Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาค 3 บทที่ 173 ดึกดื่นมีคนเดินทาง

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 3 บทที่ 173 ดึกดื่นมีคนเดินทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

องค์หญิงพระนามจิ่วหลิง ธิดาองค์รองขององค์รัชทายาทซิ่งเหวิน  

 

 

ฤดูหนาวปีไท่คังที่สามประชวร โรคร้ายรุนแรงเสวยโอสถไม่ทันช่วยเหลือ สิ้นพระชนม์ ณ จวนขุนนางของหัวหน้ากองพันลู่แห่งกรมสืบสวนฝ่ายเหนือเมืองหลวง พระชนมายุสิบเก้าพรรษา  

 

 

นี่เป็นสิ่งที่สลักอยู่บนป้ายสุสาน ประกาศสาเหตุการตายขององค์หญิงจิ่วหลิงให้ใต้หล้าได้รู้ นี่ก็คือสาเหตุการตายขององค์หญิงจิ่วหลิง  

 

 

เวลานี้นาทีนี้องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา หากอยู่ที่อื่นนั่นย่อมเป็นกบฏ  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีไม่เคยทำการอันเป็นกบฏและไม่เคยจี้ถามอะไร  

 

 

ตอนแรกที่ได้รับข่าวการตายขององค์หญิงจิ่วหลิง องค์หญิงจิ่วหลิงก็บรรจุลงโลงเสร็จสิ้นแล้ว นางเพียงจูงมือไหวอ๋องยินอยู่หน้าโลงศพ มองหน้าศพทีหนึ่งเท่านั้นก็นั่งอยู่ในโถงที่ตั้งศพร่ำไห้ตามพิธีการแล้ว  

 

 

“ร่างกายขององค์หญิงจิ่วหลิงอ่อนแอเกินไปเพราะตั้งแต่เล็กเติบโตอยู่ด้านนอก” ตอนนั้นมีพระญาติถอนหายใจเอ่ยเช่นนี้กับองค์หญิงจิ่วหลี  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีเพียงเช็ดน้ำตาแต่ไม่พูดสักคำ  

 

 

หลังจากนั้นก็ไม่เอ่ยเกี่ยวกับสาเหตุการตายขององค์หญิงจิ่วหลิงอีกสักประโยค กระทั่งป่วยเป็นอะไรก็ไม่เคยถาม  

 

 

ทำไมยามนี้เวลานี้นางถามคำถามเช่นนี้ออกมา นอกจากนี้ยังถามลู่อวิ๋นฉี บุรุษผู้เป็นพระเนตรพระหัตถ์ของฮ่องเต้คนนี้  

 

 

“เรื่องอื่นข้าไม่วิจารณ์ ตอนนี้อย่างน้อยข้าก็รู้เรื่องหนึ่ง ใต้เท้าลู่ท่านจริงใจกับน้องสาวของข้าจริงๆ”  

 

 

เสียงขององค์หญิงจิ่วหลีดังมาจากด้านหลัง  

 

 

“ท่านหวังดี พยายามปกป้องข้ากับไหวอ๋องสุดกำลัง”  

 

 

พยายามสุดกำลังฟังดูแล้วไม่นับเป็นคำชมอะไร แต่สำหรับลู่อวิ๋นฉีฐานะเช่นนี้แล้ว เป็นคำขอบคุณอย่างที่สุดแล้ว ในเวลาเดียวกันก็เป็นคำขอบคุณที่ไม่อาจเอ่ยกับคนข้างนอกได้  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยประโยคนี้จบ ในห้องก็ตกสู่ความเงียบ  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียังคงหันหลังให้นาง แต่ไม่ได้ก้าวเดินต่อ  

 

 

“คนก็ตายไปแล้ว รู้ว่าตายอย่างไร จำเป็นหรือ?” เขาพลันเอ่ย  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลียันเตียงลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่นิ่งสงบมาตลอดเผยความร้อนรนนิดๆ  

 

 

“มีชีวิตเลอะเลือน ตายไปเข้าใจขึ้นบ้างก็นับว่าไม่เสียทีเป็นคน” นางเอ่ย  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวมา  

 

 

“วันนั้น นางบอกว่าอยากกินเกี๊ยวมันหมูของร้านเฉานอกเมือง ข้าไปซื้อให้นางทันที” เขาเล่า  

 

 

ใต้โคมไฟสว่างไสว สีหน้าของเขายิ่งซีดขาว  

 

 

ยังไม่ทันเล่าอะไรเลยชัดๆ องค์หญิงจิ่วหลีได้ยินประโยคนี้ ขอบตาก็อดไม่ได้แดงขึ้นมาแล้ว มีน้ำตากำลังจะหยดร่วง  

 

 

วันนั้น  

 

 

นางกำมือเบิกตาตั้งใจมองลู่อวิ๋นฉี หวั่นเกรงจะพลาดคำพูดสักประโยค  

 

 

“ร้านเฉาเปิดร้านสาย ข้าไม่อยากบีบบังคับทำให้ตกใจ เลี่ยงไม่ให้เกี๊ยวที่เขาทำออกมาในสภาพเช่นนั้นไม่อร่อย ดังนั้นข้าจึงรอ” เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังต่อ  

 

 

“ตอนที่เกี๊ยวเข่งแรกทำเสร็จ พวกเขาก็มาบอกข้า จิ่วหลิงเข้าวังไปแล้ว”  

 

 

“ข้ารู้ว่าต้องเกิดเรื่อง”  

 

 

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่กลางโถง แสงโคมสว่างสาดลงบนร่างของเขา ทว่าดันเหมือนครอบเงาเพิ่มให้เขาชั้นหนึ่ง  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีมองเขา มือปิดปาก  

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไร เขาพูดจางุ่มง่ามอยู่บ้าง เล่าเรื่องได้นิ่งสนิทราบเรียบ บรรยายได้แห้งแล้ง แต่องค์หญิงจิ่วหลีคล้ายมองเห็นภาพยามนั้น  

 

 

นางมองเห็นเด็กสาวคนนั้นเดินอยู่บนทางในพระราชวัง ท่าทางแน่วแน่ ไม่คิดหันหลังกลับ  

 

 

“ตอนที่ข้ารีบไปถึง นางก็ตายแล้ว”  

 

 

องค์หญิงจิ่วหลีหลับตาลง น้ำตาไหลร่วงมาตามแก้มขาวซีด  

 

 

ตายเพราะเข้าวังลอบสังหารฮ่องเต้จริงๆ ด้วย   

 

 

ส่วนทำไมจิ่วหลิงต้องไปลอบสังหารฮ่องเต้ นี่เป็นคำถามที่ไม่อาจถามแล้ว  

 

 

ถามไปก็ไม่มีทางได้คำตอบ  

 

 

“นางตายอย่างไร?” นางเอ่ยถามเสียงแหบ  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท  

 

 

“นางถูกดาบรุมฟันจนตาย” เขาเอ่ย  

 

 

เขามองด้านหน้าประหนึ่งมองเห็นแอ่งเลือดแอ่งนั้น เลือดทิ่มแทงดวงตาเขาเจ็บแทบปริแยก แต่เขาไม่หลบเลี่ยงสักนิด มองทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าชัดเจนแจ่มแจ้ง  

 

 

มองแขนที่ยังติดอยู่กับกระดูกเนื้อที่ถูกฟันขาดของนาง มองร่างกายที่บิดผิดรูปของนาง มองชุดที่นางชอบที่สุดชุดนั้นถูกเลือดย้อมจนแดงฉาน มองสภาพของนางเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม  

 

 

มองดูนางหันมาทางตน ยิ้มทีหนึ่ง  

 

 

ในห้องเงียบกริบ  

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรถึงได้ยินองค์หญิงจิ่วหลีถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง  

 

 

“เช่นนี้เอง” นางเอ่ย “คงเจ็บนัก”  

 

 

ไม่มีความโกรธแค้น ไม่มีการร่ำไห้เจ็บปวด มีเพียงสามคำเสียงเบาๆ นี่  

 

 

คงเจ็บนัก  

 

 

คงเจ็บนัก  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวเดินออกไป ก้าวเท้าของเขายิ่งเร็ว ม่านลูกปัดถูกเหวี่ยงสะบัดส่งเสียงดัง แกว่งไกวรุนแรง สีสันไหวเคลื่อนละลานตา  

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพุ่งเข้าไปในความมืดของราตรี พวกสาวใช้หญิงรับใช้ถูกเขาทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“ใต้เท้า…” ทุกคนพากันคำนับเอ่ยเรียก  

 

 

เสียงยังไม่ทันจบ ลู่อวิ๋นฉีก็ก้าวไวๆ ผ่านพวกนางไปข้างนอกแล้ว  

 

 

“ใต้เท้าจะออกไปหรือขอรับ?”  

 

 

“ใต้เท้า?”  

 

 

องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่นอกเรือนพากันแห่มาเอ่ยถาม  

 

 

ลู๋อวิ๋นฉีเพียงเดินออกไปข้างนอกไม่เอ่ยสักคำ คนทั้งหมดล้วนวุ่นวายขึ้นมา จูงม้ามา คบไฟโคมไฟชุมนุม ประตูใหญ่ถูกผลักเปิด  

 

 

ท่ามกลางความวุ่นวาย ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทไม่เอ่ยสักคำ หากไม่ใช่คนยังเดินเคลื่อนไหวด้วยตนเองอยู่ก็เหมือนรูปสลักไม้รูปปั้นหินจริงๆ  

 

 

เขาวาดขาขึ้นม้า ควบม้าวิ่งเร็วรี่  

 

 

พวกองครักษ์เสื้อแพรซ้ายขวาหน้าหลังรุมล้อมปกป้อง เสียงกีบเท้าม้า แสงคบไฟสว่างทำให้ค่ำคืนอันเงียบสงบของเมืองหลวงตระหนกวุ่นวาย  

 

 

มองเห็นขบวนคนนี้ผ่านมา ฝูงชนที่เดินตลาดกลางคืนก็ตกใจสะดุ้งโหยงพากันหลบหลีก รอมองเห็นลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ตรงกลางยิ่งตกอกตกใจ  

 

 

ดึกดื่นป่านนี้จะไปค้นบ้านหรือ?  

 

 

เป็นใครอีกโชคร้ายเช่นนี้?  

 

 

ท่ามกลางสายตาหลุกหลิกสงสัยใคร่รู้ของผู้คน ขบวนคนของลู่อวิ๋นฉีก็หายไปบนถนน  

 

 

“ดูทิศทางแล้วไปนอกเมือง”  

 

 

“ดึกขนาดนี้ยังจะออกจากเมืองรึ?”  

 

 

“เดินทางกลางคืนไม่กลัวเจอผีหรือ?”  

 

 

คำพูดนี้เอ่ยออกมาข้างทางก็เงียบงันไปวูบหนึ่ง ผู้คนร้องประสานเสียงทีหนึ่งพลันแตกกระเจิง การเคลื่อนไหวนี้เร็วเกินไปแล้ว บุรุษผู้แนบร่างอยู่ที่มุมกำแพงคนหนึ่งไม่ทันระวังถูกชนล้มคว่ำ หมวกสานซึ่งสวมอยู่บนศีรษะกลิ้งร่วง ถูกคนที่วิ่งกระเจิงเหยียบเข้าหลายที  

 

 

“เฮ้เฮ้หมวกข้า” เขารีบร้อนตะโกน  

 

 

หมวดสานถูกคนเตะทีหนึ่งกลับมา  

 

 

“กลางดึกสวมหมวกทำอะไร” คนผู้นั้นด่าคำหนึ่ง  

 

 

เขาโมโหเก็บหมวกขึ้นแล้วมองผู้คนที่วิ่งแยกย้ายท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน ไหนเลยจะมองชัดว่าใครเตะ  

 

 

เขาเก็บหมวกขึ้นมา เห็นหมวกดีๆ ถูกเหยียบจนบูดเบี้ยว ได้แต่กรุ่นโกรธแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง  

 

 

ตลาดกลางคืนฟื้นกลับมาคึกคัก เขายืนตัวตรงมองรอบด้าน ยกมือกดจอนผม จัดเสื้อผ้าเดินตามถนนไปข้างหน้า  

 

 

ที่ตลาดกลางคืนร้านรวงมากมายตั้งอยู่ คนไม่น้อยบ้างนั่งบ้างยืนกิมดื่มคุยเล่นหัวเราะกันอยู่ แน่นอนย่อมมีเหลาสุรามากมายเปิดร้านอยู่ด้วย แต่เทียบกับยามกลางวันอย่างไรก็แลดูเงียบเหงากว่าอยู่บ้าง อย่างไรยามกลางคืนจะดื่มสุรามีหอโคมเขียวสถานที่ดีๆ นี้ให้ไป  

 

 

เขาเดินมาถึงอาคารสมาคมของสมาคมอาชีพแห่งหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาหลายประโยค กับพนักงานคนหนึ่งที่ประตู พนักงานคนนั้นก็รีบนำทางเขาเข้าไปด้านใน ส่วนประตูของสมาคมก็ปิดลงตามหลัง โคมไฟด้านบนประตูก็ถูกดับ บ่งบอกว่าที่แห่งนี้ปิดแล้ว  

 

 

สถานที่ซึ่งบุรุษผู้นั้นเดินผ่านตามการนำทางของพนักงานด้านใน โคมไฟทยอยถูกดับลงด้วย ในห้องที่เดิมสว่างไสวกลายเป็นมืดสลัว เขาหยุดหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง จัดเสื้อผ้าอีกครั้งแล้วดึงประตูเปิดเดินเข้าไป  

 

 

ในห้องแสงโคมสลัวส่องผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เวลานี้กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างก้มศีรษะตั้งใจเขียนตัวอักษรอยู่  

 

 

เขาอมยิ้มก้าวเข้าไปประสานมือค้อมกายอย่างเคารพนบนอบ  

 

 

“คารวะใต้เท้าหวง” เขาเอ่ย  

 

 

ผู้เฒ่าที่เขียนอักษรอยู่เงยศีรษะขึ้น แสงโคมส่องใบหน้าเ**่ยวย่นของเขา ใต้เท้าหวงหวงเฉิงนั่นเอง  

 

 

“หากตอนนี้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทบอกว่าข้าจับท่านขุนนางพระคลังขององค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์จินไว้ได้” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าอบอุ่น “ฝ่าบาทต้องยินดีปรีดายิ่งแน่”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด