Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 37 รอวันหน้าเอาผืนดินมาตุภูมิเซ่นไหว้

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 37 รอวันหน้าเอาผืนดินมาตุภูมิเซ่นไหว้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงบึ้มบึ้มคล้ายไม่มีวันหยุด ใต้ฝ่าเท้าประหนึ่งแผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอน  

 

 

แทบพริบตาเดียว เมื่อเปลวไฟมอดดับ กลางกลุ่มควันก็ปรากฏหลุมดินมหึมาแห่งหนึ่ง  

 

 

เร็วปานนี้ นอกจากนี้ไม่สิ้นเปลืองกำลังคนสักนิดด้วย  

 

 

แต่บรรดาแม่ทัพที่ยืนอยู่นอกป้อมปราการด่านสีหน้านิ่งค้าง มองดูกระสุนหินลูกแล้วลูกเล่าหล่นร่วงจากท้องฟ้า ไม่ยินดีสักนิด  

 

 

“นี่ก็คือศาสตราร้ายกาจที่ทำให้ทหารจินขวัญเสียถอยไปงั้นหรือ“ มีแม่ทัพเอ่ยพึมพำ  

 

 

เมื่อครู่สู้กันดุเดือด พวกเขาก็ได้ยินเสียงสะเทือนเลือนลั่นนั่นเหมือนกันแต่ไม่ได้ขุดคุ้ย อย่างไรตอนนั้นก็อยู่บนขอบเหวของความเป็นความตาย ทว่าเห็นทหารจินหวาดผวาทุลักทุเลหนีไปก็คาดเดาได้ว่าร้ายกาจมากเท่าใด  

 

 

ตอนนี้มองเห็นยิ่งรู้แล้ว  

 

 

คุณหนูจวินคนนั้นบอกว่านี่คือกระสุนหิน แต่นี่มันกระสุนหินที่ไหนเล่า กระสุนหินทำได้แค่ทุบคนผู้หนึ่งตายรถคันหนึ่งพังเท่านั้น แต่สิ่งนี้ออกไปลูกหนึ่งก็เอาชีวิตคนได้เป็นเบือ  

 

 

ร่างเลือดเนื้อใต้กระสุนหินนี่ไม่ทานทนสักการโจมตี สิ่งนี้ไม่อาจขวางได้อย่างสิ้นเชิง มิน่าทหารจินถึงทุลักทุเลหนีไป  

 

 

ร้ายกาจจริงๆ!  

 

 

ทว่า…  

 

 

“พวกเจ้าถึงกับใช้ศาสตราร้ายกาจชิ้นนี้ขุดหลุมหลุมหนึ่ง?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ  

 

 

ศาสตราวุธร้ายกาจที่ทำให้ชาวจินได้ยินชื่อก็หนีขวัญกระเจิงชิ้นนี้เอามาใช้เช่นนี้แล้ว  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายรู้สึกเพียงหัวใจดั่งถูกมีดบาด  

 

 

ผลาญทรัพย์แท้  

 

 

“หากชาวจินมาอีกจะทำอย่างไร?” มีคนกุมหน้าอกตะโกนเสียงแหบพร่า  

 

 

คนตายถือเป็นเกียรติ แต่เพื่อคนตายทำให้คนตายมากยิ่งขึ้น นั่นโง่และเขลาจริงๆ   

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งยโสอยู่บ้าง  

 

 

“พวกเขา ไม่กล้า” นางเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

แรงสั่นสะเทือนมหึมานี้ทำให้ค่ายใหญ่ของทหารจินที่ไกลออกไปตกสู่ความโกลาหลอีกครั้ง  

 

 

ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มดังไม่ขาด สัมผัสแรงสั่นไหวของผืนดิน คิดถึงภาพเลือดเนื้อปลิวว่อนนั่น ทุกคนล้วนสีหน้าซีดขาว  

 

 

พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวเลือดเนื้อปลิวว่อน ทำศึกมาจนถึงวันนี้ภาพโหดร้ายอันใดไม่เคยเห็น ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ฝั่งตรงข้ามก็เลือดเนื้อปลิวว่อนเช่นนี้ เรียกว่าเข่นฆ่าไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการฆ่าล้างบาง  

 

 

การฆ่าล้างบางพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียว  

 

 

“ทหารโจวโจมตีมาอีกแล้ว”  

 

 

เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนหวิดทำให้ค่ายทหารแตกซ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายเจ็ดที่หวาดผวาจากกระสุนหินและรถยิงศรนี้ ตะโกนจะให้ถอยอีกทันที  

 

 

ยังดีทหารยามส่งข่าวมาทันเวลา ไม่ใช่ทหารโจวบุกมา ชาวโจวเพียงแค่โยนกระสุนหินอยู่ที่เดิมเท่านั้น  

 

 

นี่ทำให้ทหารจินทั้งหลายยิ่งตกตะลึง  

 

 

ทำไมโยนกระสุนหินอยู่ที่เดิม  

 

 

ทำให้กลัว? แสดงแสนยานุภาพ? ข่มขู่?  

 

 

นี่เหิมเกริมเกินไปแล้ว ชวนให้คนโมโห  

 

 

ทั่วป๋าอูหน้าแดง โกรธจนร้องตะโกนอ้ากอ้ากเสียงดัง  

 

 

“ทหารกล้าทั้งหลายติดตามข้าไปรบตัดสินเป็นตายกับชาวโจว” เขาตะโกน  

 

 

แต่แม่ทัพรอบด้านไม่มีผู้ขานตอบ มีคนไม่น้อยในดวงตาเผยความหวาดกลัว  

 

 

ทั่วป๋าอูยิ่งโกรธแค้น  

 

 

นี่เป็นดินแดนของพวกเขาเองกลับหวาดกลัวชาวโจว น่าอับอายเกินไปแล้วจริงๆ  

 

 

“พวกเจ้า พวกขี้ขลาดพวกนี้! หวั่นเกรงศัตรูหวาดกลัวศึก! ขายหน้าองค์ฮ่องเต้จริงๆ” เขาด่า  

 

 

คำพูดนี้ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานโกรธจัดแล้ว  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นต้าเผิงอ๋องเจ้าก็เป็นแนวหน้าไปรบสิ” เขาหัวเราะหยันเอ่ยพลางกุมแผลฟกช้ำบนหน้าผาก  

 

 

นี่คือองค์ชายเจ็ด แม้เรียกทั่วป๋าอูว่าท่านอา แต่สีหน้ากลับไม่นอบน้อมอย่างเด็กรุ่นหลังสักนิด  

 

 

ทั่วป๋าอูหน้าแดง แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะไปรบเดี๋ยวนี้  

 

 

“พวกเราไม่ได้กลัวชาวโจวพวกนั้น” แม่ทพจินคนหนึ่งรีบเอ่ยคลี่คลายสถานการณ์ “เพียงแต่ชาวโจวปลิ้นปล้อนใช้อาวุธร้ายหลบเลี่ยงศึก ทำลายทหารกล้าของพวกเรา ไม่คุ้มค่าจริงๆ”  

 

 

“ใช่แล้ว แค่ศึกเมื่อครู่นี้ พวกเราก็เสียทหารกล้าไปไม่น้อยแล้ว” คนอื่นรีบเอ่ยตาม  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวกำขวานดาบในมือแน่น  

 

 

“พวกเขาทำเช่นนี้ กระสุนหินหมดแล้ว พวกเรายังมีอะไรให้กลัวอีก” เขากัดฟันเอ่ย  

 

 

“ถ้าใช้ไม่หมดเล่า?” องค์ชายเจ็ดเอ่ยเย็นชา  

 

 

ในค่ายเงียบงันไปครู่หนึ่ง  

 

 

คิดถึงอันตรายเมื่อครู่ องค์ชายเจ็ดก็กดแผลบนศีรษะ ในใจเพลิงโทสะโหมกระพือ  

 

 

“ทั่วป๋าอู เจ้าเป็นอะไรไป? ทหารโจวมีอาวุธร้ายปานนี้กลับไม่รู้ ไม่ป้องกันเลย!” เขาตวาด  

 

 

ทั่วป๋าอูสีหน้าอับอายโกรธเกรี้ยว  

 

 

แม่ทัพคนอื่นเห็นภาพนี้พลันรีบเอ่ยปากอีกครั้ง  

 

 

“พวกเราไม่ใช่ไม่สู้ แต่ดูสถานการณ์แล้วสู้”  

 

 

“ใช่แล้ว ตอนนี้ศึกษาก่อนว่ากองทหารชิงซานนี่คืออะไรกัน”  

 

 

“ชาวฮั่นไม่ได้กล่าวว่าเหลือขุนเขาเขียวอยู่ไม่กลัวไร้ฟืนเผาหรือ หากทหารกล้าทั้งหลายของพวกเราตายหมดแล้ว นั่นถึงแย่”  

 

 

ทุกคนพากันเอ่ย  

 

 

ทั่วป๋าอูผิวหน้ากระตุก มองดูบรรดาแม่ทัพในกระโจม สถานการณ์เช่นนี้แปลกตาอยู่บ้าง แต่ก็คุ้นตาอยู่บ้าง  

 

 

ที่แปลกตาคือตั้งแต่ออกรบมา บรรดาทหารกล้าน้อยครั้งนักจะเผยความหวาดกลัวเช่นนี้  

 

 

แต่ที่คุ้นตาก็คือ เนิ่นนานนักก่อนหน้านี้ความหวาดกลัวเช่นนี้เขาก็เห็นอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นยามเผชิญหน้ากองทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกง  

 

 

ความหวาดกลัวเช่นนี้กดทับอยูบนหัวพวกเขามาตลอดนับสิบกว่าปี ลำบากนักกว่าวันนี้จะอาศัยชาวโจวบ่อนทำลายเฉิงกั๋วกงได้ พร้อมกับที่ชนะทีละนิดๆ ทหารกล้าทั้งหลายก็ไม่หวาดกลัวทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงอีกต่อไป  

 

 

ผลสุดท้ายนี่เพิ่งนานเท่าไร กองทหารชิงซานกลับโผล่ออกมาอีก  

 

 

เฉิงกั๋วกงยังไม่ตาย คนใหม่ก็โผล่มาอีก ช่าง….  

 

 

ทั่วป๋าอูกำขวานดาบทั้งโกรธแค้นทั้งหนาวใจ  

 

 

แต่ตอนนี้เขาเองก็รู้ ไม่อาจรบต่อได้อีกแล้ว เพราะทหารกล้าทั้งหลายหวาดกลัวแล้ว ยังไม่รบก็แพ้แล้ว  

 

 

เสียงระบิดดังตูมตามหยุดลง  

 

 

ในหูแม่ทัพทั้งหลายยังคงดังวิ้งๆ แต่กระบวนทัพด้านนั้นใช้ธงสั่งการให้รวบรวมศพของนายทหารบนสนามรบแล้ว  

 

 

คนหลายพันประหนึ่งลากแห การเคลื่อนไหวรวดเร็วทั้งไม่มีช่องโหว่ ศพทั้งหมดถูกกองสุมไว้ในหลุมใหญ่อย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

ป้ายห้อยเอวมากมายยุบยับกองพะเนินอยู่บนรถ  

 

 

สีหน้าของแม่ทัพทั้งหลายฟื้นกลับจากความตื่นตะลึงกลายเป็นนิ่งขรึม  

 

 

เฉิงกั๋วกงก็ส่งสัญญาณให้ยกตนเองมายังหน้าหลุมดินด้วย เขาไม่สนคำห้ามปรามจะลงมา แม่ทัพทั้งหลายลำบากใจยิ่งนัก  

 

 

แม้หัวใจเข้าใจ แต่อย่างไรเจ็บหนักปานนี้ไม่อาจทำตามอำเภอใจได้นะ  

 

 

พวกเขามองไปทางคุณหนูจวินโดยไม่รู้ตัว เรื่องเช่นนี้ต้องเป็นหมอทั้งหลายเอ่ยห้าม  

 

 

“ได้” คุณหนูจวินพยักหน้าพลางเอ่ย “อย่างไรก็เจ็บหนักเช่นนี้แล้ว เพิ่มอีกสักหน่อยไม่ต้องสนใจ”  

 

 

นี่ตรรกะบ้าบออะไร! แม่ทัพทั้งหลายหน้าดำ  

 

 

มีคำพูดของคุณหนูจวิน คนอื่นก็ไม่มีวาจาให้พูดได้แล้ว แม่ทัพคนสนิทหลายคนประคองเฉิงกั๋วกงเดินลงมายืนหน้าหลุมดินช้าๆ  

 

 

กลิ่นคาวเลือดกลิ่นกำมะถันปะปนยิ่งเพิ่มความเศร้าสลดขึ้นหลายส่วน  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองดูศพที่กองพะเนินในหลุมดิน ไม่เอ่ยวาจา เพียงมองเงียบงัน ตั้งอกตั้งใจกวาดสายตาผ่านทีละนิดๆ  

 

 

“เอาดาบมา” เขาเอ่ย  

 

 

ยังจะเอาดาบอีก?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายถอนหายใจในใจ แต่ก็ได้แต่หยิบเอามา  

 

 

เฉิงกั๋วกงกุมดาบ ส่งสัญญาณให้บรรดาแม่ทัพที่พยุงตนเองอยู่คลายมือออก เขาก้าวไปข้างหน้าโงนเงนเช่นนี้ ค้ำดาบไว้กับพื้นยันร่างกายยืนตรงช้าๆ  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายด้านหลังมองดูแผ่นหลังของเขาฉับพลันดวงตาก็ขัดเคืองอยู่บ้าง  

 

 

ภาพนี้คุ้นเคยนัก ทุกครั้งที่ออกรบเฉิงกั๋วกงล้วนจะยืนอยู่หน้ากองทัพเช่นนี้ มองดูทหารและแม่ทัพของเขา ส่วนทหารและแม่ทัพของเขาก็ล้วนมองดูเขาเช่นกัน  

 

 

“ตีกลอง” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

แม่ทัพคนหนึ่งรีบยกมือให้สัญญาณ กลองรบหนักหน่วงทั้งยังฮึกเหิมดังขึ้น ท่ามกลางความจริงจังอลังการเป็นพิเศษ  

 

 

เฉิงกั๋วกงยกดาบในมือขึ้นช้าๆ ชูขึ้นมา  

 

 

ออกรบ  

 

 

บรรดาแม่ทัพด้านหลังร่างรู้สึกเพียงลำคอแสบร้อน พวกเขาพากันชักดาบหอกชูขึ้นมา  

 

 

ดาบยาวชูสูง หอกยาวตั้งเรียงราย  

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าให้เซี่ยหย่ง  

 

 

ควบคู่กับเสียงกลอง นายทหารทั้งหลายรอบหลุมผลักดินหินเข้าไป ศพซ้อนเป็นชั้นๆ แถบแล้วแถบเล่าค่อยๆ ถูกฝังกลบ  

 

 

หลุมถูกกลบมิด ดินกองพูนสูง ก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าทับอยู่ด้านบน  

 

 

เฉิงกั๋วกงกลับไปนอนบนเกี้ยวอีกครั้ง  

 

 

สีหน้าของเขานิ่งสงบอยู่ตลอด ไม่มีความโศกเศร้าแล้วยิ่งไม่มีความโกรธแค้น  

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยพลางหลับตาลง  

 

 

“รอสักครู่” คุณหนูจวินกลับเอ่ยขึ้น เอ่ยเสียงเบากับเซี่ยหย่งและหลี่กั๋วรุ่ยหลายประโยค ทั้งสองคนขานตอบวิ่งเข้าไปในกระบวนทัพ  

 

 

ยังจะทำอะไรอีก?  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายมองดูอย่างไม่เข้าใจ เฉิงกั๋วกงก็ลืมตาเช่นกัน หลังจากนั้นก็มองเห็นนายทหารแถวแล้วแถวเล่าขี่ม้าออกมา ในมือทุกคนอุ้มธงผืนหนึ่ง  

 

 

ธง!  

 

 

เฉิงกั๋วกงลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอีกครั้ง มองดูนายทหารเหล่านี้ปักธงไว้บนกองหิน ท้ายที่สุดธงใหญ่ผืนหนึ่งก็ได้นายทหารสี่ห้าคนร่วมแรงกันปักไว้บนจุดสุงสุด  

 

 

ธงขอบน้ำเงินตรงกลางสีแดงยาวหกฉื่อรับลมปลิวสะบัดพรึบพรับ  

 

 

“รอวันหน้า ข้าจักมารับพวกเจ้ากลับบ้าน” เฉิงกั๋วกงมองดูธงใหญ่ที่ปลิวสะบัด ฉับพลันเอ่ยออกมา  

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม  

 

 

“หรือ รอวันหน้า ที่นี่ก็จะเป็นบ้านของพวกเจ้า พวกเราจะเอาที่นี่เซ่นไหว้” นางเอ่ย  

 

 

แม่ทัพทั้งหลายอดไม่ได้มองไปหานาง  

 

 

วาจานี่โอหังจริงๆ ความหมายก็คือจะยึดแผ่นดินของชาวจินมาเป็นของตนเอง  

 

 

เฉิงกั๋วกงมองไปหานาง ยิ้มแล้ว  

 

 

“ทหารดี” เขาพยักหน้าให้นาง เอ่ยอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินก็ผงกศีรษะแย้มยิ้มให้เขาด้วย  

 

 

……………………………………….  

 

 

ได้ยินทหารสอดแนมบอกว่าทหารโจวถอนค่ายจากไปแล้ว คนที่ค่ายจินฝั่งนี้ก็สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง  

 

 

ไม่ยินยอม หงุดหงิดแต่ก็มีความยินดีที่น่าละอายจางๆ เผยออกมาด้วย  

 

 

“ไม่สู้ไล่ตามโจมตี…” แม่ทัพจินกำยำคนหนึ่งตะโกน “…ปล่อยเฉิงกั๋วกงจูซานไปเช่นนี้แล้ว หลังจากนี้น่ากลัวว่าคงไม่มีโอกาสสังหารเขาให้ตายแล้ว พวกเรา…”  

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงระเบิดตูมอีกหลายครั้ง แผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอนอีกหน  

 

 

ในกระโจมค่ายตกสู่ความโกลาหลไปหมด  

 

 

“ของสิ่งนี้อีกแล้ว”  

 

 

“ชาวโจวบุกมาแล้วหรือ?”  

 

 

“ไม่ใช่บอกว่าไปแล้วรึ?”  

 

 

ทั้งค่ายทหารแตรสัญญาณกลองฆ้องดังพร้อมเพรียงเตรียมรับศึกอย่างระแวดระวัง ไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องไล่ตามโจมตีอีก  

 

 

มองดูเปลวไฟควันกำมะถันลอยขึ้นมา  

 

 

จ้าวฮั่นชิงพลันตบมือลงบนตัวม้า  

 

 

“เหลือสองลูก ให้พวกเจ้าฟังให้กระหึ่ม” นางเอ่ย  

 

 

พูดจบก็หันหัวม้า รถสัมภาระสองคันเคลื่อนตามนางไป  

 

 

ธงใหญ่อลังการของกองทัพใหญ่เบื้องหน้าปลิวสยายมุ่งลงใต้  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด