Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 921-922

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 921-922 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 921 : อบรมน้าหญิง!
“หลิงหยุน..นี่เจ้า.. เจ้าฆ่าพวกเขาตายหมดได้อย่างไรกัน”
แม้ฉินตงเฉี่วยจะรู้จักหลิงหยุนดีแต่นางก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้!
เวลานี้ในสายตาของฉินตงเฉี่วยนั้น..หลิงหยุนไม่ใช่ลูกชายของฉินจิวยื่อซึ่งเป็นพี่สาวของนาง แต่เขาคือฆาตกร!
แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองยังรู้สึกเช่นนั้นแล้วศัตรูของหลิงหยุนเล่า พวกมันจะรู้สึกหวาดกลัว และหวาดผวากันมากเพียงใด?
หลิงหยุนจ้องมองฉินตงเฉี่วยที่อยู่ในอาการกระวนกระวายใจด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบจากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะร้องถามออกไปว่า
“น้าหญิง..ท่านตอบข้ามาสิ! หากข้าไม่สังหารพวกมัน เพียงแค่ทำให้ได้รับบาดเจ็บบ้าง แล้วปล่อยพวกมันกลับไป ท่านคิดว่าพวกมันจะกลับมาล้างแค้นข้าหรือไม่ หากกลับมา.. พวกมันจะพายอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้มาหรือไม่?”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่และไม่รู้ว่าจะตอบหลิงหยุนเช่นไร
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย..จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าฝ่ามือของฉินตงเฉี่วย พาออกไปยืนอยู่ที่หน้าผาพยัคฆ์ หลิงหยุนจ้องมองไปยังทะเลสาบที่เงียบเหงาด้านล่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง..
ฉินตงเฉี่วยถึงกับหน้าแดงก่ำใจเต้นรัวราวกับกลอง และเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้..
ผ่านไปครู่หนึ่ง..หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “น้าหญิง.. เมื่อครู่ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าเห็นท่านกำลังตกอยู่ในวงล้อมของยอดฝีมือถึงห้าคน และท่านก็ใช้กระบี่มังกรขาวฟันดาบของพวกมันขาดหมดไม่ใช่รึ”
หลิงหยุนมีทั้งเนตรหยิน-หยางและจิตหยั่งรู้ เขาจึงสามารถเห็นการต่อสู้ระหว่างฉินตงเฉี่วยกับห้าพยัคฆ์ตระกูลเผิงได้อย่างชัดเจน
ฉินตงเฉี่วยเวลานี้รู้ดีว่าหลิงหยุนกำลังจะพูดอะไรต่อนางรู้สึกราวกับตนเองเป็นเด็กสาวที่เพิ่งจะกระทำความผิดไป จึงได้แต่ก้มหน้าแดงก่ำ และไม่กล้าตอบโต้..
หลิงหยุนบีบฝ่ามือเล็กๆที่แสนอ่อนนุ่มของฉินตงเฉี่วยอย่างอ่อนโยน แล้วจึงพูดต่อว่า “น้าหญิง.. ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากการตกลงกันไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หนทางการแก้ปัญหาจึงมีเพียงแค่การเอาชนะด้วยกำลังเท่านั้น!”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ยกกำปั้นขวาขึ้นมาชูตรงหน้าและพูดต่อ..
“แต่ในเมื่อเลือกที่จะลงมือแล้วเหตุใดท่านยังต้องปราณีกับศัตรูเช่นนั้น นี่คือการต่อสู้กับความเป็นความตาย ไม่ใช่การประลองฝีมือ..”
“อีกอย่าง..กระบี่นวสังหารก็เป็นเพลงกระบี่ที่มุ่งสังหารคู่ต่อสู้ ในเมื่อชักกระบี่ออกจากฝักแล้ว เป้าหมายควรมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ.. การสังหารฝ่ายตรงข้าม!”
“น้าหญิง..หากท่านใช้เพลงกระบี่นวสังหาร แต่กลับไม่มีจิตใจมุ่งเน้นที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามแล้วล่ะก็ จิตวิญญาณของเพลงกระบี่ก็จะสูญเสียไปด้วย ผลของมันก็จะลดลงอย่างมากทีเดียว!”
หลิงหยุนอธิบายจุดมุ่งหมายของเพลงกระบี่นวสังหารให้ฉินตงเฉี่วยเข้าใจและตัวเขาเองก็ไม่เคยใช้เพลงกระบี่นวสังหารผิดจากจุดมุ่งหมายนี้เลย..
ฉินตงเฉี่วยได้แต่พยักหน้าที่แดงก่ำนั้นอย่างเงียบๆในขณะที่ครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียจากการต่อสู้ครั้งนี้ของตนเอง..
“น้าหญิง..ในเมื่อท่านทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่พอใจ! ท่านคำนึงถึงชีวิตของพวกมัน แต่พวกมันจะคิดเช่นเดียวกับท่านงั้นหรือ ตรงกันข้าม.. พวกมันจะยิ่งเคียดแค้นท่านมากขึ้น!”
“หากท่านไว้ชีวิตพวกมัน..หลังจากปล่อยพวกมันไปแล้ว พวกมันก็จะครุ่นคิดแต่เรื่องที่จะกลับมาแก้แค้นท่าน และหลังจากนั้น.. ท่านก็จะไม่มีเวลาได้ทำอะไรเลย นอกจากต้องคอยมาระแวดระวังศัตรูว่าจะกลับมาแก้แค้นตนเองเมื่อไหร่”
“และต่อให้ท่านแข็งแกร่งไม่เกรงกลัวการกลับมาแก้แค้นของศัตรู แต่ท่านคิดถึงคนที่อยู่รอบตัวท่านบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นหลิงยู่ และคนในตระกูลฉินอีกทั้งหมด..”
“การเมตตาศัตรูนั้นนับเป็นเรื่องที่โหดร้ายและอันตรายมากสำหรับพวกเราเอง!”
ฉินตงเฉี่วยได้แต่ฟังหลิงหยุนนิ่งเงียบนางทั้งรู้สึกตกใจ และสำนึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไป จึงได้แต่นิ่งไม่พูดไม่จา..
‘ถูกต้อง..การเมตตาปราณีต่อศัตรู คือภัยมหันต์ต่อตนเอง และคนรอบข้าง!’
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าฉินตงเฉี่วยเริ่มคล้อยตามและยอมรับในสิ่งที่ตนเองพูดบ้างแล้ว เขาจึงยิ้มและพูดต่อว่า
“น้าหญิง..ท่านก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว เมื่อครู่ตอนที่พวกมันขวางท่านไว้ไม่ให้ลงเขา มีใครบ้างที่คิดปราณีต่อท่าน”
“หากคืนนี้ข้ามาไม่ทันการ..และท่านถูกพวกมันจับตัวไป ท่านคิดหรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใดบ้าง และพวกมันจะจัดการกับท่านเช่นใด?”
“และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงท่านจะให้ข้าทำเช่นใด แล้วหลิงยู่ล่ะ.. นางจะทำรู้สึกเช่นไร? ตระกูลฉินอีกล่ะ.. พวกเขาจะทำเช่นไร?”
คำพูดของหลิงหยุนนั้นฉินตงเฉี่วยไม่สามารถโต้เถียงได้เลยแม้แต่น้อย นางฝึกฝนวรยุทธมานานกว่ายี่สิบปี แต่วันนี้กลับเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องต่อสู้ และเหตุใดจึงต้องสังหารคู่ต่อสู้
“เวลานี้..ระหว่างข้ากับตระกูลซันและตระกูลเฉินนั้น มีความแค้นที่ยากจะอยู่ร่วมโลกกันได้ ต่อให้ท่านปราณีพวกมัน แต่หากให้ข้าพบเข้า ข้าก็ต้องสังหารพวกมันอยู่ดี..”
“น้าหญิง..พวกมันพาคนมามากมายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์คือต้องการที่จะมาจัดการกับท่าน แต่ท่านกลับเพียงแค่ตัดมือ และทำลายอาวุธของพวกมันเท่านั้น…”
ดูเหมือนว่าในสายตาของหลิงหยุนนั้นสิ่งที่ฉินตงเฉี่วยทำลงไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และน่าขันอย่างยิ่ง..
ฉินตงเฉี่วยพึมพำออกมาอย่างสำนึกผิด“แต่.. แต่ข้าไม่เคยฆ่าคนมาก่อนนี่..”
หลิงหยุนก้มหน้าลงเล็กน้อยเขาหันไปมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับหรี่ตาลง และพูดยิ้มๆ
“อ่อ..เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ ว่าแต่ใครกันนะที่บอกกับข้าว่าจะตามข้าไปสังหารยอดฝีมือทั้งยุทธภพ..”
เมื่อถูกหลิงหยุนล้อเลียนเช่นนี้ฉินตงเฉี่วยก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้า นางจึงไม่สามารถทนได้อีก ฉินตงเฉี่วยถลึงตามองหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกไปอย่างโมโห..
“เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้ากล้าอบรมสั่งสอนข้างั้นรึ ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะครั่นเนื้อครั่นตัวมาสินะ!”
หลิงหยุนถึงกับหน้าเสียและได้แต่คิดว่าตนเองนั้นไม่เคยกลัวฟ้า ไม่หวาดหวั่นต่อดิน และกล้าท้าทายยอดฝีมือทั้งยุทธภพ แต่สำหรับฉินตงเฉี่วย เขากลับต้องยอมเชื่อฟังนาง..
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าผู้หญิงทั้งโลก ล้วนไร้เหตุผลสิ้นดี! แต่แล้วก็ทำเสียงอ่อนตอบฉินตงเฉี่วยไปว่า..
“เอ่อ..น้าหญิง! ข้าก็แค่เป็นห่วง เกรงว่าท่านจะได้รับอันตราย..”
ใบหน้างดงามแดงก่ำของฉินตงเฉี่วยนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์สวยงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ทำให้ผาพยัคฆ์ที่มืดมิดนั้นสว่างไสวขึ้นมาทันที
“เอาล่ะ..ข้าจะยกโทษให้เจ้าสักครั้ง หากครั้งหน้ายังกล้าอบรมสั่งสอนข้าอีกล่ะก็ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไร”
พูดจบ..ฉินตงเฉี่วยก็ค่อยๆ ดึงมือของตนเองออกจากฝ่ามือของหลิงหยุน แต่ในใจนั้นกลับเกิดความรู้สึกมากมาย และกำลังจะอ้าปากโต้เถียง
“เอ่อ..หลิงหยุน แต่ข้าว่า..”
หลิงหยุนจ้องหน้าฉินตงเฉี่วยและรีบร้องตะโกนแทรกขึ้นมาทันที “หากข้าเป็นท่าน.. เมื่อครู่นี้ข้าจะสังหารศัตรูให้ได้มากที่สุด หากไม่สามารถสังหารได้ในทันที ก็ต้องทำให้พวกมันไม่สามารถลุกขึ้นมาทำร้ายข้าได้อีก..”
“พูดง่ายๆก็คือว่า..จะไม่มีการเจรจาต่อรองใดๆทั้งนั้น เพราะมันไม่จำเป็น!”
แต่แล้วฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นมาอย่างนึกเสียดาย“แต่เจ้าไม่น่าสังหารเฉินไห่ซานกับซันเทียนปาเลย.. ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนสำคัญของตระกูลเฉิน และตระกูลซัน อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะเค้นถามความลับจากปากของพวกมันได้..”
หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยัน“น้าหญิง.. ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเผชิญกับอะไรบ้างที่เซียนเหยินหลิง แวมไพร์.. แวมไพร์หลายร้อยตน บินเต็มพื้นที่ไปหมด ข้าสังหารพวกมันจนเหนื่อย!”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังถึงกับตกใจและลืมนึกไปว่าก่อนที่หลิงหยุนจะมาช่วยตนเองนั้น เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่หนักหน่วงมาก่อน..
“แวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อย่างน้อยก็เทียบเท่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7ยอดฝีมือที่นี่มีรึที่จะเทียบกับแวมไพร์นับร้อยๆตัวที่เซียนเหยินหลิงได้!”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกใจจนแทบช็อคและได้แต่จินตนาการว่า หากนางต้องเผชิญหน้ากับแวมไพร์มากมายถึงเพียงนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร คงถูกจับฉีกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว!
เมื่อนึกขึ้นได้..นางจึงเงยหน้าจ้องมองหลิงหยุน พร้อมกับถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“นี่เจ้ารอดกลับมาได้ยังไงแล้วบาดเจ็บตรงใหนหรือไม่?”
หลิงหยุนเอียงศรีษะเล็กน้อยระหว่างที่ตอบกลับไปอย่างโอ้อวด..“น้าหญิง.. ท่านคงยังไม่รู้ว่าแวมไพร์พวกนั้นมีเวทย์มนต์ และเหนือกว่ายอดฝีมือที่เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ แต่สำหรับข้าแล้ว.. พวกมันเปรียบเสมือนมดฝูงหนึ่งเท่านั้น ข้าบอกไปแล้วไงล่ะว่าได้สังหารพวกมันตายหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ตนเดียว!”
ฉินตงเฉี่วยเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหลิงหยุนประกาศต่อหน้าศัตรูว่าเขาได้สังหารแวมไพร์ และนินจาทั้งหมดตายแล้ว แต่นางไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!
หลิงหยุนพูดต่อ“น้าหญิง.. ครั้งนี้ข้าสร้างศัตรูไว้มากมาย! ข้าตั้งใจจะสังหารพวกมันทุกคนให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวบานปลายมากไปกว่านี้ จึงไม่จำเป็นต้องเค้นถามอะไรจากพวกมันอีก และไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันเป็นตัวประกันด้วย!”
“เจ้านาย..”
หลังจากที่เจสเตอร์จัดการโยนศพทั้งหมดลงไปใต้หลุมยักษ์แล้วมันก็บินกลับมาหาหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นอย่างนอบน้อม..
“เจ้านายที่เคารพ..เจสเตอร์จัดการโยนพวกมันลงไปเป็นอาหารปลาตามคำสั่งแล้ว!”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้พร้อมกับมอบภารกิจใหม่ให้“เจสเตอร์.. มียอดฝีมือเข้ามาจิงฉูเพื่อสังหารข้ามากมาย คืนนี้เจ้ากลายร่างเป็นค้างคาวคอยบินสำรวจตรวจตราให้ทั่วเมือง สังเกตดูว่ามีสิ่งใด หรือใครที่น่าสงสัยบ้าง ส่วนเจ้าเองก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดีด้วย!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับฉินตงเฉี่วย“น้าหญิง.. คืนนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ พวกเรากลับกันดีกว่า..”
ฉินตงเฉี่วยถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นทั้งคู่ก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงจากเขามังกรไป
“โอ้โห..คืนนี้ท้องฟ้าช่างงดงามนัก”
ส่วนเจสเตอร์ก็จัดการพ่นละอองเลือดออกมาและกลายร่างเป็นค้างคาวบินไปรอบเมืองจิงฉูทันที
ระหว่างทางกลับไปบ้านนั้นฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าได้สร้างปัญหาใหญ่ให้ตัวเองแล้ว!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยกำลังพูดถึงเรื่องที่เขาไปแสดงมายากลออกทีวีแล้วตอบกลับไปหน้าตาเฉย “ข้ารู้!”
แต่ฉินตงเฉี่วยกลับยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดต่อว่า “เจ้าเล่นมายากลก็เรื่องหนึ่ง.. แต่เหตุใดต้องให้รูปสลักน้ำแข็งกับหญิงสาวด้วยเล่า”
หลิงหยุนเดาน้ำเสียงของฉินตงเฉี่วยผิดไปจึงร้องถามด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ “น้าหญิง.. นี่ท่านอิจฉางั้นรึ หากท่านชอบ.. ไว้กลับไปข้าจะแกะสลักให้ท่านหลายๆตัวเลย…”
ฉินตงเฉี่วยหน้าแดงก่ำแต่ก็ย้อนกลับไปว่า “ไม่ใช่ข้า.. แต่คนอื่นๆน่าจะอิจฉา!”
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 922 : เบาะแส!
หลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยกลับไปถึงบ้านเลขที่-1แต่เมื่อพบว่าภายในห้องนั่งเล่นนั้นยังคงเปิดไฟสว่างไสว แต่กลับไม่มีใครอยู่เลย..
หลิงหยุนร้องถามขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”
ฉินตงเฉี่วยมองค้อนพร้อมกับตอบไปว่า“นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ.. เจ้าไม่ดูนาฬิกาบ้างเลยหรืออย่างไร!”
“เอาล่ะ..ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้ว..” พูดจบฉินตงเฉี่วยก็กระโดดหายลับตาไป..
“พี่หลิงหยุน!”
และเงาสีขาวก็ปรากฏ..ร่างงดงามของไป๋เซียนเอ๋อปรากฏขึ้นภายในห้องนั่งเล่น และโผเข้าหาอ้อมแขนของหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนโอบกอดร่างอ่อนนุ่มอบอุ่น และหอมหวนของไป๋เซียนเอ๋อไว้ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างบอบบางนั้นอย่างอ่อนโยน แล้วจึงถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เซียนเอ๋อ..เจ้าไปใหนมางั้นรึ”
ไป๋เซียนเอ๋อยกแขนขาวนวลสองข้างขึ้นโอบรอบคอหลิงหยุนไว้พร้อมกับส่งยิ้มและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ให้หลิงหยุน
“ข้าไปที่สวนหลังบ้านมา..แวมไพร์พวกนั้นตลกมากจริงๆ ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าเซียนเอ๋อก็ยังเป็นเซียนเอ๋ออยู่ดี ถึงกับกล้าเข้าไปเล่นกับแวมไพร์ที่น่ากลัว และยังบอกว่าพวกมันตลกอีกด้วย..
หลิงหยุนคาดเดาว่า..พอลคงต้องปวดหัวน่าดู!
“เจ้าไปทำอะไรกับพวกมันงั้นรึ”
หลิงหยุนพาไป๋เซียนเอ๋อไปนั่งที่โซฟาจากนั้นจึงจับฝ่ามือของนางขึ้นมาลูบไล้อย่างอ่อนโยน..
ใบหน้างดงามของไป๋เซียนเอ๋อแดงก่ำนางก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “เอ่อ.. ข้าไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปฝึกวิชาจิงจอกระเริงไฟ กับฝ่ามือเพลิงสวรรค์…”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น และร้องตะโกนออกมา
“เซียนเอ๋อ..เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป! เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินยังมีประโยชน์กับข้ามากนัก หากเจ้าทำให้พวกมันตายขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะทำโทษเจ้า!”
ไป๋เซียนเอ๋อแลบลิ้นสีแดงออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ข้าทราบ.. แต่ข้าเบื่อนี่!”
ระหว่างนั้นก็มีเงาสีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศและกำลังบินวนอยู่รอบตัวหลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อ จากนั้น.. ร่างสีทองก็ค่อยๆ ร่อนลงไปเกาะที่ไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ มันก็คือเจ้าทองอ้วน – ดักแด้ทองคำนั่นเอง!
เวลานี้ทั้งไป๋เซียนเอ๋อและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี เจ้าทองอ้วนจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวไป๋เซียนนเอ๋อดังเช่นก่อนอีก..
วิ้ง..วิ้ง..
เจ้าทองอ้วนสะบัดปีกและบิดร่างอ้วนกลมของมันบินหลบหลีกอยู่รอบตัวไป๋เซียนเอ๋อ ดวงตากลมโตคู่นั้นก็กรอกไปรอบๆ
“ขอข้าจับเจ้าบ้างสิ..”
หลิงหยุนจ้องมองเจ้าทองอ้วนอย่างสนอกสนใจและพยายามที่จะจับตัวมันให้ได้ แต่เจ้าทองอ้วนก็บินออกจากไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ แล้วบินหนีออกไปทันที เมื่อบินออกไปได้ในรัศมีที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว มันจึงหยุด แล้วหันกลับมาจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ด้วยกิริยาที่ไม่น่ารัก..
หลิงหยุนถึงกับตาโตในขณะที่ไป๋เซียนก็เอาแต่มองดูพร้อมกับหัวเราะคิกคัก..
“ก็นายชอบรังแกมัน..ถ้ามันยอมให้นายจับตัวก็คงแปลกแล้วล่ะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวตัวเก่งค่อยๆ ก้าวเดินลงมาจากบันได้ ใบหน้างดงามนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวบนท้องฟ้า
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นึกชมอยู่ในใจนับวันเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ยิ่งดูเหมือนสาวชาวเมืองเข้าไปมากทุกที แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งความสดใสมีชีวิตชีวาในแบบของสาวชาวเผ่า นับเป็นการผสมผสานที่ลงตัว และงดงามมาก หากชายใดพบเห็นเข้า คงต้องคลั่งไคล้อย่างแน่นอน..
เมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นหลิงหยุนจ้องเธอเขม็งพร้อมกับอมยิ้มเธอจึงหันไปทำหน้าเคร่งขรึมใส่หลิงหยุนพร้อมกับถามเสียงห้วน
“มองอะไร”
หลิงหยุนเอนกายพิงโซฟาพร้อมกับยกมือขึ้นชี้มาทางตัวเองพร้อมกับพูดยิ้มๆ “นักมายากลที่เก่งที่สุดก็กำลังคิดที่จะแกะสลักรูปปั้นหญิงสาวที่งดงามอย่างไร้ที่ติอยู่น่ะสิ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำเสียงประชดชประชัน“ฮึ.. อย่าบอกนะว่าจะแกะสลักรูปปั้นน้ำแข็ง!”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นแต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำชมของหลิงหยุน
ไม่มีหญิงสาวคนใหนหรอกที่จะไม่ยินดีพอใจเมื่อคนอื่นชื่นชมความงดงามของตนเองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!
แต่แล้ว..จู่ๆ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ต้องยิ้มค้าง และหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเธอนิ่งไป ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ฉันว่านายระวังตัวไว้จะดีกว่า!แต่คงจะไม่ทันแล้วล่ะ.. แฟนนายมาโน่แล้ว!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องบอกพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางบันไดชั้นสอง..
ยังไม่ทันที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะพูดจบดีหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงกับเกาเฉินเฉินยืนอยู่มุมหนึ่งตรงบันได และทั้งคู่ก็กำลังชะโงกหน้าลงมามองที่ห้องรับแขกชั้นล่าง..
“เฉินเฉิน..หนิงน้อย.. ตื่นแล้วเหรอ” หลิงหยุนร้องตะโกนถามพร้อมกับโบกมือทักทายด้วยทีท่าเลิ่กลั่ก..
เมื่อหญิงสาวทั้งคู่เห็นว่าหลิงหยุนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรทั้งเกาเฉินเฉินกับเสี่ยวเม่ยหนึงจึงได้แต่โล่งใจ จากนั้นจึงทำเสียง “เชอะ..” ขึ้นมาพร้อมกัน แล้วสะบัดหน้าเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทันที
“เอ่อ..”
เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของหญิงสาวทั้งสองคนหลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มเก้อ แต่ในใจก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่เรื่องหึงหวงอิจฉาตาร้อนเท่านั้นเอง
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 922 : เบาะแส!
หลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยกลับไปถึงบ้านเลขที่-1แต่เมื่อพบว่าภายในห้องนั่งเล่นนั้นยังคงเปิดไฟสว่างไสว แต่กลับไม่มีใครอยู่เลย..
หลิงหยุนร้องถามขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”
ฉินตงเฉี่วยมองค้อนพร้อมกับตอบไปว่า“นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ.. เจ้าไม่ดูนาฬิกาบ้างเลยหรืออย่างไร!”
“เอาล่ะ..ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้ว..” พูดจบฉินตงเฉี่วยก็กระโดดหายลับตาไป..
“พี่หลิงหยุน!”
และเงาสีขาวก็ปรากฏ..ร่างงดงามของไป๋เซียนเอ๋อปรากฏขึ้นภายในห้องนั่งเล่น และโผเข้าหาอ้อมแขนของหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนโอบกอดร่างอ่อนนุ่มอบอุ่น และหอมหวนของไป๋เซียนเอ๋อไว้ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างบอบบางนั้นอย่างอ่อนโยน แล้วจึงถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เซียนเอ๋อ..เจ้าไปใหนมางั้นรึ”
ไป๋เซียนเอ๋อยกแขนขาวนวลสองข้างขึ้นโอบรอบคอหลิงหยุนไว้พร้อมกับส่งยิ้มและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ให้หลิงหยุน
“ข้าไปที่สวนหลังบ้านมา..แวมไพร์พวกนั้นตลกมากจริงๆ ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าเซียนเอ๋อก็ยังเป็นเซียนเอ๋ออยู่ดี ถึงกับกล้าเข้าไปเล่นกับแวมไพร์ที่น่ากลัว และยังบอกว่าพวกมันตลกอีกด้วย..
หลิงหยุนคาดเดาว่า..พอลคงต้องปวดหัวน่าดู!
“เจ้าไปทำอะไรกับพวกมันงั้นรึ”
หลิงหยุนพาไป๋เซียนเอ๋อไปนั่งที่โซฟาจากนั้นจึงจับฝ่ามือของนางขึ้นมาลูบไล้อย่างอ่อนโยน..
ใบหน้างดงามของไป๋เซียนเอ๋อแดงก่ำนางก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “เอ่อ.. ข้าไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปฝึกวิชาจิงจอกระเริงไฟ กับฝ่ามือเพลิงสวรรค์…”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น และร้องตะโกนออกมา
“เซียนเอ๋อ..เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป! เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินยังมีประโยชน์กับข้ามากนัก หากเจ้าทำให้พวกมันตายขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะทำโทษเจ้า!”
ไป๋เซียนเอ๋อแลบลิ้นสีแดงออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ข้าทราบ.. แต่ข้าเบื่อนี่!”
ระหว่างนั้นก็มีเงาสีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศและกำลังบินวนอยู่รอบตัวหลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อ จากนั้น.. ร่างสีทองก็ค่อยๆ ร่อนลงไปเกาะที่ไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ มันก็คือเจ้าทองอ้วน – ดักแด้ทองคำนั่นเอง!
เวลานี้ทั้งไป๋เซียนเอ๋อและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี เจ้าทองอ้วนจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวไป๋เซียนนเอ๋อดังเช่นก่อนอีก..
วิ้ง..วิ้ง..
เจ้าทองอ้วนสะบัดปีกและบิดร่างอ้วนกลมของมันบินหลบหลีกอยู่รอบตัวไป๋เซียนเอ๋อ ดวงตากลมโตคู่นั้นก็กรอกไปรอบๆ
“ขอข้าจับเจ้าบ้างสิ..”
หลิงหยุนจ้องมองเจ้าทองอ้วนอย่างสนอกสนใจและพยายามที่จะจับตัวมันให้ได้ แต่เจ้าทองอ้วนก็บินออกจากไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ แล้วบินหนีออกไปทันที เมื่อบินออกไปได้ในรัศมีที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว มันจึงหยุด แล้วหันกลับมาจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ด้วยกิริยาที่ไม่น่ารัก..
หลิงหยุนถึงกับตาโตในขณะที่ไป๋เซียนก็เอาแต่มองดูพร้อมกับหัวเราะคิกคัก..
“ก็นายชอบรังแกมัน..ถ้ามันยอมให้นายจับตัวก็คงแปลกแล้วล่ะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวตัวเก่งค่อยๆ ก้าวเดินลงมาจากบันได้ ใบหน้างดงามนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวบนท้องฟ้า
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นึกชมอยู่ในใจนับวันเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ยิ่งดูเหมือนสาวชาวเมืองเข้าไปมากทุกที แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งความสดใสมีชีวิตชีวาในแบบของสาวชาวเผ่า นับเป็นการผสมผสานที่ลงตัว และงดงามมาก หากชายใดพบเห็นเข้า คงต้องคลั่งไคล้อย่างแน่นอน..
เมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นหลิงหยุนจ้องเธอเขม็งพร้อมกับอมยิ้มเธอจึงหันไปทำหน้าเคร่งขรึมใส่หลิงหยุนพร้อมกับถามเสียงห้วน
“มองอะไร”
หลิงหยุนเอนกายพิงโซฟาพร้อมกับยกมือขึ้นชี้มาทางตัวเองพร้อมกับพูดยิ้มๆ “นักมายากลที่เก่งที่สุดก็กำลังคิดที่จะแกะสลักรูปปั้นหญิงสาวที่งดงามอย่างไร้ที่ติอยู่น่ะสิ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำเสียงประชดชประชัน“ฮึ.. อย่าบอกนะว่าจะแกะสลักรูปปั้นน้ำแข็ง!”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นแต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำชมของหลิงหยุน
ไม่มีหญิงสาวคนใหนหรอกที่จะไม่ยินดีพอใจเมื่อคนอื่นชื่นชมความงดงามของตนเองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!
แต่แล้ว..จู่ๆ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ต้องยิ้มค้าง และหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเธอนิ่งไป ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ฉันว่านายระวังตัวไว้จะดีกว่า!แต่คงจะไม่ทันแล้วล่ะ.. แฟนนายมาโน่แล้ว!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องบอกพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางบันไดชั้นสอง..
ยังไม่ทันที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะพูดจบดีหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงกับเกาเฉินเฉินยืนอยู่มุมหนึ่งตรงบันได และทั้งคู่ก็กำลังชะโงกหน้าลงมามองที่ห้องรับแขกชั้นล่าง..
“เฉินเฉิน..หนิงน้อย.. ตื่นแล้วเหรอ” หลิงหยุนร้องตะโกนถามพร้อมกับโบกมือทักทายด้วยทีท่าเลิ่กลั่ก..
เมื่อหญิงสาวทั้งคู่เห็นว่าหลิงหยุนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรทั้งเกาเฉินเฉินกับเสี่ยวเม่ยหนึงจึงได้แต่โล่งใจ จากนั้นจึงทำเสียง “เชอะ..” ขึ้นมาพร้อมกัน แล้วสะบัดหน้าเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทันที
“เอ่อ..”
เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของหญิงสาวทั้งสองคนหลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มเก้อ แต่ในใจก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่เรื่องหึงหวงอิจฉาตาร้อนเท่านั้นเอง
‘ก็แค่รูปสลักน้ำแข็งข้าทำให้คนละร้อยตัวก็ได้!’
ไป๋เซียนเอ๋อและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะจนตัวงอ หลิงหยุนทำเสียงกระแอมเพื่อให้หญิงสาวทั้งสองคนหยุดหัวเราะเสียที แล้วจึงหันไปถามเหมี่ยวเสี่ยวเหมา..
“คุณได้เบาะแสของสองคนนั้นบ้างหรือยัง”
แน่นนอนว่าหลิงหยุนกำลังถามถึงหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ช่างน่าอายนักที่หญิงสาวทั้งสองคนหายไปทั้งที่เขายังอยู่ในจิงฉู
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาหน้าซีดลงทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ไม่พบลย.. เจ้าทองอ้วนหาทั่วทั้งเมืองจิงฉูแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย..”
หลิงหยุนถึงกับผิดหวังแต่ก็รีบถามต่อ “ยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลยงั้นเหรอ”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบกลับไปว่า“จากข้อมูลของสำนักงานรักษาความมั่นคง ฉันว่าสองคนนั้นคงจะไม่อยู่ในจิงฉูแล้ว..”
“พวกเขาพบอะไรบ้าง”
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจดูกล้องวงจรปิดในระแวกนั้นแล้วพบว่ามีรถสีฟ้าน้ำทะเลขับไปทางทิศตะวันตก แล้วก็เลี้ยวไปทางทิศเหนือมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบจิงฉู จากนั้นก็ขับไปตามถนนหลินเจียง มุ่งหน้าไปทางตะวันตกแล้วหายออกจากเมืองจิงฉูไป”
ธิดาพรรคมาร– เย่ซิงเฉิน หลังจากที่จับตัวหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ไปแล้ว นางก็ได้ทำลายกล้องวงจรปิดที่แยกนั้น แต่ไม่ได้ทำลายกล้องวงจรปิดทุกตัวบนถนน
หลิงหยุนขมวดคิ้วหัวใจของเขากระตุกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต “มุ่งหน้าไปทางตะวันตกงั้นเหรอ รอบๆเมืองจิงฉูมีแต่ภูเขา หรือจะพาตัวทั้งคู่ไปไว้บนเขา?”
หลิงหยุนพึมพำระหว่างที่ครุ่นคิดจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลินเมิ่งหานพร้อมกับถามต่อว่า “เห็นหน้าคนที่อยู่ในรถมั๊ย”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาส่ายหน้าพร้อมกับตอบเสียงเบา“คืนนั้นฝนตกหนักมาก แล้วรถก็แล่นไปด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ในรถได้..”
หลิงหยุนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า“ผมคิดว่าทั้งคู่น่าจะยังปลอดภัยดี! ถ้าฝ่ายนั้นต้องการฆ่าพวกเธอจริงๆ ก็ควรจะต้องลงมือในทันที ไม่จำเป็นต้องลักพาตัวออกไปจากเมืองแบบนี้..”
“เสี่ยวเหมา..คุณช่วยส่งเจ้าทองอ้วนไปสำรวจแถวภูเขาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจิงฉูดู เผื่อจะได้ร่องรอยอะไรบ้าง..”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็เรียกน้ำเต้าวิเศษ และขวดหยกเล็กๆออกมา เขาจัดการรินน้ำลายมังกรลงไปเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับเจ้าทองอ้วน
“ทองอ้วน..สองวันมานี้เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ แต่ข้าไม่ใช้แรงงานเจ้าฟรีๆ แน่ มาสิ.. ข้าให้น้ำลายมังกรเจ้าเป็นการตอบแทน..”
เจ้าทองอ้วนบินไปเกาะที่ไหล่ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับกระพือปีกดวงตาทั้งสองข้างของมันจับจ้องอยู่ที่ขวดหยกในมือหลิงหยุน และแทบจะรอคอยที่จะไปลิ้มรสอาหารชั้นเลิศไม่ได้
“แหม..คราวนี้เป็นความดีของเจ้าทองอ้วนแล้วสินะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาประชดประชันพร้อมกับยื่นมือไปหยิบขวดหยกมาจากมือของหลิงหยุนแต่หลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน..
อย่างน้อยก็พอได้ร่องรอยของหญิงสาวทั้งสองคนบ้างหลิงหยุนจึงหันไปถามไป๋เซียนเอ๋อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
“คืนนี้สองคนจะฝึกวิชารึเปล่า”
หญิงสาวทั้งสองคนพยักหน้าและตอบมาเป็นเสียงเดียวกัน “ฝึกสิ!”
“เอาล่ะ..ถ้างั้นก็ออกไปฝึกได้แล้ว ผมจะขึ้นไปข้างบนหา…”
หลิงหยุนพูดทิ้งท้ายลอยๆแล้วรีบเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของเสี่ยวเม่ยหนิงทันที..
หลิงหยุนยืนอยู่หน้าห้อง..เขายกมือขึ้นเคาะประตูพร้อมกับร้องตะโกนถามว่า “หนิงน้อย.. หลับหรือยัง”
“หลับอยู่..”
เสียงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ และหลิงหยุนก็รู้ว่าเธอกำลังยืนอยู่หลังประตู..
“หลับแล้วจะตอบได้ยังไงเล่าเปิดประเร็วเข้า!”
“ถ้าเปิดเข้ามาไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้า!” เสี่ยวเม่ยหนิงร้องบอกอย่างไม่พอใจ และน้ำตาก็กำลังจะไหล..
“เอ่อ..ถ้างั้นผมก็จะกลับไปเซียนเหยินหลิงแล้วนะ..”
หลิงหยุนมั่นใจว่าครั้งนี้ประตูห้องจะต้องเปิดออกอยางแน่นอน!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหลิงหยุนด้วยซ้ำไปประตูห้องของเสี่ยวเม่ยหนิงก็เปิดออกทันที เด็กสาวตัวแสบอยู่ในชุดนอนผ้าไหมบางเบา และกำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่หน้าประตู..
ทันทีที่เห็นเสี่ยวเม่ยหนิง..เลือดในกายของเขาก็สูบฉีด และเลือดกำเดาแทบพุ่งออกจากรูจมูก!
หลิงหยุนจ้องมองเรือนร่างของเด็กสาวตัวแสบที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่เข้าไปหลายอึก..
แต่ไม่ใช่เพราะชุดนอนผ้าไหมบางเบาที่เด็กสาวตัวแสบสวมใส่และไม่ใช่เพราะชุดนอนบางเบานั้นเป็นชุดนอนเอวลอยที่ปิดเพียงแค่หน้าอกใหญ่โตนั้น อีกทั้งกางเกงขาสั้นก็ยังเผยให้เห็นท่อนขาเรียวงาม
แต่เป็นเพราะว่า..เสี่ยวเม่ยหนิงไม่ได้สวมชุดชั้นใน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 921-922

Now you are reading Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร Chapter 921-922 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 921 : อบรมน้าหญิง!
“หลิงหยุน..นี่เจ้า.. เจ้าฆ่าพวกเขาตายหมดได้อย่างไรกัน”
แม้ฉินตงเฉี่วยจะรู้จักหลิงหยุนดีแต่นางก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้!
เวลานี้ในสายตาของฉินตงเฉี่วยนั้น..หลิงหยุนไม่ใช่ลูกชายของฉินจิวยื่อซึ่งเป็นพี่สาวของนาง แต่เขาคือฆาตกร!
แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองยังรู้สึกเช่นนั้นแล้วศัตรูของหลิงหยุนเล่า พวกมันจะรู้สึกหวาดกลัว และหวาดผวากันมากเพียงใด?
หลิงหยุนจ้องมองฉินตงเฉี่วยที่อยู่ในอาการกระวนกระวายใจด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบจากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะร้องถามออกไปว่า
“น้าหญิง..ท่านตอบข้ามาสิ! หากข้าไม่สังหารพวกมัน เพียงแค่ทำให้ได้รับบาดเจ็บบ้าง แล้วปล่อยพวกมันกลับไป ท่านคิดว่าพวกมันจะกลับมาล้างแค้นข้าหรือไม่ หากกลับมา.. พวกมันจะพายอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้มาหรือไม่?”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่และไม่รู้ว่าจะตอบหลิงหยุนเช่นไร
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย..จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าฝ่ามือของฉินตงเฉี่วย พาออกไปยืนอยู่ที่หน้าผาพยัคฆ์ หลิงหยุนจ้องมองไปยังทะเลสาบที่เงียบเหงาด้านล่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง..
ฉินตงเฉี่วยถึงกับหน้าแดงก่ำใจเต้นรัวราวกับกลอง และเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้..
ผ่านไปครู่หนึ่ง..หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “น้าหญิง.. เมื่อครู่ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าเห็นท่านกำลังตกอยู่ในวงล้อมของยอดฝีมือถึงห้าคน และท่านก็ใช้กระบี่มังกรขาวฟันดาบของพวกมันขาดหมดไม่ใช่รึ”
หลิงหยุนมีทั้งเนตรหยิน-หยางและจิตหยั่งรู้ เขาจึงสามารถเห็นการต่อสู้ระหว่างฉินตงเฉี่วยกับห้าพยัคฆ์ตระกูลเผิงได้อย่างชัดเจน
ฉินตงเฉี่วยเวลานี้รู้ดีว่าหลิงหยุนกำลังจะพูดอะไรต่อนางรู้สึกราวกับตนเองเป็นเด็กสาวที่เพิ่งจะกระทำความผิดไป จึงได้แต่ก้มหน้าแดงก่ำ และไม่กล้าตอบโต้..
หลิงหยุนบีบฝ่ามือเล็กๆที่แสนอ่อนนุ่มของฉินตงเฉี่วยอย่างอ่อนโยน แล้วจึงพูดต่อว่า “น้าหญิง.. ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากการตกลงกันไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หนทางการแก้ปัญหาจึงมีเพียงแค่การเอาชนะด้วยกำลังเท่านั้น!”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ยกกำปั้นขวาขึ้นมาชูตรงหน้าและพูดต่อ..
“แต่ในเมื่อเลือกที่จะลงมือแล้วเหตุใดท่านยังต้องปราณีกับศัตรูเช่นนั้น นี่คือการต่อสู้กับความเป็นความตาย ไม่ใช่การประลองฝีมือ..”
“อีกอย่าง..กระบี่นวสังหารก็เป็นเพลงกระบี่ที่มุ่งสังหารคู่ต่อสู้ ในเมื่อชักกระบี่ออกจากฝักแล้ว เป้าหมายควรมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ.. การสังหารฝ่ายตรงข้าม!”
“น้าหญิง..หากท่านใช้เพลงกระบี่นวสังหาร แต่กลับไม่มีจิตใจมุ่งเน้นที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามแล้วล่ะก็ จิตวิญญาณของเพลงกระบี่ก็จะสูญเสียไปด้วย ผลของมันก็จะลดลงอย่างมากทีเดียว!”
หลิงหยุนอธิบายจุดมุ่งหมายของเพลงกระบี่นวสังหารให้ฉินตงเฉี่วยเข้าใจและตัวเขาเองก็ไม่เคยใช้เพลงกระบี่นวสังหารผิดจากจุดมุ่งหมายนี้เลย..
ฉินตงเฉี่วยได้แต่พยักหน้าที่แดงก่ำนั้นอย่างเงียบๆในขณะที่ครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียจากการต่อสู้ครั้งนี้ของตนเอง..
“น้าหญิง..ในเมื่อท่านทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่พอใจ! ท่านคำนึงถึงชีวิตของพวกมัน แต่พวกมันจะคิดเช่นเดียวกับท่านงั้นหรือ ตรงกันข้าม.. พวกมันจะยิ่งเคียดแค้นท่านมากขึ้น!”
“หากท่านไว้ชีวิตพวกมัน..หลังจากปล่อยพวกมันไปแล้ว พวกมันก็จะครุ่นคิดแต่เรื่องที่จะกลับมาแก้แค้นท่าน และหลังจากนั้น.. ท่านก็จะไม่มีเวลาได้ทำอะไรเลย นอกจากต้องคอยมาระแวดระวังศัตรูว่าจะกลับมาแก้แค้นตนเองเมื่อไหร่”
“และต่อให้ท่านแข็งแกร่งไม่เกรงกลัวการกลับมาแก้แค้นของศัตรู แต่ท่านคิดถึงคนที่อยู่รอบตัวท่านบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นหลิงยู่ และคนในตระกูลฉินอีกทั้งหมด..”
“การเมตตาศัตรูนั้นนับเป็นเรื่องที่โหดร้ายและอันตรายมากสำหรับพวกเราเอง!”
ฉินตงเฉี่วยได้แต่ฟังหลิงหยุนนิ่งเงียบนางทั้งรู้สึกตกใจ และสำนึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไป จึงได้แต่นิ่งไม่พูดไม่จา..
‘ถูกต้อง..การเมตตาปราณีต่อศัตรู คือภัยมหันต์ต่อตนเอง และคนรอบข้าง!’
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าฉินตงเฉี่วยเริ่มคล้อยตามและยอมรับในสิ่งที่ตนเองพูดบ้างแล้ว เขาจึงยิ้มและพูดต่อว่า
“น้าหญิง..ท่านก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว เมื่อครู่ตอนที่พวกมันขวางท่านไว้ไม่ให้ลงเขา มีใครบ้างที่คิดปราณีต่อท่าน”
“หากคืนนี้ข้ามาไม่ทันการ..และท่านถูกพวกมันจับตัวไป ท่านคิดหรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใดบ้าง และพวกมันจะจัดการกับท่านเช่นใด?”
“และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงท่านจะให้ข้าทำเช่นใด แล้วหลิงยู่ล่ะ.. นางจะทำรู้สึกเช่นไร? ตระกูลฉินอีกล่ะ.. พวกเขาจะทำเช่นไร?”
คำพูดของหลิงหยุนนั้นฉินตงเฉี่วยไม่สามารถโต้เถียงได้เลยแม้แต่น้อย นางฝึกฝนวรยุทธมานานกว่ายี่สิบปี แต่วันนี้กลับเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องต่อสู้ และเหตุใดจึงต้องสังหารคู่ต่อสู้
“เวลานี้..ระหว่างข้ากับตระกูลซันและตระกูลเฉินนั้น มีความแค้นที่ยากจะอยู่ร่วมโลกกันได้ ต่อให้ท่านปราณีพวกมัน แต่หากให้ข้าพบเข้า ข้าก็ต้องสังหารพวกมันอยู่ดี..”
“น้าหญิง..พวกมันพาคนมามากมายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์คือต้องการที่จะมาจัดการกับท่าน แต่ท่านกลับเพียงแค่ตัดมือ และทำลายอาวุธของพวกมันเท่านั้น…”
ดูเหมือนว่าในสายตาของหลิงหยุนนั้นสิ่งที่ฉินตงเฉี่วยทำลงไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และน่าขันอย่างยิ่ง..
ฉินตงเฉี่วยพึมพำออกมาอย่างสำนึกผิด“แต่.. แต่ข้าไม่เคยฆ่าคนมาก่อนนี่..”
หลิงหยุนก้มหน้าลงเล็กน้อยเขาหันไปมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับหรี่ตาลง และพูดยิ้มๆ
“อ่อ..เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ ว่าแต่ใครกันนะที่บอกกับข้าว่าจะตามข้าไปสังหารยอดฝีมือทั้งยุทธภพ..”
เมื่อถูกหลิงหยุนล้อเลียนเช่นนี้ฉินตงเฉี่วยก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้า นางจึงไม่สามารถทนได้อีก ฉินตงเฉี่วยถลึงตามองหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกไปอย่างโมโห..
“เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้ากล้าอบรมสั่งสอนข้างั้นรึ ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะครั่นเนื้อครั่นตัวมาสินะ!”
หลิงหยุนถึงกับหน้าเสียและได้แต่คิดว่าตนเองนั้นไม่เคยกลัวฟ้า ไม่หวาดหวั่นต่อดิน และกล้าท้าทายยอดฝีมือทั้งยุทธภพ แต่สำหรับฉินตงเฉี่วย เขากลับต้องยอมเชื่อฟังนาง..
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าผู้หญิงทั้งโลก ล้วนไร้เหตุผลสิ้นดี! แต่แล้วก็ทำเสียงอ่อนตอบฉินตงเฉี่วยไปว่า..
“เอ่อ..น้าหญิง! ข้าก็แค่เป็นห่วง เกรงว่าท่านจะได้รับอันตราย..”
ใบหน้างดงามแดงก่ำของฉินตงเฉี่วยนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์สวยงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ทำให้ผาพยัคฆ์ที่มืดมิดนั้นสว่างไสวขึ้นมาทันที
“เอาล่ะ..ข้าจะยกโทษให้เจ้าสักครั้ง หากครั้งหน้ายังกล้าอบรมสั่งสอนข้าอีกล่ะก็ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไร”
พูดจบ..ฉินตงเฉี่วยก็ค่อยๆ ดึงมือของตนเองออกจากฝ่ามือของหลิงหยุน แต่ในใจนั้นกลับเกิดความรู้สึกมากมาย และกำลังจะอ้าปากโต้เถียง
“เอ่อ..หลิงหยุน แต่ข้าว่า..”
หลิงหยุนจ้องหน้าฉินตงเฉี่วยและรีบร้องตะโกนแทรกขึ้นมาทันที “หากข้าเป็นท่าน.. เมื่อครู่นี้ข้าจะสังหารศัตรูให้ได้มากที่สุด หากไม่สามารถสังหารได้ในทันที ก็ต้องทำให้พวกมันไม่สามารถลุกขึ้นมาทำร้ายข้าได้อีก..”
“พูดง่ายๆก็คือว่า..จะไม่มีการเจรจาต่อรองใดๆทั้งนั้น เพราะมันไม่จำเป็น!”
แต่แล้วฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นมาอย่างนึกเสียดาย“แต่เจ้าไม่น่าสังหารเฉินไห่ซานกับซันเทียนปาเลย.. ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนสำคัญของตระกูลเฉิน และตระกูลซัน อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะเค้นถามความลับจากปากของพวกมันได้..”
หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยัน“น้าหญิง.. ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเผชิญกับอะไรบ้างที่เซียนเหยินหลิง แวมไพร์.. แวมไพร์หลายร้อยตน บินเต็มพื้นที่ไปหมด ข้าสังหารพวกมันจนเหนื่อย!”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังถึงกับตกใจและลืมนึกไปว่าก่อนที่หลิงหยุนจะมาช่วยตนเองนั้น เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่หนักหน่วงมาก่อน..
“แวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อย่างน้อยก็เทียบเท่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7ยอดฝีมือที่นี่มีรึที่จะเทียบกับแวมไพร์นับร้อยๆตัวที่เซียนเหยินหลิงได้!”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกใจจนแทบช็อคและได้แต่จินตนาการว่า หากนางต้องเผชิญหน้ากับแวมไพร์มากมายถึงเพียงนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร คงถูกจับฉีกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว!
เมื่อนึกขึ้นได้..นางจึงเงยหน้าจ้องมองหลิงหยุน พร้อมกับถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“นี่เจ้ารอดกลับมาได้ยังไงแล้วบาดเจ็บตรงใหนหรือไม่?”
หลิงหยุนเอียงศรีษะเล็กน้อยระหว่างที่ตอบกลับไปอย่างโอ้อวด..“น้าหญิง.. ท่านคงยังไม่รู้ว่าแวมไพร์พวกนั้นมีเวทย์มนต์ และเหนือกว่ายอดฝีมือที่เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ แต่สำหรับข้าแล้ว.. พวกมันเปรียบเสมือนมดฝูงหนึ่งเท่านั้น ข้าบอกไปแล้วไงล่ะว่าได้สังหารพวกมันตายหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ตนเดียว!”
ฉินตงเฉี่วยเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหลิงหยุนประกาศต่อหน้าศัตรูว่าเขาได้สังหารแวมไพร์ และนินจาทั้งหมดตายแล้ว แต่นางไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!
หลิงหยุนพูดต่อ“น้าหญิง.. ครั้งนี้ข้าสร้างศัตรูไว้มากมาย! ข้าตั้งใจจะสังหารพวกมันทุกคนให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวบานปลายมากไปกว่านี้ จึงไม่จำเป็นต้องเค้นถามอะไรจากพวกมันอีก และไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันเป็นตัวประกันด้วย!”
“เจ้านาย..”
หลังจากที่เจสเตอร์จัดการโยนศพทั้งหมดลงไปใต้หลุมยักษ์แล้วมันก็บินกลับมาหาหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นอย่างนอบน้อม..
“เจ้านายที่เคารพ..เจสเตอร์จัดการโยนพวกมันลงไปเป็นอาหารปลาตามคำสั่งแล้ว!”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้พร้อมกับมอบภารกิจใหม่ให้“เจสเตอร์.. มียอดฝีมือเข้ามาจิงฉูเพื่อสังหารข้ามากมาย คืนนี้เจ้ากลายร่างเป็นค้างคาวคอยบินสำรวจตรวจตราให้ทั่วเมือง สังเกตดูว่ามีสิ่งใด หรือใครที่น่าสงสัยบ้าง ส่วนเจ้าเองก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดีด้วย!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับฉินตงเฉี่วย“น้าหญิง.. คืนนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ พวกเรากลับกันดีกว่า..”
ฉินตงเฉี่วยถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นทั้งคู่ก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงจากเขามังกรไป
“โอ้โห..คืนนี้ท้องฟ้าช่างงดงามนัก”
ส่วนเจสเตอร์ก็จัดการพ่นละอองเลือดออกมาและกลายร่างเป็นค้างคาวบินไปรอบเมืองจิงฉูทันที
ระหว่างทางกลับไปบ้านนั้นฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าได้สร้างปัญหาใหญ่ให้ตัวเองแล้ว!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยกำลังพูดถึงเรื่องที่เขาไปแสดงมายากลออกทีวีแล้วตอบกลับไปหน้าตาเฉย “ข้ารู้!”
แต่ฉินตงเฉี่วยกลับยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดต่อว่า “เจ้าเล่นมายากลก็เรื่องหนึ่ง.. แต่เหตุใดต้องให้รูปสลักน้ำแข็งกับหญิงสาวด้วยเล่า”
หลิงหยุนเดาน้ำเสียงของฉินตงเฉี่วยผิดไปจึงร้องถามด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ “น้าหญิง.. นี่ท่านอิจฉางั้นรึ หากท่านชอบ.. ไว้กลับไปข้าจะแกะสลักให้ท่านหลายๆตัวเลย…”
ฉินตงเฉี่วยหน้าแดงก่ำแต่ก็ย้อนกลับไปว่า “ไม่ใช่ข้า.. แต่คนอื่นๆน่าจะอิจฉา!”
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 922 : เบาะแส!
หลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยกลับไปถึงบ้านเลขที่-1แต่เมื่อพบว่าภายในห้องนั่งเล่นนั้นยังคงเปิดไฟสว่างไสว แต่กลับไม่มีใครอยู่เลย..
หลิงหยุนร้องถามขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”
ฉินตงเฉี่วยมองค้อนพร้อมกับตอบไปว่า“นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ.. เจ้าไม่ดูนาฬิกาบ้างเลยหรืออย่างไร!”
“เอาล่ะ..ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้ว..” พูดจบฉินตงเฉี่วยก็กระโดดหายลับตาไป..
“พี่หลิงหยุน!”
และเงาสีขาวก็ปรากฏ..ร่างงดงามของไป๋เซียนเอ๋อปรากฏขึ้นภายในห้องนั่งเล่น และโผเข้าหาอ้อมแขนของหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนโอบกอดร่างอ่อนนุ่มอบอุ่น และหอมหวนของไป๋เซียนเอ๋อไว้ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างบอบบางนั้นอย่างอ่อนโยน แล้วจึงถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เซียนเอ๋อ..เจ้าไปใหนมางั้นรึ”
ไป๋เซียนเอ๋อยกแขนขาวนวลสองข้างขึ้นโอบรอบคอหลิงหยุนไว้พร้อมกับส่งยิ้มและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ให้หลิงหยุน
“ข้าไปที่สวนหลังบ้านมา..แวมไพร์พวกนั้นตลกมากจริงๆ ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าเซียนเอ๋อก็ยังเป็นเซียนเอ๋ออยู่ดี ถึงกับกล้าเข้าไปเล่นกับแวมไพร์ที่น่ากลัว และยังบอกว่าพวกมันตลกอีกด้วย..
หลิงหยุนคาดเดาว่า..พอลคงต้องปวดหัวน่าดู!
“เจ้าไปทำอะไรกับพวกมันงั้นรึ”
หลิงหยุนพาไป๋เซียนเอ๋อไปนั่งที่โซฟาจากนั้นจึงจับฝ่ามือของนางขึ้นมาลูบไล้อย่างอ่อนโยน..
ใบหน้างดงามของไป๋เซียนเอ๋อแดงก่ำนางก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “เอ่อ.. ข้าไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปฝึกวิชาจิงจอกระเริงไฟ กับฝ่ามือเพลิงสวรรค์…”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น และร้องตะโกนออกมา
“เซียนเอ๋อ..เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป! เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินยังมีประโยชน์กับข้ามากนัก หากเจ้าทำให้พวกมันตายขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะทำโทษเจ้า!”
ไป๋เซียนเอ๋อแลบลิ้นสีแดงออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ข้าทราบ.. แต่ข้าเบื่อนี่!”
ระหว่างนั้นก็มีเงาสีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศและกำลังบินวนอยู่รอบตัวหลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อ จากนั้น.. ร่างสีทองก็ค่อยๆ ร่อนลงไปเกาะที่ไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ มันก็คือเจ้าทองอ้วน – ดักแด้ทองคำนั่นเอง!
เวลานี้ทั้งไป๋เซียนเอ๋อและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี เจ้าทองอ้วนจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวไป๋เซียนนเอ๋อดังเช่นก่อนอีก..
วิ้ง..วิ้ง..
เจ้าทองอ้วนสะบัดปีกและบิดร่างอ้วนกลมของมันบินหลบหลีกอยู่รอบตัวไป๋เซียนเอ๋อ ดวงตากลมโตคู่นั้นก็กรอกไปรอบๆ
“ขอข้าจับเจ้าบ้างสิ..”
หลิงหยุนจ้องมองเจ้าทองอ้วนอย่างสนอกสนใจและพยายามที่จะจับตัวมันให้ได้ แต่เจ้าทองอ้วนก็บินออกจากไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ แล้วบินหนีออกไปทันที เมื่อบินออกไปได้ในรัศมีที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว มันจึงหยุด แล้วหันกลับมาจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ด้วยกิริยาที่ไม่น่ารัก..
หลิงหยุนถึงกับตาโตในขณะที่ไป๋เซียนก็เอาแต่มองดูพร้อมกับหัวเราะคิกคัก..
“ก็นายชอบรังแกมัน..ถ้ามันยอมให้นายจับตัวก็คงแปลกแล้วล่ะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวตัวเก่งค่อยๆ ก้าวเดินลงมาจากบันได้ ใบหน้างดงามนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวบนท้องฟ้า
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นึกชมอยู่ในใจนับวันเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ยิ่งดูเหมือนสาวชาวเมืองเข้าไปมากทุกที แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งความสดใสมีชีวิตชีวาในแบบของสาวชาวเผ่า นับเป็นการผสมผสานที่ลงตัว และงดงามมาก หากชายใดพบเห็นเข้า คงต้องคลั่งไคล้อย่างแน่นอน..
เมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นหลิงหยุนจ้องเธอเขม็งพร้อมกับอมยิ้มเธอจึงหันไปทำหน้าเคร่งขรึมใส่หลิงหยุนพร้อมกับถามเสียงห้วน
“มองอะไร”
หลิงหยุนเอนกายพิงโซฟาพร้อมกับยกมือขึ้นชี้มาทางตัวเองพร้อมกับพูดยิ้มๆ “นักมายากลที่เก่งที่สุดก็กำลังคิดที่จะแกะสลักรูปปั้นหญิงสาวที่งดงามอย่างไร้ที่ติอยู่น่ะสิ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำเสียงประชดชประชัน“ฮึ.. อย่าบอกนะว่าจะแกะสลักรูปปั้นน้ำแข็ง!”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นแต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำชมของหลิงหยุน
ไม่มีหญิงสาวคนใหนหรอกที่จะไม่ยินดีพอใจเมื่อคนอื่นชื่นชมความงดงามของตนเองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!
แต่แล้ว..จู่ๆ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ต้องยิ้มค้าง และหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเธอนิ่งไป ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ฉันว่านายระวังตัวไว้จะดีกว่า!แต่คงจะไม่ทันแล้วล่ะ.. แฟนนายมาโน่แล้ว!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องบอกพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางบันไดชั้นสอง..
ยังไม่ทันที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะพูดจบดีหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงกับเกาเฉินเฉินยืนอยู่มุมหนึ่งตรงบันได และทั้งคู่ก็กำลังชะโงกหน้าลงมามองที่ห้องรับแขกชั้นล่าง..
“เฉินเฉิน..หนิงน้อย.. ตื่นแล้วเหรอ” หลิงหยุนร้องตะโกนถามพร้อมกับโบกมือทักทายด้วยทีท่าเลิ่กลั่ก..
เมื่อหญิงสาวทั้งคู่เห็นว่าหลิงหยุนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรทั้งเกาเฉินเฉินกับเสี่ยวเม่ยหนึงจึงได้แต่โล่งใจ จากนั้นจึงทำเสียง “เชอะ..” ขึ้นมาพร้อมกัน แล้วสะบัดหน้าเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทันที
“เอ่อ..”
เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของหญิงสาวทั้งสองคนหลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มเก้อ แต่ในใจก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่เรื่องหึงหวงอิจฉาตาร้อนเท่านั้นเอง
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 922 : เบาะแส!
หลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยกลับไปถึงบ้านเลขที่-1แต่เมื่อพบว่าภายในห้องนั่งเล่นนั้นยังคงเปิดไฟสว่างไสว แต่กลับไม่มีใครอยู่เลย..
หลิงหยุนร้องถามขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”
ฉินตงเฉี่วยมองค้อนพร้อมกับตอบไปว่า“นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ.. เจ้าไม่ดูนาฬิกาบ้างเลยหรืออย่างไร!”
“เอาล่ะ..ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้ว..” พูดจบฉินตงเฉี่วยก็กระโดดหายลับตาไป..
“พี่หลิงหยุน!”
และเงาสีขาวก็ปรากฏ..ร่างงดงามของไป๋เซียนเอ๋อปรากฏขึ้นภายในห้องนั่งเล่น และโผเข้าหาอ้อมแขนของหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนโอบกอดร่างอ่อนนุ่มอบอุ่น และหอมหวนของไป๋เซียนเอ๋อไว้ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างบอบบางนั้นอย่างอ่อนโยน แล้วจึงถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เซียนเอ๋อ..เจ้าไปใหนมางั้นรึ”
ไป๋เซียนเอ๋อยกแขนขาวนวลสองข้างขึ้นโอบรอบคอหลิงหยุนไว้พร้อมกับส่งยิ้มและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ให้หลิงหยุน
“ข้าไปที่สวนหลังบ้านมา..แวมไพร์พวกนั้นตลกมากจริงๆ ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าเซียนเอ๋อก็ยังเป็นเซียนเอ๋ออยู่ดี ถึงกับกล้าเข้าไปเล่นกับแวมไพร์ที่น่ากลัว และยังบอกว่าพวกมันตลกอีกด้วย..
หลิงหยุนคาดเดาว่า..พอลคงต้องปวดหัวน่าดู!
“เจ้าไปทำอะไรกับพวกมันงั้นรึ”
หลิงหยุนพาไป๋เซียนเอ๋อไปนั่งที่โซฟาจากนั้นจึงจับฝ่ามือของนางขึ้นมาลูบไล้อย่างอ่อนโยน..
ใบหน้างดงามของไป๋เซียนเอ๋อแดงก่ำนางก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “เอ่อ.. ข้าไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปฝึกวิชาจิงจอกระเริงไฟ กับฝ่ามือเพลิงสวรรค์…”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น และร้องตะโกนออกมา
“เซียนเอ๋อ..เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป! เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินยังมีประโยชน์กับข้ามากนัก หากเจ้าทำให้พวกมันตายขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะทำโทษเจ้า!”
ไป๋เซียนเอ๋อแลบลิ้นสีแดงออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ข้าทราบ.. แต่ข้าเบื่อนี่!”
ระหว่างนั้นก็มีเงาสีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศและกำลังบินวนอยู่รอบตัวหลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อ จากนั้น.. ร่างสีทองก็ค่อยๆ ร่อนลงไปเกาะที่ไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ มันก็คือเจ้าทองอ้วน – ดักแด้ทองคำนั่นเอง!
เวลานี้ทั้งไป๋เซียนเอ๋อและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี เจ้าทองอ้วนจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวไป๋เซียนนเอ๋อดังเช่นก่อนอีก..
วิ้ง..วิ้ง..
เจ้าทองอ้วนสะบัดปีกและบิดร่างอ้วนกลมของมันบินหลบหลีกอยู่รอบตัวไป๋เซียนเอ๋อ ดวงตากลมโตคู่นั้นก็กรอกไปรอบๆ
“ขอข้าจับเจ้าบ้างสิ..”
หลิงหยุนจ้องมองเจ้าทองอ้วนอย่างสนอกสนใจและพยายามที่จะจับตัวมันให้ได้ แต่เจ้าทองอ้วนก็บินออกจากไหล่ของไป๋เซียนเอ๋อ แล้วบินหนีออกไปทันที เมื่อบินออกไปได้ในรัศมีที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว มันจึงหยุด แล้วหันกลับมาจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ด้วยกิริยาที่ไม่น่ารัก..
หลิงหยุนถึงกับตาโตในขณะที่ไป๋เซียนก็เอาแต่มองดูพร้อมกับหัวเราะคิกคัก..
“ก็นายชอบรังแกมัน..ถ้ามันยอมให้นายจับตัวก็คงแปลกแล้วล่ะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวตัวเก่งค่อยๆ ก้าวเดินลงมาจากบันได้ ใบหน้างดงามนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวบนท้องฟ้า
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นึกชมอยู่ในใจนับวันเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ยิ่งดูเหมือนสาวชาวเมืองเข้าไปมากทุกที แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งความสดใสมีชีวิตชีวาในแบบของสาวชาวเผ่า นับเป็นการผสมผสานที่ลงตัว และงดงามมาก หากชายใดพบเห็นเข้า คงต้องคลั่งไคล้อย่างแน่นอน..
เมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นหลิงหยุนจ้องเธอเขม็งพร้อมกับอมยิ้มเธอจึงหันไปทำหน้าเคร่งขรึมใส่หลิงหยุนพร้อมกับถามเสียงห้วน
“มองอะไร”
หลิงหยุนเอนกายพิงโซฟาพร้อมกับยกมือขึ้นชี้มาทางตัวเองพร้อมกับพูดยิ้มๆ “นักมายากลที่เก่งที่สุดก็กำลังคิดที่จะแกะสลักรูปปั้นหญิงสาวที่งดงามอย่างไร้ที่ติอยู่น่ะสิ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำเสียงประชดชประชัน“ฮึ.. อย่าบอกนะว่าจะแกะสลักรูปปั้นน้ำแข็ง!”
แม้จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นแต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำชมของหลิงหยุน
ไม่มีหญิงสาวคนใหนหรอกที่จะไม่ยินดีพอใจเมื่อคนอื่นชื่นชมความงดงามของตนเองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!
แต่แล้ว..จู่ๆ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ต้องยิ้มค้าง และหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเธอนิ่งไป ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ฉันว่านายระวังตัวไว้จะดีกว่า!แต่คงจะไม่ทันแล้วล่ะ.. แฟนนายมาโน่แล้ว!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องบอกพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางบันไดชั้นสอง..
ยังไม่ทันที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะพูดจบดีหลิงหยุนก็สังเกตเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงกับเกาเฉินเฉินยืนอยู่มุมหนึ่งตรงบันได และทั้งคู่ก็กำลังชะโงกหน้าลงมามองที่ห้องรับแขกชั้นล่าง..
“เฉินเฉิน..หนิงน้อย.. ตื่นแล้วเหรอ” หลิงหยุนร้องตะโกนถามพร้อมกับโบกมือทักทายด้วยทีท่าเลิ่กลั่ก..
เมื่อหญิงสาวทั้งคู่เห็นว่าหลิงหยุนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรทั้งเกาเฉินเฉินกับเสี่ยวเม่ยหนึงจึงได้แต่โล่งใจ จากนั้นจึงทำเสียง “เชอะ..” ขึ้นมาพร้อมกัน แล้วสะบัดหน้าเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทันที
“เอ่อ..”
เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของหญิงสาวทั้งสองคนหลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มเก้อ แต่ในใจก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่เรื่องหึงหวงอิจฉาตาร้อนเท่านั้นเอง
‘ก็แค่รูปสลักน้ำแข็งข้าทำให้คนละร้อยตัวก็ได้!’
ไป๋เซียนเอ๋อและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะจนตัวงอ หลิงหยุนทำเสียงกระแอมเพื่อให้หญิงสาวทั้งสองคนหยุดหัวเราะเสียที แล้วจึงหันไปถามเหมี่ยวเสี่ยวเหมา..
“คุณได้เบาะแสของสองคนนั้นบ้างหรือยัง”
แน่นนอนว่าหลิงหยุนกำลังถามถึงหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ช่างน่าอายนักที่หญิงสาวทั้งสองคนหายไปทั้งที่เขายังอยู่ในจิงฉู
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาหน้าซีดลงทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ไม่พบลย.. เจ้าทองอ้วนหาทั่วทั้งเมืองจิงฉูแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย..”
หลิงหยุนถึงกับผิดหวังแต่ก็รีบถามต่อ “ยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลยงั้นเหรอ”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบกลับไปว่า“จากข้อมูลของสำนักงานรักษาความมั่นคง ฉันว่าสองคนนั้นคงจะไม่อยู่ในจิงฉูแล้ว..”
“พวกเขาพบอะไรบ้าง”
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจดูกล้องวงจรปิดในระแวกนั้นแล้วพบว่ามีรถสีฟ้าน้ำทะเลขับไปทางทิศตะวันตก แล้วก็เลี้ยวไปทางทิศเหนือมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบจิงฉู จากนั้นก็ขับไปตามถนนหลินเจียง มุ่งหน้าไปทางตะวันตกแล้วหายออกจากเมืองจิงฉูไป”
ธิดาพรรคมาร– เย่ซิงเฉิน หลังจากที่จับตัวหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ไปแล้ว นางก็ได้ทำลายกล้องวงจรปิดที่แยกนั้น แต่ไม่ได้ทำลายกล้องวงจรปิดทุกตัวบนถนน
หลิงหยุนขมวดคิ้วหัวใจของเขากระตุกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต “มุ่งหน้าไปทางตะวันตกงั้นเหรอ รอบๆเมืองจิงฉูมีแต่ภูเขา หรือจะพาตัวทั้งคู่ไปไว้บนเขา?”
หลิงหยุนพึมพำระหว่างที่ครุ่นคิดจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลินเมิ่งหานพร้อมกับถามต่อว่า “เห็นหน้าคนที่อยู่ในรถมั๊ย”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาส่ายหน้าพร้อมกับตอบเสียงเบา“คืนนั้นฝนตกหนักมาก แล้วรถก็แล่นไปด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ในรถได้..”
หลิงหยุนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า“ผมคิดว่าทั้งคู่น่าจะยังปลอดภัยดี! ถ้าฝ่ายนั้นต้องการฆ่าพวกเธอจริงๆ ก็ควรจะต้องลงมือในทันที ไม่จำเป็นต้องลักพาตัวออกไปจากเมืองแบบนี้..”
“เสี่ยวเหมา..คุณช่วยส่งเจ้าทองอ้วนไปสำรวจแถวภูเขาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจิงฉูดู เผื่อจะได้ร่องรอยอะไรบ้าง..”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็เรียกน้ำเต้าวิเศษ และขวดหยกเล็กๆออกมา เขาจัดการรินน้ำลายมังกรลงไปเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับเจ้าทองอ้วน
“ทองอ้วน..สองวันมานี้เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ แต่ข้าไม่ใช้แรงงานเจ้าฟรีๆ แน่ มาสิ.. ข้าให้น้ำลายมังกรเจ้าเป็นการตอบแทน..”
เจ้าทองอ้วนบินไปเกาะที่ไหล่ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับกระพือปีกดวงตาทั้งสองข้างของมันจับจ้องอยู่ที่ขวดหยกในมือหลิงหยุน และแทบจะรอคอยที่จะไปลิ้มรสอาหารชั้นเลิศไม่ได้
“แหม..คราวนี้เป็นความดีของเจ้าทองอ้วนแล้วสินะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาประชดประชันพร้อมกับยื่นมือไปหยิบขวดหยกมาจากมือของหลิงหยุนแต่หลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน..
อย่างน้อยก็พอได้ร่องรอยของหญิงสาวทั้งสองคนบ้างหลิงหยุนจึงหันไปถามไป๋เซียนเอ๋อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
“คืนนี้สองคนจะฝึกวิชารึเปล่า”
หญิงสาวทั้งสองคนพยักหน้าและตอบมาเป็นเสียงเดียวกัน “ฝึกสิ!”
“เอาล่ะ..ถ้างั้นก็ออกไปฝึกได้แล้ว ผมจะขึ้นไปข้างบนหา…”
หลิงหยุนพูดทิ้งท้ายลอยๆแล้วรีบเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของเสี่ยวเม่ยหนิงทันที..
หลิงหยุนยืนอยู่หน้าห้อง..เขายกมือขึ้นเคาะประตูพร้อมกับร้องตะโกนถามว่า “หนิงน้อย.. หลับหรือยัง”
“หลับอยู่..”
เสียงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ และหลิงหยุนก็รู้ว่าเธอกำลังยืนอยู่หลังประตู..
“หลับแล้วจะตอบได้ยังไงเล่าเปิดประเร็วเข้า!”
“ถ้าเปิดเข้ามาไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้า!” เสี่ยวเม่ยหนิงร้องบอกอย่างไม่พอใจ และน้ำตาก็กำลังจะไหล..
“เอ่อ..ถ้างั้นผมก็จะกลับไปเซียนเหยินหลิงแล้วนะ..”
หลิงหยุนมั่นใจว่าครั้งนี้ประตูห้องจะต้องเปิดออกอยางแน่นอน!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหลิงหยุนด้วยซ้ำไปประตูห้องของเสี่ยวเม่ยหนิงก็เปิดออกทันที เด็กสาวตัวแสบอยู่ในชุดนอนผ้าไหมบางเบา และกำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่หน้าประตู..
ทันทีที่เห็นเสี่ยวเม่ยหนิง..เลือดในกายของเขาก็สูบฉีด และเลือดกำเดาแทบพุ่งออกจากรูจมูก!
หลิงหยุนจ้องมองเรือนร่างของเด็กสาวตัวแสบที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่เข้าไปหลายอึก..
แต่ไม่ใช่เพราะชุดนอนผ้าไหมบางเบาที่เด็กสาวตัวแสบสวมใส่และไม่ใช่เพราะชุดนอนบางเบานั้นเป็นชุดนอนเอวลอยที่ปิดเพียงแค่หน้าอกใหญ่โตนั้น อีกทั้งกางเกงขาสั้นก็ยังเผยให้เห็นท่อนขาเรียวงาม
แต่เป็นเพราะว่า..เสี่ยวเม่ยหนิงไม่ได้สวมชุดชั้นใน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+