Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาค 2 102

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 2 102 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 102 นี่ออกมาจากที่ไหนอีก

อี้โหย่วสิง

คนอายุน้อยมากมายที่ล้อมเข้ามาไม่รู้ แต่คนอายุมากจำนวนหนึ่งยังคงจดจำได้อยู่บ้าง

นั่นเป็นสำนักที่จางเผิงปรมาจารย์หมัดเฒ่าแห่งซานซีสร้างขึ้น หมัดคู่ของจางเผิงโด่งดังในซานซี ผู้คนเรียกว่ากำปั้นจาง

กำปั้นจางผู้กล้ารักคุณธรรมใจบุญสุนทาน ไม่มีบุตรไม่มีธิดารับศิษย์ไว้กลุ่มหนึ่ง ปล่อยเวลาผ่านไปครึ่งชีวิตก็เปิดสำนักคุ้มภัยแห่งหนึ่งขึ้นที่เจ๋อโจว ผ่านไปอีกครึ่งชีวิตก็สู้ทำให้สำนักคุ้มภัยมีชื่อเสียงมีหน้าตาเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองได้

ก็เพราะเช่นนี้เองสิบสี่ปีก่อนถึงได้ความสามารถโดดเด่นจากหมู่สำนักคุ้มภัยถูกตระกูลฟางเลือกมาคุ้มกัน เดิมคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ยกชื่อขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ใครจะคิดว่าเรื่องราวบนโลกลาภเคราะห์เคียงคู่ ก็เพราะการคุ้มกันเที่ยวนี้เอง ศิษย์มีความสามารถสิบกว่าคนที่อี้โหย่วสิงพิถีพิถันคัดเลือกล้วนเสียไปหมดสิ้น

นายท่านตระกูลฟางก็บาดเจ็บหนักรักษาไม่ได้เสียชีวิต

ฮือฮากันทั้งซานซี

ผู้คุ้มกันสิบกว่าคนล้มตายในมือโจรภูเขากลุ่มหนึ่ง อี้โหย่วสิงกลายเป็นเรื่องตลก

กำปั้นจางทั้งโกรธทั้งร้อนใจทั้งเศร้าโศกกระอักเลือดสิ้นลม อี้โหย่วสิงตั้งแต่นั้นตกต่ำคนกระจัดกระจายหายไปจากสายตาของผู้คน

คิดไม่ถึงผ่านไปสิบสี่ปี จะได้เห็นอี้โหย่วสิงเปิดกิจการใหม่อีกครั้งได้

อี้โหย่วสิงแห่งนี้ยังคงเป็นอี้โหย่วสิงของกำปั้นจางหรือเปล่า?

สายตาของผู้คนจับอยู่บนร่างของผู้ชายที่ลงมาหลังแขวนป้ายสำนักเสร็จดีแล้วคนนั้น มีคนร้องเอ๋ขึ้นมา

“นี่ไม่ใช่ตาเฒ่าเหลยเรอะ?”

แม้ไม่สะดุดตาสักนิดคุมรถอยู่ที่เต๋อเซิ่งชางสิบกว่าปี ผู้คนก็ยังคงพบเจอจนคุ้นตาอยู่บ้าง

ตาเฒ่าเหลยคนคุมรถของเต๋อเซิ่งชางแขวนป้ายสำนักที่นี่ หรือจะบอกว่าเป็นสำนักคุ้มภัยที่เต๋อเซิ่งชางเปิด?

ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องหายากจริงๆ แต่ที่จริงก็ไม่นับว่าหายาก

ตระกูลพ่อค้ามั่งคั่งที่อื่นจะประกอบกิจการมากมาย เต๋อเซิ่งชางกลับทำแค่กิจการร้านแลกเงินมาตลอด

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เต๋อเซิ่งชางประหารศัตรูแล้ว นายน้อยฟื้นคืนแข็งแรง ดังนั้นจะเติบโตก้าวหน้าเปิดกิจการใหม่แล้วรึ?

“นี่เป็นเต๋อเซิ่งชางเปิดหรือ?” คำถามแย่งกันพูดดังขึ้น

เหลยจงเหลียนมองกลุ่มคนแล้วส่ายศีรษะ พลางขนบันได

“ไม่ใช่ นี่คืออี้โหย่วสิง” เขาเอ่ย “นี่คืออี้โหย่วสิงของอาจารย์หมัดเฒ่าจางอาจารย์ข้าเปิดกิจการใหม่อีกครั้ง”

เป็นอี้โหย่วสิงจริงๆ!

คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้เรื่องราวทั้งประหลาดใจทั้งผิดคาด

นอกจากนี้เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาคือกำปั้นจาง?

“ตาเฒ่าเหลยเจ้าไม่ใช่คนคุมรถเรอะ? เกี่ยวข้องอะไรกับกำปั้นจาง?” มีคนไม่เข้าใจเอ่ยถามขึ้น

เหลยจงเหลียนมือเดียวคว้าบันไดไว้ ได้ยินก็หันกลับไปมองคนผู้นั้น

“เดิมทีข้าเป็นคนคุมรถของอี้โหย่วสิง กราบอาจารย์จางร่ำเรียนวิชาในสำนัก สิบสี่ปีก่อนรับคุ้มกันส่งคนของตระกูลฟาง ตลอดมายังไม่ได้ทำคำไหว้วานให้สำเร็จ จนกระทั่งถึงเวลาก่อนหน้านี้นิดหน่อยข้าคุ้มครองนายน้อยฟางกับนายหญิงน้อยฟางกลับมาจากหรู่หนานได้อย่างปลอดภัย จนตอนนี้อี้โหย่วสิงถึงทำคำมั่นรับคุ้มกันสำเร็จ” เขาเอ่ยขึ้น “ดังนั้นข้าจึงบูรณะอี้โหย่วสิงใหม่อีกครั้งได้แล้ว”

คนรอบด้านได้ยินตาโตอ้าปากค้าง

นี่ฟังดูแล้วก็เป็นนิทานที่พลิกผันคาดไม่ถึงอีกเรื่องหนึ่งนะ

“คนรับคุ้มกัน? ข้าคิดออกแล้ว! ตอนนั้นที่นายท่านตระกูลฟางถูกจู่โจมท้ายที่สุดมีคนสามคนลากออกมา คนหนึ่งในนั้นก็คือผู้คุ้มกันที่โชคดีรอดชีวิต”

“ใช่ ใช่ มีอยู่คนหนึ่ง ผู้คุ้มกันคนนั้นยังเรียกร้องความยุติธรรมไปทั่วบอกว่าไม่ได้ถูกโจรภูเขาปล้นทรัพย์ แต่ถูกทหารปล้นฆ่า”

“ที่แท้ผู้คุ้มกันคนนั้นก็คือเจ้าเรอะ”

สายตาของผู้คนรวมอยู่บนร่างเหลยจงเหลียนอีกครั้ง

นี่เป็นเรื่องในอดีตอีกตอนหนึ่ง นี่ก็เป็นคนเก่าคนแก่คนหนึ่งด้วย

“เอ๋ เจ้าว่าเจ้าคุ้มกันส่งนายน้อยฟางกับนายหญิงน้อยฟางกลับมาจากหรู่หนาน” มีคนคิดอะไรขึ้นมาได้ ร้องตะโกนเสียงดังเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าพิการที่นักเล่านิทานเล่าว่าคุณหนูจวินหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาผู้เฒ่าพิการ ระหกระเหินกลับหรู่หนาน หรือว่าก็คือเจ้า?”

เหลยจงเหลียนมองเขาทีหนึ่งไม่เอ่ยคำพูด มือหนึ่งแบกบันได อีกมือหนึ่งประคองไว้ แขนเสื้อไหลลงมาเผยแขนขวาที่แข็งทื่อ แห้งเหี่ยวและบิดเบี้ยว

คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มองเห็นเขาอดไม่ได้ร้องออกมาเบาๆ

แขนนี่เห็นได้ชัดมากว่าพิการแล้ว

เขาก็คือผู้เฒ่าพิการคนนั้นจริงๆ

แต่ในเมื่อแขนพิการกลายเป็นเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางตวัดดาบจับหอกได้สิ? จะเปิดสำนักคุ้มภัยได้อย่างไร? เป็นตระกูลฟางออกเงินให้เขาเป็นเจ้าสำนัก หลังจากนั้นประกาศรับคนคุ้มกันจำนวนหนึ่งหรือ?

“ไม่ใช่” หลังเหลยจงเหลียนวางบันไดไว้ด้านในประตูหันมาเอ่ยตอบว่า “ข้าไม่จ้างผู้คุ้มกัน แต่จะประกาศรับศิษย์จำนวนหนึ่ง สอนวรยุทธ์พวกเขาค่อยนำพวกเขาเดินทางคุ้มกัน”

เขา? สั่งสอนศิษย์? พาศิษย์เดินทางคุ้มกัน?

คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งอึ้ง

เรื่องประหลาดมีอยู่ทุกปีจริงๆ ปีนี้เยอะเป็นพิเศษ

คนพิการแขนเดียวคนหนึ่งก็สอนศิษย์ออกเดินทางคุ้มกันได้ด้วยรึ?

เหลยจงเหลียนเดินเข้าไปแล้ว เสียงถกเถียงนอกประตูดังวุ่นวาย

“ในเมื่อเขาก็คือผู้เฒ่าพิการที่คุณหนูจวินพาไป ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องผ่านประสบการณ์เผชิญหน้าการดักซุ่ม ฝ่ากับดัก โซเซข้ามลานสังหารด้วยตนเองสิ”

“ประสบมาแล้วอย่างไรเล่า? หรือสภาพเขาเช่นนี้ยังเข้าสนามรบเองได้อีกรึ?”

“ข้าว่าก็แค่เต๋อเซิ่งชางตอบแทนเขา ให้เงินเขายกร้านให้เล่น เลี้ยงดูให้มีความสุขยามแก่เท่านั้น”

ฝั่งนี้กำลังถกกัน บนถนนก็มีเสียงกีบเท้าม้ารีบเร่งมา

“หลีก หลีก หลีก หลีก” พร้อมกับเสียงตวาด

ผู้คนมองไปเห็นทหารสี่ห้านายล้อมแม่ทัพคนหนึ่งเร่งรีบมา แม่ทัพและทหารเหล่านี้องอาจผึ่งผายบรรยากาศดุดัน

ทหารที่หยางเฉิงช่วงนี้ ไม่ใช่ทุบประตูจวนที่ว่าการอำเภอก็ประหารตัดศีรษะคนตามใจ ทำให้เหล่าชาวบ้านหวาดกลัวนักรีบหลีกหลบออกไปให้พ้น

ทหารคณะหนึ่งหยุดอยู่หน้าประตูอี้โหย่วสิง ลงม้าอย่างพร้อมเพรียง อาวุธชุดเกราะกระทบดังเกรียวกราว สะพรึงคนยิ่งนัก

บรรดาทหารกระจายตัวยืนอยู่ด้านหน้าประตู สีหน้าเคร่งขรึม แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้าไม่ได้บุกฝ่าประตูเข้าไป แต่กลับจัดเสื้อผ้า

“อาจารย์เหลย” เขาเร่งเสียงตะโกนเรียก

เหลยจงเหลียนได้ยินเสียงเดินออกมาจากข้างใน มองเห็นแม่ทัพผู้นี้ก็ขมวดคิ้ว

“แม่ทัพเถียน” เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมท่านมาอีกแล้วเล่า?”

คนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพเถียนหัวเราะ

“ใต้เท้าของพวกข้าบอกว่า ต้องเยือนกระท่อมฟางสามหน” เขาเอ่ยขึ้น “ดังนั้นข้าจึงมาเชิญท่านอีกครั้ง”

แม้กระทั่งเยือนกระท่อมฟางสามหน[1]ก็ออกมาแล้ว! กับคนพิการคนหนึ่ง?

ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่เบิกตาโตไม่อยากเชื่อ

เหลยจงเหลียนไม่มีท่าทางตกใจเพราะได้รับความเมตตาอันใด ตรงกันข้ามกลับกลุ้มอยู่บ้าง

“แม่ทัพใหญ่เถียน ข้าบอกไปแล้ว ได้รับความโปรดปรานจากใต้เท้า แต่ข้าไม่อาจไปเป็นกำลังให้ใต้เท้าในกองทหารเมืองหวยชิ่งได้จริงๆ ” เขาถอนหายใจเอ่ยขึ้น ยื่นมือขวาของตนเองออกมา “แขนของข้าพิการแล้ว”

แม่ทัพใหญ่เถียนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าแสร้งทำเป็นสุภาพชนต่อไปไม่ไหว ได้ยินก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า ในดวงตาฮึกเหิมอยู่บ้าง

“อาจารย์เหลย ท่านอย่าถ่อมตนไปเลย ที่หุบเขาไป๋เห่อเหลียงวรยุทธ์ที่ท่านสังหารศัตรู พวกข้าล้วนเห็นกับตา” เขาเอ่ยขึ้น “พวกข้าสืบถามมาแล้ว เดิมทีท่านก็คือหอกคู่ดอกบัวนี่เอง ความสามารถด้านหอกคู่นี้ท่านกล่าวว่าเป็นที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้ากล่าวว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว”

ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ฮือฮา มองเหลยจงเหลียนอย่างไม่อยากเชื่อ

ชื่อเสียงของหอกคู่ดอกบัวกับกำปั้นจางใกล้เคียงกัน คนที่เคยได้ยินไม่ใช่จำนวนน้อย แต่ว่าใครก็ไม่เคยคิดเชื่อมโยงหอกคู่ดอกบัวกับตาเฒ่าเหลยคนรถที่ไม่สะดุดตาคนนี้ของเต๋อเซิ่งชางเข้าด้วยกัน

เหลยจงเหลียนถอนหายใจเบาๆ

“ใต้เท้า มือของข้าใช้หอกคู่ไม่ได้นานแล้ว สิบสี่ปีก่อนคุ้มครองส่งนายท่านฟางพบโจรร้าย มือของข้าก็ได้รับบาดเจ็บเสียไปจับหอกยาวไม่ได้อีก ศึกนั้นที่หุบเขาไป๋เห่อเหลียง เป็นนายหญิงน้อยฟางใช้เข็มทองทะลวงเส้นชีพจรให้ข้า ทำให้ข้าได้ต่อสู้ครั้งสุดท้าย หลังศึกผ่านพ้นมือของข้าก็พิการโดยสมบูรณ์” เขาเอ่ยขึ้น “ดังนั้นตัวข้าที่พวกท่านได้เห็นในศึกที่หุบเขาไป๋เฮ่อเหลียง ไม่มีทางปรากฏขึ้นอีกแล้ว ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”

เสียงอื้ออึ้งด้านหน้าประตูฉับพลันเงียบหาย คนทั้งหมดมองเหลยจงเหลียน

มือพิการ นายหญิงน้อยฟางฝังเข็มทองฟื้นกลับคืน หนึ่งศึกตะลึงผู้คน

ทำไมสุดท้ายดูเหมือนจะจบอยู่ที่ตัวนายหญิงน้อยฟางอีกแล้ว?

ข้อมูลในนี้มากเกินไป ทุกคนฟังจนมึนงงอยู่บ้าง

“นี่ นี่ก็เป็นหน้าม้าที่ตระกูลฟางใช้เงินซื้อมาหรือ?” มีคนพึมพำเอ่ยขึ้น “นี่หาหน้าม้ามามากเกินไปหรือไม่ อ้อมโลกใหญ่เกินไปแล้วไหม?”

……………………………………….

[1] เยือนกระท่อมสามหน (连三顾茅) สำนวนที่มาจากเรื่องสามก๊กตอนที่เล่าปี่ไปเยือนกระท่อมของขงเบ้งสามครั้งเพื่อเชิญขงเบ้งมาเป็นกุนซือให้ฝั่งตน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด