Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาค 3 บทที่ 168 ทำอย่างไรถึงจะถูก

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 3 บทที่ 168 ทำอย่างไรถึงจะถูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

โจรภูเขาดีๆ เป็นไม่ได้แล้วกลายเป็นชาวบ้านคนดี  

 

จางเป่าถังมึนงงนิดๆ ส่วนซื่อเฟิ่งหัวเราะพรืด  

 

“หมายความว่าอย่างไรนะพี่” จางเป่าถังเอ่ยถาม เขาฟังแล้วยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย  

 

“ความหมายก็คือนางถูกโจรภูเขาจับไปแต่กลับกล่อมโจรภูเขาเหล่านี้ได้อีก หลังจากนั้นจึงอธิบายกับทหารที่มาช่วยว่าโจรภูเขาเหล่านี้ไม่ใช่โจรภูเขา เป็นชาวเขาที่มาช่วยนาง” ซื่อเฟิ่งเอ่ยหัวเราะแอ่ย  

 

จางเป่าถังรู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนประโยคลิ้นพันกัน คิดนิดหนึ่งถึงเข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไร สีหน้าตกตะลึงอีกครั้ง  

 

“คุณหนูจวินร้ายกาจเกินไปแล้ว นางทำได้อย่าไงร?” เขาท่าทางตื่นเต้นอยูบ้างเอ่ย “หรือว่ารักษาโรคของหัวหน้าโจรภูเขาหายดีรึ?”  

 

จูจั้นเก็บจดหมายของบิดาไปลุกขึ้นยืนตรง  

 

“สนใจอะไรเล่า” เขาเอ่ย  

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินด้านนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงชั่วคราวแล้ว มีชาวบ้านคนดีกลุ่มนี้ปกป้องอยู่” ซื่อเฟิ่งหัวเราะเอ่ย  

 

“เดิมทีก็ไม่ต้องเป็นห่วง” จูจั้นเอ่ย “ให้นางทำร้ายชาวบ้านแสนดีพวกนั้นด้านนั้นไปเถอะ”  

 

พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะฮ่าฮ่า  

 

จางเป่าถังก็ยิ้มดีใจด้วยทันที  

 

“พี่รอง ท่านไม่ได้หัวเราะเบิกบานใจเช่นนี้นานนักแล้ว” เขาเอ่ย “ยังไงก็เป็นคุณหนูจวินร้ายกาจ”  

 

ผีถึงหัวเราะเพราะนาง จูจั้นหน้าบึ้งทันที  

 

“ข้าหัวเราะเพราะจดหมายที่พ่อข้าเขียน” เขาเอ่ย พูดแล้วก็ฉีกปากยิ้มอีกครั้ง “เจ้าคนพวกนี้ถึงกับพูดชมพ่อข้า”  

 

น่าขำอยู่บ้าง จางเป่าถังก็ยิ้มตามอีกครั้ง  

 

อย่างไรก็น่าขำเอาการ ช่วงนี้นับว่าได้ยินข่าวที่ทำให้คนเบิกบานใจบ้างแล้ว  

 

“คุณหนูจวินก็อยู่ที่มณฑลเหอเป่ยซี ไม่สู้ให้นางไปพบท่านลุงเสียเลย” เขาฉุกคิดเอ่ยขึ้น  

 

“ให้นางพบพ่อข้าทำอะไร!” จูจั้นถลึงตาเอ่ย  

 

ซื่อเฟิ่งอยู่ด้านข้างพยักหน้า  

 

“เร็วเกินไปยู่บ้าง” เขาทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ย  

 

จางเป่าถังยังคิดตามไม่ทัน จูจั้นพลันยกแขนหวดเข้าใส่ซื่อเฟิ่งแล้ว ซื่อเฟิ่งยิ้มหลบหลีก  

 

“ข้าจะบอกว่าท่านลุงต้องดูแลคุณหนูจวินได้ดีแน่ ไม่มีทางให้พวกองครักษ์เสื้อแพรแตะนาง ไปถึงท่านลุงที่นั่นยิ่งปลอดภัย” จางเป่าถังตามคนที่หัวเราะโวยวายขยับไปข้างหน้าสองคน ตั้งอกตั้งใจอธิบาย  

 

“อาศัยอะไร?” จูจั้นแค่นเสียง “พ่อข้าไม่ได้ติดค้างเงินนางสักหน่อย”  

 

จางเป่าถังคราวนี้คิดตามทันแล้ว อึ้งไปนิดหนึ่ง  

 

“ที่แท้ท่านเป็นห่วงคุณหนูจวินปานนี้ก็เพราะติดค้างเงินนางหรอกหรือ” เขาเอ่ยขึ้น  

 

ซื่อเฟิ่งตบขาหัวเราะลั่นทันที จูจั้นสบถทีหนึ่ง  

 

“เจ้าตาบอดหรือฮะ ดวงตาข้างไหนมองเห็นข้าเป็นห่วงนาง?” เขาถลึงตาเอ่ย ไม่สบอารมณ์โบกมือ “ไปไปไป”  

 

พูดจบก็ก้าวยาวไปทางด้านในคอกม้าแล้ว  

 

ซื่อเฟิ่งหัวเราะจนตัวโคลงตามไป จางเป่าถังยืนอยู่ที่เดิมคลำศีรษะ  

 

“ตาข้างไหนมองเห็น?” เขาเอ่ยกับตนเอง “ตาข้างไหนก็มองเห็นทั้งนั้นแหละ”  

 

……………………………………….  

 

เทียบกับความวุ่นวายที่โรงเลี้ยงม้า ในห้องหนังสือของหวงเฉิงแลดูทะมึนเงียบเหงา แม้ในห้องก็ยืนอยู่สี่คน  

 

หวงเฉิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะมองจดหมายที่วางอยู่ด้านบน หางตามุมปากของเขาล้วนบิดลงหนักหน่วง คนยิ่งแลดูแก่ชรา ยิ่งเย็นชา  

 

ในห้องเงียบกริบ ราวกับกระทั่งลมหายใจก็หยุดไว้  

 

ฉับพลันหวงเฉิงก็ตะโกนเสียงดัง ยื่นมือล้มโต๊ะตรงหน้า  

 

ในห้องเสียงเอะอะดังขึ้น  

 

คนที่ยืนอยู่รอบด้านตกใจจนมีชีวิตขึ้นมาด้วย มองหวงเฉิง  

 

สำหรับผู้เฒ่าที่ขาข้างหนึ่งใช้การไม่สะดวกทั้งยังอายุมากคนหนึ่งแล้ว ล้มโต๊ะตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอย่างมาก  

 

หวงเฉิงหอบหายใจกระชั้น คนก็โงนเงนเหมือนจะล้มตึงลงไปทันที คนรอบด้านแห่เข้ามา  

 

“นายท่านผู้เฒ่า” พวกเขาร้องเรียก เสียงกังวลและวิตก  

 

หวงเฉิงไม่ได้ล้มลง ได้คนเหล่านี้ประคองไว้ ยื่นมือออกมาชี้โต๊ะที่ล้มอยู่บนพื้นกระจายระเนระนาดเต็มพื้น  

 

“รังแกคนแก่อย่างข้าหรือ?” เขาตะโกนเสียงแหบพร่า “เห็นว่าตระกูลหวงของข้าสิ้นทายาทแล้วงั้นสิ?”  

 

“นายท่านผู้เฒ่าท่านอย่าโกรธ”  

 

“นายท่านผู้เฒ่า พวกเราวางแผนให้ไกล”  

 

“นายท่านผู้เฒ่า เรื่องยังต้องลองดูต่อไป”  

 

“บางทีเฉิงกั๋วกงอาจติดสินบนพวกเขา”  

 

บรรดาบุรุษที่พยุงเขาพากันเอ่ยกล่อม  

 

หวงเฉิงหัวเราะหยันครู่หนึ่ง  

 

“ติดสินบน เวลาอื่นพูดถึงติดสินบนยังทำเนา” เขาเอ่ย “ครั้งนี้องครักษ์เสื้อแพรไปเองเชียวนะ สำหรับฝ่าบาทแล้ว ไม่มีใครติดสินบนองครักษ์เสื้อแพรได้”  

 

คนรอบด้านเงียบงันไปครู่หนึ่ง  

 

“ล้วนเป็นชาวจินนี่ก่อเรื่อง” บุรุษคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย “ทุกคนใช้ชีวิตสงบสุขมานานแล้ว กลัวแล้วจริงๆ”  

 

“ใช่แล้ว กระทั่งฝ่าบาทก็ไม่ใช่กลัวชาวจินยกทัพประชิดเมืองหลวงอีกครั้งหรือ” บุรุษอีกคนเอ่ย “ตอนนี้ขาดเฉิงกั๋วกงไม่ได้”  

 

หวงเฉิงสีหน้าถมึงทึง  

 

“ขาดจูซาน ต้าโจวแห่งนี้จะสิ้นหรือไง?” เขาเอ่ย “ไม่มีเขียงหมูจูแล้ว ใต้หล้าคนจะไม่มีเนื้อหมูกินกันหรือไง?”  

 

คนที่อยู่ที่นั่นสบตากันทีหนึ่ง  

 

“แม่ทัพดีๆ ใต้หล้านี้มากไป” บุรุษคนหนึ่งพยักหน้าเอ่ย “แต่แดนเหนือนี่ จูซานหนึ่งมือปิดฟ้า แม่ทัพคนอื่นล้วนถูกกดยากจะโดดเด่น”  

 

“ใช่แล้ว พวกเราส่งคนไปมากมายปานนั้นล้วนถูกคนของจูซานกดไว้” บุรุษอีกคนหนึ่งเอ่ย “ทำให้คนโมโหจริงๆ”  

 

“ลำบากนักกว่าจะมีโอกาสครั้งหนึ่งให้จูซานได้รับบทเรียนเสียบ้าง ผลสุดท้าย…” ทุกคนพากันเอ่ยแล้วก็มองไปยังกระดาษจดหมายที่กระจายร่วงอยู่บนพื้น “คำชมมากมายเช่นนี้ แล้งยังเป็นเวลานี้อีก…”  

 

ดูท่าได้แต่ให้จูซานหนีพ้นภัยอีกครั้งหนึ่งแล้ว  

 

ประโยคนี้ทุกคนใครก็ไม่พูดออกมา แต่ในใจทุกคนล้วนรู้ชัด  

 

หวงเฉิงยิ่งรู้ชัด เขายืนหายใจฟืดฟาดหอบหายใจประหนึ่งกล่องสูบลม สีหน้ายิ่งดูไม่ได้ขึ้นทุกที  

 

เขาพลันผลักคนที่ประคองอยู่ออก ขโยกเขยกก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ยืนอยู่บนพื้นซึ่งระเนระนาด เท้าออกแรงเหยียบกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่ง  

 

“ข้ายังไม่ตายหรอก” เขาเอ่ยเ**้ยม “ข้ายังไม่ตายหรอก”  

 

……………………………………….  

 

ราตรีร่วงโรยลงมา เงาสูงใหญ่ของเขาจางชิงซานล้อมหมู่บ้านภูเขาทั้งหมดไว้  

 

“คุณหนู”  

 

เสียงร้องเรียกของหลิ่วเอ๋อร์ดังมาจากตีนเขา คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ในลานเก็บจดหมายไป มองผู้หญิงที่วุ่นวายอยู่ที่เตาไฟ  

 

“ท่านน้า ข้ากลับแล้ว” นางเอ่ย เหมือนเช่นผู้เป็นแขกกล่าวลา ไม่กระอักกระอ่วนและผิดหวังที่ยืนแห้งเ**่ยวอยู่ตรงนี้หนึ่งวันสักนิด  

 

ผู้หญิงหมุนตัวมามองนางยิ้มให้  

 

“คุณหนูจวินกลับดีๆ” นางเอ่ย ไม่มีความโมโหและหงุดหงิดเหมือนกัน ยิ่งไม่มีคำเตือนว่าไม่ต้องมาอีก เหมือนกับสิ่งใดล้วนไม่ได้เกิดขึ้น สิ่งใดล้วนไม่สนใจ  

 

คุณหนูจวินคำนับหมุนตัวจากไป หลิ่วเอ๋อร์เข้ามารับ ถือโอกาสมองผู้หญิงด้านนี้ทีหนึ่ง เบะปากไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เรื่องที่คุณหนูจวินดีใจ นางย่อมไม่คัดค้าน  

 

“คุณหนู เหนื่อยแล้วสินะเจ้าคะ?” นางกระตือรือร้นประคองคุณหนูจวิน “ท่านก็เอาอย่างข้าว่าหิ้วเก้าอี้เล็กมาด้วย นั่งอยู่กับยืนอยู่ไม่ใช่เหมือนกันหรือเจ้าคะ”  

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว  

 

“นั่งอยู่กับยืนอยู่จะเหมือนกันได้อย่างไร” นางเอ่ย “ไม่เช่นนั้นทำไมมีแต่ยืนตากหิมะหน้าประตูบ้านอาจารย์ ไม่เคยได้ยินว่านั่งตากหิมะหน้าประตูบ้านอาจารย์เล่า“  

 

หลิ่วเอ๋อร์ดวงตากลอกไปมา  

 

“แต่ข้ารู้สึกว่านั่งบนพื้นหิมะยิ่งร้ายกาจกว่า” นางว่าพลางยื่นมือลูบก้น หดศีรษะทำท่าสั่นระริก “หนาวนัก หนาวนัก”  

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง  

 

“นั่นสิ นั่งบนหิมะร้ายกาจยิ่งกว่า” นางว่า “แต่การยืนตากหิมะเดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อแสดงความร้ายกาจ แต่เพื่อแสดงความเคารพ ร้ายกาจเกินไปก็ไม่ใช่การเคารพ แต่เป็นการบีบบังคับ”  

 

พูดถึงตรงนี้นางก็ถอนหายใจเบาๆ แม้นางไม่ได้ร้องไห้โวยวาย ไม่ได้เอ่ยวาจาวิงวอน แต่สำหรับอาจารย์หญิงแล้วยืนอยู่ในสายตาทุกวันเช่นนี้ก็เป็นการบีบบังคับเหมือนกัน  

 

นางลูบศีรษะหลิ่วเอ๋อร์  

 

“หลิ่วเอ๋อร์พูดถูก นั่งหรือยืนก็เหมือนกัน” นางพยักหน้าเอ่ย  

 

งั้นหรือ? นางพูดถูกหรือ? หลิ่วเอ๋อร์สับสนมึนงง แต่ถูกคุณหนูชมอย่างไรก็เป็นเรื่องดี นางหัวเราะหึหึท่าทางภาคภูมิใจ ประคองแขนคุณหนูจวินก้าวเดินว่องไว  

 

แม้ตอนนี้ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ไม่ว่านางก็ดี คนที่นี่ก็ดี ในใจล้วนมั่นใจว่าจางชิงซานก็คือจ้าวจื้ออี้ น้าเซียวคนนี้กับลูกสาวก็คือภรรยากับลูกสาวของอาจารย์  

 

ไม่รู้ว่าตอนนั้นที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำให้น้าเซียวเคืองแค้นเช่นนี้  

 

ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น บุรุษคนหนึ่งทอดทิ้งภรรยากับลูกเดินทางทีหนึ่งสิบกว่าปี เคืองแค้นก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง  

 

คุณหนูจวินถอนหายใจ โบราณว่าไว้บิดาติดหนี้บุตรชดใช้ ถ้าอย่างนั้นความเคืองแค้นของคนเหล่านี้ก็ให้นางรับและคลี่คลายแทนอาจารย์เถอะ  

 

เพียงแต่จะทำอย่างไร ทำอะไรบ้างถึงจะคลี่คลายได้นะ?  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด