Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 131 โบกมือปลุกระดม

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 131 โบกมือปลุกระดม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรื่องคุณหนูสองคนของตระกูลฟางแย่งสมบัติตระกูลเล่าลือกันฮือฮาแล้ว แต่นั่นล้วนเป็นการฟังกันมาเล่าต่อ อย่างไรก็รู้สึกว่าขาดอะไรสักอย่าง

 

 

วันนี้เวลานี้เห็นเจ้าของเรื่องแล้ว นอกจากนี้อ้าปากก็เป็นคำพูดน่าตระหนกเช่นนี้

 

 

แย่งสมบัติตระกูล ย่าสังหารหลานสาว นี่สะเทือนอารมณ์เกินไปแล้วจริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนบนรถตะลึงไปแล้ว

 

 

ตั้งแต่ยกรถขึ้นจนร่วงลงมาแตก จนไปถึงฟางอวี้ซิ่วร่วงกลิ้งไปตรงหน้าผู้คนตะโกนหนึ่งประโยคนี้ แทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในพริบตาเดียว ลื่นไหลราบรื่นเกิดขึ้นในเฮือกเดียว

 

 

หญิงรับใช้ที่เฝ้านางสี่คนนั้นเพิ่งลุกขึ้นมา มึนศีรษะหันไปจะจับฟางอวี้ซิ่ว

 

 

แต่ฟางอวี้ซิ่วพุ่งเข้าไปในฝูงชนแล้ว

 

 

คล้ายค่อนข้างอ่อนแอเหลือทน คล้ายผวาหวาดหวั่น ล้มลุกคลุกคลานกับพื้น ข้างหน้าบังเอิญเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง

 

 

“ท่านป้าท่านอาทั้งหลายช่วยข้าด้วย” นางยื่นมือร้องเรียกน้ำตาคลอ “พวกท่านเห็นข้าโตมา”

 

 

คุณหนูตระกูลฟางไม่เหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวยตระกูลอื่น เพราะต้องจัดการกิจการ ตั้งแต่เล็กพวกนางจึงโผล่หน้ามาข้างนอก คนหยางเฉิงคุ้นหน้าคุ้นตาหน้าพวกนาง ก็เหมือนที่ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย พวกนางเห็นนางโตขึ้นมา

 

 

นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงคุณหนูทั้งสองของตระกูลฟางปฏิบัติกับผู้อื่นเป็นมิตรมาตลอด ประคองคนแก่ ช่วยคนยากจน เอาแค่สาวน้อยบอบบางคนหนึ่งล้มลงตรงหน้าวิงวอนเช่นนี้ผู้ใดก็ทนไม่ได้

 

 

สตรีทั้งหลายถูกเสียงร้องเรียกครั้งนี้ทำใจสั่นไหว มีหลายคนย่อตัวพยุงนางขึ้นมาทันที

 

 

“ไม่กลัวนะ ไม่กลัว” พวกนางลูบพลางปลอบพลาง รวมตัวเข้ามา

 

 

หญิงรับใช้หลายคนนั้นที่พุ่งเข้ามาถูกขวางไว้แล้ว

 

 

“มีอะไรพูดจาดีๆ สิ”

 

 

“อย่าทำเด็กน้อยตกใจกลัว”

 

 

สตรีทั้งหลายต่างคนต่างห้ามปราม

 

 

หญิงรับใช้สี่คนแม้มีกำลัง แต่ต้านทานคนมากไม่ไหว จึงไม่อาจเข้าใกล้ฟางอวี้ซิ่วได้

 

 

หญิงรับใช้สี่คนอับอายโมโหอยู่บ้าง

 

 

พวกนางสี่คนเฝ้าแม่นางน้อยคนเดียวก็ไม่ได้ ขายหน้าจริงๆ

 

 

“พวกเจ้าหลีกไป!” หญิงรับใช้คนหนึ่งอดกลั้นโทสะไม่อยู่ตะคอก “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”

 

 

แรงล้วนส่งผลต่อกัน หญิงรับใช้คนนี้โมโหร้ายขึ้นมา สตรีทั้งหลายที่ล้อมอยู่ฉับพลันก็ไม่มีสีหน้าเป็นมิตรแบ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านหลังเสียงร้องไห้กระซิกๆ ของฟางอวี้ซิ่วลอยมา

 

 

“ข้าไม่กลับไป ข้าไม่กลับไป”

 

 

เห็นคุณหนูตระกูลฟางที่ยามปกติฉลาดเฉลียวทำงานเก่งกลัวจนเป็นอย่างไร สตรีทั้งหลายก็โมโหขึ้นมาบ้าง

 

 

“เจ้าตะคอกอะไรฮะ”

 

 

“กลางถนนกลางวันแสกๆ พวกเราก็แค่ยืนอยู่ตรงนี้ เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”

 

 

“ยุ่งไม่เข้าเรื่องอย่างไร? ผ่านทางพบความอยุติธรรมไม่เคยได้ยินรึ?”

 

 

โต้เถียงทะเลาะ สตรีทั้งหลายล้วนเป็นยอดฝีมือ ใครก็ไม่กลัวใคร ชั่วขณะหนึ่งบนถนนใหญ่ดันๆ ผลักๆ ทะเลาะกันขึ้นมา ในนั้นยังสอดแทรกเสียงตะโกนเสียงลากยาวของสตรีด้วย

 

 

“โธ่ ตีกันแล้ว!”

 

 

สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายขึ้นทุกที คนที่ล้อมเข้ามายิ่งมากขึ้นทุกที นายหญิงใหญ่ฟางถอนหายใจ เลิกม่านรถขึ้นเดินลงมา

 

 

นางหยวนก็รีบตามมาหยุง แล้วถลึงตาใส่พนักงานทั้งหลายที่ยืนอึ้งโง่เง่าอยู่หน้าร้านแลกเงินอย่างชิงชัง

 

 

“พวกเจ้ายังไม่รีบช่วยอีก?” นางตวาดเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายคล้ายตอนนี้เพิ่งได้สติจะก้าวเข้าไป

 

 

เด็กตระกูลตนร้องว่าจะถูกคนในตระกูลสังหาร หลังจากนั้นยังจะแย่งคนจากในมือฝูงชนที่ไม่เกี่ยวข้องอีก ถ้าเช่นนั้นหน้าตาของตระกูลฟางคงเสียหน้าหมดสิ้นแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยกมือห้าม ตนเองเดินเข้าไป

 

 

หญิงรับใช้สี่คนหน้าแดงหูแดงหลีกออกไป

 

 

ฝูงชนทั้งหลายยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตากับนายหญิงใหญ่ฟาง อย่างไรก็เป็นมารดาของฟางอวี้ซิ่ว เสียงทะเลาะค่อยๆ เงียบลง

 

 

“อวี้ซิ่ว นี่เจ้าทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเพียงมองฟางอวี้ซิ่วที่ถูกบังอยู่หลังผู้คน “เจ้ายังก่อเรื่องไม่พอหรือ?”

 

 

แม้วาจาเรียบง่าย แต่น้ำเสียงนั่นนิ่งเรียบทั้งยังติดจะเหนื่อยล้า ประหนึ่งบิดามารดาทั้งหมดที่ปวดหัวจนปัญญากับความซุกซนของบุตร

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นมากเท่าไรเป็นแม่ อดคิดถึงบุตรที่บ้านตนไม่ได้ ใครไม่เคยมีเวลาที่ถูกก่อเรื่องจนโกรธ ร้องจะตีร้องจะฆ่าก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

บรรยากาศผ่อนคลายลงทันที

 

 

“นายหญิงใหญ่ มีอะไรพูดกันดีๆเถอะ”

 

 

“เด็กน่ะ อย่างไรก็ต้องค่อยๆ สอนนะเจ้าคะ”

 

 

สตรีหลายคนพูดเซ็งแซ่

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางอวี้ซิ่วที่ฝูงชนค่อยๆ หลีกทางให้เผยตัวออกมา

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้ารู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรไหม?” นางเอ่ย ยากปิดบังความปวดใจปวดหัว “เจ้าทำเช่นนี้ เคยคิดดีๆ ไหม?”

 

 

สตรีทั้งหลายอดไม่ได้ล้วนมองฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“คุณหนูรอง มีคำใดพูดกันดีๆ นะเจ้าคะ”

 

 

“ไม่ตีท่านจริงๆหรอก”

 

 

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นางหยวนพลันส่งสายตาให้บรรดาหญิงรับใช้ข้างกาย ทุกคนเข้าใจเข้าใกล้ไปทางฟางอวี้ซิ่วช้าๆ

 

 

ฟางอวี้ซิ่วนั่งตัวตรง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหางตาเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งในดวงตาไม่มีน้ำตาแม้แต่น้อยแต่นิด

 

 

“พูดจาดีๆ ย่อมดี ทว่าท่านย่ากับท่านแม่ไม่พูดจาดีๆ กับพวกเรา กลับลงมือจะกักขังบังคับพวกเรา” นางเอ่ย “ทุกคนเกิดเรื่องล้วนพึ่งพิงครอบครัวและตระกูลได้ แต่พวกเราล่ะ นอกจากพึ่งพิงคนนอก ยังพึ่งพิงใครได้อีก?”

 

 

นางพูดพลางถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง มองชาวบ้านรอบด้าน

 

 

“หากไม่ใช่ท่านป้าท่านอาทั้งหลายเมื่อครู่ ข้าก็ถูกจับมัดแบกเข้าไปแล้ว พวกท่านที่ถือไม้กระบองกับเชือกมาจะพูดจาดีๆ กับข้าหรือ? อยู่ในบ้านหลายวันเช่นนี้ หากพูดจากันดีๆ จะมาถึงตอนนี้เช่นนี้ได้หรือ?”

 

 

นางพูดพลางลุกขึ้นยืน จัดเสื้อกระโปรงเบาๆ คุกเข่าคำนับรอบด้าน

 

 

“ขอบคุณท่านลุงท่านอาท่านป้าท่านน้าทั้งหลายที่ปกป้อง โบราณว่าไว้ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้ชิด ทุกคนล้วนรู้ตระกูลฟางของข้านับแต่ท่านย่าของข้าก็ไม่มีญาติ วันนี้ข้าฟางอวี้ซิ่วทำให้ท่านย่าโมโหแล้ว ญาติผู้ใหญ่ไม่ต้อนรับย่อมไม่มีญาติห่างไกลคนในตระกูลแล้วเช่นกัน ที่พึ่งได้ก็มีเพียงพวกท่านผู้อาวุโสร่วมบ้านเกิดเหล่านี้แล้ว”

 

 

โอ้ นางหยวนเลิกคิ้ว ไม่เสียทีเป็นคุณหนูรอง ทั้งฉลาดทั้งเยือกเย็น สภาพเช่นนี้ไม่มีท่าทางของเด็กน้อยก่อเรื่องวุ่นวายสักนิด พูดจากระจ่างชัดมีเหตุผล นอกจากนี้ยังหิ้วเรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางไร้หัวใจไร้คุณธรรมออกมาเตือนทุกคนด้วย

 

 

ที่นั่นเสียงถกเถียงหึ่งๆ ดังขั้น

 

 

ใช่แล้ว ตอนนั้นนายหญิงผู้เฒ่าฟางไร้หัวใจไร้คุณธรรมทุกคนล้วนรู้สิ้น กระทั่งมารดาของตนยังตีได้ หลานสาวคนเดียวนับเป็นอะไรอีก

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางในหัวใจมีหลากหลายอารมณ์ยิ่ง มองสายตาสารพัดมือไม้สารพัดที่ชี้รอบด้านก็รู้ว่าวันนี้อยากปิดปากของฟางอวี้ซิ่วบังคับพานางเข้าไปเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

 

บุตรสาววาจาเฉียบแหลมเช่นนี้นางไม่รู้ว่าควรภาคภูมิใจหรือโมโหจริงๆ

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมญาติผู้ใหญ่ไม่ต้อนรับเจ้า?” นางเอ่ยเสียงขรึม “คนในตระกูลเชื่อถือเจ้า เจ้ากลับใช้ความเชื่อถือนี้ปิดเต๋อเซิ่งชาง นี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวทำหรือ? เจ้ารู้ว่านี่ทำให้กิจการในตระกูลลำบากเพิ่มมากเท่าใดไหม?”

 

 

“ข้าย่อมรู้” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ท่านแม่ ข้าฟางอวี้ซิ่วตั้งแต่หกขวบเริ่มเรียนบัญชี แปดขวบทำตั๋วเงิน เอาม้านั่งซ้อนม้านั่งปีนขึ้นโต๊ะกั้น สองมือนี้ของข้า…”

 

 

นางยื่นมือผายออก

 

 

“ตั้งแต่วันแรกที่ข้าถือสมุดบัญชี สิบปีไม่เคยหยุด ไม่พลิกสมุดบัญชีก็บันทึกสมุดบัญชี”

 

 

“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเล่น ของที่เด็กผู้หญิงทั้งหลายเล่นข้าไม่เคยรู้จักแล้วก็ไม่กล้าเล่น”

 

 

“เพราะในตระกูลไม่มีใคร ท่านย่าท่านแม่จะแก่เฒ่า น้องชายจะป่วยตาย ข้ากับพี่สาวต้องแบกกิจการของตระกูล”

 

 

“พวกท่านเห็นข้าสวมทองสวมเงินกินดื่มอาหารโอชา แต่ที่ข้าอิจฉาที่สุดคือสาวน้อยขายเต้าฮวยตรงหัวถนนตะวันตก ขายเต้าฮวยได้ครึ่งวัน หลังจากนั้นก็หิ้วตะกร้าไปตกปลาเล่นริมแม่น้ำอย่างสนุกสนาน”

 

 

“ทว่าข้าทำไม่ได้ ในตระกูลล้วนอาศัยพวกเราพี่น้องนี่ จะแอบขี้เกียจได้อย่างไร เล่นได้อย่างไร”

 

 

ผู้คนรอบด้านฟังนิ่งงัน ชีวิตที่แห้งแล้งเช่นนี้ไม่ง่ายจริงๆ เด็กคนอื่นหกขวบแปดขวบยังวิ่งอ้อนแม่อยู่เลย พวกนางก็ต้องเริ่มเรียนรู้กิจการร้านแลกเงินแล้ว ทำทีหนึ่งก็สิบปี สิบปีเชียวนะ ลำบากเอาการ

 

 

มีสตรีอดไม่ได้เช็ดน้ำตา

 

 

กระทั่งนายหญิงใหญ่ฟางก็ดวงตาขัดเคืองนิดๆ ด้วย

 

 

นางย่อมรู้ว่าบุตรสาวทั้งหลายลำบากยิ่งนัก สิ่งที่ฟางอวี้ซิ่วพูดก็เป็นความจริงล้วนๆ ชีวิตของพี่สาวน้องสาวตระกูลฟางลำบากแห้งแล้งเช่นนี้จริงๆ

 

 

ชั่วขณะหนึ่งแยกไม่ชัดว่านี่บุตรสาวสั่งสมความแค้นมามากปานนี้จริงๆ หรือกำลังเล่นละคร

 

 

ฟางอวี้ซิ่วมองมาหานาง

 

 

“ท่านแม่ ข้าที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ข้าหลับตาอยู่ ข้าก็รู้ว่ากิจการร้านแลกเงินเป็นอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “กิจการนี่เสียหายข้าก็ปวดใจเช่นกัน นั่นก็เป็นกิจการที่ข้าบริหารเช่นกัน แต่ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะพวกท่านบีบพวกเราให้ไร้หนทางแล้ว”

 

 

นางก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง

 

 

“ท่านแม่ท่านให้ข้าลองคิดดู ข้าก็ขอเชิญให้ท่านกับท่านย่าลองคิดดู หัวใจพวกท่านคิดอะไรอยู่? ตอนนั้นน้องชายป่วยหนักชีวิตเหลือไม่นานแล้ว พวกท่านให้พวกเราพี่น้องค้ำจุนกิจการตระกูล ปฏิเสธไม่ให้คนนอกขอแต่งงาน ให้พวกเราอยู่ที่ตระกูลรับลูกเขย”

 

 

นางมองไปหาชาวบ้านทั้งหลายรอบด้าน

 

 

“ทุกคนล้วนรู้ รับลูกเขยจะรับคนแบบไหนได้? คนดีๆ บุรุษดีๆ ใครจะยอมไปเป็นลูกเขยในบ้านของผู้อื่น?”

 

 

ผู้คนพากันพยักหน้าสีหน้าเห็นใจ

 

 

“พวกเราพี่น้องเสียเวลาเช่นนี้จนอายุป่านนี้ พวกเราก็ยอมด้วยเห็นกิจการของตระกูลเป็นสำคัญ แต่น้องชายหายดีแล้ว ตระกูลฟางมีทายาทชายแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้พวกเราแล้ว ท่านย่าท่านแม่พวกท่านก็มองพวกเราเป็นบุตรสาวขึ้นมาแล้ว จะให้พวกเราออกจากบ้านให้น้อยทำงานให้น้อย ยังจะหาบ้านสามีให้พวกเราแต่งออกไป”

 

 

นางก้าวมาข้างหน้าเดินเข้าใกล้นายหญิงใหญ่ฟางอีกหน ยื่นมือกดหน้าอก

 

 

“พวกเราทำอะไรเป็นเล่า สิ่งที่เด็กสาวผู้อื่นทำเป็นพวกเราล้วนทำไม่เป็น พวกเราทำเป็นแต่อ่านบัญชีทำบัญชีทำกิจการ ท่านให้พวกเราไปเป็นสะใภ้เย็บผ้าทำอาหารให้ผู้อื่น พวกเราก็เหมือนตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ใครต้องการสะใภ้เช่นนี้อย่างพวกเรา”

 

 

“ท่านแม่ นี่ไม่ใช่ปลดโม่สังหารลาข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือ?”

 

 

“ท่านแม่ พวกเราไร้ประโยชน์แล้วใช่หรือไม่? เก็บไว้ในบ้านก็มีแต่ยึดครองกิจการตระกูลของน้องชาย? พวกเท่านจึงจะขับไล่พวกเราออกไปโยนทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง!”

 

 

“ท่านแม่ พวกเราเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตระกูลฟางมาสิบปีแล้วนะ”

 

 

นางพูดจบก็คล้ายพังทลายยื่นมือปิดหน้าร้องไห้โฮ

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วที่อยู่บนรถอีกคันหนึ่งดิ้นหลุดจากหญิงรับใช้ที่ดูจนตะลึงดูจนอึ้งอยู่ โถมเข้ามากอดฟางอวี้ซิ่วแล้วเริ่มร้องไห้

 

 

ในหมู่สตรีทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ตรงนั้นเสียงร้องไห้ยิ่งมากขึ้นทุกที

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางดวงตาทั้งแสบทั้งเคือง ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ

 

 

“เจ้าพูดเหลวไหลไร้สาระอันใด ใครจะโยนพวกเจ้าทิ้ง” นางเอ่ย “เจ้า เจ้าเด็กคนนี้คิดเหลวไหลวุ่นวายอันใด! จะให้พวกเจ้าแต่งงานกับผู้อื่นก็เพื่อพวกเจ้า พวกเจ้ายินดีแต่งก็แต่ง ไม่ยินดีแต่งก็ช่าง เย็บผ้าทำอาหารอะไร ใครให้พวกทำเรื่องนี้ พวกเจ้าอยากทำกิจการ ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเจ้าทำกิจการ นี่มีอันใดคุยกันไม่ได้…”

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ ฟางอวี้ซิ่วพลันเงยหน้าเช็ดน้ำตา

 

 

“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเราสิ” นางเอ่ยขึ้นเสียงเยือกเย็น“อย่าเพียงพูดสิ สมบัติตระกูลแบ่งให้พวกเราสิ”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสะอึกแล้ว

 

 

เด็กคนนี้…

 

 

“ท่านย่าเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่แบ่งให้พวกเจ้า เรื่องนี้ก็แค่ไม่เคยพูดถึง…” นางเอ่ย

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเราพูดแล้ว ให้สิ” ฟางอวี้ซิ่วขัดนาง เอ่ยขึ้นอย่างกระฉับเด็ดขาดอีกหน

 

 

นี่บอกจะให้ก็ให้ได้อย่างไรเล่า นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนกัดฟัน

 

 

“สหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลาย พวกเราพี่น้องในฐานะสตรีคนหนึ่ง ต้องการสมบัติตระกูลในตระกูล” ฟางอวี้ซิ่วไม่ได้บีบให้นางตอบอีกเช่นกัน แต่มองไปรอบด้าน “ข้าอยากถามสักหน่อย ทำเช่นนี้ฟ้าไม่ยอมรับจริงหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่!” เสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน เริ่มแรกกระจัดกระจาย จากนั้นก็ค่อยๆ ดังขึ้นตรงนั้นทีตรงนี้ที

 

 

“พวกเราพี่น้องเป็นสตรี ต้องไม่ได้สมบัติตระกูลในตระกูลหรือ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถามอีกหน

 

 

“ต้องได้!” เสียงตะโกนพร้อมเพรียง มีชายมีหญิง เสียงดังลั่น

 

 

มารดา อย่างไรก็ไม่ใช่สมบัติตระกูลของพวกเขาเสียหน่อย พวกเขาชมเรื่องสนุกย่อมไม่รังเกียจหากเป็นเรื่องใหญ่

 

 

ชายร่ำรวยที่ยืนอยู่มุมถนนไกลออกไปสีหน้าดูแคลน หลังจากนั้นก็เห็นสตรีตระกูลฟางท่ามกลางฝูงชนคนนั้นย่อเข่าคำนับฝูงชนรอบด้านอีกครั้ง

 

 

“พวกเราพี่น้องต้องการแบ่งสมบัติตระกูล ญาติผู้ใหญ่ย่อมไม่ต้อนรับพวกเราพี่น้อง ทั้งยังไม่มีญาติหรือคนในตระกูลมาธำรงความยุติธรรม ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่พึ่งสหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลายทุกท่าน ช่วยพวกเราพี่น้องเฝ้าดู ตั้งแต่นาทีนี้ ก่อนหน้าพวกเราพี่น้องจะได้สมบัติตระกูล”

 

 

ทำไม?

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่มุมถนนในใจพลันรู้สึกท่าไม่ดี

 

 

ฟางอวี้ซิ่วหยัดร่างขึ้น

 

 

“ขอสหายร่วมบ้านเกิดทุกท่านเฝ้าดูตระกูลฟางของเราไว้ สักน้อยสักนิดแมลงวันสักตัวก็ไม่อาจให้พวกเขาขนออกไปแอบซ่อนได้ ให้พวกเราได้แบ่งสมบัติตระกูลที่ตระกูลฟางครอบครองอย่างยุติธรรม”

 

 

ระยำ! ชายร่ำรวยสีหน้าเขียวคล้ำ ในใจร้องด่า

 

 

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 131 โบกมือปลุกระดม

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 131 โบกมือปลุกระดม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรื่องคุณหนูสองคนของตระกูลฟางแย่งสมบัติตระกูลเล่าลือกันฮือฮาแล้ว แต่นั่นล้วนเป็นการฟังกันมาเล่าต่อ อย่างไรก็รู้สึกว่าขาดอะไรสักอย่าง

 

 

วันนี้เวลานี้เห็นเจ้าของเรื่องแล้ว นอกจากนี้อ้าปากก็เป็นคำพูดน่าตระหนกเช่นนี้

 

 

แย่งสมบัติตระกูล ย่าสังหารหลานสาว นี่สะเทือนอารมณ์เกินไปแล้วจริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนบนรถตะลึงไปแล้ว

 

 

ตั้งแต่ยกรถขึ้นจนร่วงลงมาแตก จนไปถึงฟางอวี้ซิ่วร่วงกลิ้งไปตรงหน้าผู้คนตะโกนหนึ่งประโยคนี้ แทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในพริบตาเดียว ลื่นไหลราบรื่นเกิดขึ้นในเฮือกเดียว

 

 

หญิงรับใช้ที่เฝ้านางสี่คนนั้นเพิ่งลุกขึ้นมา มึนศีรษะหันไปจะจับฟางอวี้ซิ่ว

 

 

แต่ฟางอวี้ซิ่วพุ่งเข้าไปในฝูงชนแล้ว

 

 

คล้ายค่อนข้างอ่อนแอเหลือทน คล้ายผวาหวาดหวั่น ล้มลุกคลุกคลานกับพื้น ข้างหน้าบังเอิญเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง

 

 

“ท่านป้าท่านอาทั้งหลายช่วยข้าด้วย” นางยื่นมือร้องเรียกน้ำตาคลอ “พวกท่านเห็นข้าโตมา”

 

 

คุณหนูตระกูลฟางไม่เหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวยตระกูลอื่น เพราะต้องจัดการกิจการ ตั้งแต่เล็กพวกนางจึงโผล่หน้ามาข้างนอก คนหยางเฉิงคุ้นหน้าคุ้นตาหน้าพวกนาง ก็เหมือนที่ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย พวกนางเห็นนางโตขึ้นมา

 

 

นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงคุณหนูทั้งสองของตระกูลฟางปฏิบัติกับผู้อื่นเป็นมิตรมาตลอด ประคองคนแก่ ช่วยคนยากจน เอาแค่สาวน้อยบอบบางคนหนึ่งล้มลงตรงหน้าวิงวอนเช่นนี้ผู้ใดก็ทนไม่ได้

 

 

สตรีทั้งหลายถูกเสียงร้องเรียกครั้งนี้ทำใจสั่นไหว มีหลายคนย่อตัวพยุงนางขึ้นมาทันที

 

 

“ไม่กลัวนะ ไม่กลัว” พวกนางลูบพลางปลอบพลาง รวมตัวเข้ามา

 

 

หญิงรับใช้หลายคนนั้นที่พุ่งเข้ามาถูกขวางไว้แล้ว

 

 

“มีอะไรพูดจาดีๆ สิ”

 

 

“อย่าทำเด็กน้อยตกใจกลัว”

 

 

สตรีทั้งหลายต่างคนต่างห้ามปราม

 

 

หญิงรับใช้สี่คนแม้มีกำลัง แต่ต้านทานคนมากไม่ไหว จึงไม่อาจเข้าใกล้ฟางอวี้ซิ่วได้

 

 

หญิงรับใช้สี่คนอับอายโมโหอยู่บ้าง

 

 

พวกนางสี่คนเฝ้าแม่นางน้อยคนเดียวก็ไม่ได้ ขายหน้าจริงๆ

 

 

“พวกเจ้าหลีกไป!” หญิงรับใช้คนหนึ่งอดกลั้นโทสะไม่อยู่ตะคอก “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”

 

 

แรงล้วนส่งผลต่อกัน หญิงรับใช้คนนี้โมโหร้ายขึ้นมา สตรีทั้งหลายที่ล้อมอยู่ฉับพลันก็ไม่มีสีหน้าเป็นมิตรแบ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านหลังเสียงร้องไห้กระซิกๆ ของฟางอวี้ซิ่วลอยมา

 

 

“ข้าไม่กลับไป ข้าไม่กลับไป”

 

 

เห็นคุณหนูตระกูลฟางที่ยามปกติฉลาดเฉลียวทำงานเก่งกลัวจนเป็นอย่างไร สตรีทั้งหลายก็โมโหขึ้นมาบ้าง

 

 

“เจ้าตะคอกอะไรฮะ”

 

 

“กลางถนนกลางวันแสกๆ พวกเราก็แค่ยืนอยู่ตรงนี้ เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”

 

 

“ยุ่งไม่เข้าเรื่องอย่างไร? ผ่านทางพบความอยุติธรรมไม่เคยได้ยินรึ?”

 

 

โต้เถียงทะเลาะ สตรีทั้งหลายล้วนเป็นยอดฝีมือ ใครก็ไม่กลัวใคร ชั่วขณะหนึ่งบนถนนใหญ่ดันๆ ผลักๆ ทะเลาะกันขึ้นมา ในนั้นยังสอดแทรกเสียงตะโกนเสียงลากยาวของสตรีด้วย

 

 

“โธ่ ตีกันแล้ว!”

 

 

สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายขึ้นทุกที คนที่ล้อมเข้ามายิ่งมากขึ้นทุกที นายหญิงใหญ่ฟางถอนหายใจ เลิกม่านรถขึ้นเดินลงมา

 

 

นางหยวนก็รีบตามมาหยุง แล้วถลึงตาใส่พนักงานทั้งหลายที่ยืนอึ้งโง่เง่าอยู่หน้าร้านแลกเงินอย่างชิงชัง

 

 

“พวกเจ้ายังไม่รีบช่วยอีก?” นางตวาดเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายคล้ายตอนนี้เพิ่งได้สติจะก้าวเข้าไป

 

 

เด็กตระกูลตนร้องว่าจะถูกคนในตระกูลสังหาร หลังจากนั้นยังจะแย่งคนจากในมือฝูงชนที่ไม่เกี่ยวข้องอีก ถ้าเช่นนั้นหน้าตาของตระกูลฟางคงเสียหน้าหมดสิ้นแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยกมือห้าม ตนเองเดินเข้าไป

 

 

หญิงรับใช้สี่คนหน้าแดงหูแดงหลีกออกไป

 

 

ฝูงชนทั้งหลายยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตากับนายหญิงใหญ่ฟาง อย่างไรก็เป็นมารดาของฟางอวี้ซิ่ว เสียงทะเลาะค่อยๆ เงียบลง

 

 

“อวี้ซิ่ว นี่เจ้าทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเพียงมองฟางอวี้ซิ่วที่ถูกบังอยู่หลังผู้คน “เจ้ายังก่อเรื่องไม่พอหรือ?”

 

 

แม้วาจาเรียบง่าย แต่น้ำเสียงนั่นนิ่งเรียบทั้งยังติดจะเหนื่อยล้า ประหนึ่งบิดามารดาทั้งหมดที่ปวดหัวจนปัญญากับความซุกซนของบุตร

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นมากเท่าไรเป็นแม่ อดคิดถึงบุตรที่บ้านตนไม่ได้ ใครไม่เคยมีเวลาที่ถูกก่อเรื่องจนโกรธ ร้องจะตีร้องจะฆ่าก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

บรรยากาศผ่อนคลายลงทันที

 

 

“นายหญิงใหญ่ มีอะไรพูดกันดีๆเถอะ”

 

 

“เด็กน่ะ อย่างไรก็ต้องค่อยๆ สอนนะเจ้าคะ”

 

 

สตรีหลายคนพูดเซ็งแซ่

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางอวี้ซิ่วที่ฝูงชนค่อยๆ หลีกทางให้เผยตัวออกมา

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้ารู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรไหม?” นางเอ่ย ยากปิดบังความปวดใจปวดหัว “เจ้าทำเช่นนี้ เคยคิดดีๆ ไหม?”

 

 

สตรีทั้งหลายอดไม่ได้ล้วนมองฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“คุณหนูรอง มีคำใดพูดกันดีๆ นะเจ้าคะ”

 

 

“ไม่ตีท่านจริงๆหรอก”

 

 

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นางหยวนพลันส่งสายตาให้บรรดาหญิงรับใช้ข้างกาย ทุกคนเข้าใจเข้าใกล้ไปทางฟางอวี้ซิ่วช้าๆ

 

 

ฟางอวี้ซิ่วนั่งตัวตรง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหางตาเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งในดวงตาไม่มีน้ำตาแม้แต่น้อยแต่นิด

 

 

“พูดจาดีๆ ย่อมดี ทว่าท่านย่ากับท่านแม่ไม่พูดจาดีๆ กับพวกเรา กลับลงมือจะกักขังบังคับพวกเรา” นางเอ่ย “ทุกคนเกิดเรื่องล้วนพึ่งพิงครอบครัวและตระกูลได้ แต่พวกเราล่ะ นอกจากพึ่งพิงคนนอก ยังพึ่งพิงใครได้อีก?”

 

 

นางพูดพลางถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง มองชาวบ้านรอบด้าน

 

 

“หากไม่ใช่ท่านป้าท่านอาทั้งหลายเมื่อครู่ ข้าก็ถูกจับมัดแบกเข้าไปแล้ว พวกท่านที่ถือไม้กระบองกับเชือกมาจะพูดจาดีๆ กับข้าหรือ? อยู่ในบ้านหลายวันเช่นนี้ หากพูดจากันดีๆ จะมาถึงตอนนี้เช่นนี้ได้หรือ?”

 

 

นางพูดพลางลุกขึ้นยืน จัดเสื้อกระโปรงเบาๆ คุกเข่าคำนับรอบด้าน

 

 

“ขอบคุณท่านลุงท่านอาท่านป้าท่านน้าทั้งหลายที่ปกป้อง โบราณว่าไว้ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้ชิด ทุกคนล้วนรู้ตระกูลฟางของข้านับแต่ท่านย่าของข้าก็ไม่มีญาติ วันนี้ข้าฟางอวี้ซิ่วทำให้ท่านย่าโมโหแล้ว ญาติผู้ใหญ่ไม่ต้อนรับย่อมไม่มีญาติห่างไกลคนในตระกูลแล้วเช่นกัน ที่พึ่งได้ก็มีเพียงพวกท่านผู้อาวุโสร่วมบ้านเกิดเหล่านี้แล้ว”

 

 

โอ้ นางหยวนเลิกคิ้ว ไม่เสียทีเป็นคุณหนูรอง ทั้งฉลาดทั้งเยือกเย็น สภาพเช่นนี้ไม่มีท่าทางของเด็กน้อยก่อเรื่องวุ่นวายสักนิด พูดจากระจ่างชัดมีเหตุผล นอกจากนี้ยังหิ้วเรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางไร้หัวใจไร้คุณธรรมออกมาเตือนทุกคนด้วย

 

 

ที่นั่นเสียงถกเถียงหึ่งๆ ดังขั้น

 

 

ใช่แล้ว ตอนนั้นนายหญิงผู้เฒ่าฟางไร้หัวใจไร้คุณธรรมทุกคนล้วนรู้สิ้น กระทั่งมารดาของตนยังตีได้ หลานสาวคนเดียวนับเป็นอะไรอีก

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางในหัวใจมีหลากหลายอารมณ์ยิ่ง มองสายตาสารพัดมือไม้สารพัดที่ชี้รอบด้านก็รู้ว่าวันนี้อยากปิดปากของฟางอวี้ซิ่วบังคับพานางเข้าไปเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

 

บุตรสาววาจาเฉียบแหลมเช่นนี้นางไม่รู้ว่าควรภาคภูมิใจหรือโมโหจริงๆ

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมญาติผู้ใหญ่ไม่ต้อนรับเจ้า?” นางเอ่ยเสียงขรึม “คนในตระกูลเชื่อถือเจ้า เจ้ากลับใช้ความเชื่อถือนี้ปิดเต๋อเซิ่งชาง นี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวทำหรือ? เจ้ารู้ว่านี่ทำให้กิจการในตระกูลลำบากเพิ่มมากเท่าใดไหม?”

 

 

“ข้าย่อมรู้” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ท่านแม่ ข้าฟางอวี้ซิ่วตั้งแต่หกขวบเริ่มเรียนบัญชี แปดขวบทำตั๋วเงิน เอาม้านั่งซ้อนม้านั่งปีนขึ้นโต๊ะกั้น สองมือนี้ของข้า…”

 

 

นางยื่นมือผายออก

 

 

“ตั้งแต่วันแรกที่ข้าถือสมุดบัญชี สิบปีไม่เคยหยุด ไม่พลิกสมุดบัญชีก็บันทึกสมุดบัญชี”

 

 

“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเล่น ของที่เด็กผู้หญิงทั้งหลายเล่นข้าไม่เคยรู้จักแล้วก็ไม่กล้าเล่น”

 

 

“เพราะในตระกูลไม่มีใคร ท่านย่าท่านแม่จะแก่เฒ่า น้องชายจะป่วยตาย ข้ากับพี่สาวต้องแบกกิจการของตระกูล”

 

 

“พวกท่านเห็นข้าสวมทองสวมเงินกินดื่มอาหารโอชา แต่ที่ข้าอิจฉาที่สุดคือสาวน้อยขายเต้าฮวยตรงหัวถนนตะวันตก ขายเต้าฮวยได้ครึ่งวัน หลังจากนั้นก็หิ้วตะกร้าไปตกปลาเล่นริมแม่น้ำอย่างสนุกสนาน”

 

 

“ทว่าข้าทำไม่ได้ ในตระกูลล้วนอาศัยพวกเราพี่น้องนี่ จะแอบขี้เกียจได้อย่างไร เล่นได้อย่างไร”

 

 

ผู้คนรอบด้านฟังนิ่งงัน ชีวิตที่แห้งแล้งเช่นนี้ไม่ง่ายจริงๆ เด็กคนอื่นหกขวบแปดขวบยังวิ่งอ้อนแม่อยู่เลย พวกนางก็ต้องเริ่มเรียนรู้กิจการร้านแลกเงินแล้ว ทำทีหนึ่งก็สิบปี สิบปีเชียวนะ ลำบากเอาการ

 

 

มีสตรีอดไม่ได้เช็ดน้ำตา

 

 

กระทั่งนายหญิงใหญ่ฟางก็ดวงตาขัดเคืองนิดๆ ด้วย

 

 

นางย่อมรู้ว่าบุตรสาวทั้งหลายลำบากยิ่งนัก สิ่งที่ฟางอวี้ซิ่วพูดก็เป็นความจริงล้วนๆ ชีวิตของพี่สาวน้องสาวตระกูลฟางลำบากแห้งแล้งเช่นนี้จริงๆ

 

 

ชั่วขณะหนึ่งแยกไม่ชัดว่านี่บุตรสาวสั่งสมความแค้นมามากปานนี้จริงๆ หรือกำลังเล่นละคร

 

 

ฟางอวี้ซิ่วมองมาหานาง

 

 

“ท่านแม่ ข้าที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ข้าหลับตาอยู่ ข้าก็รู้ว่ากิจการร้านแลกเงินเป็นอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “กิจการนี่เสียหายข้าก็ปวดใจเช่นกัน นั่นก็เป็นกิจการที่ข้าบริหารเช่นกัน แต่ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะพวกท่านบีบพวกเราให้ไร้หนทางแล้ว”

 

 

นางก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เสียงแหบพร่าอยู่บ้าง

 

 

“ท่านแม่ท่านให้ข้าลองคิดดู ข้าก็ขอเชิญให้ท่านกับท่านย่าลองคิดดู หัวใจพวกท่านคิดอะไรอยู่? ตอนนั้นน้องชายป่วยหนักชีวิตเหลือไม่นานแล้ว พวกท่านให้พวกเราพี่น้องค้ำจุนกิจการตระกูล ปฏิเสธไม่ให้คนนอกขอแต่งงาน ให้พวกเราอยู่ที่ตระกูลรับลูกเขย”

 

 

นางมองไปหาชาวบ้านทั้งหลายรอบด้าน

 

 

“ทุกคนล้วนรู้ รับลูกเขยจะรับคนแบบไหนได้? คนดีๆ บุรุษดีๆ ใครจะยอมไปเป็นลูกเขยในบ้านของผู้อื่น?”

 

 

ผู้คนพากันพยักหน้าสีหน้าเห็นใจ

 

 

“พวกเราพี่น้องเสียเวลาเช่นนี้จนอายุป่านนี้ พวกเราก็ยอมด้วยเห็นกิจการของตระกูลเป็นสำคัญ แต่น้องชายหายดีแล้ว ตระกูลฟางมีทายาทชายแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้พวกเราแล้ว ท่านย่าท่านแม่พวกท่านก็มองพวกเราเป็นบุตรสาวขึ้นมาแล้ว จะให้พวกเราออกจากบ้านให้น้อยทำงานให้น้อย ยังจะหาบ้านสามีให้พวกเราแต่งออกไป”

 

 

นางก้าวมาข้างหน้าเดินเข้าใกล้นายหญิงใหญ่ฟางอีกหน ยื่นมือกดหน้าอก

 

 

“พวกเราทำอะไรเป็นเล่า สิ่งที่เด็กสาวผู้อื่นทำเป็นพวกเราล้วนทำไม่เป็น พวกเราทำเป็นแต่อ่านบัญชีทำบัญชีทำกิจการ ท่านให้พวกเราไปเป็นสะใภ้เย็บผ้าทำอาหารให้ผู้อื่น พวกเราก็เหมือนตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ใครต้องการสะใภ้เช่นนี้อย่างพวกเรา”

 

 

“ท่านแม่ นี่ไม่ใช่ปลดโม่สังหารลาข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือ?”

 

 

“ท่านแม่ พวกเราไร้ประโยชน์แล้วใช่หรือไม่? เก็บไว้ในบ้านก็มีแต่ยึดครองกิจการตระกูลของน้องชาย? พวกเท่านจึงจะขับไล่พวกเราออกไปโยนทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง!”

 

 

“ท่านแม่ พวกเราเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตระกูลฟางมาสิบปีแล้วนะ”

 

 

นางพูดจบก็คล้ายพังทลายยื่นมือปิดหน้าร้องไห้โฮ

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วที่อยู่บนรถอีกคันหนึ่งดิ้นหลุดจากหญิงรับใช้ที่ดูจนตะลึงดูจนอึ้งอยู่ โถมเข้ามากอดฟางอวี้ซิ่วแล้วเริ่มร้องไห้

 

 

ในหมู่สตรีทั้งหลายที่ล้อมดูอยู่ตรงนั้นเสียงร้องไห้ยิ่งมากขึ้นทุกที

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางดวงตาทั้งแสบทั้งเคือง ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ

 

 

“เจ้าพูดเหลวไหลไร้สาระอันใด ใครจะโยนพวกเจ้าทิ้ง” นางเอ่ย “เจ้า เจ้าเด็กคนนี้คิดเหลวไหลวุ่นวายอันใด! จะให้พวกเจ้าแต่งงานกับผู้อื่นก็เพื่อพวกเจ้า พวกเจ้ายินดีแต่งก็แต่ง ไม่ยินดีแต่งก็ช่าง เย็บผ้าทำอาหารอะไร ใครให้พวกทำเรื่องนี้ พวกเจ้าอยากทำกิจการ ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเจ้าทำกิจการ นี่มีอันใดคุยกันไม่ได้…”

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ ฟางอวี้ซิ่วพลันเงยหน้าเช็ดน้ำตา

 

 

“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเราสิ” นางเอ่ยขึ้นเสียงเยือกเย็น“อย่าเพียงพูดสิ สมบัติตระกูลแบ่งให้พวกเราสิ”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสะอึกแล้ว

 

 

เด็กคนนี้…

 

 

“ท่านย่าเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่แบ่งให้พวกเจ้า เรื่องนี้ก็แค่ไม่เคยพูดถึง…” นางเอ่ย

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเราพูดแล้ว ให้สิ” ฟางอวี้ซิ่วขัดนาง เอ่ยขึ้นอย่างกระฉับเด็ดขาดอีกหน

 

 

นี่บอกจะให้ก็ให้ได้อย่างไรเล่า นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนกัดฟัน

 

 

“สหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลาย พวกเราพี่น้องในฐานะสตรีคนหนึ่ง ต้องการสมบัติตระกูลในตระกูล” ฟางอวี้ซิ่วไม่ได้บีบให้นางตอบอีกเช่นกัน แต่มองไปรอบด้าน “ข้าอยากถามสักหน่อย ทำเช่นนี้ฟ้าไม่ยอมรับจริงหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่!” เสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน เริ่มแรกกระจัดกระจาย จากนั้นก็ค่อยๆ ดังขึ้นตรงนั้นทีตรงนี้ที

 

 

“พวกเราพี่น้องเป็นสตรี ต้องไม่ได้สมบัติตระกูลในตระกูลหรือ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถามอีกหน

 

 

“ต้องได้!” เสียงตะโกนพร้อมเพรียง มีชายมีหญิง เสียงดังลั่น

 

 

มารดา อย่างไรก็ไม่ใช่สมบัติตระกูลของพวกเขาเสียหน่อย พวกเขาชมเรื่องสนุกย่อมไม่รังเกียจหากเป็นเรื่องใหญ่

 

 

ชายร่ำรวยที่ยืนอยู่มุมถนนไกลออกไปสีหน้าดูแคลน หลังจากนั้นก็เห็นสตรีตระกูลฟางท่ามกลางฝูงชนคนนั้นย่อเข่าคำนับฝูงชนรอบด้านอีกครั้ง

 

 

“พวกเราพี่น้องต้องการแบ่งสมบัติตระกูล ญาติผู้ใหญ่ย่อมไม่ต้อนรับพวกเราพี่น้อง ทั้งยังไม่มีญาติหรือคนในตระกูลมาธำรงความยุติธรรม ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่พึ่งสหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลายทุกท่าน ช่วยพวกเราพี่น้องเฝ้าดู ตั้งแต่นาทีนี้ ก่อนหน้าพวกเราพี่น้องจะได้สมบัติตระกูล”

 

 

ทำไม?

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่มุมถนนในใจพลันรู้สึกท่าไม่ดี

 

 

ฟางอวี้ซิ่วหยัดร่างขึ้น

 

 

“ขอสหายร่วมบ้านเกิดทุกท่านเฝ้าดูตระกูลฟางของเราไว้ สักน้อยสักนิดแมลงวันสักตัวก็ไม่อาจให้พวกเขาขนออกไปแอบซ่อนได้ ให้พวกเราได้แบ่งสมบัติตระกูลที่ตระกูลฟางครอบครองอย่างยุติธรรม”

 

 

ระยำ! ชายร่ำรวยสีหน้าเขียวคล้ำ ในใจร้องด่า

 

 

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+