Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาค 2 บทที่ 187 มั่นคงรอต้นหนาว

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 2 บทที่ 187 มั่นคงรอต้นหนาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 187 มั่นคงรอต้นหนาว

ฤดูหนาวปีนี้เย็นกว่าปีก่อนเล็กน้อย เพิ่งเข้าเดือนสิบเอ็ดก็หิมะตกมาหนหนึ่งแล้ว ทำฟ้าดินพริบตาเย็นยะเยือก

คนเดินบนถนนห่อตัวในเสื้อนวมหดหัวเดินผ่าน ยามเดินผ่านร้านแห่งหนึ่ง มีคนเดินออกมาจากข้างใน เลิกม่านหนาขึ้น กลิ่นอายอุ่นร้อนพุ่งออกมาจากข้างใน ให้คนผ่านทางอดไม่ได้สั่นสะท้าน

ร้านที่ด้านในจุดไฟจนอุ่นขนาดนี้ย่อมมั่งคั่งใหญ่โต

คนผ่านทางเงยหน้ามองเห็นป้ายโรงหมอ โรงหมอจิ่วหลิง

นี่ย่อมไม่ใช่เพียงแค่มั่งคั่งใหญ่โต คนผ่านทางห่อไหล่อีกครั้ง ร้านแห่งนี้ถึงกับวางราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไว้

แม้ทุกคนไม่ได้เคยเห็นราชโองการกับตาอย่างไร แต่ก็เล่ากันเป็นตุเป็นตะแล้ว

“ตระกูลฟางเต่อเซิ่งชางนี่ไม่ธรรมดาเลย ตอนนั้นเคยช่วยอดีตฮ่องเต้ไว้”

“ราชโองการนั่นเขียนไว้ว่าดุจพระองค์เสด็จเอง”

“ตอนนั้นที่หยางเฉิง คุณหนูจวินคนนี้เพราะเก็บสมุนไพรหนึ่งคืนไม่กลับ ตระกูลฟางเร่งรีบตามหาคนหยิบราชโองการออกมา พลิกหยางเฉิงทุกซอกทุกมุมยันสว่าง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลก เก็บสมุนไพรไม่กลับบ้านตระกูลฟางยังใช้ราชโองการ นี่หัวหน้ากองพันลู่หวิดจะทำลายป้ายของโรงหมอจิ่วหลิง ตระกูลฟางไหนเลยจะยอม”

ยิ่งคนหยางเฉิงมาเมืองหลวง เรื่องเกี่ยวกับตระกูลฟางแห่งเต๋อเซิ่งชางก็ค่อยๆ แพร่ออกไป เรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นที่หยางเฉิงสำหรับคนเมืองหลวงผู้เห็นโลกมากว้างขวางเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้สนใจนัก แต่เพราะเดือนก่อนหัวหน้ากองพันลู่แห่งองครักษ์เสื้อแพรอยู่ดีๆ จะปลดป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิง ส่วนจูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงกลับปกป้อง หลังก่อเรื่องจนครึกโครม ทุกคนเดิมคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงตรงนี้ ตอนที่เตรียมตัวรับเรื่องสนุกใหญ่กว่าเดิม เรื่องกลับจบลงแล้ว

นี่ไม่สมกับนิสัยของหัวหน้ากองพันลู่เลยจริงๆ

แม้บุตรชายเฉิงกั๋วกงร้ายกาจมากไม่กลัวองครักษ์เสื้อแพร แต่หากองครักษ์เสื้อแพรคิดร้ายสักนิดกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ไม่ใช่ไม่มีวิธี

แต่ป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงก็แขวนไว้เหนือประตูมั่นคงเช่นนี้ เรื่องก่อนหน้านี้เหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่ถึงทำให้ชาวบ้านเมืองหลวงซักถามขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องของราชโองการก็แพร่ออกไปเช่นนี้เอง

เฉินชีซุกมือในแขนเสื้อยืนอยู่ในโถง มองฟางจิ่นซิ่วดีดลูกคิด

“ข้าเช่าบ้านเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย ท่าทางเริงร่าอยู่บ้าง “ปีใหม่จะรับแม่ข้ามา”

ห่างจากปีใหม่เพียงเดือนกว่าแล้ว เฉินชีต้องการกลับไปฉลองปีใหม่ ฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินเหมือนกันต่างวางแผนว่าไม่กลับหยางเฉิงแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นวันที่สามเดือนสามเจ้าไม่ใช่ยังต้องกลับไปอีกรอบ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย

เฉินชีตบเอวหัวเราะ

“เรื่องเช่นนี้ให้คนอื่นเก็บแทนข้าก็ได้แล้ว ชื่อเสียงหอจิ้นอวิ๋นยังไงก็ไม่เลว” เขาเอ่ย

นอกจากนี้วันนี้คนล้วนรู้ว่าเขาทำงานให้ตระกูลฟาง อย่างไรก็ต้องไว้หน้าสามส่วน

“ปีใหม่พวกเจ้าคิดจะฉลองอย่างไร? ฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงนี่ต้องคึกคักมากแน่สินะ?” เฉินชีเอ่ยขึ้นอย่างรื่นเริงอีกครั้ง “หรือว่าข้าจะพาแม่ข้าเร่งเดินทางมาข้ามปีที่เมืองหลวงด้วยเลยดี”

กำลังคุยเล่นกันอยู่ ผู้ชายคนหนึ่งก็เลิกม่านเข้ามา เฉินชีรีบทำหน้าเคร่งขรึม

“วันนี้ไม่ตรวจ” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน

คนมารีบพยักหน้า

“ข้าอยากซื้อยาสักชุด” เขาก็เอ่ยอย่างเกรงใจเช่นกัน พลางยื่นเทียบยาใบหนึ่งมา “นี่เป็นเทียบยาที่ออกกับท่านหมอซุนโรงหมอเป่าเหอ”

ท่านหมอของโรงหมอออกเทียบยาให้คนป่วยไปซื้อยาที่โรงหมออื่น ที่เมืองหลวงก็คงแค่โรงหมอจิ่วหลิงที่เดียวแล้ว

เฉินชีสีหน้าเรียบเฉยรับไป ไม่รอเขาไปเอายา คนที่มาก็ประคองส่งตั๋วเงินให้อย่างเคารพแล้ว

ฟางจิ่นซิ่วรับไป เฉินชีก็ส่งขวดใบน้อยใบหนึ่งให้คนที่มา คนที่มาดีอกดีใจจากไป

“ยานี่ไม่มากแล้ว” เฉินชีเอ่ย อาศัยผ้าม่านที่คนที่มาคนนั้นเลิกขึ้นมองออกไปข้างนอก “ไม่อยู่บ้านทำยา นางพาหลิ่วเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก? นี่ฟ้าก็ใกล้จะหิมะตกแล้ว”

“ไม่ใช่เที่ยวเล่น ทุกเดือนนางต้องออกไปเป็นหมอเร่ครั้งหนึ่ง” ฟางจิ่นซิ่วไม่แม้แต่จะเงยศีรษะเอ่ยขึ้น

“ไปแล้วก็ไม่รับตรวจ ที่จริงก็คือเดินถนนเที่ยวเล่น” เฉินชีพึมพำหนึ่งประโยค สำรวจดูตู้ยาต่อ คำนวนว่าควรทำยาชนิดใด ต้องซื้อสมุนไพรเท่าไร

“คุณหนู หิมะใกล้ตกแล้วเจ้าค่ะ” หลิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าเอ่ย

คุณหนูจวินชะงักฝีเท้ามองดูด้านหน้า

“พวกเราตัดผ่านที่นี่ไป”นางเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านหน้า

หลิ่วเอ๋อร์มองไปเห็นตรอกเส้นหนึ่ง นางเดิมทีก็ไม่จำทาง คุณหนูเดินถึงไหนนางเดินถึงนั่นก็ใช้ได้แล้ว จึงพยักหน้าขานรับทันที ยกธงเดินไปก่อน

ตรอกเส้นนี้เป็นทางแคบต่อให้ได้ยินเสียงกระดิ่งก็ไม่มีคนออกมาล้อมดู นายบ่าวสองคนตัดผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ยืนอยู่ปากตรอกหลิ่วเอ๋อร์ก็ร้องเอ๋

“คุณหนูนี่ไม่ใช่…” นางเอ่ย “สถานที่นั่น ที่องค์หญิงแต่งงานหรือเจ้าคะ?”

ใช่แล้ว ที่นี่แหละ นางมาเมืองหลวงเกือบครึ่งปีแล้ว ครั้งก่อนอาศัยพระราชพิธีสมรสขององค์หญิงปกปิดมาถึงที่แห่งนี้ ส่วนตอนนี้อาศัยบทหมอเร่ที่ชาวบ้านรู้กันดีแล้ว

คุณหนูจวินในใจสูดหายใจลึกทีหนึ่ง จะยกเท้าก้าวกลับอดไม่ได้ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา

ครั้งนี้คงไม่มีเรื่องกระมัง?

อย่างเช่นพี่สาวปิงเอ๋อร์อย่างนั้น ตนเองทดลองไปพบครั้งแรกไปไม่ถึง ครั้งที่สองไปก็ไม่พบพี่สาวปิงเอ๋อร์แล้ว

ความคิดแล่นผ่านไป นางยิ้มหยันอีกครั้ง เรื่องพี่สาวของปิงเอ๋อร์ย้ายไปอย่างประหลาดยืนยันแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน ยิ่งไม่มีทางเป็นตัวตนของตนชักนำให้เกิดความสงสัย น่าจะเป็นพี่สาวของปิงเอ๋อร์เองเดิมถูกสงสัยอยู่แล้ว

ที่เมืองหลวงนางควรรอบคอบ แต่ก็ไม่อาจระวังมากเกินไป เห็นเงาศรในถ้วยเป็นงู ระแวดระวังตรงกันข้ามจะเผยพิรุธเสียเอง

“ใช่แล้ว ไปเถอะ” คุณหนูจวินยิ้มให้หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “จากที่นี่ผ่านไปทางถนนด้านซ้ายมีร้านร้านหนึ่ง หม้อไฟขาแกะอร่อยมาก”

อากาศที่กำลังจะหิมะตกนี่กินสิ่งนี้เหมาะที่สุด หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้าดีใจ

นายบ่าวสองคนก้าวไปข้างหน้า

ถนนด้านนี้เดิมไม่มีคนผ่าน เวลานี้อากาศหนาวกำลังจะหิมะตกยิ่งแลดูเงียบเชียบวังเวง เสียงกระดิ่งที่สะท้อนก้องตามจังหวะก้าวเดินใสกระจ่างเป็นพิเศษ

เสียงนี้แม้ดังไปไม่ถึงเรือนด้านในลึกๆ แต่คนเฝ้าประตูด้านหลังประตูใหญ่ยังได้ยินชัดเจน

“นี่คือเสียงอะไร?” คนเฝ้าประตูคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ลุกขึ้นมองออกไปด้านนอกจากรอยแยกประตู สีหน้ายิ่งประหลาดใจ “นั่นมันหมอเร่ใช่ไหม? เป็นหมอเร่คนนั้นใช่ไหม?”

คำพูดนี้ทำให้คนอื่นล้อมเข้ามาด้วยทันที

หมอเร่คนนั้น สำหรับคนในจวนสกุลลู่ มีเพียงคนเดียว

“นี่ก็คือหมอเร่คนนั้นที่ทำให้ใต้เท้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟรึ?”

“ยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งอยู่เลย”

ทุกคนมองดูพลางซุบซิบเสียงเบาพลาง

“เพรานางรักษาผู้หญิงด้านนั้นย่ำแย่ ดังนั้นใต้เท้าถึงบันดาลโทสะเช่นนี้…” ยิ่งมีคนโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง

แต่คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกคนอื่นขัดหลายเสียง

“อย่าพูดเหลวไหล”

“เจ้าคันผิวเรอะ อะไรด้านนี้ด้านนั้น”

เสียงด่าทอของทุกคนดังต่อกัน แม้เรื่องลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิงมากมายข้างนอกคนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้ แต่ในจวนสกุลลู่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเอ่ยถึงได้

ครั้งก่อนมีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งไปพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าองค์หญิงจิ่วหลีจะเอาผลงาน วันที่สองสาวใช้คนนี้ก็หายไปแล้ว

ผู้คนด้านหลังประตูใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง

“แต่แม่นางน้อยคนนี้ถึงกับเป็นหมอเร่มาถึงด้านหน้าประตูพวกเราเชียว” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีก ทำลายความเงียบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเช่นกัน “นี่นางตั้งใจท้าทายหรือ?”

ไม่ใช่ได้รึ ถนนเส้นนี้แม้ยาวแต่กลับมีเพียงคฤหาสน์ของสองตระกูล หลังหนึ่งจวนสกุลลู่หลังหนึ่งวังไหวอ๋อง แล้วประตูใหญ่ของสองบ้านนี้ก็แทบไม่เปิดออก ยิ่งไม่มีทางเรียกหาหมอเร่อะไร นี่คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้

คุณหนูจวินคนนี้ก็ไม่มีทางไม่รู้ แต่ตอนนี้กลับวิ่งมาที่นี่สั่นกระดิ่ง ไม่ใช่แสดงชัดว่าท้าทาย

เจ้าลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่จะพังป้ายโรงหมอของข้าหรือ เจ้าพังสิ

“มีราชโองการอยู่ในมือยังมีวิธีอะไรอีก”

“ที่จริงมีราชโองการก็ไม่มีอะไร เรื่องตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ต่อมามีราชโองการก็ไร้ประโยชน์ หากไม่ใช่ท่านชายจูสอดมือ ตอนนี้นางก็ไม่มีโอกาสมาหน้าประตูพวกเราท้าท้ายแล้ว”

“น่าสนุก คุณหนูจวินคนนี้โอหังเอาการ”

คนอื่นพบเรื่องนี้ต่อให้ไม่กลัวก็คงต้องเก็บตัวสักหน่อย นางดีนัก กลับมาหน้าประตูหาเรื่อง

“ก็คล้ายกับท่านชายจูผู้นั้นอยู่”

“ไม่แน่นางกับท่านชายจูอาจมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนไม่กระจ่างอยู่บ้างจริงๆ”

พวกคนด้านหลังประตูพากันวิพากษ์วิจารณ์หัวข้อสนทนายิ่งเบี่ยงออกไปทุกที เสียงกระดิ่งด้านนอกประตูก็ค่อยๆไกลออกไปด้วย

ใกล้สถานที่ซึ่งคุณหนูจวินคะนึงหาที่สุดเข้าไปทุกที

แม้เมฆอึมครึมแผ่ปกคลุม ป้ายของวังไหวอ้องในสายตานางก็ชัดเจนยิ่ง สายตาของคุณหนูจวินจับอยู่บนประตูอีกครั้ง

ประตูใหญ่วังไหวอ๋องตกแต่งหรูหราเหมือนมีคนเช็ดถุกทุกวันสะอาดเหมือนใหม่

นั่นแล้วอย่างไร ประตูใหญ่ใหม่เช่นนี้กลับเป็นประตูสุสานแห่งหนึ่ง ต้องการขังคนข้างในนั้นให้ตาย

นางอยากพุ่งเข้าไปผลักประตูบานนี้เปิดจริงๆ

คุณหนูจวินกำมือแน่น เสียงกระดิ่งหยุดชะงัก

และประตูใหญ่เวลานี้เองก็เปิดออกแล้ว

ประตูเปิดแล้ว

คุณหนูจวินร่างกายแข็งทื่อ

ทำไม…ประตูเปิด?

ตอนนี้เองเกล็ดหิมะพรมลงมาเปาะแปะ พรมลงบนร่างของชายผู้เดินออกมาจากประตู

อายุของเขาราวสามสิบปี สวมชุดผ้าฝ้ายสีครามเข้มเรียบง่าย ปิ่นไม้ไผ่เกล้าผม หน้าตาสง่าสองตาหนักแน่น เขาปิดประตูมองไปบนท้องฟ้า

“หิมะตกแล้วสิ” เขาเอ่ยกับตนเอง หลังจากนั้นรั้งสายตากลับมองไปบนถนน

กั้นห่างด้วยเกล็ดหิมะที่ยิ่งตกยิ่งเร็ว มีผู้หญิงสองคนกำลังมองเขาอยู่

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด