุน และจะได้จัดการส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับทางญี่ปุ่น เพื่อให้ทางญี่ปุ่นส่งคนมาสังหารหลิงหยุนเป็นการแก้แค้น!

แต่หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังเฉินเจี้ยนโหยวพล่ามอยู่นาน เขากลับตอบมาเพียงแค่สั้น “งั้นรึ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”

เฉินเจี้ยนโหยว และหลงเทียนเจียวถึงกับต้องหันไปมองหน้ากัน จากนั้นเฉินเจี้ยนโหยวก็ดึงการ์ดสีม่วงทองออกมาจากเอว และชูขึ้นต่อหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“พวกเราเป็นสมาชิกของกลุ่มเทพอินทรี และมีหน้าที่มานำตัวเจ้ากลับไปเมืองหลวง เจ้าต้องไปอธิบายเรื่องนี้ และรับผิดชอบต่อการกระทำของเจ้าด้วยตัวเอง!”

หากสามารถพาหลิงหยุนไปเมืองหลวงได้ คำอธิบายของหลิงหยุนจะสามารถสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศได้สำเร็จ

และหลังจากนั้น.. ด้วยอิทธิพลของตระกูลเฉินที่มีในเมืองหลวง ตระกูลเฉินก็จะร่วมมือกับคนญี่ปุ่นลงมือสังหารหลิงหยุนระหว่างที่ยังอยู่เมืองหลวง นั่นย่อมหมายความว่า หากหลิงหยุนไปเมืองหลวงครั้งนี้ เขาจะไม่มีวันได้กลับออกมาอีก

และเมื่อใดก็ตามที่ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ เฉินเจี้ยนโหยวก็จะได้รับความดีความชอบอย่างมากมาย ผลประโยชน์มากมายก็จะตามมาด้วยเช่นกัน!

หลิงหยุนยังคงนิ่งเงียบ เขามองหลงเทียนเจียวด้วยแววตานิ่งเฉย จากนั้นจึงหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ส่วนเจ้าคือหลงเทียนเจียวแห่งตระกูลหลงงั้นรึ?”

หลงเทียนเจียวแม้จะมีท่าทางหยิ่งจองหอง แต่ก็ดูสุขุมกว่าเฉินเจี้ยนโหยวมากนัก เขาพยักหน้ารับพร้อมตอบกลับอย่างสุภาพ

“ใช่แล้วสหาย.. ข้าเป็นคนตระกูลหลง! อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าของกลุ่มเทพอินทรีย์ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ด้วย พวกเราได้รับคำสั่งให้มารอเจ้าอยู่ที่นี่ และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าปรากฏตัว ให้นำตัวเจ้ากลับไป พวกเราต้องทำตามหน้าที่ ขอสหายตามพวกเรากลับไปด้วยเถิด!”

ตระกูลหลงนั้นแตกต่างจากตระกูลเฉิน ตระกูลหลงภาคภูมิใจในตนเองในฐานะที่เป็นตระกูลเก่าแก่ของประเทศจีน พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อสร้างสมดุลอำนาจในประเทศนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ตระกูลหลงดีกว่าตระกูลเฉิน นั่นก็คือตระกูลหลงไม่ขายสมบัติชาติ..

หลงเทียนเจียวคือใครน่ะหรือ?

เขาก็เป็นคนในตระกูลหลงคนหนึ่งที่ตระกูลของเขาค่อนข้างภาคภูมิใจ และเป็นคนที่หลินเมิ่งหานรู้จักดีว่าเป็นหนุ่มเพลย์บอย..

ในวัยเพียงแค่ยี่สิบห้าปีก็สามารถเข้าสู่ระดับกลางของขั้นเซียงเทียน-1 ได้ เขาจึงเป็นคนที่ถือดี และค่อนข้างมั่นใจในตัวเองมาก แต่หากหลงเทียนเจียวได้รู้ว่าชายชุดดำที่อยู่ต่อหน้าเขาในยามนี้นั้น ได้เข้าหอกับคู่หมั้นของตนเองแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นใดกันแน่?!

หลงเทียนเจียวเป็นใครนั้นหลิงหยุนไม่รู้จริงๆ เพราะหลินเมิ่งหานก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟัง ดังนั้นการที่ศัตรูหัวใจทั้งคู่ได้มาพบหน้ากันครั้งแรก สถานการณ์จึงไม่เลวร้าย!

หลิงหยุนยิ้มและพยักหน้า แล้วจึงหันหน้าไปทางหลิงซวี่พร้อมกับถามยิ้มๆ “น้องหลิงซวี่.. เจ้าล่ะเป็นใคร?”

หลิงซวี่เป็นใครน่ะหรือ? แน่นอนว่าหลิงซวี่ก็คือคนของตระกูลหลิง เป็นลูกสาวของคุณชายสาม-หลิงเสี่ยวแห่งตระกูลหลิง และเป็นน้องสาวแท้ๆของหลิงหยุน!

ส่วนกลุ่มเทพอินทรีนั้น.. ที่ได้รับสมญานามนี้ก็เพราะปฏิบัติหน้าที่ไม่ต่างจากดวงตาอินทรีที่คอยดูแลสอดส่องเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั่นเอง

เมื่อมีการก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าตระกูลต่างๆในประเทศจีนต่างก็นำลูกหลานของตนเองเข้าไปทำงาน เพื่อให้บุตรหลานได้มีประสบการณ์ และมีคุณสมบัติเมื่อเติบโตขึ้น

อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ตระกูลของตนนั้นได้ทราบข่าวลับได้รวดเร็วก่อนคนอื่นๆอีกด้วย แต่ละตระกูลจึงดิ้นรนที่จะส่งบุตรหลานของตนเองเข้าไปทำงานในหน่วยงานนี้

เมื่อมองจากภูมิหลังของทั้งสามคนในกลุ่มเทพอินทรีย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอำนาจในมือ ความแข็งแกร่งของสมาชิกในตระกูล ตระกูลหลงนับว่ายอดเยี่ยมที่สุด และตระกูลหลิงนั้นนับว่าอ่อนแอที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นในบรรดายอดฝีมือทั้งสามคน หลิงซวี่จึงเป็นคนที่ด้อยที่สุด และแทบจะไม่มีปากมีเสียงใดๆ!

หลิงซวี่เองก็รู้ดีว่าตระกูลหลิงนั้นได้ถูกตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดลอยแพ มีเพียงตระกูลหลงที่ยังคงให้การสนับสนุน คนในตระกูลหลิงอยู่ในเมืองหลวงต้องทำตัวไม่ต่างจากคนตาบอด เพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใหน ก็ต้องคอยดูสีหน้าของคนในตระกูลใหญ่คนอื่นๆ

ดังนั้น.. หลิงซวี่เองจึงได้แต่ยอมรับความจริงข้อนี้ และทำได้เพียงหมั่นฝึกฝนเพื่อให้ตนเองเก่งและแข็งแกร่งขึ้น

ตระกูลหลิงหยุนั้นได้ดูแลกระทรวงทรัพยากรน้ำ และกรมการค้าอย่างลับๆ และตอนนี้หลิงหยุนใช้วรยุทธบุกขึ้นไปบนเกาะเตียวหยู ทำให้เกิดผลกระทบต่อการทูต และการค้า หลิงเจิ้น และผู้เฒ่าหลิงจึงได้ส่งหลิงซวี่มาเป็นตัวแทน นางจึงมาปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มสามคนในวันนี้

การที่หลิงหยุนก้าวเท้าขึ้นไปบนเกาะเตียวหยู่ กลับทำให้เกิดแรงสะเทือนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า สร้างสถานการณ์ที่อึมครึมให้กับประเทศจีน และพายุอีกมากมายที่กำลังจะตามมา แต่เขายังคงไม่รู้..

หรือว่า.. หลิงหยุนอาจจะรู้ แต่เพียงแค่ไม่ใส่ใจ!

เมื่อหลิงซวี่ได้ยินหลิงหยุนถาม นางจึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง และริมฝีปากคู่สวยก็เอ่ยตอบในขณะที่ดวงตาก็จ้องมองหลิงหยุน

“ข้ามาจากตระกูลหลิง.. ชื่อหลิงซวี่!”

แน่แล้ว.. นางเป็นคนของตระกูลหลิงจริงๆ! หลิงหยุนใจเต้น เขาจ้องมองใบหน้างดงามของหลิงซวี่อย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้ง แล้วก็ถึงกับอึ้งไป..

‘มีความคล้ายกันอยู่บ้าง..’

หลิงหยุนพบว่าใบหน้าของหลิงซวี่นั้นดูคล้ายคลึงกับเขา เว้นเพียงดวงตาที่ดูแตกต่างไปจากดวงตาของเขามาก

ดวงตาของคนทั้งคู่ย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน! เพราะลูกสาวนั้นได้ดวงตาของพ่อมา ดวงตาของหลิงซวี่คล้ายกับหลิงเสี่ยวมาก เพียงแต่อ่อนโยนกว่า ส่วนดวงตาของหลิงหยุนนั้นคล้ายกับแม่แท้ๆของเขา – ซึ่งเป็นเทพธิดาคนก่อนแห่งพรรคมาร!

หลิงหยุนนั้นถูกทอดทิ้งตั้งแต่เกิด อีกทั้งเส้นลมปราณหยางเจี๋วยยังถูกทำลาย ดังนั้นชีวิตของเขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้

แซ่เดิมของเขานั้นคือหลิง และยังเป็นถึงหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง เกาเฉินเฉินเป็นคนพูดให้เขาฟังเองว่า เมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นได้เกิดเรื่องราวใหญ่โตกับตระกูลหลิง และตระกูลฉินจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศจีนเลยทีเดียว!

และปีนี้หลิงหยุนก็อายุครบสิบแปดปีพอดี!

ฉินจิวยื่อเป็นแม่บุญธรรมของเขา และถูกตระกูลฉินขับไล่ออกจากตระกูลเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว เหตุใดจึงช่างบังเอิญเช่นนี้..

หลิงหยุนเองก็นึกสงสัยมานานแล้ว และตอนนี้ก็ยังได้พบกับหลิงซวี่ที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับตนเองด้วย..

“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของตระกูลหลิงนี่เอง!”

จู่ๆ หลิงหยุนก็ละสายตาจากหลิงซวี่ และเอียงศรีษะคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป.. ทำให้หลิงหยุนต้องครุ่นคิดอย่างหนัก!

“นี่.. เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่? ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ตามพวกเราไปได้แล้ว!”

เฉินเจี้ยนโหยวรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่ในเรือลาดตระเวนมานานหลายวันแล้ว นางอยากจะรีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ และต้องการที่จะพาตัวหลิงหยุนกลับไปให้เร็วที่สุดเช่นกัน

“หุบปาก!”

หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และเฉินเจี้ยนโหยวก็รบกวนความคิดของเขา หลิงหยุนไม่อาจปล่อยไปได้ จึงได้แต่ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ

เพียะ!

หลิงหยุนตบหน้าเฉินเจี้ยนโหยวเบาๆ และร่างของนางก็กระเด็นออกไปไกลถึงสามสิบเมตรก่อนจะตกลงไปในทะเล!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด