Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 19 ชนะสมประสงค์

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 19 ชนะสมประสงค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่านหญิงเฉิงกั๋ว  

 

 

ซุนซานเจี๋ยขาสั่น มองสตรีผู้นี้อย่างไม่อยากเชื่อ  

 

 

นางคือท่านหญิงเฉิงกั๋ว? ภรรยาของเฉิงกั๋วกงจูซาน? ท่านหญิงผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งของราชสำนัก?  

 

 

นายหญิงอวี้พยักหน้า  

 

 

“ข้ามาดูที่นี่สักหน่อย” นางเอ่ยตอบ   

 

 

เป็นท่านหญิงเฉิงกั๋วจริงๆ ซุนซานเจี๋ยใจลอยอยู่บ้าง แต่ในวัดเฉิงหวงเสียงคุกเข่ากับพื้นดังตึกดังขึ้นเป็นแถบ  

 

 

“ท่านหญิงเฉิงกั๋ว”  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายพากันคุกเข่ากับพื้นตะโกน สีหน้าตื่นเต้น  

 

 

แดนเหนือทุกผู้ทุกคนรู้จักเฉิงกั๋วกง ย่อมรู้จักท่านหญิงเฉิงกั๋วเช่นกัน  

 

 

เพียงแต่ท่านหญิงเฉิงกั๋วพบยากยิ่งกว่าเฉิงกั๋วกง ทุกคนฝันก็คิดไม่ถึงว่าสตรีที่ไม่กี่วันนี้กินด้วยกันอยู่ด้วยกันกับพวกเขาถึงกับเป็นท่านหญิงเฉิงกั๋ว  

 

 

ท่านหญิงเฉิงกั๋วยังมาแจกข้าวต้มช่วยเหลือปกป้องพวกเขาด้วยตนเอง  

 

 

ในวัดเฉิงหวงเสียงร้องไห้ดังขึ้นรอบด้าน กระจายออกไปย่างรวดเร็ว จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงคุกเข่าลงพรึบพรึบเป็นแถบ  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อเห็นท่านหญิงเฉิงกั๋ว พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นก็ไม่กังวลว่ากองทหารฉางเฟิงจะถูกคนหลอกอีกต่อไป แต่กลับยิ่งเพิ่มความวิตก  

 

 

แม้กองทหารฉางเฟิงไม่ได้ถูกสายลับชาวจินหลอก แต่ก็ยังคงไปที่อันตราย  

 

 

“มีแค่กำลังพลพันคนน้อยนิดยังไม่ถึงในเขตป้าโจว อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนเอ่ย “นี่ก็ไปหลายวันแล้วยังไม่กลับมาเลย”  

 

 

น่ากลัวว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี  

 

 

คำพูดประโยคนี้เขาไม่ได้เอ่ยออกมา นอกจากนี้คำพูดที่เดิมควรพูดอีกประโยคหนึ่งก็ไม่ได้เอ่ยออกมาด้วย  

 

 

ประโยคนั้นย่อมเป็นพวกเราส่งทหารไปตามหาพวกเขาเถอะ  

 

 

วันนี้เวลานี้ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว กระทำการไม่อาจใช้อารมณ์  

 

 

ด้านในวัดเฉิงหวงเงียบสงบพักหนึ่ง  

 

 

แม่ทัพหลายคนหน้าเริ่มแดงหันหน้าหลบไป นายหญิงอวี้สีหน้านิ่งสนิทไม่ได้ไม่พอใจกับเรื่องนี้  

 

 

“ไม่ต้องกังวล พวกเขาจะกลับมา” นางเอ่ยเพียงเท่านี้  

 

 

ทำไมมั่นใจปานนี้? ใต้เท้าเถียนเพิ่งกำลังจะเอ่ยอะไรก็ได้ยินด้านนอกเสียงโหวกเหวกพักหนึ่งดังขึ้น  

 

 

“ใต้เท้าหลี่กลับมาแล้ว!”  

 

 

ถึงกับกลับมาแล้วจริงๆ? ใต้เท้าเถียนสีหน้าตกตะลึง บนหน้านายหญิงอวี้ที่อยู่ด้านข้างผุดรอยยิ้มจางๆ  

 

 

หลังความตกตะลึงของผ่านพ้นไปใต้เท้าเถียนก็ถอนหายใจอีกครั้ง  

 

 

ไม่รู้ว่าบาดเจ็บล้มตายหนักหนาเท่าไรนะ  

 

 

ได้ยินเสียงพึมพำของเขา นายทหารที่มาแจ้งข่าวก็สีหน้าพิกลอยู่บ้าง  

 

 

“มากมาย” เขาเอ่ย  

 

 

บาดเจ็บล้มตายมากมายจริงๆ สินะ? รู้อยู่แล้วเชียวว่าจะเป็นเช่นนี้ หนีจากความตาย สิบคนปกป้องหนึ่งคนหนีกลับมาได้ก็ไม่เลวแล้ว วันนี้ทหารของเหอเจียนเหลือไม่มากแล้ว ใต้เท้าเถียนปวดใจนิ่งนัก  

 

 

“ไม่ใช่ขอรับ คนที่มามากมาย” นายทหารเอ่ยต่อพลางยื่นมือชี้นอกเมือง “รับผู้ลี้ภัยกลับมาสองพันคน”  

 

 

สองพัน!  

 

 

คนทั้งหมดล้วนแห่ไปที่ประตูเมือง นายทหารทั้งหลายบนกำแพงเมืองล้วนเบียดกันมองไปด้านนอกอยู่  

 

 

“แน่ใจไหมว่าเป็นใต้เท้าหลี่?”  

 

 

ผู้คนถกเถียงชี้มือชี้ไม้ล้วนท่าทางไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นประชาชนมากมายยุบยับที่เดินอยู่ตรงกลางถูกทหารปกป้องอยู่  

 

 

กวาดตาประมาณคร่าวๆ ไม่ต่ำกว่าสองพันคน ผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยเสื้อผ้าขาดวิ่นหิ้วปีกจูงมือกัน  

 

 

พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนไม่ทันสนฐานะมาถึงบนกำแพงด้วย  

 

 

นอกจากตกตะลึงกับจำนวนประชาชนแล้ว ยังตกตะลึงกับจำนวนทหารอีกด้วย  

 

 

“พวกเจ้าไปกันกี่คน?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถามอีกครั้ง  

 

 

“เก้าร้อยกว่าขอรับ” ซุนซานเจี๋ยเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

เก้าร้อยกว่ารึ?  

 

 

นี่ดูไปแล้ว…พวกใต้เท้าเถียนอดไม่ได้จุ๊ปาก ดูไปแล้วทำไมยังคงเป็นเก้าร้อยกว่า?  

 

 

กองกำลังใกล้เข้ามาทุกทีจนมองเห็นหน้าของบรรดาทหารได้ สหายทั้งหลายที่เคยคุ้นอดกลั้นไม่ไหวร้องดีใจเสียงดังบนกำแพงเมือง  

 

 

กองกำลังที่กำลังเคลื่อนที่นั่นกลับไม่วุ่นวายเพราะเสียงร้องดีใจนี้ ยังคงเรียงแถวเคร่งครัด แบ่งหน้าหลังปกป้องประชาชนเคลื่อนไปช้าๆ   

 

 

มีเพียงคนผู้หนึ่งกับม้าตัวหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแถว บ้างวิ่งวนล้อมชาวบ้านกับทหาร บ้างวิ่งรี่ไปข้างหน้าประหนึ่งสายลม บ้างรั้งม้าหยุด ประหนึ่งม้าน้อยไม่ได้รับการสั่งสอนกระทำตามใจ  

 

 

พร้อมกับที่วิ่งขยับ ผ้าโพกศีรษะของนางก็ไหลร่วงเผยเส้นผมดำขลับเต็มศีรษะ  

 

 

ผู้หญิง!  

 

 

พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนบนกำแพงเบิกตาโต  

 

 

“นี่ก็คือคุณหนูจวินคนนั้นหรือ?” พวกเขาเอ่ยถาม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยส่ายศีรษะ มองดูเด็กสาวที่ปิดหน้าทะยานม้าวิ่งมาข้างหน้าอีกหนคนนั้น เห็นข้าวของเช่นคันศรดาบยาวที่นางแขวนไว้ครบครัน เหมือนทหารทุกประการ  

 

 

นอกจากนี้เด็กสาวคนนั้นยังสังหารคนได้จริงๆ อีกด้วย  

 

 

“คนนี้ไม่ใช่ขอรับ คุณหนูจวินคนนั้นเหวี่ยงดาบแทงหอกไม่เห็น” ซุนซานเจี๋ยรีบเอ่ย “คุณหนูจวินเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง”  

 

 

เป็นแม่นางน้อยอ่อนหวานคนหนึ่ง ฆ่าคนไม่เป็น  

 

 

นายหญิงอวี้ได้ยินเข้าก็ยิ้ม  

 

 

แม่นางน้อยอ่อนหวานแม้ไม่ลงมือ คนที่ฆ่าไปกลับไม่น้อย  

 

 

น่าสนใจจริงๆ มีผู้หญิงเดินทางไปด้วยจริงๆ พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนก็มองเห็นพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่บนรถหลายคนในกองกำลังที่เดินเข้ามาใกล้แล้ว  

 

 

“นี่ก็คือกองทหารชิงซานนั่นรึ?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเถียนเอ่ยถาม  

 

 

ซุนซานเจี๋ยพยักหน้าจากนั้นยื่นมือชี้ด้านล่างของกำแพง  

 

 

จ้าวฮั่นชิงทะยานม้ามาถึงหน้าประตูก่อนก้าวหนึ่งแล้ว บนม้าของนางมัดธงผืนหนึ่งอยู่ ธงผืนใหญ่สีแดงสดสะบัดไหวพรึบพรับ ด้านบนคำว่ากองทหารชิงซานสามคำสะดุดตายิ่งนัก  

 

 

“เปิดประตู” นางตะโกนเสียงดัง  

 

 

ประตูเมืองเปิดออกช้าๆ ม้าตัวหนึ่งของจ้าวฮั่นชิงพุ่งนำเข้ามาก่อน  

 

 

“ท่านหญิง ท่านหญิง โรงข้าวต้มด้านนั้นเตรียมพร้อมเสร็จแล้วหรือยังเจ้าคะ?” นางตะโกนเสียงดัง “คนที่มาไม่น้อยเลย”  

 

 

นายหญิงอวี้ที่เดินลงกำแพงมาต้อนรับอมยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“เตรียมพร้อมเรียบร้อยหมดแล้ว” นางเอ่ยแล้วหันหน้าไปเรียก  

 

 

ผู้ชายผู้หญิงหลายคนเดินออกมา นี่คือผู้ลี้ภัยที่มาถึงก่อนหน้านี้และถูกเลือกมารรับผิดชอบจัดการธุระของผู้ลี้ภัย  

 

 

มองดูผู้ลี้ภัยที่สีหน้าหวาดหวั่นใบหน้าเหลืองเนื้อตัวซูบสองพันกว่าคนนี้ ผู้ชายผู้หญิงหลายคนนี้ก็ทั้งใจหายทั้งปิติยินดี รีบนำผู้คนไปยังวัดเฉิงหวง  

 

 

หน้าประตูเมืองจึงเหลือเพียงบรรดาทหาร  

 

 

“พวกนี้ล้วนเป็นประชาชนของป้าโจวหรือ?” ใต้เท้าเถียนอดทนรอไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น สายตาของเขามองไปทางหลี่กั๋วรุ่ย  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยดูเหมือนสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คนก็เหม่อลอยนิดๆ  

 

 

“ใช่ขอรับ” เขาเอ่ยตอบ  

 

 

ยืนยันคำตอบแล้วแม่ทัพมากกว่าเดิมก็อดไม่ไหวพากันไถ่ถาม  

 

 

“มากปานนี้เชียว”  

 

 

“พวกเจ้าเดินทางไปกี่แห่ง?”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยคล้ายตอบสนองไม่ทันจะตอบ มองดูแม่ทัพเหล่านี้  

 

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ” ใต้เท้าเถียนเป็นฝ่ายห้ามปราม “ใต้เท้าหลี่ก็ลำบากแล้ว”  

 

 

“ใช่แล้ว แม้ไม่ได้พบโจรจิน แต่เดินทางเที่ยวนี้ก็เหนื่อยพอแล้ว” ทุกคนพากันเอ่ยขึ้นท่าทางเห็นใจและปลอบประโลม  

 

 

ในที่สุดสายตาของหลี่กั๋วรุ่ยก็ดูมีสติขึ้นมา  

 

 

“ใครว่าไม่ได้พบโจรจิน” เขาเอ่ยขึ้นจากนั้นยื่นมือชี้รถม้าด้านหลัง “ที่ยึดมาบนรถ ทั้งหมดศีรษะสองร้อยยี่สิบสามหัว ชุดเกราะหนึ่งร้อยยี่สิบสามชุด ม้าศึกสิบแปดตัว”  

 

 

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักคล้ายครุ่นคิดนิดหนึ่ง  

 

 

“ข้าจำได้ไม่ค่อยชัดแล้ว น่าจะมากปานนี้กระมัง”  

 

 

พูดจบไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงมองไปทางพวกใต้เท้าเถียน เห็นพวกเขาสีหน้าตะลึงงันตาโตอ้าปากค้าง  

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” ใต้เท้าเถียนเสียงสั่นเอ่ยถาม “พวกเจ้าพบโจรจินเข้าแล้ว?”  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยขานรับแล้วพยักหน้า  

 

 

“พบเข้าสามกอง กองแรกจำนวนคนมากสักหน่อย สองครั้งที่เหลือคนน้อยมากแล้ว หนีไปเร็วเลยไม่ได้สู้อย่างไร”เขาเอ่ยเล่า  

 

 

ซุนซานเจี๋ยอดไม่ได้กลืนน้ำลาย  

 

 

“คนมาก มากเท่าไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

“หนึ่งพันห้าร้อยกว่ากระมัง” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  

 

 

หน้าประตูเมืองเสียงสูดลมหายใจเบาๆ ดังขึ้น  

 

 

ซุนซานเจี๋ยกลืนน้ำลายอีกครั้ง  

 

 

“เจ้าบอกว่า พวกเจ้าเก้าร้อยกว่าคนพบโจรจินหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ส่วนพวกแม่ทัพกับใต้เท้าเถียนก้าวไวๆ เดินไปทางรถม้าด้านนั้นแล้ว นายทหารที่ยืนอยู่ข้างรถม้าหลีกทาง เผยของที่ยึดมาได้วางเต็มรถ ศีรษะคนชุดเกราะกองพะเนินยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง  

 

 

ใต้เท้าเถียนมองไปทางหลี่กั๋วรุ่ย  

 

 

“พวกเจ้า บาดเจ็บล้มตายเท่าไร?” เขาเอ่ยถาม  

 

 

ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นจริง ไม่ใช่ฝันไปใช่ไหม?  

 

 

ประหลาดจริงๆ ทำไมเขารู้สึกว่านายทหารตรงหน้าไม่ได้น้อยลง  

 

 

“บาดเจ็บสิบสามคน” หลี่กั๋วรุ่ยตอบ “ไม่มีคนตาย”  

 

 

ที่นั่นเงียบไปหมดอีกครั้ง กระทั่งเสียงสูดลมหายใจก็ไม่ได้ยินแล้ว  

 

 

แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?  

 

 

เก้าร้อยคนรวมผู้หญิง บนท้องทุ่งพบโจรจินหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน หลังจากนั้นยังสู้ชนะ? สังหารโจรจินสองร้อยกว่าคน ส่วนตนเองกลับมีคนเจ็บแค่สิบกว่าคน?  

 

 

นี่ไม่ใช่ฝันไปยังเป็นอะไรอีกเล่า? นี่เป็นไปได้อย่างไร?  

 

 

“พวกเจ้า รบอย่างไรกัน?” ใต้เท้าเถียนมองหลี่กั๋วรุ่ยแล้วเอ่ยถามขึ้น  

 

 

ใช่แล้ว นี่รบอย่างไรกันนะ?  

 

 

สายตาทั้งหมดล้วนมองไปทางหลี่กั๋วรุ่ย ส่วนหลี่กั๋วรุ่ยก็มองไปด้านข้าง ด้านข้างมีทหารกลุ่มหนึ่งลงจากม้า พวกเขาอายุไม่เท่ากัน ผอมแห้งทั้งยังดูซื่อๆ แต่กลับยังคงยืนนิ่งไม่ขยับสักนิด คล้ายกับหอกยาวเล่มแล้วเล่มเล่าปักบนดินแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบน่าขนลุก  

 

 

สู้อย่างไร?  

 

 

คิดถึงภาพนั้น ลมหายใจของหลี่กั๋วรุ่ยก็ถี่กระชั้นขึ้นมา  

 

 

น่ากลัวเกินไปแล้ว  

 

 

การรบครั้งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว  

 

 

ไม่ต้องพูดถึงทหารจินฝั่งตรงข้ามแล้ว กระทั่งพวกเขายังกลัวจนจะเป็นลม  

 

 

ใต้กระสุนหินและศรหอก กระบวนทัพสี่เหลี่ยมของทหารจินไม่มีเหลือ ยังไม่ทันได้โจมตีก็ขวัญกระเจิงเสียขวัญสิ้นถอยหลังหนีอลหม่านบนทุ่งกว้าง  

 

 

‘ฆ่า!’  

 

 

จนกระทั่งถึงนาทีนี้ เสียงสตรีกลางกระบวนทัพสี่เหลี่ยมถึงอ้าปากเอ่ยวาจา  

 

 

เสียงฆ่าคำนี้ ธงสะบัดปลิว กระบวนทัพสี่เหลี่ยมแปรเปลี่ยน รถสัมภาระถอยหลัง หอกยาวขึ้นหน้า ขบวนแถวประหนึ่งหินยักษ์กลิ้งหลุนๆ ไล่ตามไปหาทหารจินที่วิ่งหนี  

 

 

นี่เป็นการฆ่าล้างบางจริงๆ  

 

 

แม้เป็นคนเก้าร้อยกว่าคน แต่สิ่งที่ตัดสินแพ้ชนะของศึกนี้จริงๆ กลับเป็นคนไม่ถึงสี่สิบคนนี้  

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยยื่นมือชี้ไป   

 

 

“เป็นคุณหนูจวินพวกเขาสู้” เขาเอ่ย  

 

 

คุณหนูจวินหรือ?  

 

 

บรรดาแม่ทัพที่นั่นล้วนมองตามที่เขาชี้ไป ด้านนั้นสตรีเยาว์วัยอีกคนหนึ่งควบม้าเยาะย่างมาช้าๆ  

 

 

จ้าวฮั่นชิงทะยานม้าวนล้อมข้างกายสตรรีผู้นั้น ธงสีแดงที่มัดอยู่บนหลังม้าขับเน้นผ้าคลุมสีแดงของคุณหนูจวิน คำว่ากองทหารชิงซานสามคำบนธงพลิ้วไสวในสายตาของผู้คน  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด