Elixir Supplier 599

Now you are reading Elixir Supplier Chapter 599 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

599 บ้านอยู่ที่ไหน?

 

ศาสตราจารย์หวูเอาแต่พูดแบบนี้อยู่ตลอด

 

“คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ผู้นำจังหวัดฉีพูด

 

เขารู้ว่า ตัวเองไม่ได้ถ่อมตัว เรื่องนี้ต้องขอบคุณชายหนุ่มที่หมู่บ้านหวัง ที่ทำให้วิกฤตจากโรคร้ายอยู่ในการควบคุมได้อย่างรวดเร็ว หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากหวังเย้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงได้

 

ทางกรมสาธารณะสุขได้จัดงานเลี้ยงขึ้น เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ คนสำคัญของทั้งเขต, เมือง, จังหวัดต่างก็เข้าร่วมงานนี้ และผู้ที่โดดเด่นที่สุดในงานก็คือ ศาสตราจารย์หวู ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่ง

 

ทุกคนที่อยู่บนโต๊ะต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข ทุกคนดูสนุกกับงานในครั้งนี้ แม้แต่ผู้ช่วยทั้งสองคนของศาสตราจารย์หวูก็ยังได้รับคำชื่นชมไปด้วย หลังจากดื่มไปได้สองสามแก้ว ชายหนุ่มทั้งสองก็เริ่มมึนเล็กน้อย จนมีอาการพูดไม่เป็นคำ

 

พวกเขามักจะได้เข้าร่วมมื้อค่ำและงานเลี้ยงกับอาจารย์ของพวกเขา และได้รับคำชื่นชมจากผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆมากมาย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ในฐานะคนธรรมดา พวกเขากลับได้รับความเคารพอย่างสูงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้สึกพอใจมากกว่าการดื่มของมึนเมา

 

แต่มีอยู่คนหนึ่งที่นิ่งตลอดทั้งงาน เขาก็คือดาวของค่ำคืนนี้ ศาสตราจารย์หวู ฉันจะต้องพูดให้ชายหนุ่มคนนั้น!

 

เขาไม่ต้องการของที่ไม่ใช่ของเขา ในเย็นวันนั้น เขาคิดอะไรหลายอย่าง

 

ก้อนเมฆรวมตัวกันอยู่บนท้องฟ้า หวังเย้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่บนเนินเขาหนานชาน

 

พรุ่งนี้ ฝนจะตก

 

เขาหันไปมองทางทิศตะวันตก เนินเขาซีชานอยู่ห่างจากเนินเขาหนานชานไม่มากนัก มันตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เนินเขาที่สูงที่สุดที่ล้อมหมู่บ้านเอาไว้ ก็คือเนินเขาทางทิศเหนือ และต่อมาก็คือ เนินเขาซีชาน ส่วนเนินเขาหนานชานคือเนินเขาที่เตี้ยที่สุด

 

ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย

 

ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นความต่างระหว่างเนินเขาซีชานกับเนินเขาอื่นได้ ส่วนสิ่งที่เรียกว่า พลังงานความตายนั้น เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้จากจุดนี้

 

ช่างมันเถอะ! หวังเย้าปิดไฟเข้านอน เมื่อเป็นเวลาดึกมากแล้ว

 

ฝนเริ่มโปรยลงมาในเช้าวันใหม่ ด้วยอากาศแบบนี้ แต่ที่คลินิกของหวังเย้ากลับมีแขกมาเยี่ยมเยือน

 

ถึงแม้ว่าวิธีการรักษาโรคระบาดในครั้งนี้ จะเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากหวังเย้า และยาที่เขาเป็นคนปรุงขึ้นมา แต่หมู่บ้านก็ยังคงถูกปิดอยู่เช่นเดิม สัญญาเตือนภัยยังคงทำงานอยู่

 

“นี่ๆ นั่นใช่ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งคนนั้นรึเปล่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งสามารถจดจำผู้มาเยือนรายนี้ได้

 

“ใช่แล้วล่ะ เขามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา” ชาวบ้านอีกคนพูด

 

“ฉันได้ยินมาว่า เขาก็คือคนที่ค้นพบวิธีการรักษาโรคระบาด คนจากปักกิ่งอยู่คนละระดับกับเราจริงๆ” ชาวบ้านคนแรกพูด

 

“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วล่ะ เมื่อคืน พวกเขายังจัดงานเลี้ยงให้เขาในเมืองด้วยนะ” ชาวบ้านอีกคนพูด

 

“แล้วเขามาทำอะไรในวันฝนตกแบบนี้กัน?” ชาวบ้านคนแรกถาม

 

เมื่อได้รู้ว่า แพทย์ได้ค้นพบวิธีการรักษาโรคระบาดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้วิตกกังวลเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป ไม่ว่าโรคจะร้ายแรงแค่ไหน ขอแค่มีวิธีรักษาได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอีกต่อไป

 

“นี่ ฉันได้ยินบางอย่างมาด้วยล่ะ” ชายวัยกลางคนพูด

 

“อะไรเหรอ?” เพื่อนบ้านของเขาถาม

 

“ทางรัฐบาลท้องถิ่นได้ให้เงินรางวัลเขา 1 ล้านหยวนเลยน่ะสิ” ชายวัยกลางคนพูด

 

“พูดจริงเหรอ?” เพื่อนบ้านของเขาถาม

 

ศาสตราจารย์หวูไม่ได้ยินบทสนทาของพวกเขา เขาตรงไปที่คลินิกของหวังเย้าและเคาะประตู

 

“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด

 

เขาได้รับสายจากศาสตราจารย์หวูในตอนเช้าแล้ว ดังนั้น เขาจึงมารออยู่ที่คลินิก

 

“สวัสดีครับ ศาสตราจารย์หวู” หวังเย้าพูด

 

“สวัสดี หมอหวัง” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

หวังเย้าเดินไปชงชาให้กับเขา

 

“ขอบคุณสำหรับสูตรยากับสมุนไพร ตอนนี้ พวกเขาเริ่มขยายพันธุ์เพิ่มแล้ว” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“เยี่ยมเลยครับ” หวังเย้าพูด

 

“เรื่องสำคัญก็คือสูตรยา มีคนมาขอเสนอซื้อสูตรยาตัวนี้จากฉันด้วย” ศาสตราจารย์หวูพูด “แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เธอคือเจ้าของสูตรยานี้ แต่ฉันจดลิขสิทธิ์ในนามของเธอให้แล้วนะ”

 

เขาไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก และเขาก็ได้จดลิขสิทธิ์เจ้าของสูตรยาเป็นชื่อของหวังเย้าไปเรียบร้อยแล้ว

 

“แล้วฉันก็ตั้งใจจะบอกทุกคนว่า เธอคือคนที่คิดค้นยาสูตรนี้ขึ้นมา” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“แค่ประกาศไปว่า เราสองคนเป็นคนคิดสูตรยานี้ขึ้นมาก็พอแล้วครับ” หวังเย้าพูด

 

“ไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนคิดค้นมันขึ้นมาสักหน่อย” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“แต่คุณเป็นคนช่วยเรื่องการทดสอบและเสนอสูตรยาตัวนี้นะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่า ศาสตราจารย์หวูเป็นคนที่มีจรรยาบรรณคนหนึ่ง

 

“นั่นมันไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณพูดชื่อของผมด้วย” หวังเย้าพูด

 

“ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“คุณดูไม่ค่อยดีนะครับ ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ ผมเดาว่า คุณคงจะทำงานหนัก เพราะโรคระบาดครั้งนี้มากเลยสินะครับ” หวังเย้าพูด

 

ศาสตราจารย์ดูเหนื่อยล้า เมื่อร่างกายเหนื่อยล้า ไวรัส, เชื้อโรค, และทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายขึ้น

 

“เธอพูดถูกแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“คุณต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ ดื่มชาสักหน่อยสิครับ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

ชามีรสชาติดี ศาสตราจารย์หวูรู้สึกสบายขึ้นมาก หลังจากที่ดื่มชาเข้าไป น้ำชาดูเหมือนจะช่วยขับความเหนื่อยล้าของเขาให้หายไป

 

“เธอไปเรียนการรักษาจากที่ไหนมาเหรอ?” ศาสตราจารย์หวูถาม

 

“จากเทพเจ้าครับ” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม

 

ศาสตราจารย์หวูหัวเราะ

 

พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน

 

“ถ้าหมู่บ้านไม่ถูกปิดแบบนี้ ผมก็อยากจะเชิญศาสตราจารย์ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“ไม่เป็นไร” ศาสตราจารย์หวูพูด “เธอค่อยมาพบฉันที่ปักกิ่งก็ได้”

 

ตอนที่ศาสตราจารย์หวูจากไป ฝนก็ยังคงตกลงมาเรื่อยๆ

 

พ่อแม่ของหวังเย้าถามเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาด ในตอนที่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน

 

“แม่ได้ยินมาว่า ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งทำยารักษาออกมาได้แล้ว” จางซิวหยิงพูด

 

“ครับ จริงๆแล้วคนที่คิดยารักษาขึ้นมาก็คือ ลูกชายของแม่คนนี้ต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอ?” จางซิวหยิงถาม

 

“จริงสิครับ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วมันได้ผลรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาถาม

 

“ครับ” หวังเย้าพูด

 

“ดี ดีจริงๆ” หวังเฟิงฮวายิ้มและจุดไฟบุหรี่

 

 

ต้าหลี่ พี่น้องหานกำลังจะเดินทางไปหาราชายาเป็นครั้งที่สี่

 

“นายรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หานจื้อเกาถาม

 

“ฉันเดินทางไหว” น้องชายคนเล็กที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลสามารถพูดออกมาเป็นคำได้แล้ว

 

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ” หานจื้อเกาพูด

 

“โอเค” น้องชายคนเล็กพูด

 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็เดินทางไปถึงหมู่บ้านขนาดเล็กที่ทางใต้ของยูนนาน และเข้าพบราชายา เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาจับจ้องไปที่หานจื้อเกาและน้องชายของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

ฉันไม่อยากจะเจอคนคนนี้อีกแล้ว หานจื้อเกาคิด

 

“อาเจี้ยน มานี่สิ” ราชายาพูด

 

“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด

 

ยังคงเป็นอาเจี้ยน ที่รับหน้าที่ใส่ยาให้กับน้องชายคนเล็กของบ้านหาน เขาค่อยๆแกะผ้าพันแผลออก แล้วผิวหนังก็เผยออกมาให้ทุกคนได้เห็น สะเก็ดแผลหลุดร่วงออกมาจำนวนมาก ทุกคนสามารถมองเห็นผิวใหม่ตามส่วนต่างๆของร่างกายได้

 

พี่น้องหานต่างรู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของน้องชายคนเล็กของพวกเขา

 

อาเจี้ยนนำยาสามโถทาลงไปตามร่างกายของน้องชายคนเล็กบ้านหานอย่างช้าๆ ต่อมา เขาก็ถูกพันร่างกายด้วยผ้าพันแผลแบบพิเศษ

 

“อีก 20วันให้กลับมาอีกที” ราชายาพูด

 

“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หานจื้อเกาพูด

 

“รอเดี๋ยว ฉันมีเรื่องอยากจะถาม” ในตอนที่พวกเขากำลังจะเดินออกไป ราชายาก็เรียกพวกเขาเอาไว้

 

“ได้สิครับ” หานชิ่งพูด

 

“คนที่ทำยาสามตัวนี้ขึ้นมา อยู่ที่ไหน?” ราชายาถาม

 

“เอ่อ เขามาจากทางเหนือของจังหวัดฉีครับ” หานชิ่งพูด

 

“จังหวัดฉีเหรอ?” ราชายาขมวดคิ้ว เขาอาศัยอยู่ในยูนนานมานานหลายสิบปี ถึงแม้ว่าเขาจะเดินทางไปมาหลายที่ แต่เขาก็ไม่เคยเดินทางไปทางเหนือของจีนมาก่อน “ช่างเถอะ พวกเธอไปได้แล้ว”

 

“ครับ ลาก่อนครับ” หานชิ่งและพี่น้องของเขารีบเดินออกไปจากตัวอาคาร

 

“อาจารย์อยากจะไปเจอคนคนนั้นเหรอครับ?” หลังจากที่พี่น้องหานออกไปแล้ว อาเจี้ยนก็ถามขึ้นมา

 

“ใช่” ราชายาพูด “ฉันศึกษายาสามตัวนี้มาเกือบเดือนแล้ว แต่ฉันก็ยังหาส่วนผสมทั้งหมดของมันไม่ได้”

 

“ผมสามารถขอให้เพื่อนของผมตามเรื่องนี้ให้ได้นะครับ” อาเจี้ยนพูด

 

“เอาสิ ฉันไม่ได้เจอเรื่องน่าสนใจแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน” ราชายาพูดด้วยรอยยิ้ม คนที่ไม่มีคู่ต่อสู้ มักจะรู้สึกโดดเดี่ยว

 

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว จากฤดูหนาวก็เปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ผลิใบเขียวสดและดอกไม้เบ่งบาน ฤดูใบไม้ผลิได้นำพาชีวิตมาสู่ผืนดิน

 

การทดสอบยาของหวังเย้าในโรงพยาบาลเหลียนชาน ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งอยู่ในอาการเริ่มแรก

 

ในระหว่างการสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์หวูก็ได้พูดบางอย่างที่คาดไม่ถึงออกมา เขาได้พูดว่า สูตรยาที่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้ ไม่ใช่เขาที่เป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา แต่เป็นแพทย์ปรุงยาที่มีแซ่ว่า หวัง

 

คนที่ฟังการสัมภาษณ์ต่างก็ไม่รู้ว่า อะไรคือแพทย์ปรุงยาหรือคนแซ่หวังคนนี้คือใคร แต่ก็มีบางคนที่รู้ว่า ศาสตราจารย์หวูกำลังพูดเรื่องอะไร เช่นเดียวกับชาวบ้านที่กำลังฟังการสัมภาษณ์นี่อยู่

 

แพทย์ปรุงยาที่มีแซ่ว่า หวัง อย่างนั้นเหรอ? เขากำลังพูดถึงลูกชายของหวังเฟิงฮวาอยู่รึเปล่า? ชาวบ้านต่างก็สงสัย

 

เมื่อตัวยาได้ถูกผลิตออกมาแล้ว การกักตัวของหมู่บ้านก็ไม่ได้เข้มงวดเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่รอบหมู่บ้านเหมือนเดิม มันเป็นคำสั่งของทางเมืองและรัฐบาลท้องถิ่น ถึงแม้จะมีการพัฒนายาต้านออกมาแล้ว แต่มันก็ยังถือว่าเป็นโรคระบาดอยู่ดี อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ยังคงสูง ดังนั้น ผู้คนจึงยังต้องระวังตัวกันอยู่

 

ในวันหนึ่ง ศาสตราจารย์หวูได้เดินทางมาที่หมู่บ้าน “ฉันมาเพื่อจะบอกลา”

 

“คุณจะกลับปักกิ่งแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่ ฉันคิดว่า เรื่องนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว แล้วฉันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

เขาอยู่คุยกับหวังเย้าในคลินิกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาพูดกันเกี่ยวกับการรักษา รวมไปถึงเรื่องอื่นๆด้วย

 

“ฉันไม่คิดเลยนะว่า หมออายุน้อยขนาดเธอจะมีความรู้มากขนาดนี้ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

คนเรามักจะมองภาพรวมทั้งหมดได้จากการมองเพียงจุดเดียว ศาสตราจารย์หวูได้รับรู้ว่า หวังเย้าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีฝีมือการแพทย์สูงส่งได้จากการพูดคุยเรื่องการรักษากับหวังเย้าเท่านั้น

 

“ที่นี่จะยกเลิกการกักตัวเมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“อย่างน้อยก็อาจจะอีกสักเดือนหนึ่ง ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“ผมไม่ได้ออกไปที่ไหนอยู่แล้ว ผมก็แค่ไม่อยากให้ชาวบ้านคิดมากกันเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูด

 

เขากลัวว่า หลังจากที่การกักตัวจบลง จะมีชาวบ้านย้ายออกไปจากหมู่บ้านมากกว่าเดิม เขารู้ว่า อพาร์ทเมนต์ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทของซุนเจิ้งหรงใกล้จะเสร็จแล้ว ชาวบ้านหลายคนต่างก็ต้องการจะย้ายออกไป แล้วโรคระบาดในครั้งนี้ยังได้คร่าชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ไปแล้ว 10 คน หวังเย้าไม่คิดว่า จะมีใครอยากอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ต่อไปอีก

 

หมู่บ้านที่เคยเป็นสถานที่สงบสุขและปลอดภัย ไม่สามารถเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยอีกต่อไป มันไม่ใช่บ้านของพวกเขาอีกแล้ว แล้วพวกเขาก็ยังไม่มีความผูกพันธ์กับหมู่บ้านมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว

 

ผู้คนจะมารวมตัวกันมากขึ้น เมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านเกิด เพราะพวกเขาไม่ต้องอยู่ไกลจากคนในครอบครัวของตนเอง แต่สำหรับคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน พวกเขาไม่ได้ผูกพันธ์กับครอบครัวของตัวเองเหมือนคนสมัยก่อนอีกต่อไป

 

ยิ่งเวลาผ่านไปมากแค่ไหน ชาวบ้านก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในขณะเดียวกัน มีคนถูกพบว่าติดเชื้อเพิ่มขึ้น และถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเหลียนชาน สุดท้าย ทั้งมนุษย์, กระต่าย, แกะ, และสุนัขล้วนแล้วแต่ติด มันดูเหมือนว่า ทั้งหมู่บ้านจะติดเชื้อกันหมด

 

“เราย้ายชาวบ้านออกไปจากหมู่บ้านได้ไหม?” หนึ่งในผู้นำเขตถาม “แน่นอน ผมกำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ติดเชื้อ”

 

“แต่มันจะเป็นงานใหญ่มากเลยนะ” ผู้นำอีกคนหนึ่งพูด

 

พวกเขาต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และพวกเขาก็จำเป็นต้องสร้างที่พักขึ้นมาเป็นหารชั่วคราวสำหรับคนจำนวนมาก กว่างานจะเสร็จ ก็ต้องใช้เวลาอีกนาน

 

“เราจำเป็นต้องคิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้ด้วย” ผู้นำพูด

 

พวกเขาจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องนี้กันอีกมาก แต่ชาวบ้านกลับเป็นฝ่ายที่เริ่มลงมือก่อน โดยการฆ่าและเผาสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของพวกเขา พวกเขาคงจะไม่มีทางทำแบบนี้ในอดีต สัตว์เหล่านี้หมายถึงเงินที่พวกเขาควรจะได้ แต่ตอนนี้ พวกเขาต่างก็ไม่อยากเสี่ยง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากพวกเขาถูกสัตว์กัด พวกเขาก็ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล สถานการณ์ที่แย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาก็คือ ความตาย เงินเทียบกับชีวิตของพวกเขาไม่ได้

 

“เฮ้อ!” ชาวบ้านต่างรู้สึกหมดหวังและเศร้าเสียใจ

 

มีเรื่องไม่แน่นอนเกิดขึ้นมากมาย พวกเขาต่างก็รู้สึกกดดัน หลายคนมีอาการปวดศีรษะหรือไม่ก็ท้องเสีย ส่วนบางคนก็กลายเป็นโรคนอนไม่หลับในเวลากลางคืน

 

พวกเขาไม่สามารถออกไปจากหมู่บ้านได้ ดังนั้น พวกเขาต่างก็พากันไปหาหวังเย้า

 

เขาอดทนอย่างมาก เขาตรวจชาวบ้านไปทีละคนและให้การรักษาที่เห็นผลกับพวกเขาแต่ละคน เขารู้ดีว่า อาการป่วยเหล่านี้ล้วนเกิดมากจากความกดดันของสถานการณ์ในปัจจุบัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด