Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 118 กระวนกระวายซ้ำๆ

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 118 กระวนกระวายซ้ำๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วิชาธนูของฟางเฉิงอวี่ได้รับคำชื่นชมจากเฉิงกั๋วกง จนกระทั่งบนโต๊ะอาหารก็ยังชมไม่ขาดปาก

 

 

“ช้าไปนานปีปานนั้น หากฝึกตั้งแต่เล็กคงดีกว่านี้อีก” เขาเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็เปรียบเทียบ “เทียบฮั่นชิงได้เลย”

 

 

เพราะหยางจิ่งพาคนของกองทหารชิงซานส่วนหนึ่งไปอารักขาน้าเซียว ทิ้งจ้าวฮั่นชิงอยู่ในกองทหารช่วยเซี่ยหย่ง เวลานี้จึงยังไม่เคยพบฟางเฉิงอวี่

 

 

แต่ชื่อนี้ไม่แปลกหูฟางเฉิงอวี่ และเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจเพราะถูกเปรียบกับสตรีคนหนึ่ง

 

 

“ข้าใช้ได้หรือ?” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะขยันฝึกขึ้นอีก”

 

 

พูดพลางก็มองไปทางคุณหนูจวินอีกหน

 

 

“จิ่วหลิง ท่านกั๋วกงบอกว่าข้าร้ายกาจเหมือนฮั่นชิงได้”

 

 

เหมือนเด็กที่อวดเมื่อได้รับคำชมคนหนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ได้แน่นอน” นางเอ่ย “พวกเจ้าล้วนร้ายกาจกว่าข้า”

 

 

บนโต๊ะอาหารรื่นเริงคุยเล่นสุขสันต์ มีเพียงจูจั้นที่ประหนึ่งกันตนเองไว้ข้างนอก ก้มศีรษะกินไม่หยุด

 

 

“จั้นเอ๋อร์”

 

 

ริมหูเสียงเรียกดังขึ้นติดกันหลายที จูจั้นจึงรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น

 

 

“อะไรหรือ?” เขามองเฉิงกั๋วกงอย่างงุนงงอยู่บ้าง เห็นชัดว่าไม่ได้ยินคำที่พูด

 

 

“หลังกินข้าวพ่อเจ้าให้เจ้าพาเฉิงอวี่ไปหาอาจารย์ยิงธนูสักคน” นายหญิงอวี้เอ่ยแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร? คืนวานไม่ได้ให้เจ้ากินข้าวรึ?”

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองฟางเฉิงอวี่ทีหนึ่งแล้วเค้นรอยยิ้มบาง

 

 

“ได้ ข้าพาเจ้าไป” เขาเอ่ยบอก

 

 

เขาตอบตรงๆ เช่นนี้ นายหญิงอวี้กลับคิดไม่ถึงอยู่บ้าง

 

 

เมื่อวานยังไม่สนใจไยดีฟางเฉิงอวี่อยู่เลย คิดว่าเขาคงจะหาข้ออ้างปฏิเสธเสียอีก มองจูจั้นตอบเสร็จพลันก้มศีรษะพุ้ยข้าวต่อทันที ไม่พูดจาไม่มองคนบนโต๊ะเพิ่มสักหน ว่าง่ายจนนางยังจำไม่ได้แล้วว่านี่คือบุตรชายของตนเอง

 

 

เมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แม้ไม่ยุ่งเรื่องของบุตรชาย แต่นายหญิงอวี้ก็รู้ว่าด้านนั้นทะเลาะกันเพราะสาวใช้คนหนึ่ง

 

 

หากเป็นบุตรชายสองคนหรือบุตรสาวกับบุตรชาย นางหิ้วมาสั่งสอนสักหน่อยตีสักยกก็ได้แล้ว แต่เรื่องของบุตรชายกับลูกสะใภ้ นางเองก็ไม่สะดวกยุ่ง

 

 

บุตรชายลูกสะใภ้สี่คำแล่นผ่าน นายหญิงอวี้ก็กระแอมอีกหน

 

 

“เรื่องของคุณหนูจวินท่านคิดจะพูดเวลาใด?” นางมองไปหาเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยถาม

 

 

“ไม่กี่วันนี้” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ “พยายามให้พร้อมกับเฉิงอวี่เข้าเฝ้ารับรางวัล”

 

 

พูดพลางมองคุณหนูจวินแล้วยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ท่านกั๋วกงท่านลองพิจารณาดูอีกครั้ง ผ่านไปสักช่วงหนึ่งค่อยพูดก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

เพิ่งเกิดเรื่องของไหวอ๋อง ฮ่องเต้กำลังพิโรธ หากหาจังหวะได้ต้องเฮือกเดียวจัดการเฉิงกั๋วกงแน่ ไม่สู้รอเรื่องซาลงหน่อยจะดีกว่า

 

 

เฉิงกั๋วกงเข้าใจความหมายของนาง

 

 

“เรื่องราวต่างมีข้อดีข้อเสีย” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ไม่กี่วันนี้ข้าก็จะเขียนฎีการ้องเรียนถวายแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ รู้นิสัยของเฉิงกั๋วกงจึงไม่กล่อมอีกต่อไป

 

 

“ถ้าเช่นนั้นน้อมรับบัญชา” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

ต่อให้ขอบคุณผู้อื่น นางก็มีความหยิ่งยโสอยู่ จุดนี้จูจั้นย่อมค้นพบนานแล้ว ตอนนั้นนางรับการคำนับของมารดาอย่างนิ่งสงบก็เคยรู้สึกว่าประหลาด ตอนนี้ล้วนเข้าใจแล้ว

 

 

ที่แท้เป็นนิสัยที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เล็ก

 

 

อย่างไรก็เป็นองค์หญิงนี่นะ

 

 

จูจั้นกัดตะเกียบแทบจะฝังศีรษะเข้าไปในชามแล้ว ข้างหูเสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้น

 

 

“หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ข้าแล้ว”

 

 

ลูกสะใภ้…ฟันของจูจั้นหยุดกึก

 

 

“ข้ารับท่านเป็นแม่บุญธรรมได้นะเจ้าคะ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้เพิ่งกำลังจะพูด เสียงแก็กทีหนึ่งพลันดังขึ้น ตะเกียบของจูจั้นร่วงลงบนโต๊ะ

 

 

สายตาทุกคนล้วนมองมา จูจั้นหน้าแดงผุดลุกขึ้น

 

 

“ข้าคิดขึ้นมาได้” เขาเอ่ย “จางเป่าถังมีอาจารย์ยิงธนูที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่ง เหมาะกับนายน้อยฟางศิษย์เช่นนี้ยิ่งนัก”

 

 

พูดจบไม่รอทุกคนตอบสนองก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งออกไปแล้ว

 

 

“ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เห็นจูจั้นวิ่งออกไปก็ยิ้ม

 

 

“พี่ชายดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่ออกจากจวนเฉิงกั๋วกง เพราะไม่เห็นจูจั้น เฉิงกั๋วกงจึงจัดผู้คุ้มกันอารักขาพวกเขาด้วยตนเอง เขามองคุณหนูจวินจากไปแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือ เตรียมเรียกผู้ช่วยมาปรึกษาเขียนฎีกา

 

 

“พ่อ พ่อ”

 

 

ยังไม่ทันเดินถึงห้องหนังสือก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเรียกข้างทาง

 

 

เฉิงกั๋วกงประหลาดใจอยู่บ้างมองไป เห็นจูจั้นยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งกวักมือมาหาเขา

 

 

“เจ้าอยู่บ้านรึ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยทักจากนั้นก็ยิ้ม “เจ้าก่อเรื่องอะไรถึงมาหลบอยู่ตรงนี้?”

 

 

จูจั้นโบกมือ แล้วมองซ้ายขวานิดหนึ่ง

 

 

“คุณหนูจวินพวกเขาไปแล้วไหม?” เขากดเสียงเบาเอ่ยถาม

 

 

“ไปแล้ว” เฉิงกั๋วกงไม่เรียกเขาออกมาแต่เดินไปเอง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไร?”

 

 

จูจั้นแกะเปลือกไม้

 

 

“พ่อ ข้าคิดว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล” เขาเอ่ย “ตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะถวายฎีกาเรื่องการแต่งงานหลอกนัก”

 

 

เฉิงกั๋วกงขานอืม

 

 

“สำหรับพวกเราไม่ค่อยเหมาะนัก” เขาเอ่ยตอบ “แต่จั้นเอ๋อร์ คนไม่อาจคิดถึงแต่ตนเองได้”

 

 

จูจั้นรีบพยักหน้า

 

 

“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกว่าไม่ดีกับนางเหมือนกัน”

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนมองเขา รอคำอธิบาย

 

 

จูจั้นแกะเปลือกไม้

 

 

“ข้าคิดว่านี่จะผลักนางไปอยู่กลางคลื่นลม แบกชื่อเสียงมากเช่นนี้ จะกลายเป็นเป้าศรของผู้คนได้ง่าย” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว

 

 

“ข้าเชื่อว่าคุณหนูจวินไม่กลัวการล่องลมแหวกคลื่น” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“ข้ารู้นางย่อมไม่กลัว” จูจั้นแกะเปลือกไม้พลางเอ่ย “ข้าแค่รู้สึกว่าปล่อยภัยได้ก็ปลอดภัยหน่อย”

 

 

เฉิงกั๋วกงมองเปลือกไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นทีหนึ่ง

 

 

แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบุตรชายที่ห้าวหาญมาเสมอถึงเปลี่ยนมาประหนึ่งกระต่ายตระหนก แต่ในฐานะบิดาคนหนึ่ง เขาไม่เรียกร้องให้บุตรชายห้าวหาญไร้ความกลัวตลอดเวลา

 

 

ขอเพียงเป็นคนล้วนหวาดกลัวได้เหมือนกัน เขาไม่มีทางเหี้ยมโหด แล้วก็ไม่มีทางขอให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที

 

 

“ไม่ต้องกลัว” เขาอมยิ้มตบหัวไหล่จูจั้น “ข้าจะทำรอบคอบหน่อย”

 

 

จูจั้นขานอืมพยักหน้า มองเฉิงกั๋วกงเดินจากไป เขายืนใต้ต้นไม้อีกครู่หนึ่ง คิดอะไรได้ก็หันหน้าวิ่งไปด้านนอกอีกหน

 

 

“พี่รอง พี่รอง”

 

 

ที่ปากตรอกเสียงของจางเป่าถังทำให้จูจั้นหยุดเท้า

 

 

“คนที่ท่านให้ข้าพามา ข้าพามาแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ ชี้องครักษ์วัยกลางคนผู้หนึ่งด้านหลังร่าง

 

 

องครักษ์คำนับจูจั้น

 

 

“ผู้ใด?” จูจั้นงุนงงนิดหนึ่งเอ่ยถาม

 

 

จางเป่าถังเบิกตา

 

 

“ท่านไม่ใช่ให้คนมาบอกว่าจะหาอาจารย์ยิงธนูคนนั้นของข้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นเช็ดปลายจมูก พึมพำอะไรประโยคหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ใช่ข้าจะใช้ ข้าเลยจำไม่ได้”

 

 

“คุณหนูจวินต้องการหรือ?” จางเป่าถังเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอืม

 

 

“ไปโรงหมอจิ่งหลิงส่งให้นาง” เขาเอ่ย กำลังจะก้าวเท้าก็ถูกจางเป่าถังรั้งไว้อีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไม่อยู่ที่โรงหมอจิ่งหลิง” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าพบแล้ว คุณหนูจวินไปโรงน้ำชาของเหล่าเผิงกับขุนนางน้อยหนิง”

 

 

หา? จูจั้นตะลึงไปชั่วครู่

 

 

……………………………………….

 

 

“ท่านดู”

 

 

จางเป่าถังยืนอยู่นอกโรงน้ำชาของตาเฒ่าเผิง ชี้ที่นั่งหนึ่งด้านในแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นยื่นศีรษะจากมุมกำแพงมองไป เห็นสตรีคนนั้นกับหนิงอวิ๋นเจานั่งอยู่ตรงข้ามกันข้างในจริงๆ ไม่รู้พูดอะไร กำลังยกมือปิดปากหัวเราะ

 

 

“นี่ยังไม่ได้บอกว่าแต่งงานหลอกๆ เลยก็วิ่งออกมากับบุรุษคนอื่น…” เขาอดไม่ไหวพึมพำคำหนึ่ง

 

 

“พี่รองท่านพูดอะไร?” จางเป่าถังฟังไม่ชัดรีบเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นโบกมือ

 

 

“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“ขุนนางน้อยหนิงทำไมนัดพบแค่คุณหนูจวิน? ตามหลักแล้วควรให้ท่านมาด้วยกันสิ” จางเป่าถังก็มองด้านในขมวดคิ้วเอ่ยด้วย “เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าท่านก็มาด้วยเลย รอพักหนึ่งไม่เห็น กำลังแปลกใจอยู่เชียว”

 

 

จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง

 

 

“มีอันใดแปลก? นางเป็นหมอ ออกมาพบคนรักษาโรคปกติยิ่ง” เขาว่า “เจ้าไม่เห็นสีหน้าป่วยไข้ของเจ้าหนูนั่นรึ?”

 

 

จางเป่าถังมองไปในโรงน้ำชา บุรุษหนุ่มดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนยกมือยกเท้าสง่างามเป็นธรรมชาติ

 

 

“มองไม่ออก” เขาเอ่ยตอบซื่อๆ

 

 

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 118 กระวนกระวายซ้ำๆ

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 118 กระวนกระวายซ้ำๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วิชาธนูของฟางเฉิงอวี่ได้รับคำชื่นชมจากเฉิงกั๋วกง จนกระทั่งบนโต๊ะอาหารก็ยังชมไม่ขาดปาก

 

 

“ช้าไปนานปีปานนั้น หากฝึกตั้งแต่เล็กคงดีกว่านี้อีก” เขาเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็เปรียบเทียบ “เทียบฮั่นชิงได้เลย”

 

 

เพราะหยางจิ่งพาคนของกองทหารชิงซานส่วนหนึ่งไปอารักขาน้าเซียว ทิ้งจ้าวฮั่นชิงอยู่ในกองทหารช่วยเซี่ยหย่ง เวลานี้จึงยังไม่เคยพบฟางเฉิงอวี่

 

 

แต่ชื่อนี้ไม่แปลกหูฟางเฉิงอวี่ และเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจเพราะถูกเปรียบกับสตรีคนหนึ่ง

 

 

“ข้าใช้ได้หรือ?” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะขยันฝึกขึ้นอีก”

 

 

พูดพลางก็มองไปทางคุณหนูจวินอีกหน

 

 

“จิ่วหลิง ท่านกั๋วกงบอกว่าข้าร้ายกาจเหมือนฮั่นชิงได้”

 

 

เหมือนเด็กที่อวดเมื่อได้รับคำชมคนหนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ได้แน่นอน” นางเอ่ย “พวกเจ้าล้วนร้ายกาจกว่าข้า”

 

 

บนโต๊ะอาหารรื่นเริงคุยเล่นสุขสันต์ มีเพียงจูจั้นที่ประหนึ่งกันตนเองไว้ข้างนอก ก้มศีรษะกินไม่หยุด

 

 

“จั้นเอ๋อร์”

 

 

ริมหูเสียงเรียกดังขึ้นติดกันหลายที จูจั้นจึงรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น

 

 

“อะไรหรือ?” เขามองเฉิงกั๋วกงอย่างงุนงงอยู่บ้าง เห็นชัดว่าไม่ได้ยินคำที่พูด

 

 

“หลังกินข้าวพ่อเจ้าให้เจ้าพาเฉิงอวี่ไปหาอาจารย์ยิงธนูสักคน” นายหญิงอวี้เอ่ยแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร? คืนวานไม่ได้ให้เจ้ากินข้าวรึ?”

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองฟางเฉิงอวี่ทีหนึ่งแล้วเค้นรอยยิ้มบาง

 

 

“ได้ ข้าพาเจ้าไป” เขาเอ่ยบอก

 

 

เขาตอบตรงๆ เช่นนี้ นายหญิงอวี้กลับคิดไม่ถึงอยู่บ้าง

 

 

เมื่อวานยังไม่สนใจไยดีฟางเฉิงอวี่อยู่เลย คิดว่าเขาคงจะหาข้ออ้างปฏิเสธเสียอีก มองจูจั้นตอบเสร็จพลันก้มศีรษะพุ้ยข้าวต่อทันที ไม่พูดจาไม่มองคนบนโต๊ะเพิ่มสักหน ว่าง่ายจนนางยังจำไม่ได้แล้วว่านี่คือบุตรชายของตนเอง

 

 

เมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แม้ไม่ยุ่งเรื่องของบุตรชาย แต่นายหญิงอวี้ก็รู้ว่าด้านนั้นทะเลาะกันเพราะสาวใช้คนหนึ่ง

 

 

หากเป็นบุตรชายสองคนหรือบุตรสาวกับบุตรชาย นางหิ้วมาสั่งสอนสักหน่อยตีสักยกก็ได้แล้ว แต่เรื่องของบุตรชายกับลูกสะใภ้ นางเองก็ไม่สะดวกยุ่ง

 

 

บุตรชายลูกสะใภ้สี่คำแล่นผ่าน นายหญิงอวี้ก็กระแอมอีกหน

 

 

“เรื่องของคุณหนูจวินท่านคิดจะพูดเวลาใด?” นางมองไปหาเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยถาม

 

 

“ไม่กี่วันนี้” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ “พยายามให้พร้อมกับเฉิงอวี่เข้าเฝ้ารับรางวัล”

 

 

พูดพลางมองคุณหนูจวินแล้วยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ท่านกั๋วกงท่านลองพิจารณาดูอีกครั้ง ผ่านไปสักช่วงหนึ่งค่อยพูดก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

เพิ่งเกิดเรื่องของไหวอ๋อง ฮ่องเต้กำลังพิโรธ หากหาจังหวะได้ต้องเฮือกเดียวจัดการเฉิงกั๋วกงแน่ ไม่สู้รอเรื่องซาลงหน่อยจะดีกว่า

 

 

เฉิงกั๋วกงเข้าใจความหมายของนาง

 

 

“เรื่องราวต่างมีข้อดีข้อเสีย” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ไม่กี่วันนี้ข้าก็จะเขียนฎีการ้องเรียนถวายแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ รู้นิสัยของเฉิงกั๋วกงจึงไม่กล่อมอีกต่อไป

 

 

“ถ้าเช่นนั้นน้อมรับบัญชา” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

ต่อให้ขอบคุณผู้อื่น นางก็มีความหยิ่งยโสอยู่ จุดนี้จูจั้นย่อมค้นพบนานแล้ว ตอนนั้นนางรับการคำนับของมารดาอย่างนิ่งสงบก็เคยรู้สึกว่าประหลาด ตอนนี้ล้วนเข้าใจแล้ว

 

 

ที่แท้เป็นนิสัยที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เล็ก

 

 

อย่างไรก็เป็นองค์หญิงนี่นะ

 

 

จูจั้นกัดตะเกียบแทบจะฝังศีรษะเข้าไปในชามแล้ว ข้างหูเสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้น

 

 

“หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ข้าแล้ว”

 

 

ลูกสะใภ้…ฟันของจูจั้นหยุดกึก

 

 

“ข้ารับท่านเป็นแม่บุญธรรมได้นะเจ้าคะ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

นายหญิงอวี้เพิ่งกำลังจะพูด เสียงแก็กทีหนึ่งพลันดังขึ้น ตะเกียบของจูจั้นร่วงลงบนโต๊ะ

 

 

สายตาทุกคนล้วนมองมา จูจั้นหน้าแดงผุดลุกขึ้น

 

 

“ข้าคิดขึ้นมาได้” เขาเอ่ย “จางเป่าถังมีอาจารย์ยิงธนูที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่ง เหมาะกับนายน้อยฟางศิษย์เช่นนี้ยิ่งนัก”

 

 

พูดจบไม่รอทุกคนตอบสนองก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งออกไปแล้ว

 

 

“ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เห็นจูจั้นวิ่งออกไปก็ยิ้ม

 

 

“พี่ชายดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่ออกจากจวนเฉิงกั๋วกง เพราะไม่เห็นจูจั้น เฉิงกั๋วกงจึงจัดผู้คุ้มกันอารักขาพวกเขาด้วยตนเอง เขามองคุณหนูจวินจากไปแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือ เตรียมเรียกผู้ช่วยมาปรึกษาเขียนฎีกา

 

 

“พ่อ พ่อ”

 

 

ยังไม่ทันเดินถึงห้องหนังสือก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเรียกข้างทาง

 

 

เฉิงกั๋วกงประหลาดใจอยู่บ้างมองไป เห็นจูจั้นยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งกวักมือมาหาเขา

 

 

“เจ้าอยู่บ้านรึ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยทักจากนั้นก็ยิ้ม “เจ้าก่อเรื่องอะไรถึงมาหลบอยู่ตรงนี้?”

 

 

จูจั้นโบกมือ แล้วมองซ้ายขวานิดหนึ่ง

 

 

“คุณหนูจวินพวกเขาไปแล้วไหม?” เขากดเสียงเบาเอ่ยถาม

 

 

“ไปแล้ว” เฉิงกั๋วกงไม่เรียกเขาออกมาแต่เดินไปเอง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไร?”

 

 

จูจั้นแกะเปลือกไม้

 

 

“พ่อ ข้าคิดว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล” เขาเอ่ย “ตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะถวายฎีกาเรื่องการแต่งงานหลอกนัก”

 

 

เฉิงกั๋วกงขานอืม

 

 

“สำหรับพวกเราไม่ค่อยเหมาะนัก” เขาเอ่ยตอบ “แต่จั้นเอ๋อร์ คนไม่อาจคิดถึงแต่ตนเองได้”

 

 

จูจั้นรีบพยักหน้า

 

 

“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกว่าไม่ดีกับนางเหมือนกัน”

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนมองเขา รอคำอธิบาย

 

 

จูจั้นแกะเปลือกไม้

 

 

“ข้าคิดว่านี่จะผลักนางไปอยู่กลางคลื่นลม แบกชื่อเสียงมากเช่นนี้ จะกลายเป็นเป้าศรของผู้คนได้ง่าย” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว

 

 

“ข้าเชื่อว่าคุณหนูจวินไม่กลัวการล่องลมแหวกคลื่น” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“ข้ารู้นางย่อมไม่กลัว” จูจั้นแกะเปลือกไม้พลางเอ่ย “ข้าแค่รู้สึกว่าปล่อยภัยได้ก็ปลอดภัยหน่อย”

 

 

เฉิงกั๋วกงมองเปลือกไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นทีหนึ่ง

 

 

แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบุตรชายที่ห้าวหาญมาเสมอถึงเปลี่ยนมาประหนึ่งกระต่ายตระหนก แต่ในฐานะบิดาคนหนึ่ง เขาไม่เรียกร้องให้บุตรชายห้าวหาญไร้ความกลัวตลอดเวลา

 

 

ขอเพียงเป็นคนล้วนหวาดกลัวได้เหมือนกัน เขาไม่มีทางเหี้ยมโหด แล้วก็ไม่มีทางขอให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที

 

 

“ไม่ต้องกลัว” เขาอมยิ้มตบหัวไหล่จูจั้น “ข้าจะทำรอบคอบหน่อย”

 

 

จูจั้นขานอืมพยักหน้า มองเฉิงกั๋วกงเดินจากไป เขายืนใต้ต้นไม้อีกครู่หนึ่ง คิดอะไรได้ก็หันหน้าวิ่งไปด้านนอกอีกหน

 

 

“พี่รอง พี่รอง”

 

 

ที่ปากตรอกเสียงของจางเป่าถังทำให้จูจั้นหยุดเท้า

 

 

“คนที่ท่านให้ข้าพามา ข้าพามาแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ ชี้องครักษ์วัยกลางคนผู้หนึ่งด้านหลังร่าง

 

 

องครักษ์คำนับจูจั้น

 

 

“ผู้ใด?” จูจั้นงุนงงนิดหนึ่งเอ่ยถาม

 

 

จางเป่าถังเบิกตา

 

 

“ท่านไม่ใช่ให้คนมาบอกว่าจะหาอาจารย์ยิงธนูคนนั้นของข้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นเช็ดปลายจมูก พึมพำอะไรประโยคหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ใช่ข้าจะใช้ ข้าเลยจำไม่ได้”

 

 

“คุณหนูจวินต้องการหรือ?” จางเป่าถังเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นขานอืม

 

 

“ไปโรงหมอจิ่งหลิงส่งให้นาง” เขาเอ่ย กำลังจะก้าวเท้าก็ถูกจางเป่าถังรั้งไว้อีกหน

 

 

“คุณหนูจวินไม่อยู่ที่โรงหมอจิ่งหลิง” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าพบแล้ว คุณหนูจวินไปโรงน้ำชาของเหล่าเผิงกับขุนนางน้อยหนิง”

 

 

หา? จูจั้นตะลึงไปชั่วครู่

 

 

……………………………………….

 

 

“ท่านดู”

 

 

จางเป่าถังยืนอยู่นอกโรงน้ำชาของตาเฒ่าเผิง ชี้ที่นั่งหนึ่งด้านในแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นยื่นศีรษะจากมุมกำแพงมองไป เห็นสตรีคนนั้นกับหนิงอวิ๋นเจานั่งอยู่ตรงข้ามกันข้างในจริงๆ ไม่รู้พูดอะไร กำลังยกมือปิดปากหัวเราะ

 

 

“นี่ยังไม่ได้บอกว่าแต่งงานหลอกๆ เลยก็วิ่งออกมากับบุรุษคนอื่น…” เขาอดไม่ไหวพึมพำคำหนึ่ง

 

 

“พี่รองท่านพูดอะไร?” จางเป่าถังฟังไม่ชัดรีบเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นโบกมือ

 

 

“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“ขุนนางน้อยหนิงทำไมนัดพบแค่คุณหนูจวิน? ตามหลักแล้วควรให้ท่านมาด้วยกันสิ” จางเป่าถังก็มองด้านในขมวดคิ้วเอ่ยด้วย “เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าท่านก็มาด้วยเลย รอพักหนึ่งไม่เห็น กำลังแปลกใจอยู่เชียว”

 

 

จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง

 

 

“มีอันใดแปลก? นางเป็นหมอ ออกมาพบคนรักษาโรคปกติยิ่ง” เขาว่า “เจ้าไม่เห็นสีหน้าป่วยไข้ของเจ้าหนูนั่นรึ?”

 

 

จางเป่าถังมองไปในโรงน้ำชา บุรุษหนุ่มดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนยกมือยกเท้าสง่างามเป็นธรรมชาติ

 

 

“มองไม่ออก” เขาเอ่ยตอบซื่อๆ

 

 

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+