Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาค 2 บทที่ 159 กลับบ้าน บ้านอยู่ไหน

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 2 บทที่ 159 กลับบ้าน บ้านอยู่ไหน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 159 กลับบ้าน บ้านอยู่ไหน

มือสังหารนี่ตลอดทางไม่ออกมาเข่นฆ่า ถึงกับมาหน้าประตูจวนสกุลลู่ซุ่มซ่อน

ใจกล้ามากจริงๆ เดิมพันหมดหน้าตักพอตัวด้วย

ม้าที่ต้องศรอาละวาดแล้ว บรรดาองครักษ์เสื้อแพรปกป้องลู่อวิ๋นฉีถอยออกไป ในเวลาเดียวกันคนสองคนก็โบกดาบอย่างพร้อมเพรียง สังหารม้าที่อาละวาดทันที

พร้อมกับในเวลานี้ในความมืดเสียงร้องเจ็บปวดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากนั้นเงียบหาย

หน้าประตูฟื้นกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ไม่มีพวกที่รุมล้อมเข้ามาตาย แล้วไม่มีลูกศรวิ่งเข้ามาอีก

“ใต้เท้า แค่คนเดียว” บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่โจมตีสังหารกลับมา ลากศพไร้ศีษะร่างหนึ่งกลับมารายงาน

ศพถูกดาบรุมฟันจนไม่เหลือสภาพ

ไม่ต้องยืนยันก็ตายจนไม่อาจตายได้แล้ว ย่อมไม่นำมาต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี

ลู่อวิ๋นฉีมองก็ไม่มองศพบนพื้น โงนเงนจะเดินเข้าประตูบ้าน ไกลออกไปความวุ่นวายอีกพักหนึ่งเกิดขึ้นอีก

นั่นเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ซุ่มซ่อนอยู่ในที่ลับค้นพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

บรรดาองครักษ์เสื้อแพรฝั่งนี้ก็เคลื่อนไหวอีกครั้งทันที ในเวลาเดียวกันองครักษืเสื้อแพรคนหนึ่งก็ก้าวไวๆ ไปยืนข้างกายลู่อวิ๋นฉี จะยื่นมือพยุงหรือยามจำเป็นใช้ตนต่างโล่มนุษย์

นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ทุกคนล้วนคุ้นชิน

มือขององครักษ์เสื้อแพรคนั้นกำลังจะพยุงลู่อวิ๋นฉีที่ร่างกายไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้เองในมือของเขาฉับพลันมีดาบสั้นเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แสงวาววับแทงตรงเข้าไปที่หัวใจของลู่อวิ๋นฉี

ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้เป็นเรื่องพริบตาเดียว บรรดาองครักษ์เสื้อแพรรอบด้านมองเห็นเข้าก็ขยับไม่ทันแล้ว

“ใต้เท้า!”

เสียงอุทานตกใจดังขึ้นรอบด้าน แต่นาทีต่อมาไม่ได้เห็นลู่อวิ๋นฉีถูกแทงล้มกับพื้น

ลู่อวิ๋นฉียืนตรงมั่นคง ดาบสั้นนั่นหยุดอยู่หน้าร่างของเขา ชิดกับเสื้อผ้าของเขาแต่เข้ามาไม่ได้อีกสักก้าว

ลำคอขององครักษ์เสื้อแพรคนนี้ถูกลู่อวิ๋นฉีมือเดียวบีบไว้

ร่างกายกำยำถูกลู่อวิ๋นฉียกขึ้นมาทั้งอย่างนั้น มือที่บีบลำคอเขาราวกับคีมเหล็ก พริบตาทำให้สีหน้าคนผู้นี้เขียวคล้ำส่งเสียงอึกอักออกมา

ความทรมานของการขาดลมหายใจไม่ได้ดำเนินต่อไปยาวนานนัก อีกมือหนึ่งของลู่อวิ๋นฉียื่นมากดศีรษะเขาสะบัดลงพื้นอย่างแรง

องครักษ์เสื้อแพรคนนี้เหมือนกับถุงกระสอบขาดๆ ร่วงลงบนพื้น คนทั้งร่างไม่ร้องสักแอะก็ตายสนิทไม่ขยับแล้ว

ลำคอผิดรูป ปากจมูกเลือดพุ่งออกมาย้อมผืนดิน สาดไปถึงเท้าของลู่อวิ๋นฉีด้วย

เห็นได้ว่าหนึ่งบิด หนึ่งทุ่มนี้กำลังมากเพียงใด

เพราะลู่อวิ๋นฉีน้อยนักจะออกจากบ้านรวมถึงเวลาออกจากบ้านมักจะมีองครักษ์เสื้อแพรนับไม่ถ้วนรุมล้อม ทุกคนล้วนคิดว่าเขาอ่อนแอดังนั้นถึงป้องกันเช่นนี้ แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้น

ไม่ว่าด้านหน้ามีปราการปกป้องมากเท่าใด ท้ายที่สุดปราการที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเขาเอง ฝากความหวังไว้ที่ผู้อื่นมักจะพึ่งไม่ได้เกินไป

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรล้อมเข้ามา หนึ่งในนั้นมองคนบนพื้น

“ไม่ใช่คนของพวกเรา” เขาเอ่ย คุกเข่าหน้าลู่อวิ๋นฉี “ผู้น้อยทำงานพลาดให้คนปะปนเข้ามาได้”

ลู่อวิ๋นฉีมองเขา ยื่นมือหยิบดาบปักวสันต์ในมือเขา ยกมือขึ้นฟันลงไป

องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นร่างกายแข็งทื่อ แต่กลับนิ่งไม่ขยับ จิตใจแน่วแน่ก้าวเท้าหาความตาย

ลมจากดาบแล่นผ่านร่างเขาไป ตกใส่บนร่างคนตายบนพื้น

นี่เป็นวิธีฟันที่ไม่มีแบบแผนใดๆ ไม่เหมือนคนฝึกดาบคนหนึ่ง แต่เหมือนคนฆ่าสัตว์ที่แผงเนื้อคนหนึ่ง

เผชิญหน้ากับสุกรตายรวมถึงศพที่ไม่อาจต่อต้าน ความเอาแต่ใจดุร้ายสาดออกมา เวลาครู่เดียวคนตายบนพื้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงกลายเป็นกองเลือดเนื้อแหลกเหลวกองหนึ่ง

กลิ่นคาวเลือดกระจายท่ามกลางราตรี เข้มข้นทั้งน่าสะพรึง

ลู่อวิ๋นฉีทิ้งดาบในมือ สีหน้ายังคงนิ่งสนิท ราวกับตรงหน้าเป็นเพียงเนื้อหมูสับกองหนึ่ง

“ข้าแค่จะกลับบ้าน ข้าจะกลับบ้าน กล้าขวางทางข้า” เขาเอ่ย พูดจบก็พาร่างเต็มไปด้วยเลือดเดินเข้าไปในบ้าน

หญิงรับใช้สาวใช้ที่เข้ามารับพาสีหน้าหวาดกลัวมองเลือดเนื้อที่กระเซ็นทั่วทั้งร่างเขา

“เร็วรีบไปบอกองค์หญิง ใต้เท้ากลับมาแล้ว” พวกนางเอ่ยเสียงเบา

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่หน้าประตูเรือนขององค์หญิงจิ่วหลีแล้ว แต่ได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งก็หยุดอีกครั้งหมุนตัวจากไป

บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ที่ออกมารับในเรือนล้วนงงงันทันที สบตากันทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

ด้านในสวนดอกไม้ยามค่ำคืนแสงโคมสลัวไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเดินตัดผ่านไปในนั้นนานเท่าไรในที่สุดลู่อวิ๋นฉีก็เหน็ดเหนื่อยนั่งลงกับพื้น แหงนหน้าทิ้งตัวลงอีกครั้ง กางแขนกางขา มองท้องนภายามราตรีสีดำสนิท

“กลับบ้าน” เขาพึมพำเอ่ยประโยคหนึ่ง หลับตาลง

แสงตะวันสาดส่องผืนดินตามปกติ ทิวทัศน์งดงามความรุ่งเรืองครึกครื้นเห็นอยู่ทั่ว เมืองหลวงเดือนแปดยิ่งรุ่งเรืองคึกคัก

“ถึงแล้ว!” บนรถม้าคันหนึ่ง คนคุมรถชี้ด้านหน้าร้องตะโกนยินดี ปลดหมวกลงเผยใบหน้าอิดโรย ตื่นเต้นราวกับจะกระโดดโลดเต้น “ข้ามองเห็นเมืองหลวงแล้ว”

ฟางจิ่นซิ่วยื่นตัวออกมาจากในรถ ขมวดคิ้วมองเขา

“เฉินชี เจ้าอย่าทำขายหน้าคน นั่งดีๆ ได้แล้ว” นางเอ่ย ตนเองเงยสายตาขึ้นมองไปเหมือนกัน “จากตรงนี้ถึงเมืองหลวงยังต้องเดินทางอีกไกลแหนะ”

แบบนั้นเรอะ เฉินชีมองคนเดินทางสองข้างที่เผยรอยยิ้มมีเลศนัยทำนองว่าพวกบ้านนอกล้วนเป็นเช่นนี้ เขามองไปยังเมืองด้านหน้าอีกครั้ง ยิ้มเขินนั่งลงมา

“ดูแล้วเหมือนจะใกล้ แต่มองเห็นภูเขาวิ่งจนม้าตาย” เขาว่า

ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้เอ่ยวาจา แล้วก็ไม่ได้เข้าไปในรถอีก

“ในที่สุดก็ถึงได้สักที ไม่คิดว่าต้องเดินทางไกลขนากนี้ เหนื่อยตายแล้วจริงๆ” เฉินชีเอ่ยอีกครั้ง บิดขี้เกียจ ทุบหัวไหล่

“ใครให้เจ้าตามมาเล่า? ขี่ม้าก็ไม่เป็นอีก” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ถ้าข้าขี่ม้ามาเองก็ถึงนานแล้ว”

หลังตัดสินใจจากหยางเฉิงมาเมืองหลวง ฟางจิ่นซิ่วก็ไปบอกกับเฉินชีรวมถึงมารดาของเฉินชี อย่างไรช่วงนี้ก็ได้พวกเขาดูแล ไม่คิดว่าวันที่สองออกเดินทาง เฉินชีก็ตามมาด้วย

“พาข้าไปเมืองหลวงมั่งคั่งด้วยสิ” เขาเอ่ยขอร้อง “ได้ยินว่าคนขายน้ำตาลปั้นที่เมืองหลวงล้วนร่ำรวยได้”

ฟางจิ่นซิ่วหน้าด้านสู้เขาไม่ได้ ได้แต่ให้เขาตามมา

เพราะเฉินชีขี่ม้าไม่ได้ ฟางจิ่นซิ่วจึงได้แต่ซื้อรถม้าคันหนึ่ง สองคนเดินทางด้วนกัน วันคืนไม่หยุดครึ่งเดือนกว่าในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง

เมืองหลวงหรือ ฟางจิ่นซิ่งมองเมืองด้านหน้า นางก็ไม่คิดว่าจะมาถึงแล้วจริงๆ

บอกว่าจะมาก็มา จากหยางเฉิงถึงเมืองหลวงไกลขนาดนี้ นางก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อน

เจ้ามีปีก ต่อให้ร่วงลงบนดินก็บินได้

ฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจลึกยาว หยิบจดหมายมาอ่านทีหนึ่ง

ที่อยู่บนจดหมายจำขึ้นใจนานแล้ว

เดินทางหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนในที่สุดก็เข้ามาในเมืองหลวง ในนั้นรุ่งเรืองน่าตกตะลึงไม่อาจไล่เรียงพูดถึงทีละอย่าง เฉินชีจูงม้าลากรถ สอบถามถึงถนนนที่โรงหมอจิ่วหลิงตั้งอยู่ทันที แต่ไม่ใช่โรงหมอจิ่วหลิงโรงหมอแห่งนี้

“ไม่รู้ว่าโรงหมอของคุณหนูจวินเป็นอย่างไรบ้าง?” เฉินชีหันกลับมาเอ่ยถาม “นับดูแล้วเพิ่งเปิดมาไม่ถึงสองเดือน เมืองหลวงที่แห่งนี้ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้มีความช่วยเหลือของเต๋อเซิ่งชาง โรงหมออย่างไรก็อาศัยวิชาแพทย์หยัดยืน ไม่ใช่วันเดียวคืนเดียวจะสร้างชื่อได้ ถามถึงโรงหมอจิ่วหลิงต้องไม่มีสักกี่คนรู้แน่”

ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะ

“นั่นก็ไม่แน่” นางว่า “เจ้าไม่รู้จักนาง”

“ข้ารู้ คนหยางเฉิงล้วนรู้ คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดา” เฉินชีเอ่ย “แต่นั่นก็ลงแรงมากมายเงินมากมายถึงถูกคนล่วงรู้ ตอนนี้ยังไม่เร็วขนาดนั้นไหมเล่า”

ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะอีกครั้ง

เจ้าไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ความคิดประหลาดมากมายขนาดไหน

ครั้งไหนก็ทำเรื่องให้คนตะลึง

ขอเพียงนางคิด ย่อมทำได้

รถม้ามาถึงถนนที่โรงหมอจิ่วหลิงอยู่

“สถานที่นี้ค่อนข้างห่างไกลนะ” เฉินชีเอ่ย มองรอบด้านขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “น่าจะเปิดในที่คึกคักกว่านี่หน่อยไหม เต๋อเซิ่งชางไม่ใช่เช่าร้านไม่ไหวสักหน่อย”

ฟางจิ่นซิ่วสบถทีหนึ่ง

“จะเก็บไม่เก็บเจ้าไว้ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ทำตัวให้สมเป็นผู้ดูแลได้แล้ว” นางเอ่ย

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า จูงม้ามองซ้ายมองขวา ดวงตาเป็นประกายอย่างรวดเร็ว

“อยู่ที่นั่น” เขาเอ่ยดีอกดีใจ ยื่นมือชี้

ฟางจิ่นซิ่วมองข้ามไป ป้ายโรงหมอจิ่วหลิงปรากฏอยู่ในสายตา ในใจนางอดไม่ได้ร้อนวาบ

ระหกระเหินนานขนาดนี้ ในที่สุดก็ถึงบ้านแล้ว

ความคิดนี้แวบมานางก็สบถอีกครั้ง

ประหลาด ทำไมนางนับที่นี่เป็นบ้าน

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด