Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 689

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 689 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 689 : ค่ายกลเขาวงกต!
พอลกับเจสเตอร์ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ถึงกับตกใจสุดขีด!
การที่เฉินเจี้ยนกุ่ยสามารถใช้เนตรปีศาจได้นั้นย่อมหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในระดับไวส์เคานต์แล้ว แม้ว่าไวส์เคานต์จะสูงกว่าบารอนเพียงแค่หนึ่งระดับ แต่พลังอำนาจนั้นกลับเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่าเลยทีเดียว..
แต่ถึงกระนั้น..เนตรปีศาจของเฉินเจี้ยนกุ่ยกลับถูกหลิงหยุนทำลายลงจนได้!
แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของหลิงหยุนจะยังไม่สามารถกำจัดเลือดแวมไพร์ในตัวของคนตระกูลเกาออกไปได้แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้พอลกับเจสเตอร์ตกตะลึงและทึ่งในความสามารถของหลิงหยุนได้อย่างมากแล้ว!
“ซาตาน..นี่พวกเรามีเจ้านายเป็นอะไรกันแน่! เจ้านายที่เคารพของพวกเราช่างเกิดมาเพื่อจองล้างจองผลาญแวมไพร์อย่างพวกเราจริงๆ”
“แต่ตอนนี้ในสายตาของฉัน..เจ้านายที่เคารพของพวกเราคือซาตาน..”
พอลกับเจสเตอร์ต่างก็กระซิบกระซาบกัน..
หลิงหยุนเดินมาหยุดอยู่ข้างแวมไพร์ทั้งสองตนพร้อมกับถามขึ้นว่า“นี่พวกเจ้า.. ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้.. เจ้าคนชั่วเฉินเจี้ยนกุ่ยมันจะสามารถใช้เลือดแวมไพร์ที่อยู่ในร่างของทุกคนตามมาถึงที่นี่ได้หรือไม่!”
เจสเตอร์ส่ายหัวและรีบตอบกลับไปทันที“เจ้านายที่เคารพ..ท่านสบายใจได้ ไม่ว่าจะเลือดแวมไพร์ในตัว หรือแม้แต่เนตรปีศาจก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้..”
พอลรีบเสริมต่อว่า“เจ้านายที่เคาพ.. ไม่ต้องกังวลใจไป ในขั้นไวส์เคานต์ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แวมไพร์ที่จะสามารถทำแบบนั้นได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ และอยู่ในขั้นแกรนด์ดุ๊คขึ้นไปเท่านั้น..”
หลิงหยุนค่อยรู้สึกโล่งใจเพราะอย่างน้อยก็สบายใจได้ว่าอีกสิบชีวิตภายในบ้านหลังนี้จะยังคงปลอดภัย
จู่ๆจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็สำรวจพบว่าเกาจิ้นสงกับเกาซิงฉางดูเหมือนจะกำลังปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่าง จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็เดินออกจากห้องใต้ดินมาหาหลิงหยุน..
“หลิงหยุน..เจ้าช่วยจี้จุดพวกเราไว้ และช่วยมัดพวกเราไว้เช่นเดิมด้วยเถิด..”
หลิงหยุนเข้าใจดีว่าทั้งคู่เกรงว่าตนเองจะสูญเสียการควบคุมจิตใจไปอีกครั้งและเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นอาจจะเผลอทำร้ายเกาเทียนหลงเข้า หลิงหยุนเองก็เห็นด้วย จึงพาทั้งคู่กลับไปที่ห้องใต้ดิน และจัดการควบคุมคนทั้งคู่ไว้เช่นเดิม
หลิงหยุนจัดการมัดทุกคนไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำเพื่อความปลอดภัย!
“เทียนหลง..เจ้าก็อยู่คุยกับคนในครอบครัวของเจ้าไปก่อน ข้าจะให้ยันต์ชำระจิตกับเจ้าไว้ เจ้าก็พิจารณาใช้ตามแต่สถานการณ์ก็แล้วกัน..”
“ถ้าพวกเขาต้องการดื่มเลือดเจ้าก็ให้เลือดพวกเขาดื่ม เพราะหากพวกเขาได้ดื่มเลือดจนพอใจ ก็จะไม่สร้างปัญหาอะไร..”
“ส่วนศิลาก้อนนี้..เจ้าก็ใช้มันเพื่อรักษาท่านปู่เกากับท่านลุงเกาไปก่อน”
หลิงหยุนได้มอบศิลาเกลาใจให้เกาเทียนหลงไว้สำหรับใช้ในการรักษาเพราะเขารู้ดีว่าศิลาเกลาใจนี้คือกุญแจสำคัญในการสะกดเลือดแวมไพร์ในตัวของทุกคน
ส่วนยันต์ชำระใจที่หลิงหยุนปลุกเสกขึ้นมานั้นเป็นเพียงตัวช่วยเร่งให้จิตใจของพวกเขาเข้าสู่ความสงบมีสติเร็วขึ้นเท่านั้น
หลิงหยุนส่งศิลาเกลาใจใส่มือของเกาเทียนหลงพร้อมกับย้ำว่า“จำไว้ว่า.. มีเพียงศิลาก้อนนี้เท่านั้นที่จะช่วยรักษาคนตระกูลเกาทั้งสิบคนนี้ได้ จงอย่าได้ทำมันสูญหาย!”
ไม่บ่อยครั้งนักที่หลิงหยุนจะยอมปล่อยให้สิ่งของสำคัญหรือสมบัติล้ำค่าของตนเองตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น แต่ครั้งนี้ตระกูลเกานับว่าต้องเผชิญทุกข์อย่างหนักหนาสาหัส และเพราะความรักของเกาเฉินเฉินที่มีต่อเขา ทำให้เขาไม่รู้สึกกังวลใจมากนัก
“หลิงหยุน..ขอบคุณเจ้ามาก ข้าเข้าใจและจะรักษามันอย่างดี!” เกาเทียนหลงอุ้มศิลาเกาใจไว้ด้วยสองมือพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลิงหยุนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับสั่งเกาเทียนหลงว่า“เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลทุกคนไปก่อน ข้าจะออกไปสำรวจและหาข่าวคราวของเฉินเฉิน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้รีบโทรหาข้า และข้าจะกลับมาทันที!”
หลิงหยุนหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์“พวกเจ้าทั้งสองคนไปที่สวนนอกบ้าน ไปหาหินก้อนใหญ่มา.. เอาก้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้มาทั้งหมดสามสิบหกก้อน..”
พอลกับเจสเตอร์ไม่รู้ว่าหลิงหยุนจะต้องการหินมากมายไปทำอะไรแต่ทั้งคู่ก็ไปหาหินสีดำก้อนขนาดเท่าชามข้าวมาให้จนได้
ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนหลิงหยุนใช้หินทั้งสามสิบหกก้อนนี้สร้างค่ายกลเขาวงกตขึ้นมา!
พอลกับเจสเตอร์กำลังยืนอยู่ตรงบันไดของห้องใต้ดินแต่จู่ๆก็ห้องใต้ดินก็หายวับไปกับตารวมทั้งตัวหลิงหยุนเองด้วย
“โอ้..นี่เจ้านายที่เคารพกำลังทำอะไรกันแน่ ทุกคนหายไปใหนหมด?!” เจสเตอร์ร้องอุทานออกมาและตกตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเห็น..
“เหลือเชื่อ!”พอลเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน และได้แต่พึมพำกับตัวเอง
หลิงหยุนยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องใต้ดินเขาบอกกับเกาเทียนหลงที่กำลังยืนตกตะลึงอยู่ข้างๆว่า
“นี่เรียกว่าค่ายกลเขาวงกตข้าจะสอนวิธีเข้าและออกให้กับเจ้า..”
จากนั้นหลิงหยุนก็บอกวิธีเข้าออกค่ายกลเขาวงกตนี้ให้กับเกาเทียนหลงรู้พร้อมกับกำชับอีกว่า
“เจ้าต้องจำไว้ให้ดี..หากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ค่ายกลเขาวงกตจะเปลี่ยนเป็นค่ายกลสังหารทันที และถึงเวลานั้นเจ้าจะถูกค่ายกลโจมตี เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังอย่าให้ก้าวพลาดได้..”
เกาเทียนหลงได้แต่อึ้งไปในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องเขยของเขานั้นช่างเก่งกาจอย่างน่าเหลือเชื่อ จึงได้แต่ร้องถามหลิงหยุนไปว่า
“หลิงหยุน..มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้างหรือไม่!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“ก็แค่ค่ายกลง่ายๆ.. ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าเองก็ทำไม่ได้ อย่างเช่นบินได้..”
“เจ้ายังอยากจะบินได้อีกรึ!”เกาเทียนหลงถามอย่างตกใจมากขึ้น
หลิงหยุนยกมือขึ้นตบบ่าเกาเทียนหลง“ตอนนี้เจ้ามั่นใจในตัวข้าขึ้นบ้างหรือยัง เอาล่ะ.. จากนี้ไปก็รอฟังข่าวดีจากข้า ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน!”
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินออกมาสั่งเจสเตอร์และพอลว่า“พวกเจ้าสองคนไม่ต้องมองหน้าข้า.. พวกเจ้าต้องไปกับข้า!”
ค่ายกลเขาวงกตนั้นไม่เพียงช่วยบดบังสายตาจากผู้คนแต่ยังบดบังเสียงด้วย หลังจากที่หลิงหยุนกระโดดออกมาจากค่ายกลแล้ว เกาเทียนหลงเองก็ไม่สามารถได้ยินคำพูดของหลิงหยุนเช่นกัน
เขาจ้องมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่าตนเองกำลังตกอยู่ในความฝันตอนนี้เกาเทียนหลงเพิ่งเข้าใจว่า เหตุใดตลอดการเดินทางจากจิงฉูมาปักกิ่งนั้น หลิงหยุนจึงได้มีท่าทีที่สงบนิ่ง และมั่นอกมั่นใจอย่างมาก!
นั่นเพราะเขาเป็นผู้ที่มากความสามารถและแข็งแกร่งอย่างมาก!อย่าว่าแต่ศัตรูมาเป็นสิบเลย ต่อให้เป็นร้อยก็ยากที่จะทำอันตรายหลิงหยุนได้
และนี่เป็นครั้งแรกที่แววตาของเกาเทียนหลงเต็มไปด้วยความมั่นใจและตื่นเต้นเช่นนี้!
“เทียนหลง..เข้ามานี่!”
ในเวลานั้นเอง..เสียงเรียกของเกาจิ้นสงก็ดังมาจากห้องใต้ดิน เกาจิ้นสงเป็นผู้ที่ขอให้หลิงหยุนจี้จุดและมัดเขาไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำ แต่เวลานี้กลับมีสีหน้าไม่มีความสุขนัก..
“ท่านปู่ได้โปรดอดทนอีกนิด..”
เกาเทียนหลงทำตามที่หลิงหยุนสั่งเขาใช้มีดกรีดที่คอของเกาจิ้นสง และใช้ศิลาเกลาใจในมือจี้เข้าไปที่รอยกรีดนั้น
เกาจิ้นสงยิ้มอย่างขมขื่น“บาดแผลนี้ปู่ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย เหตุใดต้องใช้ความอดทนด้วยเล่า..”
เมื่อศิลาเกลาใจเชื่อมต่อกับร่างของเกาจิ้นสงทำให้เลือดแวมไพร์ในตัวที่กำลังจะกำเริบนั้นถูกสะกดไว้ทันที พร้อมกันนั้นเกาจิ้นสงก็รู้สึกได้ว่าศิลาเกลาใจนั้นกำลังดูดซับอะไรบางอย่างภายในร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาด และคล้ายกับกำลังกดข่มจิตใจที่กำลังพลุ่งพล่านของเขา
“เทียนหลง.. หลิงหยุนเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเกา! เจ้าจงจำไว้ว่า.. ไม่ว่าในวันข้างหน้าตระกูลเกาจะมีชะตากรรมเช่นไร ไม่ว่าพวกเราทั้งสิบคนจะกลายเป็นอะไร? เจ้าจะต้องติดตามหลิงหยุนและจงรักภักดีกับเขา ตราบใดที่เจ้าติดตามและเชื่อฟังเขา ตระกูลเกาของเราก็จะไม่มีวันสูญสิ้น! และสักวันหนึ่งตระกูลเกาของเราก็จะฟื้นกลับคืนมาได้อีกครั้งอย่างแน่นอน!”
เกาจิ้นสงกำชังเกาเทียนหลงด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น..
“เทียนหลง..ทั้งปู่และพ่อของเจ้าต่างก็เคยพบเห็นผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน แต่พวกเราก็ยังไม่เคยพบเห็นใครที่น่าอัศจรรย์เหมือนหลิงหยุนมาก่อน ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องติดตามหลิงหยุน!”
“นี่เท่ากับว่าเฉินเฉินเป็นผู้ที่ช่วยตระกูลเกาของเราไว้หากไม่ใช่เพราะเฉินเฉิน ตระกูลเกาของเราคงต้องจบสิ้นไปนานแล้ว..”
เกาเทียนหลงกำหมัดแน่นพร้อมกับตอบปู่ของเขาไปว่า“ท่านปู่.. ข้าเข้าใจ! ท่านสบายใจได้ ตั้งแต่ข้าพบเจอหลิงหยุนมาจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เคยเห็นว่ามีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องรักษาท่านให้หายได้อย่างแน่นอน!”
“เรื่องนี้ปู่เองก็จะคอย..แต่ตอนนี้ปู่เองก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดมาพูดขอบคุณหลิงหยุนแล้ว! ปู่ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะ.. แต่ปู่รู้ดีว่าคนที่ยิ่งใหญ่อย่างหลิงหยุนนั้น แม้แต่ตระกูลเกาเองก็ยังไม่อาจเอื้อม..”
เกาเทียนหลงเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านปู่.. ท่านยังไม่รู้อะไร หลิงหยุนเป็นคนที่กล้ามากเกินในบางครั้ง เขากล้าเรียกเฉินเฉินว่าภรรยา.. แล้วยังกล้าเรียกข้าว่าคุณพี่เมียด้วย..”
เกาจิ้นสงถึงกับยิ้มออกมาและตอบกลับไปว่า“เด็กโง่.. หลิงหยุนต้องการให้เจ้ารู้สึกเป็นกันเองแล้วก็ผ่อนคลายน่ะสิ! เขาเกรงว่าเจ้าจะกดดันตัวเองจนขาดผึงเหมือนเชือกเส้นหนึ่งต่างหาก”
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด..เพียงแค่เกาเทียนหลงเล่าให้ฟัง เกาจิ้นสงก็สามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ของหลิงหยุนได้ในทันที
เขาถึงกับถอนหายใจยาวและตอบกลับไปว่า“ข้าเชื่อว่าเฉินเฉินจะยังคงปลอดภัย และหากเฉินเฉินได้แต่งงานกับหลิงหยุนจริง ก็นับว่าเป็นความโชคดีของนาง ปู่เองก็จะรอคอยให้ถึงวันนั้น”
……..
เวลาตีสองครึ่ง..หลิงหยุนกับแวมไพร์อีกสองตนขับรถไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินซึ่งอยู่ห่างไปราวหนึ่งกิโลเมตร
คฤหาสน์ตระกูลเฉินตั้งอยู่ในเขตวงแหวนที่ห้าเช่นกันและเกาเทียนหลงได้บอกบ้านเลขที่ให้หลิงหยุนรู้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปสืบหาอะไรอีก เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ของถนนวงแหวนที่ห้าทันที
หลังจากที่รถจอดสนิทแล้วหลิงหยุนเองก็ไม่รีบร้อนลงจากรถนัก เขานั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปถามพอลกับเจสเตอร์
“พวกเจ้าสองคนอายุเท่าไหร่กันแล้ว”
“เจ้านายที่เคารพ..ข้าแปดสิบแปดปี!”
“ฉันเจ็ดสิบเก้าปี..”
พอลกับเจสเตอร์ตอบ..
และหลิงหยุนก็ถามต่อว่า“แวมไพร์จะมีอายุกี่ปี”
“โอ้เจ้านายที่เคารพ..ท่านหมายถึงหากเปรียบเทียบกับมนุษย์ใช่มั๊ย อย่างพวกเราสองคนยังนับว่าเป็นแวมไพร์หนุ่มน้อย และยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป.. เพราะแวมไพร์อายุร้อยปีจะเท่ากับมนุษย์อายุสิบแปดปี..”
หลิงหยุนพยักหน้า“นี่.. แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเจ้าสองคนจะไม่ทรยศข้า”
“โอ้ท่านซาตาน..เจสเตอร์ของสาบานว่าจะไม่มีวันทรยศท่านซาตานซึ่งเป็นเจ้านายของเจสเตอร์อย่างเด็ดขาด!”
“ท่านหลิงที่เคารพ..พวกเราเป็นคนอเมริกันก่อนที่จะกลายมาเป็นแวมไพร์ พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนรักษาคำพูด..”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ถ้าเช่นนั้นก็ดี.. งั้นพวกเจ้าสองคนตอบคำถามข้ามาอีกหนึ่งข้อ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 689

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 689 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 689 : ค่ายกลเขาวงกต!
พอลกับเจสเตอร์ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ถึงกับตกใจสุดขีด!
การที่เฉินเจี้ยนกุ่ยสามารถใช้เนตรปีศาจได้นั้นย่อมหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในระดับไวส์เคานต์แล้ว แม้ว่าไวส์เคานต์จะสูงกว่าบารอนเพียงแค่หนึ่งระดับ แต่พลังอำนาจนั้นกลับเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่าเลยทีเดียว..
แต่ถึงกระนั้น..เนตรปีศาจของเฉินเจี้ยนกุ่ยกลับถูกหลิงหยุนทำลายลงจนได้!
แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของหลิงหยุนจะยังไม่สามารถกำจัดเลือดแวมไพร์ในตัวของคนตระกูลเกาออกไปได้แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้พอลกับเจสเตอร์ตกตะลึงและทึ่งในความสามารถของหลิงหยุนได้อย่างมากแล้ว!
“ซาตาน..นี่พวกเรามีเจ้านายเป็นอะไรกันแน่! เจ้านายที่เคารพของพวกเราช่างเกิดมาเพื่อจองล้างจองผลาญแวมไพร์อย่างพวกเราจริงๆ”
“แต่ตอนนี้ในสายตาของฉัน..เจ้านายที่เคารพของพวกเราคือซาตาน..”
พอลกับเจสเตอร์ต่างก็กระซิบกระซาบกัน..
หลิงหยุนเดินมาหยุดอยู่ข้างแวมไพร์ทั้งสองตนพร้อมกับถามขึ้นว่า“นี่พวกเจ้า.. ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้.. เจ้าคนชั่วเฉินเจี้ยนกุ่ยมันจะสามารถใช้เลือดแวมไพร์ที่อยู่ในร่างของทุกคนตามมาถึงที่นี่ได้หรือไม่!”
เจสเตอร์ส่ายหัวและรีบตอบกลับไปทันที“เจ้านายที่เคารพ..ท่านสบายใจได้ ไม่ว่าจะเลือดแวมไพร์ในตัว หรือแม้แต่เนตรปีศาจก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้..”
พอลรีบเสริมต่อว่า“เจ้านายที่เคาพ.. ไม่ต้องกังวลใจไป ในขั้นไวส์เคานต์ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แวมไพร์ที่จะสามารถทำแบบนั้นได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ และอยู่ในขั้นแกรนด์ดุ๊คขึ้นไปเท่านั้น..”
หลิงหยุนค่อยรู้สึกโล่งใจเพราะอย่างน้อยก็สบายใจได้ว่าอีกสิบชีวิตภายในบ้านหลังนี้จะยังคงปลอดภัย
จู่ๆจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็สำรวจพบว่าเกาจิ้นสงกับเกาซิงฉางดูเหมือนจะกำลังปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่าง จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็เดินออกจากห้องใต้ดินมาหาหลิงหยุน..
“หลิงหยุน..เจ้าช่วยจี้จุดพวกเราไว้ และช่วยมัดพวกเราไว้เช่นเดิมด้วยเถิด..”
หลิงหยุนเข้าใจดีว่าทั้งคู่เกรงว่าตนเองจะสูญเสียการควบคุมจิตใจไปอีกครั้งและเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นอาจจะเผลอทำร้ายเกาเทียนหลงเข้า หลิงหยุนเองก็เห็นด้วย จึงพาทั้งคู่กลับไปที่ห้องใต้ดิน และจัดการควบคุมคนทั้งคู่ไว้เช่นเดิม
หลิงหยุนจัดการมัดทุกคนไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำเพื่อความปลอดภัย!
“เทียนหลง..เจ้าก็อยู่คุยกับคนในครอบครัวของเจ้าไปก่อน ข้าจะให้ยันต์ชำระจิตกับเจ้าไว้ เจ้าก็พิจารณาใช้ตามแต่สถานการณ์ก็แล้วกัน..”
“ถ้าพวกเขาต้องการดื่มเลือดเจ้าก็ให้เลือดพวกเขาดื่ม เพราะหากพวกเขาได้ดื่มเลือดจนพอใจ ก็จะไม่สร้างปัญหาอะไร..”
“ส่วนศิลาก้อนนี้..เจ้าก็ใช้มันเพื่อรักษาท่านปู่เกากับท่านลุงเกาไปก่อน”
หลิงหยุนได้มอบศิลาเกลาใจให้เกาเทียนหลงไว้สำหรับใช้ในการรักษาเพราะเขารู้ดีว่าศิลาเกลาใจนี้คือกุญแจสำคัญในการสะกดเลือดแวมไพร์ในตัวของทุกคน
ส่วนยันต์ชำระใจที่หลิงหยุนปลุกเสกขึ้นมานั้นเป็นเพียงตัวช่วยเร่งให้จิตใจของพวกเขาเข้าสู่ความสงบมีสติเร็วขึ้นเท่านั้น
หลิงหยุนส่งศิลาเกลาใจใส่มือของเกาเทียนหลงพร้อมกับย้ำว่า“จำไว้ว่า.. มีเพียงศิลาก้อนนี้เท่านั้นที่จะช่วยรักษาคนตระกูลเกาทั้งสิบคนนี้ได้ จงอย่าได้ทำมันสูญหาย!”
ไม่บ่อยครั้งนักที่หลิงหยุนจะยอมปล่อยให้สิ่งของสำคัญหรือสมบัติล้ำค่าของตนเองตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น แต่ครั้งนี้ตระกูลเกานับว่าต้องเผชิญทุกข์อย่างหนักหนาสาหัส และเพราะความรักของเกาเฉินเฉินที่มีต่อเขา ทำให้เขาไม่รู้สึกกังวลใจมากนัก
“หลิงหยุน..ขอบคุณเจ้ามาก ข้าเข้าใจและจะรักษามันอย่างดี!” เกาเทียนหลงอุ้มศิลาเกาใจไว้ด้วยสองมือพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลิงหยุนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับสั่งเกาเทียนหลงว่า“เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลทุกคนไปก่อน ข้าจะออกไปสำรวจและหาข่าวคราวของเฉินเฉิน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้รีบโทรหาข้า และข้าจะกลับมาทันที!”
หลิงหยุนหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์“พวกเจ้าทั้งสองคนไปที่สวนนอกบ้าน ไปหาหินก้อนใหญ่มา.. เอาก้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้มาทั้งหมดสามสิบหกก้อน..”
พอลกับเจสเตอร์ไม่รู้ว่าหลิงหยุนจะต้องการหินมากมายไปทำอะไรแต่ทั้งคู่ก็ไปหาหินสีดำก้อนขนาดเท่าชามข้าวมาให้จนได้
ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนหลิงหยุนใช้หินทั้งสามสิบหกก้อนนี้สร้างค่ายกลเขาวงกตขึ้นมา!
พอลกับเจสเตอร์กำลังยืนอยู่ตรงบันไดของห้องใต้ดินแต่จู่ๆก็ห้องใต้ดินก็หายวับไปกับตารวมทั้งตัวหลิงหยุนเองด้วย
“โอ้..นี่เจ้านายที่เคารพกำลังทำอะไรกันแน่ ทุกคนหายไปใหนหมด?!” เจสเตอร์ร้องอุทานออกมาและตกตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเห็น..
“เหลือเชื่อ!”พอลเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน และได้แต่พึมพำกับตัวเอง
หลิงหยุนยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องใต้ดินเขาบอกกับเกาเทียนหลงที่กำลังยืนตกตะลึงอยู่ข้างๆว่า
“นี่เรียกว่าค่ายกลเขาวงกตข้าจะสอนวิธีเข้าและออกให้กับเจ้า..”
จากนั้นหลิงหยุนก็บอกวิธีเข้าออกค่ายกลเขาวงกตนี้ให้กับเกาเทียนหลงรู้พร้อมกับกำชับอีกว่า
“เจ้าต้องจำไว้ให้ดี..หากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ค่ายกลเขาวงกตจะเปลี่ยนเป็นค่ายกลสังหารทันที และถึงเวลานั้นเจ้าจะถูกค่ายกลโจมตี เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังอย่าให้ก้าวพลาดได้..”
เกาเทียนหลงได้แต่อึ้งไปในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องเขยของเขานั้นช่างเก่งกาจอย่างน่าเหลือเชื่อ จึงได้แต่ร้องถามหลิงหยุนไปว่า
“หลิงหยุน..มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้างหรือไม่!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“ก็แค่ค่ายกลง่ายๆ.. ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าเองก็ทำไม่ได้ อย่างเช่นบินได้..”
“เจ้ายังอยากจะบินได้อีกรึ!”เกาเทียนหลงถามอย่างตกใจมากขึ้น
หลิงหยุนยกมือขึ้นตบบ่าเกาเทียนหลง“ตอนนี้เจ้ามั่นใจในตัวข้าขึ้นบ้างหรือยัง เอาล่ะ.. จากนี้ไปก็รอฟังข่าวดีจากข้า ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน!”
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินออกมาสั่งเจสเตอร์และพอลว่า“พวกเจ้าสองคนไม่ต้องมองหน้าข้า.. พวกเจ้าต้องไปกับข้า!”
ค่ายกลเขาวงกตนั้นไม่เพียงช่วยบดบังสายตาจากผู้คนแต่ยังบดบังเสียงด้วย หลังจากที่หลิงหยุนกระโดดออกมาจากค่ายกลแล้ว เกาเทียนหลงเองก็ไม่สามารถได้ยินคำพูดของหลิงหยุนเช่นกัน
เขาจ้องมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่าตนเองกำลังตกอยู่ในความฝันตอนนี้เกาเทียนหลงเพิ่งเข้าใจว่า เหตุใดตลอดการเดินทางจากจิงฉูมาปักกิ่งนั้น หลิงหยุนจึงได้มีท่าทีที่สงบนิ่ง และมั่นอกมั่นใจอย่างมาก!
นั่นเพราะเขาเป็นผู้ที่มากความสามารถและแข็งแกร่งอย่างมาก!อย่าว่าแต่ศัตรูมาเป็นสิบเลย ต่อให้เป็นร้อยก็ยากที่จะทำอันตรายหลิงหยุนได้
และนี่เป็นครั้งแรกที่แววตาของเกาเทียนหลงเต็มไปด้วยความมั่นใจและตื่นเต้นเช่นนี้!
“เทียนหลง..เข้ามานี่!”
ในเวลานั้นเอง..เสียงเรียกของเกาจิ้นสงก็ดังมาจากห้องใต้ดิน เกาจิ้นสงเป็นผู้ที่ขอให้หลิงหยุนจี้จุดและมัดเขาไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำ แต่เวลานี้กลับมีสีหน้าไม่มีความสุขนัก..
“ท่านปู่ได้โปรดอดทนอีกนิด..”
เกาเทียนหลงทำตามที่หลิงหยุนสั่งเขาใช้มีดกรีดที่คอของเกาจิ้นสง และใช้ศิลาเกลาใจในมือจี้เข้าไปที่รอยกรีดนั้น
เกาจิ้นสงยิ้มอย่างขมขื่น“บาดแผลนี้ปู่ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย เหตุใดต้องใช้ความอดทนด้วยเล่า..”
เมื่อศิลาเกลาใจเชื่อมต่อกับร่างของเกาจิ้นสงทำให้เลือดแวมไพร์ในตัวที่กำลังจะกำเริบนั้นถูกสะกดไว้ทันที พร้อมกันนั้นเกาจิ้นสงก็รู้สึกได้ว่าศิลาเกลาใจนั้นกำลังดูดซับอะไรบางอย่างภายในร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาด และคล้ายกับกำลังกดข่มจิตใจที่กำลังพลุ่งพล่านของเขา
“เทียนหลง.. หลิงหยุนเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเกา! เจ้าจงจำไว้ว่า.. ไม่ว่าในวันข้างหน้าตระกูลเกาจะมีชะตากรรมเช่นไร ไม่ว่าพวกเราทั้งสิบคนจะกลายเป็นอะไร? เจ้าจะต้องติดตามหลิงหยุนและจงรักภักดีกับเขา ตราบใดที่เจ้าติดตามและเชื่อฟังเขา ตระกูลเกาของเราก็จะไม่มีวันสูญสิ้น! และสักวันหนึ่งตระกูลเกาของเราก็จะฟื้นกลับคืนมาได้อีกครั้งอย่างแน่นอน!”
เกาจิ้นสงกำชังเกาเทียนหลงด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น..
“เทียนหลง..ทั้งปู่และพ่อของเจ้าต่างก็เคยพบเห็นผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน แต่พวกเราก็ยังไม่เคยพบเห็นใครที่น่าอัศจรรย์เหมือนหลิงหยุนมาก่อน ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องติดตามหลิงหยุน!”
“นี่เท่ากับว่าเฉินเฉินเป็นผู้ที่ช่วยตระกูลเกาของเราไว้หากไม่ใช่เพราะเฉินเฉิน ตระกูลเกาของเราคงต้องจบสิ้นไปนานแล้ว..”
เกาเทียนหลงกำหมัดแน่นพร้อมกับตอบปู่ของเขาไปว่า“ท่านปู่.. ข้าเข้าใจ! ท่านสบายใจได้ ตั้งแต่ข้าพบเจอหลิงหยุนมาจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เคยเห็นว่ามีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องรักษาท่านให้หายได้อย่างแน่นอน!”
“เรื่องนี้ปู่เองก็จะคอย..แต่ตอนนี้ปู่เองก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดมาพูดขอบคุณหลิงหยุนแล้ว! ปู่ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะ.. แต่ปู่รู้ดีว่าคนที่ยิ่งใหญ่อย่างหลิงหยุนนั้น แม้แต่ตระกูลเกาเองก็ยังไม่อาจเอื้อม..”
เกาเทียนหลงเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านปู่.. ท่านยังไม่รู้อะไร หลิงหยุนเป็นคนที่กล้ามากเกินในบางครั้ง เขากล้าเรียกเฉินเฉินว่าภรรยา.. แล้วยังกล้าเรียกข้าว่าคุณพี่เมียด้วย..”
เกาจิ้นสงถึงกับยิ้มออกมาและตอบกลับไปว่า“เด็กโง่.. หลิงหยุนต้องการให้เจ้ารู้สึกเป็นกันเองแล้วก็ผ่อนคลายน่ะสิ! เขาเกรงว่าเจ้าจะกดดันตัวเองจนขาดผึงเหมือนเชือกเส้นหนึ่งต่างหาก”
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด..เพียงแค่เกาเทียนหลงเล่าให้ฟัง เกาจิ้นสงก็สามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ของหลิงหยุนได้ในทันที
เขาถึงกับถอนหายใจยาวและตอบกลับไปว่า“ข้าเชื่อว่าเฉินเฉินจะยังคงปลอดภัย และหากเฉินเฉินได้แต่งงานกับหลิงหยุนจริง ก็นับว่าเป็นความโชคดีของนาง ปู่เองก็จะรอคอยให้ถึงวันนั้น”
……..
เวลาตีสองครึ่ง..หลิงหยุนกับแวมไพร์อีกสองตนขับรถไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินซึ่งอยู่ห่างไปราวหนึ่งกิโลเมตร
คฤหาสน์ตระกูลเฉินตั้งอยู่ในเขตวงแหวนที่ห้าเช่นกันและเกาเทียนหลงได้บอกบ้านเลขที่ให้หลิงหยุนรู้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปสืบหาอะไรอีก เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ของถนนวงแหวนที่ห้าทันที
หลังจากที่รถจอดสนิทแล้วหลิงหยุนเองก็ไม่รีบร้อนลงจากรถนัก เขานั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปถามพอลกับเจสเตอร์
“พวกเจ้าสองคนอายุเท่าไหร่กันแล้ว”
“เจ้านายที่เคารพ..ข้าแปดสิบแปดปี!”
“ฉันเจ็ดสิบเก้าปี..”
พอลกับเจสเตอร์ตอบ..
และหลิงหยุนก็ถามต่อว่า“แวมไพร์จะมีอายุกี่ปี”
“โอ้เจ้านายที่เคารพ..ท่านหมายถึงหากเปรียบเทียบกับมนุษย์ใช่มั๊ย อย่างพวกเราสองคนยังนับว่าเป็นแวมไพร์หนุ่มน้อย และยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป.. เพราะแวมไพร์อายุร้อยปีจะเท่ากับมนุษย์อายุสิบแปดปี..”
หลิงหยุนพยักหน้า“นี่.. แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเจ้าสองคนจะไม่ทรยศข้า”
“โอ้ท่านซาตาน..เจสเตอร์ของสาบานว่าจะไม่มีวันทรยศท่านซาตานซึ่งเป็นเจ้านายของเจสเตอร์อย่างเด็ดขาด!”
“ท่านหลิงที่เคารพ..พวกเราเป็นคนอเมริกันก่อนที่จะกลายมาเป็นแวมไพร์ พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนรักษาคำพูด..”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ถ้าเช่นนั้นก็ดี.. งั้นพวกเจ้าสองคนตอบคำถามข้ามาอีกหนึ่งข้อ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+