Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 68 เชิญถอดเกราะลงจากม้า

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 68 เชิญถอดเกราะลงจากม้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นายทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่ในกระบวนทัพทำอันใดไม่ถูก เทียบกับครั้งแรกที่ถูกขวางสับสนยิ่งกว่า  

 

 

ไม่มีเสียงดังตวาดด่าแล้วก็ไม่มีผลไม้เน่าขว้างปามา แต่สีหน้าเย็นชาดูแคลนบนหน้าคนทั้งหลายที่นั่งหลังตรงอยู่นั้นแล้วยังอักษรบนธงขาวที่โบกสะบัดอยู่นั่น ประหนึ่งฝ่ามือตบบนหน้าอย่างรุนแรง  

 

 

เจ็บปวดแสบร้อน ในหัวใจเริ่มลนลานไม่สงบ  

 

 

พวกเขาสังหารศัตรูเพื่อประเทศ พวกเขาปกป้องชายแดนคุ้มครองประชาชน พวกเขามองความตายดั่งที่พำนัก พวกเขาคิดว่ามากน้อยพวกเขาก็นับว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าคนหนึ่งนะ  

 

 

แต่ตอนนี้ดูท่า…หาใช่ไม่  

 

 

ทหารล่มชาติ  

 

 

พวกเขาเป็นคนล่มชาติหรือ?  

 

 

สีหน้าทหารทั้งหลายกลายเป็นหวาดหวั่นวิตก แล้วยังมีความหวาดกลัวที่ยากปิดบัง  

 

 

ไม่ว่าเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่อันตรายเท่าใด โจรจินที่โหดร้ายปานใดพวกเขาล้วนไม่มีความหวาดกลัวหวั่นเกรง ทว่าเวลานี้นาทีนี้เผชิญหน้ากับประชาชนมือเปล่าไร้อาวุธ บัณฑิตผู้ผอมบาง ในใจกลับเกิดความกลัว  

 

 

เหมือนเด็กน้อยที่พบครอบครัว ไม่ว่าอยู่ข้างนอกดุร้ายปานใด เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเด็กคนหนึ่งเสมอ  

 

 

คำตำหนิของครอบครัวเป็นสิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวที่สุด  

 

 

อาชาใต้ร่างคล้ายสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของพวกเขา ขยับสับสนด้วยความกังวล  

 

 

กระบวนทัพที่เดิมทีเป็นระเบียบเคร่งครัดกลายเป็นสับสนวุ่นวายขึ้นมาด้วย  

 

 

ความเปลี่ยนแปลงของบรรดานายทหารในกระบวนทัพ เหล่าแม่ทัพย่อมสัมผัสได้เช่นกัน สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งขรึมทั้งยังสับสนอยู่บ้าง  

 

 

พวกเขาเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ อยากมองดูเมืองหลวงอันรุ่งเรืองแห่งนี้ที่ตนปกป้อง แล้วก็อยากให้ประชาชนทั้งหลายมองดูความองอาจของพวกเขา คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าเมืองหลวงก็ถูกขัดขวางสองครั้งติดๆ เวลานี้ยังถูกตำหนิเช่นนี้อีก  

 

 

ที่แท้ทิ้งชีวิตเสี่ยงตาย ทำศึกสงครามสู้สุดชีวิตสิบปี ไม่รู้เสียพี่น้องไปเท่าไร กำลังพลบาดเจ็บไปเท่าไร ที่ทำล้วนเป็นความผิด ไม่มีความชอบกลับมีโทษ  

 

 

ที่แท้ในสายตาคนที่พวกเขาปกป้องเหล่านี้ พวกเขาไม่ใช่วีรบุรุษแต่เป็นอาชญากร  

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ควรมา  

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้ มาผิดไปแล้วหรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

กระบวนทัพกระจายสับสน กำลังพลหวาดหวั่น อำนาจพลันสลาย  

 

 

ส่วนนักเรียนกับบัณฑิตผอมบางเหล่านี้กลับยิ่งเคร่งขรึมน่าเกรงขาม  

 

 

พวกเขาสะบัดแขนเสื้อ จัดเสื้อผ้าและหมวก ก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า  

 

 

พวกเขาก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ บีบเข้ามาใกล้กระบวนทัพ  

 

 

นายทหารคนหนึ่งเพราะหวาดกลัวรั้งบังเหียนแน่นไป ผลจึงทำให้ม้าเข้าใจผิดคิดว่าให้ไปข้างหน้า พานายทหารคนนั้นพุ่งออกมา  

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ชาวบ้านรอบด้านร้องตกใจระลอกหนึ่ง  

 

 

“อา รีบหยุดเร็ว”  

 

 

“อย่าไปนะ”  

 

 

“ทหารเหล่านี้ตีคนฆ่าคนได้นะ”  

 

 

“เมื่อครู่ด้านนั้นก็ตีคนที่ขวางทางไปแล้ว”  

 

 

เสียงตะโกนเอะอะดังขึ้น นายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ก็สีหน้าวิตกด้วย  

 

 

แต่บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายเหล่านี้สีหน้านิ่งสงบ สายตาแหลมคม เผชิญหน้ากับทหารหาญแม่ทัพกล้าที่สวมเกราะถืออาวุธเล่าลือว่าฝ่าออกมาจากภูเขาเลือดทะเลเลือดเหล่านี้กลับไม่หวาดกลัวสักนิด  

 

 

“หากทำให้เฉิงกั๋วกงยอมรับผิดได้ พวกเรายินดีตาย”   

 

 

“พวกเรามอบใจให้แผ่นดิน มอบชีวิตให้ปวงประชา นำความสงบสุขสู่ยุคสมัย ไหนเลยกลัวตาย?”  

 

 

พวกเขาท่าทางเที่ยงธรรมเสียงทรงพลัง ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง  

 

 

บัณฑิตปัญญาชนเหล่านี้ผอมบาง แต่ชูมือยกเท้าแล้วเผยกลิ่นอายความทรงภูมิลึกล้ำออกมา หนึ่งอ่อนแอหนึ่งแข็งแกร่งผสานกลืนเข้าด้วยกันดึงดูดสายตาเป็นยิ่งนัก  

 

 

แม้คำพูดที่เอ่ยชาวบ้านรอบด้านฟังแล้วมึนๆ งงๆ แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการมองจนลุ่มหลงงมงาย  

 

 

“กลัวอะไร!”  

 

 

“ที่นี่คือใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ พวกเขากล้าฆ่าคนรึ?”  

 

 

ในหมู่คนฉับพลันเสียงตะโกนวุ่นวายดังขึ้น  

 

 

ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายโกลาหลขึ้นมาตามด้วย  

 

 

“พวกเขาวางท่าอะไร! มีอะไรภาคภูมิใจ!”  

 

 

“ไม่ใช่ชนะสงครามสักหน่อย!”  

 

 

“สงครามเพราะเจรจาสงบศึกถึงหยุดลง”  

 

 

“มีความสามารถพวกเขาทำไมไม่ฆ่าชาวจินให้หมด กลับมาอวดอำนาจอะไร”  

 

 

“ที่นี่ก็ไม่ใช่แดนเหนือ ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะวางท่าอวดเบ่ง”  

 

 

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นในหมู่คนยิ่งดังขึ้นทุกที  

 

 

นายทหารไม่น้อยมองไปในฝูงชนโดยไม่รู้ตัว คล้ายอยากมองว่าใครกำลังตะโกน แต่เสียงดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ต่อเนื่องไม่ขาด พวกเขามองไม่เห็น ตรงกันข้ามกลับทำให้สายตาของพวกเขากลายเป็นพร่ามัว ค่อยๆ รู้สึกว่าทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเสียงตะโกน คนทุกคนกำลังตะโกนอยู่  

 

 

นักเรียนบัณฑิตทั้งหลายเข้ามาทีละก้าวๆ  

 

 

นายทหารไม่น้อยรั้งบังเหียน เริ่มถอยหลัง  

 

 

มีคนถอยหลัง แล้วก็มีคนยืนนิ่งไม่ขยับ แต่นายทหารที่ยืนนิ่งกลับไม่อาจรั้งความสับสนของกระบวนทัพไว้ได้ อำนาจสลายไปแล้ว  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด”  

 

 

“พวกเจ้าถอดเกราะ”  

 

 

บัณฑิตที่นำหน้าสีหน้าเขร่งขรึมตะโกน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด ถอดเกราะ” นักเรียนและบัณฑิตทั้งหลายข้างกายและหลังร่างเขาตะโกนตามกัน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด ถอดเกราะ” ชาวบ้านรอบด้านก็ตะโกนวุ่นวายดังขึ้นด้วย  

 

 

หาใช่ชาวบ้านทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้ คนที่อายุมากเหล่านั้นหวาดหวั่นวิตกกับภาพยามนี้  

 

 

ทำไมเป็นเช่นนี้? ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ  

 

 

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น เฉิงกั๋วกงเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้กล้า” พวกเขาอธิบายกับคนข้างกาย  

 

 

แต่คนที่ถูกจุดความฮึกเหิมกลับคร้านจะสนใจพวกเขา ประสานเสียงตามอลหม่าน  

 

 

“วีรบุรุษอย่างไรเล่า?”  

 

 

“ฆ่าโจรจินเกลี้ยงหรือ?”  

 

 

“แดนเหนือยังเสียตั้งสามเมือง”  

 

 

“มองไม่ออกว่าเป็นวีรบุรุษอย่างไร”  

 

 

“อาศัยอะไรเอารางวัล เอาเงินของพวกเรา!”  

 

 

เสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน ความเคร่งขรึมก่อนหน้านี้สลายหายไม่เหลือ ฝูงชนสับสนวุ่นวายโถมเข้าใส่กระบวนทัพสี่เหลี่ยม ร้องเอะอะ ร้องโหวกเหวก ร้องเสียงประหลาด  

 

 

ยืนมองจากที่ไกลออกไป กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงนั้นประหนึ่งเรือลำหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำใหญ่ที่ลมแรงฝนกระหน่ำ  

 

 

เฉินชีกำมือแน่น กัดฟันกรอด  

 

 

“เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยคำหนึ่งแล้วหยุด “เวลานี้สักแดงเดียวข้าก็ไม่อยากโยนให้”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยืนอยู่บนรถม้ามองด้านนี้อยู่ด้วย  

 

 

“ใช้ชีวิตสงบสุขมานานเกินแล้ว” เขาเอ่ยท่าทางเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “ยี่สิบปีแล้ว ชาวจินควบอาชาลงใต้ เมืองแตกแคว้นล่ม วันเวลาที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนล้วนลืมสิ้นแล้ว แดนเหนือก็ไกลเกินไปแล้ว ความโหดร้ายของชาวจินอะไร ความน่าสลดของสงครามอันใด สำหรับทุกคนแล้วเป็นเพียงอักษรไม่กี้ร้อยตัวบนสาส์นแจ้งข่าว เรื่องคุยเล่นสัพเพเหระในโรงน้ำชากับเหลาสุราหลังกินอิ่มพักเหนื่อย”  

 

 

เฉินชีสูดลมหายใจลึก  

 

 

“นี่ก็คือปลายทางของวีรบุรุษผู้กล้าหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น “นี่ก็คือวิหคสิ้นคันศรไร้ประโยชน์รึ? ถึงขั้นคันศรยังมีความผิดอีก เพราะมันทำร้ายคนได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้คนที่ทำร้ายคือศัตรู?”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มแล้ว  

 

 

“ก็ยังไม่จบหรอก” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงยังไม่ออกหน้าพูดเลย”  

 

 

ถูก ตอนนี้ล้วนเป็นนักเรียนกับบัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้นโวยวายพูด เฉิงกั๋วกงยังไม่ออกมาเลย  

 

 

ขอแค่เฉิงกั๋วกงออกมาพูดอธิบายโต้แย้ง ทุกคนก็คงเข้าใจแล้ว  

 

 

เฉินชีกำมือแน่นอยู่บนหลังคารถไม่สนว่าที่สูงไม่มั่นคงเขย่งสุดปลายเท้า  

 

 

เฉิงกั๋วกงรีบออกมาเถอะ  

 

 

……………………………………….  

 

 

หน้าพระราชวังเสียงดนตรีลอยละล่อง ขุนนางนับไม่ถ้วนจรดศีรษะคำนับพร้อมเพรียง  

 

 

“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”  

 

 

ฮ่องเต้บนหอเหนือประตูวังสูงลิ่วประทับบนพระที่นั่ง  

 

 

ข้างล่างประตูวังขุนนางนับร้อยจรดศีรษะคำนับ การเคลื่อนไหวแม้เป็นระเบียบสู้เหล่าทหารเช่นนั้นไม่ได้ แต่ก็มีความขึงขังที่ต่างออกไปอยู่  

 

 

ชะเง้อมองไกลออกไปอีก ชาวบ้านที่รวมตัวอยู่นอกถนนเสด็จพระราชดำเนินมากมายมหาศาล แม้มองเห็นฮ่องเต้ด้านนี้เป็นเพียงเงาร่างไม่ชัดร่างหนึ่งก็เพียงพอให้พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มกึกก้อง  

 

 

มองไปยังตึกรามบ้านช่องห้องหอเรียงรายเป็นทิวแถวมากมายถี่ยิบมองไปไม่มีสุดปลาย  

 

 

เสียงโห่ร้องกระหึ่มสะเทือนที่กว้างรอบด้าน ภาพความรุ่งเรืองประหนึ่งแดนเซียน  

 

 

นี่คือประชาชนของเขา นี่คือแคว้นของเขา นี่คือแผ่นดินของเขา ทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาจริงๆ  

 

 

บนพระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏรอยยิ้ม ยกมือส่งสัญญาณ  

 

 

เสียงสูงกังวานของขันทีทั้งหลายลอยล่องออกไป  

 

 

“ลุกขึ้นได้”  

 

 

หวงเฉิงได้ขุนนางผู้น้อยด้านข้างประคองร่างขึ้นมาอย่างระมัดระวัง อาศัยเสียงดนตรีเสียงตะโกนสรรเสริญกลบ การพูดคุยเสียงเบาของพวกเขา  

 

 

“…ให้เขาออกมา? แน่นอนหากเขาออกมา เฉิงกั๋วกงผู้สง่างามถูกบีบให้ไม่อาจไม่ออกมาโต้ตอบต่อหน้าผู้คนได้ นี่ก็เสียหน้าหนักหนาแล้ว” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นหากเขาโน้มน้าวคนเหล่านั้นได้เล่าขอรับ?” ขุนนางด้านข้างทาทางวิตกอยู่บ้าง “อย่างไรชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงก็โด่งดัง…”  

 

 

หวงเฉิงหัวเราะแล้ว  

 

 

“โน้มน้าว ก็พูดไปสิ เขาคนเดียวปากเดียวกับคนหลายร้อยอ้าปากหลายร้อยปาก นั่นย่อมต้องพูดช้าๆ แล้ว” เขาเอ่ยพลางเงยสายตามองเบื้องหน้า ขันทีกำลังทำท่าเชิญมาทางเขา  

 

 

นี่คือฮ่องเต้เชิญขุนนางคนสำคัญจำนวนหนึ่งขึ้นหอไปหา  

 

 

นี่ย่อมไม่ใช่เกียรติยศที่ใครๆ จะมีได้ มีเพียงขุนนางที่วางพระทัยใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะได้สัมผัส  

 

 

“ชาวบ้านมีคำกล่าวหนึ่งว่าไกลหอมใกล้เหม็น แต่ในราชสำนักย่อมไม่เหมาะจะใช้” เขาอมยิ้มเอ่ยพลางเดินโขยกเขยกขึ้นหอเหนือประตูวังไป  

 

 

หลังร่างไกลๆ เสียงโห่ร้องสรรเสริญของชาวบ้านยังคงไม่คลาย  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 68 เชิญถอดเกราะลงจากม้า

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 68 เชิญถอดเกราะลงจากม้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นายทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่ในกระบวนทัพทำอันใดไม่ถูก เทียบกับครั้งแรกที่ถูกขวางสับสนยิ่งกว่า  

 

 

ไม่มีเสียงดังตวาดด่าแล้วก็ไม่มีผลไม้เน่าขว้างปามา แต่สีหน้าเย็นชาดูแคลนบนหน้าคนทั้งหลายที่นั่งหลังตรงอยู่นั้นแล้วยังอักษรบนธงขาวที่โบกสะบัดอยู่นั่น ประหนึ่งฝ่ามือตบบนหน้าอย่างรุนแรง  

 

 

เจ็บปวดแสบร้อน ในหัวใจเริ่มลนลานไม่สงบ  

 

 

พวกเขาสังหารศัตรูเพื่อประเทศ พวกเขาปกป้องชายแดนคุ้มครองประชาชน พวกเขามองความตายดั่งที่พำนัก พวกเขาคิดว่ามากน้อยพวกเขาก็นับว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าคนหนึ่งนะ  

 

 

แต่ตอนนี้ดูท่า…หาใช่ไม่  

 

 

ทหารล่มชาติ  

 

 

พวกเขาเป็นคนล่มชาติหรือ?  

 

 

สีหน้าทหารทั้งหลายกลายเป็นหวาดหวั่นวิตก แล้วยังมีความหวาดกลัวที่ยากปิดบัง  

 

 

ไม่ว่าเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่อันตรายเท่าใด โจรจินที่โหดร้ายปานใดพวกเขาล้วนไม่มีความหวาดกลัวหวั่นเกรง ทว่าเวลานี้นาทีนี้เผชิญหน้ากับประชาชนมือเปล่าไร้อาวุธ บัณฑิตผู้ผอมบาง ในใจกลับเกิดความกลัว  

 

 

เหมือนเด็กน้อยที่พบครอบครัว ไม่ว่าอยู่ข้างนอกดุร้ายปานใด เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเด็กคนหนึ่งเสมอ  

 

 

คำตำหนิของครอบครัวเป็นสิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวที่สุด  

 

 

อาชาใต้ร่างคล้ายสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของพวกเขา ขยับสับสนด้วยความกังวล  

 

 

กระบวนทัพที่เดิมทีเป็นระเบียบเคร่งครัดกลายเป็นสับสนวุ่นวายขึ้นมาด้วย  

 

 

ความเปลี่ยนแปลงของบรรดานายทหารในกระบวนทัพ เหล่าแม่ทัพย่อมสัมผัสได้เช่นกัน สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งขรึมทั้งยังสับสนอยู่บ้าง  

 

 

พวกเขาเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ อยากมองดูเมืองหลวงอันรุ่งเรืองแห่งนี้ที่ตนปกป้อง แล้วก็อยากให้ประชาชนทั้งหลายมองดูความองอาจของพวกเขา คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าเมืองหลวงก็ถูกขัดขวางสองครั้งติดๆ เวลานี้ยังถูกตำหนิเช่นนี้อีก  

 

 

ที่แท้ทิ้งชีวิตเสี่ยงตาย ทำศึกสงครามสู้สุดชีวิตสิบปี ไม่รู้เสียพี่น้องไปเท่าไร กำลังพลบาดเจ็บไปเท่าไร ที่ทำล้วนเป็นความผิด ไม่มีความชอบกลับมีโทษ  

 

 

ที่แท้ในสายตาคนที่พวกเขาปกป้องเหล่านี้ พวกเขาไม่ใช่วีรบุรุษแต่เป็นอาชญากร  

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ควรมา  

 

 

เมืองหลวงแห่งนี้ มาผิดไปแล้วหรือ?  

 

 

……………………………………….  

 

 

กระบวนทัพกระจายสับสน กำลังพลหวาดหวั่น อำนาจพลันสลาย  

 

 

ส่วนนักเรียนกับบัณฑิตผอมบางเหล่านี้กลับยิ่งเคร่งขรึมน่าเกรงขาม  

 

 

พวกเขาสะบัดแขนเสื้อ จัดเสื้อผ้าและหมวก ก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า  

 

 

พวกเขาก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ บีบเข้ามาใกล้กระบวนทัพ  

 

 

นายทหารคนหนึ่งเพราะหวาดกลัวรั้งบังเหียนแน่นไป ผลจึงทำให้ม้าเข้าใจผิดคิดว่าให้ไปข้างหน้า พานายทหารคนนั้นพุ่งออกมา  

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ชาวบ้านรอบด้านร้องตกใจระลอกหนึ่ง  

 

 

“อา รีบหยุดเร็ว”  

 

 

“อย่าไปนะ”  

 

 

“ทหารเหล่านี้ตีคนฆ่าคนได้นะ”  

 

 

“เมื่อครู่ด้านนั้นก็ตีคนที่ขวางทางไปแล้ว”  

 

 

เสียงตะโกนเอะอะดังขึ้น นายทหารที่ทำหน้าที่อยู่ก็สีหน้าวิตกด้วย  

 

 

แต่บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายเหล่านี้สีหน้านิ่งสงบ สายตาแหลมคม เผชิญหน้ากับทหารหาญแม่ทัพกล้าที่สวมเกราะถืออาวุธเล่าลือว่าฝ่าออกมาจากภูเขาเลือดทะเลเลือดเหล่านี้กลับไม่หวาดกลัวสักนิด  

 

 

“หากทำให้เฉิงกั๋วกงยอมรับผิดได้ พวกเรายินดีตาย”   

 

 

“พวกเรามอบใจให้แผ่นดิน มอบชีวิตให้ปวงประชา นำความสงบสุขสู่ยุคสมัย ไหนเลยกลัวตาย?”  

 

 

พวกเขาท่าทางเที่ยงธรรมเสียงทรงพลัง ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง  

 

 

บัณฑิตปัญญาชนเหล่านี้ผอมบาง แต่ชูมือยกเท้าแล้วเผยกลิ่นอายความทรงภูมิลึกล้ำออกมา หนึ่งอ่อนแอหนึ่งแข็งแกร่งผสานกลืนเข้าด้วยกันดึงดูดสายตาเป็นยิ่งนัก  

 

 

แม้คำพูดที่เอ่ยชาวบ้านรอบด้านฟังแล้วมึนๆ งงๆ แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการมองจนลุ่มหลงงมงาย  

 

 

“กลัวอะไร!”  

 

 

“ที่นี่คือใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ ฟ้าแจ้งกลางวันแสกๆ พวกเขากล้าฆ่าคนรึ?”  

 

 

ในหมู่คนฉับพลันเสียงตะโกนวุ่นวายดังขึ้น  

 

 

ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายโกลาหลขึ้นมาตามด้วย  

 

 

“พวกเขาวางท่าอะไร! มีอะไรภาคภูมิใจ!”  

 

 

“ไม่ใช่ชนะสงครามสักหน่อย!”  

 

 

“สงครามเพราะเจรจาสงบศึกถึงหยุดลง”  

 

 

“มีความสามารถพวกเขาทำไมไม่ฆ่าชาวจินให้หมด กลับมาอวดอำนาจอะไร”  

 

 

“ที่นี่ก็ไม่ใช่แดนเหนือ ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะวางท่าอวดเบ่ง”  

 

 

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นในหมู่คนยิ่งดังขึ้นทุกที  

 

 

นายทหารไม่น้อยมองไปในฝูงชนโดยไม่รู้ตัว คล้ายอยากมองว่าใครกำลังตะโกน แต่เสียงดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ต่อเนื่องไม่ขาด พวกเขามองไม่เห็น ตรงกันข้ามกลับทำให้สายตาของพวกเขากลายเป็นพร่ามัว ค่อยๆ รู้สึกว่าทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเสียงตะโกน คนทุกคนกำลังตะโกนอยู่  

 

 

นักเรียนบัณฑิตทั้งหลายเข้ามาทีละก้าวๆ  

 

 

นายทหารไม่น้อยรั้งบังเหียน เริ่มถอยหลัง  

 

 

มีคนถอยหลัง แล้วก็มีคนยืนนิ่งไม่ขยับ แต่นายทหารที่ยืนนิ่งกลับไม่อาจรั้งความสับสนของกระบวนทัพไว้ได้ อำนาจสลายไปแล้ว  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด”  

 

 

“พวกเจ้าถอดเกราะ”  

 

 

บัณฑิตที่นำหน้าสีหน้าเขร่งขรึมตะโกน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด ถอดเกราะ” นักเรียนและบัณฑิตทั้งหลายข้างกายและหลังร่างเขาตะโกนตามกัน  

 

 

“เฉิงกั๋วกงยอมรับผิด ถอดเกราะ” ชาวบ้านรอบด้านก็ตะโกนวุ่นวายดังขึ้นด้วย  

 

 

หาใช่ชาวบ้านทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้ คนที่อายุมากเหล่านั้นหวาดหวั่นวิตกกับภาพยามนี้  

 

 

ทำไมเป็นเช่นนี้? ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ  

 

 

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น เฉิงกั๋วกงเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้กล้า” พวกเขาอธิบายกับคนข้างกาย  

 

 

แต่คนที่ถูกจุดความฮึกเหิมกลับคร้านจะสนใจพวกเขา ประสานเสียงตามอลหม่าน  

 

 

“วีรบุรุษอย่างไรเล่า?”  

 

 

“ฆ่าโจรจินเกลี้ยงหรือ?”  

 

 

“แดนเหนือยังเสียตั้งสามเมือง”  

 

 

“มองไม่ออกว่าเป็นวีรบุรุษอย่างไร”  

 

 

“อาศัยอะไรเอารางวัล เอาเงินของพวกเรา!”  

 

 

เสียงตะโกนดังขึ้นรอบด้าน ความเคร่งขรึมก่อนหน้านี้สลายหายไม่เหลือ ฝูงชนสับสนวุ่นวายโถมเข้าใส่กระบวนทัพสี่เหลี่ยม ร้องเอะอะ ร้องโหวกเหวก ร้องเสียงประหลาด  

 

 

ยืนมองจากที่ไกลออกไป กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงนั้นประหนึ่งเรือลำหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำใหญ่ที่ลมแรงฝนกระหน่ำ  

 

 

เฉินชีกำมือแน่น กัดฟันกรอด  

 

 

“เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยคำหนึ่งแล้วหยุด “เวลานี้สักแดงเดียวข้าก็ไม่อยากโยนให้”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยืนอยู่บนรถม้ามองด้านนี้อยู่ด้วย  

 

 

“ใช้ชีวิตสงบสุขมานานเกินแล้ว” เขาเอ่ยท่าทางเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “ยี่สิบปีแล้ว ชาวจินควบอาชาลงใต้ เมืองแตกแคว้นล่ม วันเวลาที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนล้วนลืมสิ้นแล้ว แดนเหนือก็ไกลเกินไปแล้ว ความโหดร้ายของชาวจินอะไร ความน่าสลดของสงครามอันใด สำหรับทุกคนแล้วเป็นเพียงอักษรไม่กี้ร้อยตัวบนสาส์นแจ้งข่าว เรื่องคุยเล่นสัพเพเหระในโรงน้ำชากับเหลาสุราหลังกินอิ่มพักเหนื่อย”  

 

 

เฉินชีสูดลมหายใจลึก  

 

 

“นี่ก็คือปลายทางของวีรบุรุษผู้กล้าหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น “นี่ก็คือวิหคสิ้นคันศรไร้ประโยชน์รึ? ถึงขั้นคันศรยังมีความผิดอีก เพราะมันทำร้ายคนได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้คนที่ทำร้ายคือศัตรู?”  

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มแล้ว  

 

 

“ก็ยังไม่จบหรอก” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงยังไม่ออกหน้าพูดเลย”  

 

 

ถูก ตอนนี้ล้วนเป็นนักเรียนกับบัณฑิตทั้งหลายเหล่านั้นโวยวายพูด เฉิงกั๋วกงยังไม่ออกมาเลย  

 

 

ขอแค่เฉิงกั๋วกงออกมาพูดอธิบายโต้แย้ง ทุกคนก็คงเข้าใจแล้ว  

 

 

เฉินชีกำมือแน่นอยู่บนหลังคารถไม่สนว่าที่สูงไม่มั่นคงเขย่งสุดปลายเท้า  

 

 

เฉิงกั๋วกงรีบออกมาเถอะ  

 

 

……………………………………….  

 

 

หน้าพระราชวังเสียงดนตรีลอยละล่อง ขุนนางนับไม่ถ้วนจรดศีรษะคำนับพร้อมเพรียง  

 

 

“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”  

 

 

ฮ่องเต้บนหอเหนือประตูวังสูงลิ่วประทับบนพระที่นั่ง  

 

 

ข้างล่างประตูวังขุนนางนับร้อยจรดศีรษะคำนับ การเคลื่อนไหวแม้เป็นระเบียบสู้เหล่าทหารเช่นนั้นไม่ได้ แต่ก็มีความขึงขังที่ต่างออกไปอยู่  

 

 

ชะเง้อมองไกลออกไปอีก ชาวบ้านที่รวมตัวอยู่นอกถนนเสด็จพระราชดำเนินมากมายมหาศาล แม้มองเห็นฮ่องเต้ด้านนี้เป็นเพียงเงาร่างไม่ชัดร่างหนึ่งก็เพียงพอให้พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มกึกก้อง  

 

 

มองไปยังตึกรามบ้านช่องห้องหอเรียงรายเป็นทิวแถวมากมายถี่ยิบมองไปไม่มีสุดปลาย  

 

 

เสียงโห่ร้องกระหึ่มสะเทือนที่กว้างรอบด้าน ภาพความรุ่งเรืองประหนึ่งแดนเซียน  

 

 

นี่คือประชาชนของเขา นี่คือแคว้นของเขา นี่คือแผ่นดินของเขา ทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาจริงๆ  

 

 

บนพระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏรอยยิ้ม ยกมือส่งสัญญาณ  

 

 

เสียงสูงกังวานของขันทีทั้งหลายลอยล่องออกไป  

 

 

“ลุกขึ้นได้”  

 

 

หวงเฉิงได้ขุนนางผู้น้อยด้านข้างประคองร่างขึ้นมาอย่างระมัดระวัง อาศัยเสียงดนตรีเสียงตะโกนสรรเสริญกลบ การพูดคุยเสียงเบาของพวกเขา  

 

 

“…ให้เขาออกมา? แน่นอนหากเขาออกมา เฉิงกั๋วกงผู้สง่างามถูกบีบให้ไม่อาจไม่ออกมาโต้ตอบต่อหน้าผู้คนได้ นี่ก็เสียหน้าหนักหนาแล้ว” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ยเสียงเบา  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นหากเขาโน้มน้าวคนเหล่านั้นได้เล่าขอรับ?” ขุนนางด้านข้างทาทางวิตกอยู่บ้าง “อย่างไรชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงก็โด่งดัง…”  

 

 

หวงเฉิงหัวเราะแล้ว  

 

 

“โน้มน้าว ก็พูดไปสิ เขาคนเดียวปากเดียวกับคนหลายร้อยอ้าปากหลายร้อยปาก นั่นย่อมต้องพูดช้าๆ แล้ว” เขาเอ่ยพลางเงยสายตามองเบื้องหน้า ขันทีกำลังทำท่าเชิญมาทางเขา  

 

 

นี่คือฮ่องเต้เชิญขุนนางคนสำคัญจำนวนหนึ่งขึ้นหอไปหา  

 

 

นี่ย่อมไม่ใช่เกียรติยศที่ใครๆ จะมีได้ มีเพียงขุนนางที่วางพระทัยใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะได้สัมผัส  

 

 

“ชาวบ้านมีคำกล่าวหนึ่งว่าไกลหอมใกล้เหม็น แต่ในราชสำนักย่อมไม่เหมาะจะใช้” เขาอมยิ้มเอ่ยพลางเดินโขยกเขยกขึ้นหอเหนือประตูวังไป  

 

 

หลังร่างไกลๆ เสียงโห่ร้องสรรเสริญของชาวบ้านยังคงไม่คลาย  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+