Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 845-846

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 845-846 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 841 : เงินคืออาวุธทิ่มแทงหลี่จิ่วเจียง!
หลงหวู่แสยะยิ้มขณะที่ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบเช็คออกมาจากซองแดงพร้อมกับสะบัดไปมาตรงหน้าของชีเต๋อเปียว
ในสายตาของหลงหวู่นั้นคนอย่างชีเต๋อเปียวไม่คู่ควรที่จะพูดกับเธอด้วยซ้ำไป!
“เอ่อ..”
ชีเต๋อเปียวเป็นชายร่างเล็กและตัวเตี้ยกว่าหลงหวู่ เขาจึงกระโดดขึ้นกระโดดลงเพื่อหยิบเช็คในมือของหลงหวู่ที่โบกอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถหยิบได้เสียที และเริ่มรู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ
“อยากได้เช็คนี่เหรอ!เอาไป..”
หลงหวู่พูดออกมาด้วยสีหน้าและแววตาเย็นชารอยยิ้มมุมปากนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน พร้อมกับโยนเช็คในมือใส่หน้าชีเต๋อเปียวทันที!
ในเวลานั้นเองด้านนอกก็เกิดสายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดลงมาท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิด จนเกิดเสียงดังเปรี้ยงอย่างรุนแรง จนกระจกหน้าต่างของโรงแรมไคเฉีวยนถึงกับสั่น..
ลมพัดกรรโชกแรงและพายุฝนก็กระหน่ำลงมาทันที!
ชีเต๋อเปียวละล้าละลังแต่เมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาจนดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนั้น เขาก็ตกใจกลัวจนถึงกับปล่อยเช็คที่ลอยอยู่ตรงหน้าร่วงลงพื้นไป
แต่นี่เป็นซองแดงของหลี่เทียนชีเต๋อเปียวไม่มีทางเลือก จึงต้องก้มตัวลงไปที่พื้นเพื่อหยิบมันขึ้นมา และท่าทางที่เขาคลานสี่ขาตามเก็บเช็คนั้น ก็ไม่ต่างจากสุนัขเลยแม้แต่น้อย!
“ห๊ะ!ยี่.. ยี่สิบล้าน?!”
ทันทีที่ชีเต๋อเปียวเห็นจำนวนเงินในเช็คเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!
“นี่มัน..”
จะไม่ให้ชีเต๋อเปียวตกใจได้อย่างไรกันในเมื่อเงินซองที่ได้รับจากงานเลี้ยงฉลองที่จัดให้กับหลี่เทียนในคืนนี้นั้น จากที่นับไปก่อนหน้านี้ก็ร่วมสิบล้านแล้ว..
แต่จู่ๆก็ได้รับเช็คจำนวนยี่สิบล้านเพิ่มขึ้นมาอีก และสำหรับแขกที่ใจป้ำเช่นนี้ ชีเต๋อเปียวเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆ!
อีกทั้งผู้ที่นำเช็คมามอบให้นั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่อายุยังน้อยอีกด้วย!
หลงหวู่ทำเสียงประชดประชัน“นี่มัน.. นี่มัน..! จะร้องตกใจไปทำไม? มันน้อยไปหรือยังไง? หรือคิดว่านี่เป็นเช็คปลอม? ถ้าไม่เชื่อ.. ในงานนี้มีเจ้าหน้าที่การเงินอยู่มั๊ยล่ะ? ถ้ามี.. คุณก็ให้เจ้าหน้าที่การเงินนำเช็คไปตรวจสอบได้เลย!”
ชีเต๋อเปียวได้ฟังคำพูดของหลงหวู่เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ แต่เมื่อสังเกตุดูก็พบเพียงแค่สาวงามทั้งหกคนที่แต่งชุดราตรีเพื่อเตรียมพร้อมมาร่วมงานจริงๆ ก็เลยได้แต่คิดว่าคงจะไม่มีอะไรน่ากังวล
แต่เรื่องที่ชีเต๋อเปียวยังคงกังวลใจนั้นก็คือเรื่องที่หลี่เทียนถูกตบหน้าแต่กลับไม่มีใครเห็นว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นผู้ลงมือ?
ชีเต๋อเปียวเริ่มรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลนักและเขาเองก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็คงไม่สามารถรับมือได้เช่นกัน
แต่เพื่อให้เรื่องวุ่นวายนี้จบลงโดยเร็วชีเต๋อเปียวจึงรีบหยิบเช็คขึ้นมาถือไว้ พร้อมกับหันไปมองหลี่เทียนที่ตอนนี้ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
แต่หลี่เทียนเองก็กำลังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากมันจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!
เมื่อเหลือเพียงตัวคนเดียวเช่นนี้ชีเต๋อเปียวจึงต้องหันหน้าอ้วนๆของตนเองไปยิ้มให้กับหลงหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอ่อ..ไม่ใช่อย่างนั้นครับ! ผมเป็นครูใหญ่ของหลี่เทียน เช็คที่คุณสุภาพสตรีนำมาให้ก็มียอดเงินที่ค่อนข้างสูง ผมคงต้องขออนุญาตรายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าของผมทราบ..”
และ‘หัวหน้า’ ที่ชีเต๋อเปียวพูดถึงอย่างเต็มปากเต็มคำนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับหลี่เทียนในคืนนี้ ซึ่งก็คือลุงของหลี่เทียนที่ชื่อว่าหลี่จิ่วเจียงนั่นเอง
หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับพูดอย่างไม่แยแส“เชิญ..”
ระหว่างนั้นหลงหวู่ก็เหลือบไปเห็นตู้เซฟจำนวนสี่ตู้ที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะเข้าโดยบังเอิญและแน่นอนว่าด้านในนั้นมีเงินสดอยู่เต็มไปหมด
ตอนนี้ก็เพียงแค่รอเวลาให้งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นจากนั้นเจ้าหน้าที่การเงินทั้งแปดคนที่อยู่ในงาน ก็จะจัดการขนตู้เซฟเหล่านี้พร้อมด้วยสมุดบัญชีกลับไปที่บ้านของหลี่จิ่วเจียงทันที
พวกเขาทั้งแปดคนจะไม่ได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้ด้วย!
แต่ถึงกระนั้นหลงหวู่ก็รู้ดีแก่ใจว่าในคืนนี้.. เงินทั้งหมดในตู้เซฟทั้งสี่นั้น จะไม่มีผู้ใดสมารถขนย้ายออกจากโรงแรมได้อย่างแน่นอน!
ชีเต๋อเปียวเห็นหลงหวู่พูดจาใหญ่โตเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเต็มหน้า และจัดการส่งเช็คในมือให้กับเจ้าหน้าที่การเงิน และแอบกระซิบสั่งให้เขาทำการตรวจสอบเช็คอีกที
เมื่อได้รับเช็คมาเจ้าหน้าที่การเงินผู้นั้นก็จัดการพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช็คอยู่หลายรอบ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเช็คจริง หรือว่าเช็คปลอมกันแน่
หลังจากที่ตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็รีบพยักหน้าให้กับชีเต๋อเปียวทันที!
เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คจริงอย่างแน่นอน!
เมื่อเจ้าหน้าที่การเงินยืนยันว่าเป็นเช็คจริงชีเต๋อเปียวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และรีบยิ้มออกมาทันที
ในเมื่อเช็คเป็นของจริง..เขารับมาแล้ว ส่วนหลี่จิ่วเจียงจะรับหรือไม่รับก็สุดแล้วแต่ เพราะนั่นหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ครั้งนี้จึงนับได้ว่าเขาทำหน้าที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม!
เงินที่แขกในงานใส่ซองมาร่วมแสดงความยินดีในคืนนี้เป็นจำนวนเงินร่วมสามสิบล้านหากหลี่จิ่วเจียงพอใจกับผลงานของเขาในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งก็เป็นได้..
แต่ชีเต๋อเปียวไม่รู้เลยว่าเงินจำนวนสามสิบล้านหยวนในวันนี้ท้ายที่สุดจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการทุจริตคอรัปชั่นของหลี่จิ่วเจียง และจะกลับกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาสังหารตัวมันเอง
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดในคืนนี้จึงจะไม่มีผู้ใดสามารถขนเงินจำนวนนี้ออกไปจากโรงแรมแห่งนี้ได้!
‘เราคงจะคิดมากไปเองนั่นล่ะ!สาวงามทั้งหมดนี้คงจะมาเร่วมงานเลี้ยงฉลองของหลี่เทียนจริงๆ คงไม่มีอะไรน่าวิตก!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้..ชีเต๋อเปียวก็โบกไม้โบกมือเรียกหัวหน้าที่ดูแลจัดเลี้ยงพร้อมกับสั่งว่า “คุณช่วยพาสุภาพสตรีทั้งหกท่านนี้เข้าไปในงานเลี้ยง และช่วยหาโต๊ะให้พวกเธอนั่งด้วย..”
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีบัตรเชิญแต่เช็คจำนวนยี่สิบล้านของหลงหวู่ก็สามารถนำพวกเธอทั้งหกคนเข้าไปนั่งในงานเลี้ยงในฐานะแขกได้อย่างง่ายดาย
“เชิญคุณสุภาพสตรีทุกท่านทางนี้ครับ..”
หลังจากที่หลินเมิ่งหานและคนอื่นๆเดินเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงในฐานะแขกของงานแล้ว ชีเต๋อเปียวที่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากก็รีบเข้าไปช่วยพยุงร่างของหลี่เทียนลุกขึ้นจากพื้นทันที
“หลี่เทียน..เธอ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!”
ชีเต๋อเปียวเข้าไปช่วยพยุงหลี่เทียนไว้พร้อมกับจ้องมองแก้มซ้ายที่บวมเปล่งและรอยฝ่ามือทั้งห้าที่ยังคงแดงเถือกอยู่บนใบหน้า แล้วแสร้งทำเป็นถามอย่างเห็นอกเห็นใจ..
“ถุย!”
หลี่เทียนพ่นเลือดออกมาจากปากจากนั้นจึงแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“ไม่เห็นหรือไงผมเป็นขนาดนี้ ยังจะถามอยู่ได้!”
หลี่เทียนเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารอยฝ่ามือนั่นมาอยู่ที่ใบหน้าของตนเองได้อย่างไร!
“เดี๋ยวจัดการบ้วนเลือดในปากก่อนดีกว่า..”
แม้ชีเต๋อเปียวจะถูกหลี่เทียนดุด่าอย่างไม่พอใจแต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์ และรีบไปนำน้ำดื่มมาให้หลี่เทียนพร้อมกับเล่าให้เขาฟังว่า
“หลี่เทียน..สุภาพสตรีทั้งหกคนนั่นนำเช็คยี่สิบล้านมาให้ ครูคงต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อำนวยการหลี่รู้แล้วล่ะ..”
การจู่โจมของไป๋เซียนเอ๋อเมื่อครู่นั้นนางเพียงแค่ใช้พละกำลังในระดับคนธรรมดาเท่านั้น หลี่เทียนจึงไม่ถึงกับเจ็บหนัก
“ครูไปรายงานคุณลุงแล้วอย่าลืมโทรเรียกบอดี้การ์ดคนใหม่มาหาผมด้วย! แล้วก็ช่วยแจ้งคุณลุงด้วยว่าผมไม่เข้าไปในงานเลี้ยงแล้ว แต่จะขึ้นไปที่ห้องพักเลย คืนนี้ยังไงผมก็ต้องนอนกับนังนั่น ใครหน้าใหนก็ห้ามผมไม่ได้!”
หลี่เทียนร้องบอกพร้อมกับหันไปมองฉีเสี่ยวชิงด้วยแววตาดุร้าย..
“คืนนี้..ฉันจะต้องแก้แค้นเธอคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่!”
ฉีเสี่ยวชิงยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไรสีหน้าของเธอยังคงเรียบเฉยและเย็นชา จนไม่มีใครสามารถดูออกว่าเวลานี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
……….
ห้องจัดเลี้ยงนี้มีขนาดใหญ่และหรูหรามาก มันถูกออกแบบมาสำหรับการจัดเลี้ยงขนาดใหญ่สำหรับชนชั้นสูง ร่ำรวย และมีอำนาจ แทบไม่น่าเชื่อว่าโต๊ะจีนทั้งสามสิบหกโต๊ะเวลานี้จะมีแขกนั่งกันอยู่เนืองแน่นได้..
ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่นี้มีทางเดินกว้างที่ทอดจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก และทั้งสองฝั่งนั้นก็มีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่อยู่ด้านละห้อง
แน่นอนว่าห้องส่วนตัวหรูหราขนาดใหญ่นี้มีไว้สำหรับรับแขกระดับวีไอพีเท่านั้น เพราะแขกระดับนี้คงจะไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่มีเสียงดังหนวกหูได้..
ภายในห้องส่วนตัวขนาดหนึ่งร้อยตารางเมตรนี้สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเมื่อเดินเข้าไปในห้องก็คือโต๊ะหมุนขนาดใหญ่มาก และสามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมกันได้อย่างน้อยยี่สิบสี่คนเลยทีเดียว
หลี่จิ่วเจียง– ผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ก็นั่งอยู่กับเพื่อนๆของเขาในห้องนี้ด้วย และผู้ที่จะสามารถนั่งร่วมโต๊ะอยู่ในห้องส่วนตัวนี้กับหลี่จิ่วเจียงได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้คือ มีฐานะร่ำรวย และเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองจิงฉู!
ในบรรดาแขกวีไอพีที่อยู่ในห้องส่วนตัวนี้มีข้าราชการในมณฑลเจียงหนานอยู่แปดคน ส่วนอีกหกคนก็เป็นผู้อำนวยการของสำนักงานการศึกษาอีกหกแห่ง..
นอกเหนือจากนั้นก็มีเลขานุการของหลี่จิ่วเจียงอีกสองคนซึ่งเป็นชายหนึ่งคน และหญิงหนึ่งคน..
ในห้องรับรองส่วนตัวนั้นยังมีคนสำคัญในเมืองจิงฉูอีกถึงสองคนซึ่งก็คือเสียเจิ้นเทียนกับกู่เหลียนเฉิงนั่นเอง..
นอกจากนั้นก็ยังมีชายสามคนที่มีสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ความรู้สึกพวกเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาและรองเท้าอย่างคนธรรมดาๆ แต่กลับนั่งอยู่ในตำแหน่งระดับวีไอพีข้างซ้ายและขวาของหลี่จิ่วเจียง..
แม้ทั้งสามคนจะแต่งตัวพื้นๆแต่หลี่จิ่วเจียงกลับมีมารยาท และดูเคารพนบนอบชายทั้งสามอย่างมาก..
และเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้หลี่จิ่วเจียงต้องมีมารยาทกับชายลึกลับทั้งสามคนนั้นก็คือ..พวกเขาคือคนของตระกูลซันแห่งปักกิ่งนั่นเอง!
“คุณเสีย..ผมว่าคุณไม่ต้องกังวลใจมากจนเกินไปนัก! หลิงหยุนเพิ่งจะอายุแค่สิบแปดปี จะสักเท่าไหร่กันเชียว!”
หลี่จิ่วเจียงพูดพร้อมกับยกมือขึ้นหมุนถาดกลมบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ยี่หระเขาสังเกตุเห็นว่าเก้าอี้ที่ได้เตรียมไว้ให้กับหลู่กวนหวัง – ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาประจำเมืองจิงฉูนั้นยังคงว่างเปล่า..
บทที่ 842 : ถูกหลิงหยุนกดดัน!
เสียเจิ้นติงในวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่นอีกทั้งยังเป็นชายผิวขาวสะอาดสะอ้าน และหล่อเหลาอย่างมาก รูปร่างหน้าตาของเขานั้นไม่ต่างจากพระเอกหนังในยุค 60 หรือ 70 เลย ผิวพรรณและหน้าตานั้นบ่งบอกว่าเป็นผู้ดี และเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดี
แต่เวลานี้สีหน้าของเสียเจิ้นติงกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมาก ต่างจากสีหน้าที่ไร้กังวลอย่างสิ้นเชิงของหลี่จิ่วเจียง
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลี่จิ่วเจียงแล้วเสียเจิ้นติงก็ถึงกับขมวดคิ้ว และกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความวิตกกังวลเช่นเคย
“ผู้อำนวยการหลี่..ผมมีความคิดเห็นค่อนข้างแตกต่างจากคุณในเรื่องของหลิงหยุน!”
เสียเจิ้นติงตอบกลับหลี่จิ่วเจียงอย่างมีมารยาทแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับหลี่จิ่วเจียงอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก และเลือกที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลอีกด้วย
แต่จะว่าไปแล้วด้วยสถานะของแขกที่อยู่ในห้องรับรองหรูหรานี้ความจริงแล้วก็ไม่น่าจะโคจรมานั่งร่วมโต๊ะกันได้เช่นนี้ เพราะแขกส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องนั้นล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการระดับสูงที่มาจากมณฑลเจียงหนานทั้งสิ้น
และที่ดูเหมือนไม่เขาพวกก็เห็นจะมีเสียเจิ้นติงกู่เหลียนเฉิง และแขกรับเชิญที่ดูลึกลับอีกสามคน..
ในประเทศจีนนั้น..การแบ่งระดับชนชั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเคร่งครัด และมีหลายเรื่องที่ควรต้องหลีกเลี่ยง
เสียเจิ้นติงนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเมืองจิงฉูแต่หลี่จิ่วเจียงนั้นเป็นผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ทั้งสองคนไม่เพียงมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน แต่ยังอยู่ในสายงานที่แตกต่างกันด้วย อีกทั้งยังไม่ใช่เพื่อนที่สนิทสนมกัน จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะโคจรมาร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ได้
เสียเจิ้นติงนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้านเศรษฐกิจของเมืองนี้หากจะพูดถึงเรื่องอำนาจและโอกาสในการทำเงินนั้น เขาสามารถทำเงินได้มากกว่าหลี่จิ่วเจียงอย่างแน่นอน
เพราะเพียงแค่ลายเซ็นของเสียเจิ้นติงนั้นก็นับได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ และเป็นแหล่งรายได้ของเขาเลยก็ว่าได้!
ส่วนหลี่จิ่วเจียงนั้นแม้ว่าจะเป็นข้าราชการระดับมณฑลแต่ก็มีเส้นทางในการหาเงินได้ไม่มากเท่าเสียเจิ้นติง หรืออาจจะพูดได้ว่าต่างกันหลายขุมเลยก็ได้!
ทั้งคู่ต่างก็มีความโดดเด่นกันคนละด้านและหากด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ เสียเจิ้นติงก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวลีบตัวเล็กมากจนเกินไปเมื่อยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเจียว..
แต่สำหรับบุคคลในแวดวงราชการนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เงินทอง แต่กลับเป็นผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อำนาจบารมี และโอกาสในการไต่เต้าต่างหาก และหากเปรียบเงินทองกับสิ่งที่พูดมา เงินทองจึงไม่ต่างจากโคลนตรม!
หลี่จิ่วเจียงนั้นมีตระกูลซันหนุนหลังอยู่จึงนับว่าได้เปรียบเสียเจิ้นติงหนึ่งขั้น ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑล แต่ก็กำลังรอที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง หากไม่มีอะไรผิดพลายมากมาย อย่างน้อยหลี่จิ่วเจียงก็ต้องได้เข้ารับตำแหน่งในปักกิ่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาอย่างแน่นอน!
แต่ถึงแม้จะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งในตอนนี้แต่ตำแหน่งนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่อย่างแน่นอน..
ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายของหลี่จิ่วเจียงที่ชื่อหลี่ซันเจียง ก็เป็นถึงนายกเทศมนตรีของเมืองฮู๋ตงซึ่งนับว่าตำแหน่งสูงกว่าเสียเจิ้นติงถึงสองขั้น
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเมืองฮู๋ตงนั้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาสูงสุดและยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศนี้อีกด้วย จึงนับว่าเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างมีอำนาจมาก..
และด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้หนุ่มเพลย์บอยอย่างหลี่เทียนสามารถทำตัวกร่าง และข่มเหงรังแกผู้อื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ได้
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เสียเจิ้นติงจึงต้องให้ความเคารพหลี่จิ่วเจียงซึ่งมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง และไม่กล้าที่จะแสดงความขัดแย้งอย่างออกหน้าออกตานัก..
เหตุใดเสียเจิ้นติงจึงกังวลเรื่องของหลิงหยุนมากอย่างนั้นหรือ
นั่นก็เพราะตระกูลเสียเองก็มีปัญหาอยู่กับหลิงหยุน!
หากเป็นเพียงปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งกันเล็กๆน้อยๆภายในโรงเรียนเสียเจิ้นติงคงจะยอมเสียหน้าไปขอโทษหลิงหยุนด้วยตัวเองแล้ว เพราะส่วนใหญ่ความขัดแย้งของเด็กนักเรียนก็มีเพียงแค่ความหึงหวง เหตุใดจึงต้องจบลงถึงขั้นเอาชีวิตกันเล่า
แต่เพราะเสียเจิ้นติงนั้นมีงานยุ่งเขาทำงานทั้งวันหยุดสัปดาห์ และเข้าประชุมแทบทุกวัน เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการแสวงหาอำนาจจนไม่มีเวลาสอบถามลูกชายเกี่ยวกับเรื่องภายในโรงเรียน..
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็มั่นใจว่าด้วยฐานะและความสามารถของเสียเจิ้นเหยินนั้น คงจะมีแต่ลูกชายของเขาที่จะไปข่มเหงรังแกคนอื่น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครกล้าข่มเหงรังแกลูกชายของเขา..
และเรื่องแรกที่เสียเจิ้นติงได้ฟังจากปากของเสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะก็คือเรื่องที่ทั้งคู่ไปเดิมพันไว้กับหลิงหยุนนั่นเอง
หลังจากที่สอบถามลูกชายอย่างละเอียดแล้วก็ได้ความว่าทั้งสองฝ่ายได้วางเงินเดิมพันกันถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน และเงินจำนวนนั้นก็เป็นของกู่เหลียนเฉิง
และสิ่งที่ได้รู้หลังจากนั้นก็คือหลิงหยุนซึ่งเคยเป็นฝ่ายถูกข่มเหงรังแกมาตลอดนั้น จู่ๆในมัธยมปลายเทอมสุดท้าย ก็กลับเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่กล้าข่มเหงรังแกลูกชายของเขา!
และเรื่องราวก็เริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นหลังจากคืนวันเชงเม้งนั่นเพราะหลิงหยุนได้หายตัวไป ซันเทียนเปียวจึงพายอดฝีมือมาหลายร้อยคน และจัดการควบคุมเมืองจิงฉูไว้ทั้งเมือง
และสาเหตุก็คือลูกและภรรยาของซันเทียนเปียวรวมทั้งคนสำคัญของตระกูลซันอีกหลายคนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนวันเชงเม้งคนเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่พบเห็นแม้แต่ศพ!
และด้วยความร่วมมือของเสียเจิ้นติงกับหลัวจ้งทำให้สามารถตระกูลซันสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้ภายในม้วนเดียว และสามารถควบคุมจิงฉูไว้ได้ทั้งเมือง
ผลก็คือ..หลี่ยี่เฟิงต้องถูกสอบสวนทางวินัย และถังเทียนห่าวถูกกักบริเวณ ประโยชน์ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เสียเจิ้นติงกับหลัวจ้ง..
เมื่อเหตุการณ์พลิกกลับมาเช่นนี้ลูกชายของเขาเสียเจิ้นเหยิน จึงได้ร่วมมือกับกู่หยุนฟะและหลู่เจิ้งเทียนทำร้ายถังเมิ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบพิการ เรียกได้ว่าพ่อจัดการถังเทียนห่าว ส่วนลูกจัดการถังเมิ่ง!
และจากสาเหตุทั้งหมดนี้ทำให้จากเรื่องขัดแย้งเล็กน้อยภายในโรงเรียน ได้ลุกลามใหญ่โตถึงขั้นเป็นศัตรูที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อกัน!
ถึงแม้เสียเจิ้นติงจะรู้สึกว่าลูกชายของตนเองนั้นทำเกินไปแต่เวลานั้นเขาเองก็มีตระกูลซันหนุนหลังอยู่ จึงเพียงแค่ตำหนิเสียเจิ้นเหยินไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึงก็คือว่า..จู่ๆหลิงหยุนก็กลับมา และหลังจากนั้นสถานการณ์ทุกอย่างก็พลิกกลับด้านทันที!
หลัวจ้งถูกจัดการภายในวันเดียวซันเทียนเปียวถูกสังหารในคืนนั้น และยอดฝีมือที่เขาพามาด้วยนับร้อยๆคนก็ถูกสังหารตายจนเกือบหมด เรียกได้ว่าไม่มีใครเลยที่สามารถรอดออกจากจิงฉูได้ในสภาพปกติ!
ในเมื่อสถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนี้เสียเจิ้นติงจึงรู้ว่าแนวโน้มต่อไปจะเป็นเช่นไร เขาจึงรีบไปปรึกษากับหลู่กวนหวังและกู่เหลียนเฉิงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรีบจัดการให้ลูกๆของตนเองหลบหนีออกจากจิงฉูทันที!
เพราะพวกเขาต่างก็เรียนรู้แล้วว่า..ภายใต้อารมณ์โกรธของหลิงหยุนนั้น ลูกชายของพวกเขาทั้งสามคนมีสิทธิ์ที่จะตายได้ตลอดเวลา!
แต่ก็นับว่าโชคดีที่ปีศาจทั้งสามสามารถหลบหนีออกจากเมืองจิงฉูได้ทันเวลาอีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไล่ล่าตามหาพวกมันด้วย แต่ถึงกระนั้นเสียเจิ้นติงเองก็ไม่เคยวางใจในเรื่องนี้..
หลังจากคืนวันเชงเม้งตระกูลซันก็ถูกหลิงหยุนทำลายจนสิ้นซาก หลี่ยี่เฟิงก็กลับเข้ารับตำแหน่งคืนดังเดิม ส่วนถังเทียนห่าวก็ได้ขึ้นมาแทนที่หลัวจ้ง และในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองจิงฉูไว้ได้ทั้งหมด
และทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นก็ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแต่เพียงผู้เดียว!
หลัวจ้งจบสิ้นแล้วและถึงแม้เสียเจิ้นติงจะรอด แต่ก็แทบไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใดอีก จะเรียกว่าเหลือตัวคนเดียวก็ได้! แม้กระทั่งคนที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ยังหักหลังเขาไปพึ่งใบบุญของหลี่ยี่เฟิงแทน!
เสียเจิ้นติงเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆและรู้สึกราวกับถูกตาข่ายที่มองไม่เห็นค่อยๆรัดรึงแน่นขึ้นทุกวันๆ เพราะถึงแม้หลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าวจะไม่เล่นงานเขาอย่างจริงจัง แต่ตลอดที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ไม่เคยเห็นหัวเขาเลยแม้แต่น้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น..ตลอดหลายปีที่ทำงานร่วมกับหลี่ยี่เฟิงมานั้น เสียเจิ้นติงรู้จักคนอย่างหลี่ยี่เฟิงดีว่า จะไม่ลงมือกับใครหากไม่มั่นใจ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือแล้ว ก็ยากนักที่คนผู้นั้นจะสามารถรับมือได้..
เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงเสียเจิ้นติงยังเกรงว่าแม้แต่เสียเจิ้นถังพี่ชายของเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ที่ปักกิ่งนั้น ก็คงยากที่จะปกป้องเขาได้!
ตลอดเวลากว่าสามเดือนนั้นเสียเจิ้นติงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาทำงานด้วยความระมัดระวัง หลังจากเสร็จงานก็รีบกลับบ้านล็อคประตู เรื่องความสุขจากการเดินทางหรือสถานที่บันเทิงนั้นถูกยกเลิกทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายจับตัวไป
ระหว่างที่ต้องระมัดระวังตัวอย่างมากนั้นเสียเจิ้นติงก็ต้องทำงานอย่างหนักร่วมกับพี่ชายของเขา เพื่อให้พี่ชายของเขาช่วยวิ่งเต้นโยกย้ายตนเองออกจากจิงฉู..
อีกทั้งยังหวังพึ่งพาและได้รับการหนุนหลังจากตระกูลซันอีกด้วย..
ที่ผ่านมานั้น..เสียเจิ้นติงไม่เคยได้ลิ้มรสของการนอนหลับสนิท และความกดดันเช่นนี้มาก่อนเลย!
และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นแรงกดดันที่เกิดจากหลิงหยุนเขาต้องคอยวิตกกังวลว่า หลิงหยุนจะโผล่มาทีหน้าประตูบ้านของตนเองเวลาใหน
แต่ถึงกระนั้น..หลังจากพายุผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ เสียเจิ้นติงก็พบว่าหลิงหยุนไม่เคยมายุ่งวุ่นวายกับเขาเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนทำราวกับว่าไม่มีคนชื่อเสียเจิ้นติงอยู่บนโลกใบนี้!
และนั่นทำให้เสียเจิ้นติงรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมากว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่มาจัดการกับเขาอย่างที่ทำกับหลัวจ้ง..!
และยิ่งรู้สึกแปลกใจมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น!
เมื่อไหร่หลิงหยุนจึงจะลงมือจัดการกับตนเองเสียที
เสียเจิ้นติงที่พ่ายแพ้อย่างยังเยินต้องอยู่ภายใต้ความรู้สึกกดดันเช่นนี้มาตลอดหลายเดือน จนกระทั้งเมื่อหลายวันที่ผ่านมา หลู่กวนหวังก็ได้มาพบเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้น และบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างให้เขารู้ ทำให้เขาจึงรู้สึกราวกับได้ชีวิตใหม่กลับมา..
และนั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเสียเจิ้นติงจึงมาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องรับรองระดับวีไอพีที่หรูหราแห่งนี้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 845-846

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 845-846 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 845 : ปล่อยผู้หญิงคนนั้น!
  “ยินดีต้อนระ..”
  “ห๊ะ!”
  หญิงสาวทั้งหกคนที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกในวันนี้นับว่าถูกอบรมมาเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ประตูลิฟท์เปิดออก พวกเธอจะรีบเอ่ยทักทายทุกคนที่เดินออกมาทันที และเมื่อหลิงหยุนเดินออกมาจากลิฟท์ หญิงสาวทั้งหกคนก็รีบโค้งตัวลง และเอ่ยต้อนรับเป็นอัตโนมัติ..
  แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคดีหญิงสาวทั้งหกคนก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงพร้อมกันเป็นเสียงเดียว!
  เวลานี้หลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9และสามารถที่จะเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ทุกเมื่อ รูปร่างและผิวพรรณของเขาจึงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ อีกทั้งยังมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างเห็นได้ชัด
  และเพียงแค่กลิ่นหอมจางๆที่กระจายออกมาจากร่างกายของหลิงหยุนก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวทั้งหกคนงุนงงเคลิบเคลิ้มได้อย่างรวดเร็ว
  หลิงหยุนเดินยิ้มอย่างมีเสน่ห์ออกมาจากลิฟท์ลักยิ้มแก้มซ้ายบุ๋มลงไปอย่างน่ามอง รอยยิ้มของหลิงหยุนดูลึกลับ ท่วงท่าการเดินมั่นอกมั่นใจ และดูสงบเยือกเย็น
  ด้วยรูปลักษณ์และเสน่ห์ของหลิงหยุนนั้นไม่แปลกที่บรรดาหญิงสาวจะมีลักษณะอาการเช่นนั้น!
  “คนอะไรหล่อขนาดนี้..!”
  หลังจากที่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงหนึ่งในหญิงสาวก็ร้องบอกสิ่งที่ตนเองคิดออกมา..
  สิ่งที่น่าขันก็คือว่าหญิงสาวคนอื่นๆที่ยังคงอยู่ในอาการตาค้างนั้น ก็เอาแต่พยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาวผู้นั้น
  “ขอบคุณครับ..คุณเองก็สวยมากเช่นกัน!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับกวาดสายตามองไปยังหญิงสาวที่เอ่ยชมตนทั้งสายตาและคำพูดของหลิงหยุนทำให้หญิงสาวผู้นั้นถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ใบหน้าแดงก่ำ และไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก..
  ภาพของหลิงหยุนที่เดินเข้ามาในงานนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับหญิงสาวทั้งหกคนได้มากยิ่งกว่าการปรากฏตัวของสาวงามทั้งหกก่อนหน้านี้เสียอีก
  เสี่ยวเม่ยหนิงและหนิงหลิงยู่ที่อยู่ในชุดราตรีงดงามกำลังก้าวเดินตามหลิงหยุนออกมาจากลิฟท์เช่นกัน
  เสี่ยวเม่ยหนิงเดินตามหลิงหยุนออกมาก่อนและรีบตรงเข้าไปกอดแขนข้างซ้ายของหลิงหยุนไว้แน่น ดวงตากลมโตคู่สวยของเธอกวาดมองไปรอบๆบริเวณ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล..
  “เขาเป็นแฟนของฉันเอง!”
  “พี่หลิงหยุน..เข้าไปข้างในกันดีกว่า!”
  หลังจากที่เด็กสาวตัวแสบแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหลิงหยุนเรียบร้อยแล้วเธอก็เอ่ยปากชวนหลิงหยุนให้เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงทันที
  “เอ่อ..ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้เหรอคะ”
  หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้านั้นในที่สุดก็ได้สติใบหน้าของเธอแดงก่ำ และไม่กล้ามองหน้าหลิงหยุนตรงๆ จึงได้แต่เอ่ยถามออกมาอย่างเขินอาย
  “ครับ..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆ
  และในเวลานั้นเอง..หนิงหลิงยู่ก็เดินออกมาจากลิฟท์พอดี เธอก้าวเท้าเดินออกมาอย่างนุ่มนวล และตรงเข้าไปกอดแขนข้างขวาของหลิงหยุนไว้ พร้อมกับส่งยิ้มที่งดงามชวนฝันราวกับเทพธิดาให้กับทุกคน
  “เอ่อ..กรุณาตามดิฉันมาทางนี้ค่ะ..”
  หญิงสาวที่เป็นหัวหน้าตอบพร้อมกับเดินนำหลิงหยุนและคนอื่นเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงทันที
  แต่หลิงหยุนกลับยิ้มพร้อมกับปฏิเสธ“ขอบคุณครับ.. พวกเราเดินเข้าไปเองได้!”
  สำหรับโรงแรมระดับห้าดาวนั้นจะไม่สร้างลิฟท์ไว้ที่หน้าห้องจัดเลี้ยง ดังนั้นจากลิฟท์ไปถึงห้องจัดเลี้ยงก็ต้องเดินเลี้ยวไปอีกสองครั้ง
  แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะมาที่โรงแรมแห่งนี้เป็นครั้งแรกแต่เขาก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูทั่วทั้งชั้นก่อนหน้านี้แล้ว จึงได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
  “คนอะไรหล่อมากจริงๆฉันไม่เคยเห็นใครหล่อเหมือนเขามาก่อนเลย..”
  “เฮ้อ..ถ้าได้อยู่ใกล้ๆสักครู่หนึ่ง ก็คงจะดีไม่น้อย..”
  “นี่..พวกเธอสองคนอย่าเผลอมองเขานานนักล่ะ ไม่เห็นสาวสวยสองคนที่มากับเขาเหรอ โดยเฉพาะคนที่อยู่ทางขวามือน่ะ สวยอย่างกับนางฟ้าแน่ะ!”
  “อืมม..”
  หญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกทั้งหกคนได้แต่มองตามแผ่นหลังของหลิงหยุน และสาวงามข้างกายไปด้วยแววตาราวกับคนอกหัก..
  ทางด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงเวลานี้..หลี่เทียนกำลังนั่งเอามือซ้ายกุมแก้มของตนเอง ส่วนมือขวาก็กำลังพยายามลูบไล้แขนนวลเนียนของฉีเสี่ยวชิง
  หลังจากที่ชีเต๋อเปียวเข้าไปรายงานเลขาหวังแล้วก็กลับมาดูเหตุการณ์ที่ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงต่อ และหลี่เทียนก็ต้องการที่จะพาฉีเสี่ยวชิงขึ้นไปบนห้องเพรสซิเดนท์สูทเดี๋ยวนี้ให้ได้!
  หลี่เทียนปล่อยมือซ้ายที่กุมแก้มออกและพยายามยื่นออกไปลวนลามฉีเสี่ยวชิงหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็พยายามหลีกเลี่ยง หลี่เทียนจึงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
  “สาวงามเมื่อครู่ทำให้เลือดในกายของฉันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีตอนนี้ฉันรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวแล้ว เธอต้องขึ้นไปบนห้องกับฉันเดี๋ยวนี้!”
  หลี่เทียนร้องตะโกนออกมาพร้อมกับดันร่างของฉีเสี่ยวชิงเข้าไปติดกำแพงและพยายามที่จะลวนลามเธอ น้ำใสๆที่เกิดจากความอัปยศอดสูไหลออกมาอาบแก้มของฉีเสี่ยวชิงจนเปียกไปหมด
  “กรุณาปล่อยฉันไปเถอะนะ..ได้โปรด.. ฉันไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้จริงๆ!”
  ฉีเสี่ยวชิงพยายามร้องขอความเมตตาจากหลี่เทียน..
  หลี่เทียนหัวเราะออกมาอย่างสะใจและตอบกลับไปอย่างไร้ปราณี “ปล่อยเธอไปตอนนี้น่ะเหรอ มันสายไปแล้วล่ะ!”
  แม้แต่ชีเต๋อเปียวที่เห็นเหตุการณ์ก็ยังหันไปพูดกับฉีเสี่ยวชิงว่า “ฉีเสี่ยวชิง.. ครูว่าเธอตามหลี่เทียนขึ้นไปบนห้องจะดีกว่า หาก”
  ชีเต๋อเปียวที่เห็นเหตุการณ์แม้แต่เขายังถึงกับหน้าแดง และได้แต่พูดออกมาว่า “ฉีเสี่ยวชิง.. ครูว่าเธอตามหลี่เทียนขึ้นไปข้างบนจะดีกว่า การที่หลี่เทียนสนใจเธอแบบนี้ หากเธอทำให้หลี่เทียนพอใจก็จะดีกับอนาคตในวันข้างหน้าของตัวเอง..”
  หลี่เทียนก้าวเท้าเข้าไปอีกพร้อมกับแสยะยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “เดินไปเดี๋ยวนี้! หรือจะรอให้บอดี้การ์ดของฉันมาถึงก่อน แล้วค่อยให้พวกมันอุ้มเธอขึ้นไปบนห้อง!”
  “ฉีเสี่ยวชิง..ฉันจะบอกอะไรให้นะ เรื่องอย่างว่าเป็นงานอดิเรกของฉันเลยล่ะ! ถ้าเธอยังไม่ยอมเดินขึ้นไปดีๆ รอจนบอดี้การ์ดของฉันมาถึงแล้วล่ะก็ ฉันจะให้พวกมันนั่งล้อมเตียงดูเราสองคนมีอะไรกัน! แบบนั้นก็ตื่นเต้นเร้าใจดีเหมือนกันนะ!”
  หลี่เทียนพูดไปก็หัวเราะไปราวกับคนคลุ้มคลั่งมันช่างไร้ยางอายสิ้นดี!
  “ไม่นะ..ได้โปรดอย่าทำอะไรแบบนั้น!”
  ฉีเสี่ยวชิงพูดออกมาด้วยความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง เธอหลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมา เพราะรู้ตัวดีว่าคืนนี้ตนเองคงไม่สามารถหนีพ้นชะตากรรมในครั้งนี้ได้..
  แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาเสียงนั้นดังราวกับมังกรคำราม ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ถึงกับตกใจ..
  “ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้!”
  ยังไม่ทันที่ร่างของหลิงหยุนจะปรากฏแต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นก่อนแล้ว และน้ำเสียงของหลิงหยุนก็บ่งบอกว่ากำลังโกรธมากอีกด้วย
  หลี่เทียนที่กำลังเตรียมตัวจะลากฉีเสี่ยวชิงขึ้นไปบนห้องก็ถึงกับอึ้งไปทันทีเมื่อเสียงดังขึ้น เขารีบหันหลังกลับไปดูพร้อมกับตะโกนออกไปว่า
  “ใครใครกล้าทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของฉัน?”
  หลี่เทียนหันกลับมาแต่ก็ไม่พบเจอใครสีหน้าของมันบ่งบอกว่ากำลังงุนงงอย่างมาก และได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่าเมื่อครู่เขาก็เพิ่งถูกทำร้ายร่างกาย หรือนี่จะเป็นภาพลวงตา
  แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตา!
  เพราะภายในเวลาเพียงแค่สิบวินาทีคนสามคนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลี่เทียน เมื่อมันได้เห็นก็ถึงกับตกใจจนแทบช็อค!
  “กะ..แกเองเหรอ!”
  ใบหน้าของหลี่เทียนเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำขึ้นมาทันทีและเมื่อเห็นหลิงหยุนปรากฏตัว มันก็ตกใจจนลืมความเจ็บปวดที่แก้มซ้าย และปากก็สั่นจนฟันกระทบกัน จากนั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแม้แต่คำเดียว!
  “ใช่..ฉันเอง! พบกันอีกครั้งแล้วสินะ..”
  หลิงหยุนสะบัดแขนเบาๆด้วยความนุ่มนวลเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของหนิงหลิงยู่และเสี่ยวเม่ยหนิงแล้วจึงเดินตรงเข้าไปที่หน้าห้องจัดเลี้ยงพร้อมกับแสยะยิ้ม และจ้องมองหลี่เทียนด้วยสายตาคมกริบ!
  “กะ..แกมาที่นี่ทำไม”
  เมื่อหลี่เทียนเห็นหลิงหยุนเขาก็ลืมฉีเสี่ยวชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังไปทันที แล้วรีบหันไปมองชีเต๋อเปียวด้วยสีหน้าหวาดกลัว และตื่นตระหนก
  ก่อนหน้านี้หลี่เทียนถูกหลิงหยุนกับพวกทำร้ายร่างกายจนน่วมจนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เมื่อได้พบหลิงหยุนอีกครั้ง จึงมีสภาพไม่ต่างจากหนูที่อยู่ต่อหน้าแมว..
  หลิงหยุนมองหลี่เทียนที่อยู่ในอาการหวาดผวาด้วยแววตาเย้ยหยันภาพที่เห็นจึงไม่ต่างจากแมวที่กำลังจ้องมองลูกหนูตัวเล็ก เขาแสยะยิ้มพร้อมกับพูดออกมาอย่างเหยียดหยัน
  “ฉันมาที่นี่ทำไมน่ะเหรอ!ฉันคิดว่าแกน่าจะรู้ดีกว่าใคร?”
  หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบรอยยิ้มก็มลายหายไปจากใบหน้าของเขาทันที..
  ชีเต๋อเปียวเห็นหลิงหยุนก็กลัวว่าหลี่เทียนจะได้รับอันตราย จึงรีบออกมาขวางไว้ทันที! แล้วร้องถามหลิงหยุนว่า
  “คุณเป็นใคร..”
  แต่หลิงหยุนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
  “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้!”
  เหตุการณ์ทั้งหมดบนชั้นห้าของโรงแรมไคเฉวียนแห่งนี้หลิงหยุนล่วงรู้ทุกอย่าง และเขาก็รู้ว่าชีเต๋อเปียวไม่เพียงไม่ใช่คนดี แต่ยังเป็นยิ่งกว่าขยะติดเชื้อที่น่ารังเกียจเสียอีก..
  เพียงเพื่อต้องการได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งและมีอนาคตในวงราชการที่ดี เขาถึงกับยอมช่วยบีบบังคับให้นักเรียนหญิงไปปรนเปรอหลี่เทียน การกระทำเช่นนี้จะดีไปกว่าขยะติดชื้อได้อย่างไรกัน
  แต่หลิงหยุนคงจะยังไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้มีครูที่ทำตัวน่ารังเกียจยิ่งกว่าขยะติดเชื้ออีกมากมาย บางรายถึงกับบังคับเด็กนักเรียนให้นอนกับตนเองด้วยซ้ำไป!
  “นี่..อย่ามาตะโกนโหวกเหวกแถวนี้! ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สาธารณะ ใครอนุญาตให้แกขึ้นมา”
  ชีเต๋อเปียวถูกหลิงหยุนหักหน้าเช่นนั้นก็โมโหจึงร้องตะโกนถามหลิงหยุนกลับไปทันที
  หลิงหยุนไม่ตอบโต้และยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วฝ่ามือขึ้นโบก
  เพียะ!
  ลมปราณพุ่งออกจากฝ่ามือของหลิงหยุนกระทบเข้ากับใบหน้าของชีเต๋อเปียวอย่างแรงและตบนี้ก็รุนแรงเสียยิ่งกว่าตบของไป๋เซียนเอ๋อ
  เหตุใดหลิงหยุนจึงใช้ลมปราณตบหน้าชีเต๋อเปียวน่ะหรือก็เพราะเขาเกรงว่าฝ่ามือของตนเองจะสกปรกน่ะสิ!
  “นี่แก..!”
  ชีเต๋อเปียวกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตนเองไว้
  จากนั้นหลิงหยุนจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก“ข้าไม่เพียงจะตะโกนใส่หน้าเจ้า แต่ยังจะตบเจ้าด้วย! หลบไปให้พ้น.. ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลาที่จะสนใจคนอย่างเจ้า!”
  และลมปราณจากฝ่ามือของหลิงหยุนก็ทำให้ฟันเกือบครึ่งปากของชีเต๋อเปียวหลุดร่วงลงมาทันที และไม่กล้ายืนขวางหน้าอีก!
  “หลี่เทียน..ดูแกช่างมีความสุขกับการรังแกผู้อื่นมากจริงๆ! ถึงเวลาที่แกต้องได้รับผลกรรมนั้นแล้ว..”
  หลังจากที่จัดการกับชีเต๋อเปียวแล้วหลิงหยุนก็จัดการใช้ลมปราณตบหน้าหลี่เทียนอีกหลายครั้ง
  “โอ๊ย…”
  หลี่เทียนกรีดร้องออกมาและพบว่าตนเองไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เท่านั้นยังไม่พอ.. หลิงหยุนกระโดดเตะเข้าไปสีข้างของหลี่เทียน และร่างมันก็ลอยละลิ่วออกไปไกลก่อนจะร่วงกระแทกกับพื้นอย่างแรง แทบไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย..
  และเวลานี้ระหว่างหลิงหยุนกับฉีเสี่ยวชิงก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอยู่อีก..
  หลิงหยุนจ้องมองฉีเสี่ยวชิงด้วยความสงสารก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
  “ฉีเสี่ยวชิง..ผมสั่งให้ถังเมิ่งทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้คุณแล้วนี่ ในเมื่อคุณถูกรังแกแบบนี้ ทำไมถึงไม่โทรหาเขาล่ะ!”
บทที่ 846 : กลัวจนพูดไม่ออก!
  เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนดูราวกับเทพที่มาจุติบนโลกมนุษย์เช่นนี้ที่เมื่อจู่ๆก็ปรากฏตัวต่อหน้าตนเอง และประเคนทั้งเท้าทั้งหมัดใส่ร่างของหลี่เทียนจนลอยละลิ่วไปกองกับพื้น จากนั้นจึงหันไปจัดการกับคนชั่วชีเต๋อเปียวต่อ ฉีเสี่ยวชิงจึงได้แต่ยืนตกตะลึง..!
  หลิงหยุนมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงและไม่ไต่ถามใดๆให้มากความ ก็ตรงเข้าจัดการคนสารเลวทั้งสองคนทันที..
  กลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน!
  ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อและอัศจรรย์ใจยิ่งนักทุกครั้งที่เธอถูกหลี่เทียนข่มเหงรังแกจนตกอยู่ในความทุกข์ใจแสนสาหัส ก็มักจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นทุกครั้งเช่นกัน และปาฏิหาริย์ที่ว่านี้ ก็คือการที่หลิงหยุนสามารถมาช่วยเธอได้ทันเวลาทุกครั้งไป!
  แต่ทุกครั้งก็จะเกิดปาฏิหารย์ขึ้นทุกครั้ง นั่นก็คือหลิงหยุนจะมาช่วยเธอได้ทันเวลาทุกครั้ง
  แม้ฉี่เสี่ยวชิงจะเก่งวิชาคณิตศาสตร์มากและสามารถทำคะแนนสอบได้เต็ม แต่เธอก็ไม่สามารถคำนวณความน่าจะเป็นในเรื่องนี้ออกมาได้!
  หากจะเปรียบเทียบกับการซื้อล็อตเตอรี่ฉีเสี่ยวชิงก็ไม่ต่างจากการถูกรางวัลที่หนึ่ง..
  หรือว่านี่จะเป็นสิ่งเทพที่ฟ้าประทานลงมาให้เพื่อปกป้องคุ้มครองเธอ!
  ฉีเสี่ยวชิงรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูกหัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความดีใจ ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตานั้นจ้องมองหลิงหยุนด้วยความงุนงง!
  แต่เนื่องจากฉีเสี่ยวชิงเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจนและเป็นพี่สาวคนโต เธอจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง และสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระดับหนึ่ง หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ก็สามารถเรียกสติของตนเองกลับมาได้
  เธอยกแขนที่เรียวงามนั้นขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนและในที่สุดก็สามารถเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
  แววตาของฉีเสี่ยวชิงดูมีความหวังขึ้นมากแต่แล้วก็จางหายไปในเวลาอันรวดเร็วพร้อมกับเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยแทน เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้มและแหบแห้ง..
  “หลิงหยุน..ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้อีกครั้ง แต่..”
  ฉีเสี่ยวชิงนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตัดใจพูดออกไปอย่างกล้าหาญ “แต่ต่อให้คุณช่วยฉันได้หนึ่งครั้ง.. หรือสองครั้ง ก็คงจะไม่มีครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งต่อๆไป..”
  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ฉีเสี่ยวชิงก็หันไปมองหลี่เทียนด้วยแววตารังเกียจเหยียดหยัน แต่ยังคงไม่ขยับตัวออกจากกำแพง..
  สายตาของฉีเสี่ยวชิงที่มองหลี่เทียนนั้นบ่งบอกว่าเธอรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงหลี่เทียนมากเพียงใด แต่ถึงกระนั้น.. ก็ยังแอบมีแววตาของความหวาดกลัวซ่อนอยู่ด้วย
  สิ่งที่ฉีเสี่ยวชิงพูดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อยตราบใดที่หลิงหยุนไม่ฆ่าหลี่เทียน และตราบใดที่หลี่เทียนยังมีชีวิตอยู่ ฉีเสี่ยวชิงก็ยากที่จะหนีพ้นเงื้อมือของมันได้..
  ในจุดนี้..ฉีเสี่ยวชิงเข้าใจดีกว่าใครๆ
  หลังจากที่หลิงหยุนได้ยินคำตอบของฉีเสี่ยวชิงเขาก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนพร้อมกับให้ความมั่นใจว่า
  “ฉีเสี่ยวชิง..นับจากวันนี้ไป เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณจะผ่านพ้นไป ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม และครั้งที่สี่อีก..”
  หลิงหยุนมองออกว่าฉีเสี่ยวชิงยังคงมีเรื่องกังวลใจแต่เขาแค่ไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดฉีเสี่ยวชิงจึงไม่โทรหาถังเมิ่งหรือตี้เสี่ยวอู๋เมื่อถูกข่มเหงรังแก หรือขอให้คนของแก๊งมังกรเขียวช่วย! เพราะดูแล้วฉีเสี่ยวชิงไม่น่าจะเป็นคนโง่จนถึงขั้นคิดไม่ได้!
  “เอ่อ..เรื่องนั้น” ฉีเสี่ยวชิงพูดเพียงแค่นั้นก็หยุดนิ่ง
  หลิงหยุนรู้ว่าฉีเสี่ยวชิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ยังคงหวาดกลัว เขาจึงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดขึ้นว่า
  “พูดออกมาเถอะ..เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณบ้าง เล่าออกมาให้หมด!”
  ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของหลิงหยุนนั้นช่างมีเสน่ห์ชวนมองและท่วงท่าการยืนที่มั่นคงของเขาก็เปี่ยมไปด้วยพลัง ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้หายหวาดกลัวได้..
  ฉีเสี่ยวชิงมองหลิงหยุนประหนึ่งว่าเขาคือเทพที่ลงมาโปรดเธอจริงๆ!เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องหวาดกลัวอะไรอีก
  แววตาของฉีเสี่ยวชิงเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกไปว่า“พวกมันไม่ให้ฉันมีโอกาสได้โทรหาใครเลย จู่ๆหลี่เทียนก็พาคนมาที่บ้านของฉัน แล้วก็.. แล้วก็เอาโทรศัพท์มือถือของฉันโยนลงพื้นจนแตกกระจายหมด..”
  เพียงแค่ประโยคแรก..ก็ดูเหมือนว่าหลิงหยุนจะเข้าใจทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ฉีเสี่ยวชิงเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ มีหรือที่จะสามารถต่อกรกับบอดี้การ์ดของหลี่เทียนได้!
  จากนั้นหลิงหยุนจึงถามต่อ“แล้วมันหาบ้านของคุณพบได้ยังไง”
  ฉีเสี่ยวชิงมองไปทางชีเต๋อเปียวที่กำลังร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
  “ในทะเบียนของโรงเรียนจะมีรายละเอียดของนักเรียนรวมทั้งที่อยู่ของนักเรียนแต่ละคนด้วย!”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ฉีเสี่ยวชิงพูดต่อพร้อมกับคิดในใจว่า ดูเหมือนชีเต๋อเปียวจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือหลี่เทียนในเรื่องนี้ นี่จะต่างจากการประเคนฉีเสี่ยวชิงให้กับหลี่เทียนตรงใหน!..
  สายตาที่คมกริบและแววตาที่เย็นชาของหลิงหยุนนั้น กวาดไปที่ร่างของหลี่เทียนกับชีเต๋อเปียว ก่อนจะหันมาถามฉีเสี่ยวชิงด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองใจ..
  “แล้ว..มันทำอะไรคุณหรือยัง”
  ใบหน้างดงามของฉีเสี่ยวชิงแดงก่ำขึ้นมาทันทีเธอก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปด้วยท่าทางเขินอาย..
  “ยัง..”ฉีเสี่ยวชิงส่ายหน้า
  “หึ..ก็ถ้ามันทำ.. รับรองว่าผมเตะผ่าหมากมันให้เป็นขันทีแน่!”
  หลิงหยุนได้ฟังก็รู้สึกดีใจและร้องตะโกนบอกโดยที่ลืมคิดไปว่ารอบกายของเขานั้นมีสาวงามล้อมรอบอยู่ถึงสามคน
  ทั้งหนิงหลิงยู่และเสี่ยวเม่ยหนิงต่างก็ยืนฟังหน้าแดงฉีเสี่ยวชิงเองก็เอาแต่ก้มหน้าแดงก่ำของตนเองไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับเล่าต่อว่า..
  “แต่..แต่แม่ของฉันอยู่ในมือของพวกมัน แล้วน้องสาวของฉันก็กำลังป่วยหนัก..”
  หลี่เทียนใช้วิธีนี้ข่มขู่ฉีเสี่ยวชิงไม่เช่นนั้นแล้ว.. ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นของฉีเสี่ยวชิง เธอคงยอมกัดลิ้นตายมากกว่าที่จะยอมเป็นของหลี่เทียนอย่างแน่นอน
  ฉีเสี่ยวชิงเป็นห่วงแม่และน้องสาวของเธอมากจึงจำใจยอมเสียสละตนเองเพื่อให้ทั้งสองคนปลอดภัย
  เมื่อหลิงหยุนได้ฟังเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปหาฉีเสี่ยวชิง แล้วยื่นมืออกไปตบบ่าเธอเบาๆ พร้อมกับพูดปลอบปะโลม..
  “คุณไม่ต้องกังวลใจไปผมรับรองว่าแม่ของคุณจะต้องปลอดภัย ส่วนน้องสาวของคุณ ผมจะรักษาอาการป่วยให้กับเธอเอง!”
  “ห๊ะ!นี่..”
  ฉีเสี่ยวชิงถังกับตกใจจนแทบช็อคอีกครั้ง!และนี่เป็นอีกครั้งที่ดวงตาคู่งามนั้นรื้นไปด้วยน้ำตา แต่ครั้งนี้มันคือน้ำตาแห่งความตื่นเต้นดีใจ!
  หลิงหยุนเปรียบเสมือนพระเอกที่ไม่เพียงขี่ม้าขาวมาช่วยเธอแต่ยังช่วยครอบครัวของเธอไว้ด้วย!
  “เอาล่ะ..คุณไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น! นี่คือหนิงน้อย.. พวกคุณสองคนเคยพบกันมาก่อนแล้ว ส่วนนี่ก็คือหนิงหลิงยู่น้องสาวของผมเอง คุณเองก็น่าจะเคยพบกับเธอในวันสอบเอนทรานซ์ คืนนี้ผมจะให้พวกเธอทั้งสองคนอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
  “แล้วคุณคอยดูว่าผมจะจัดการกับพวกมันยังไง”
  พูดจบ..หลิงหยุนก็กระโดดไปยืนอยู่ตรงหน้าชีเต๋อเปียว เขาก้มมองชีเต๋อเปียวที่กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับสั่งว่า..
  “ถ้าไม่อยากถูกเตะ..ก็คลานไปอยู่ที่เดียวกับไอ้ลูกแหง่นั่น!”
  เคยได้ยินแต่ว่า“โกรธจนพูดไม่ออก..” แต่ตอนนี้ชีเต๋อเปียวกำลังอยู่ในอาการ “กลัวจนพูดไม่ออก..”
  โดยส่วนใหญ่แล้ว..ผู้ที่ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นนั้น มักจะมีสัมผัสที่ดีกว่าคนปกติว่า ใครคือคนที่น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง!
  และชีเต๋อเปียวเองก็สัมผัสได้ว่าหลิงหยุนนั้นทั้งมีพลังอำนาจ และแข็งแกร่งกว่าผู้อำนวยการหลี่ที่อยู่ในห้องรับรองเสียอีก อีกทั้งยังรู้สึกว่าหลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งกว่าชายลึกลับทั้งสามคนด้วย!
  ชีเต๋อเปียวหวาดกลัวหลิงหยุนจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองและไม่กล้าแม้แต่จะร้องคร่ำครวญต่อ มันรีบคลานหลบไปตามคำสั่งของหลิงหยุนทันที
  เวลานี้ชีเต๋อเปียวกำลังสั่นไปทั่วทั้งร่าง!
  “แล้วก็อย่าได้คิดหนีล่ะ!เพราะถึงอย่างไร.. เจ้าก็ไม่มีทางออกไปจากชั้นห้าของโรงแรมนี้ได้ แล้วข้าจะมาจัดการกับเจ้าทีหลัง..”
  หลิงหยุนพูดทิ้งท้ายอย่างไม่แยแสก่อนจะหันไปทางฉีเสี่ยวชิงที่เดินไปยืนอยู่ข้างหนิงหลิงยู่และเสี่ยวเม่ยหนิงเรียบร้อยแล้ว
  หลิงหยุนยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจเมื่อเสียงร้องตะโกนดังขึ้น..
  “รีบหนีเร็วเข้าทุกคน!”
  “รีบโทรแจ้งตำรวจ..บอกว่าจะมีการฆ่ากันตายที่นี่!”
  เจ้าหน้าที่การเงินทั้งแปดคนที่ทำหน้าที่เก็บซองแดงนั้นคิดไม่ถึงว่าหลี่เทียนจะถูกเตะ และเกือบถูกฆ่าตายในพริบตาเช่นนี้ หลังจากที่หายตกใจ.. เจ้าหน้าที่การเงินสองคนก็รีบร้องบอกให้ทุกคนช่วยกันยกตู้เซฟ และสมุดบัญชีหนีเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง แล้วรีบร้องตะโกนให้แจ้งตำรวจ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปทันที!
  หากปล่อยให้หนีออกไปได้ก็คงไม่ใช่หลิงหยุน!
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบใช้ลมปราณสกัดจุดเจ้าหน้าที่การเงินทั้งสองคนไว้ทันทีจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก..
  “ทุกคนกรุณาเชื่อฟังผม!พวกคุณไม่ต้องหนี อยู่ที่นี่เฝ้าสมุดบัญชี เงินสด แล้วก็เช็คยี่สิบล้านที่เป็นของขวัญของผู้อำนวยการหลี่ไว้ให้ดี!”
  เจ้าหน้าที่การเงินสองคนไม่สามารถขยับร่างกายได้ส่วนที่เหลืออีกหกคนก็ได้แต่อึ้งและกำลังตกตะลึง ทุกคนหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว พวกเขารู้สึกราวกับได้เห็นภูติผีในเวลากลางวันแสกๆ
  ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองนั้นเย็นยะเยือกและชาไปทั่วทั้งตัว แล้วไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนอีกเลย!
  หลิงหยุนควบคุมสถานการณ์ด้านหน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยงไว้ได้หมดแล้วแต่เวลานี้เสียงกรีดร้องของหลี่เทียนกับชีเต๋อเปียว และเสียงร้องตะโกนของเจ้าหน้าที่การเงินทั้งสองคนนั้นได้ทำให้แขกราวหกหรือเจ็ดโต๊ะที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงได้ยิน..
  “เกิดอะไรขึ้นข้างนอกฉันได้ยินเสียงร้องตะโกน!”
  “ใช่ๆฉันก็ได้ยินเหมือนเสียงคนร้องครวญคราง แล้วก็เสียงคนตะโกนให้โทรแจ้งตำรวจ..”
  แขกบางคนละสายตาจากสาวงามทั้งหกคนและหันไปมองทางด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงแทน บางคนก็ถึงกับลุกขึ้นยืนมองด้วยความประหลาดใจ
  ในขณะเดียวกัน..พิธีการชายและหญิงซึ่งชีเต๋อเปียวได้จ้างมาด้วยค่าตัวที่สูงเป็นพิเศษ ก็ประกาศบอกแขกเหรื่อที่อยู่ในห้องว่า..
  “แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน..กรุณาอยู่ในความสงบ”
  “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านครับขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนที่สอบเอนทรานซ์ได้คะแนนสูงสุดของมณฑลเจียงหนาน – หลี่เทียน!”
  พิธีกรชายเริ่มประกาศเสียงดังเพื่อให้แขกเหรื่อในงานอยู่ในความสงบ และเมื่อพิธีกรชายและหญิงขึ้นไปบนเวทีแล้ว เสียงภายในห้องก็เริ่มเบาลงมาก ทุกคนต่างก็หันไปมองพิธีกรทั้งคู่แทน
  พิธีกรทั้งคู่ยืนอยู่บนเวทีและมองไปยังแขกที่มากกว่าสามร้อยคนในห้องจัดเลี้ยง จากนั้นพิธีกรหญิงก็พูดขึ้นว่า
  “ท่านผู้มีเกียรติคะ..ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่น่ายินดี และควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอย่างยิ่ง..”
  “หยุดก่อน!”
  จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากด้านหน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยง เสียงนั้นดังราวกับมังกรคำราม ทำให้แขกทุกคนในงานต่างก็ตกใจ และได้ยินกันอย่างชัดเจน
  แขกภายในห้องต่างก็หันมองไปทางต้นเสียงและทุกคนก็เห็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหล่าจนน่าหลงใหล กำลังยืนยิ้มอย่างสงบเยือกเย็นอยู่ที่หน้าทางเข้า..
  ท่าทางการยืนของเขาสง่างามราวกับมังกรและเยื้องย่างดั่งราชสีห์!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+