Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาค 3 บทที่ 176 คนแปลกหน้ากลายเป็นแขกคุ้นเคยแล้ว

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 3 บทที่ 176 คนแปลกหน้ากลายเป็นแขกคุ้นเคยแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขำ แล้วก็ไม่ใช่เวลาที่ควรขำ  

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วรีบเก็บรอยยิ้ม ยกมือตบแขนฟางอวี้ซิ่ว  

 

 

“อย่าพูดเหลวไหล” นางเอ่ย  

 

 

“ไม่ได้พูดเหลวไหลนะ” ฟางอวี้ซิ่วมองไปทางฟางเฉิงอวี่ “เฉิงอวี่เจ้าเล่าสิ”  

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางก็มองไปทางฟางเฉิงอวี่ด้วย  

 

 

“นางไม่เป็นไรสินะ” นางแอ่ย  

 

 

แม้ฟังดูแล้วเหมือนไถ่ถาม แต่น้ำเสียงของนางคือการบอกเล่า  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ถือจดหมายสีหน้าเศร้าสร้อย  

 

 

“ท่านแม่ พี่สาว พวกท่านไม่เป็นห่วงนางสักนิดเลยหรือ” เขาถอนหายใจเอ่ย  

 

 

ฟางอวี้ซิ่วพลันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง กุมมือไว้ มองฟางเฉิงอวี่ด้วยความตื่นเต้น  

 

 

“ตอนนี้นางเป็นอย่างไร? นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ทำอย่างไรดี? คนด้านนั้นช่วยนางได้หรือยัง?” นางเอ่ยถามอย่างร้อนรนเกินจริง  

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหวิดกลั้นไม่อยู่หัวเราะอีกครั้ง  

 

 

ส่วนฟางเฉิงอวี่มองนาง  

 

 

“นางไม่เป็นไร” เขาเอ่ย พูดจบก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังแล้ว  

 

 

ฟางอวี้ซิ่วผายมือสองข้าง ฟางอวิ๋นซิ่วก็ผ่อนลมหายใจ  

 

 

“ที่แท้เกิดอะไรขึ้น” นางเอ่ย  

 

 

ในห้องโถงเสียงอ่านจดหมายอันอ่อนโยนของฟางเฉิงอวี่ดังขึ้น เสียงของเขาสูงต่ำหยุดเป็นจังหวะ อ่านเนื้อหาที่พรรณนาในจดหมายจนคนฟังเพลิน มารดากับพี่สาวสามคนได้ฟังสีหน้าประเดี๋ยวตื่นเต้นประเดี๋ยวตกตะลึง รออ่านจดหมายจบในห้องโถงก็เงียบไปพักหนึ่ง  

 

 

“ไม่รู้ควรพูดอะไรดี” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “โจรภูเขาเหล่านี้ก็นะ อยู่ดีๆ หาเรื่องนางทำอะไร ตอนนี้ดีเลย ถูกเกาะแล้ว”  

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหัวเราะพรืดอีกครั้ง  

 

 

“ไม่เป็นไรก็ดี” นางว่า “เจินเจินนางเป็นหมอจิตใจเมตตา กล่อมเกลาโจรภูเขาเหล่านี้ได้ก็เป็นบุญกุศลครั้งหนึ่ง”  

 

 

“กล่อมเกลา” ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะเอ่ยขึ้น “ฟังดูแล้วไม่เหมือนเรื่องที่นางจะทำจริงๆ”  

 

 

นางไม่ได้กล่อมเกลาหลินจิ่นเอ๋อร์ที่จะทำร้ายนาง กระทั่งลูกเล่นเล็กๆ ของจั่วเยี่ยนจือตอนทะเลาะกันนั่น นางยังจะต้องวางกับดักผู้อื่นร้อยตำลึง  

 

 

ไม่อาจเข้าใจและคาดเดาการกระทำของเด็กสาวคนนี้ได้แล้ว นายหญิงใหญ่ฟางลุกขึ้นยืน  

 

 

“ไม่เป็นไรก็ดี” นางเอ่ย “กำชับนางว่าให้ระวังหน่อย อออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกไม่อาจกระทำตามอำเภอใจ”  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขานรับ ทิศตะวันออกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว  

 

 

ฟางเฉิงอวี่กลับมาในห้องก็ไม่มีความง่วง ให้ไป๋เสากับม่ายตงฝนหมึกเขียนจดหมาย  

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยกพู่กันเขียนจิ่วหลิงได้สองคำกลับไม่รู้ควรพูดอะไร ทั้งไม่อยากหยุดพู่กัน จึงเขียนจิ่วหลิงต่อไป  

 

 

คำหนึ่งแล้วอีกคำหนึ่ง คำว่าจิ่วหลิงสองคำปรากฏบนกระดาษไม่หยุด ฟางเฉิงอวี่คล้ายหาความสนุกใหม่พบ กระตือรือร้นสีหน้าจริงจังเขียนต่อไป ไม่นานก็เขียนเต็มกระดาษแผ่นหนึ่ง  

 

 

แสงอรุณลอดผ่านกรอบหน้าต่างทะลวงเข้ามาในห้องแล้ว ความมืดของราตรีถดถอยไปหมดสิ้น รุ่งอรุณสว่างมาถึง  

 

 

หมู่บ้านภูเขาปลายฤดูใบไม้ร่วงเริ่มหนาวแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม กลิ้งอยู่บนเตียง ฉับพลันได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งอยู่ด้านนอกความง่วงก็มลายหายไปสิ้น  

 

 

“ทุกวันเช้าขนาดนี้” นางพึมพำทีหนึ่ง ได้แต่ลุกจากเตียง เก็บข้าวของลวกๆ นิดหนึ่ง เมื่อเดินออกมาก็มองเห็นพวกผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยเช่นเหลยจงเหลียนแบกจอบเคียวเดินไปด้านนอกหมู่บ้าน  

 

 

“พวกเจ้าลูกเจี๊ยบทหารใหม่ทั้งหลาย…วันนี้ดีที่สุดเคลื่อนไหวให้เร็วหน่อย อย่าสู้ไม่ได้กระทั่งพวกผู้หญิง”  

 

 

มีบุรุษตะโกนเสียงดังใส่พวกเขา  

 

 

“พวกเราไม่…” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งอดไม่ไหวจะเอ่ยตอบ ด้านข้างผู้หญิงที่หิ้วเสื้อผ้าอ่างไม้จะไปซักผ้าเดินคุยเล่นผ่านมาได้ยินเข้าก็เปิดปากขัดเขา  

 

 

“ซ่างชุนฮวาเจ้าพูดอะไรนะ! พวกเราผู้หญิงเป็นอย่างไร?”   

 

 

“เจ้ามีความสามารถก็มาแข่งกับพวกเราดูสิ”  

 

 

พวกผู้หญิงตะโกนวุ่นวาย  

 

 

บุรุษที่เอ่ยปากคนแรกหดหัวทันที รู้ซึ้งถึงสัจธรรมที่ว่าบุรุษที่ดีไม่ทะลาะกับสตรี  

 

 

ทางเข้าหมู่บ้านยามเช้าตรู่เสียงคุยเล่นหัวเราะสะท้อนก้อง ทำให้หมู่บ้านภูเขาทั้งหมดมีชีวิตชีวา  

 

 

คำพูดที่เดิมทีผู้คุ้มกันจะพูดหถูกกลั้นกลับไป คิดๆ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้พูด คนกลุ่มหนึ่งตามบุรุษผู้นั้นไปทำงานอย่างว่าง่าย  

 

 

“ที่จริงข้าก็ไปทำงานได้เหมือนกัน หากไม่ใช่ต้องตื่นเช้า” หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคักเอ่ย “แล้วข้ายังต้องปรนนิบัติคุณหนูของข้าด้วย”  

 

 

เด็กที่จูงวัวอยู่ด้านข้างคนหนึ่งเดินผ่านได้ยินเข้าก็ร้องเอ๋  

 

 

“พี่สาวหลิ่วเอ๋อร์” เขาเอ่ยพลางยื่นมือชี้บนภูเขา “คุณหนูจวินขึ้นเขาไปแล้ว”  

 

 

คุณหนูตื่นเช้ากว่านางเสมอ คนอื่นพูดก็ช่างเถิด แน่นอนก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยกับนางเหมือนกัน นอกจากเด็กน้อยไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ หน้าของหลิ่วเอ๋อร์แดงเล็กน้อยแล้วแค่นเสียงเหอะ  

 

 

“ข้ายังต้องทำอาหารให้คุณหนูของข้าหรอก” นางเอ่ย  

 

 

เด็กน้อยกัดนิ้วมือมองนาง  

 

 

“บ้านท่านไม่ใช่มีแม่ครัวหรือ?” เขาเอ่ยอีกครั้ง  

 

 

นอกจากมอบข้าว แป้ง น้ำมัน ชา ผัก เนื้อให้แล้ว เต๋อเซิ่งชางยังส่งแม่ครัวคนหนึ่งมาด้วย ปรนนิบัติเรื่องอาหารการกินของคุณหนูจวินโดยเฉพาะ  

 

 

หลิ่วเอ่อร์ถลึงตา  

 

 

“เลี้ยงวัวขุดรากหญ้าหวานกินของเจ้าไปเถอะ” นางเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าคิดกินผลไม้เชื่อมของข้าอีกเลย”  

 

 

หลายวันนี้เพราะหลิ่วเอ๋อร์เอาของกินนานาชนิดออกมาได้เสมอจึงยุ่งกับเด็กเล็กในหมู่บ้านจนคุ้นเคยแล้ว เด็กเล็กทั้งหลายเหล่านี้เผชิญหน้ากับนางจึงไม่เก้กังอีกต่อไป ได้ยินเข้าก็หัวเราะคิกคักวิ่งออกไปแล้ว  

 

 

หลิ่วเอ๋อร์เมียงมองบนเขา ไม่รู้ว่าคุณหนูขึ้นเขาทำอะไรอีกแล้ว? หรือยังจะไปยืนหน้าประตูบ้านน้าคนนั้นอีกหรือ?  

 

 

คุณหนูจวินไม่ได้ไปที่บ้านอาจารย์หญิง ตั้งแต่วันนั้นที่ตัดสินใจให้พวกเหลยจงเหลียนฝึกทหารกับพวกเขา นางก็ไม่ได้ไปอีก  

 

 

ทุกวันนางยังคงขึ้นเขา แต่เพื่อเก็บสมุนไพร  

 

 

เช้านางก็เก็บได้หนึ่งตะกร้าแล้ว คุณหนูจวินมองว่าเพียงพอต้องใช้ในวันนี้ก็เช็ดเหงื่อเตรียมลงเขา ลัดเลาะผ่านภูเขาป่าไม้มีไก่ป่ากระต่ายป่าวิ่งผ่านเป็นครั้งคราว  

 

 

แม้เพิ่งมาได้ไม่นาน แต่นางก็เดินบนเขาได้ตามใจแล้ว หลบเลี่ยงค่ายกลลับสองอัน เก็บกระต่ายสองตัวที่ค่ายกลลับอีกอันหนึ่งจับได้ขึ้นมาแล้วถือโอกาสวางค่ายกลลับใหม่ให้เรียบร้อย  

 

 

เพิ่งวางเสร็จก็สัมผัสได้ว่าหลังร่างมีความเคลื่อนไหว คุณหนูจวินหมุนตัว มองเห็นหยางจิ่งหิ้วฟื้นมัดหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังร่าง  

 

 

“ท่านอาหยาง สิ่งนี้มอบให้ท่านหรืออารองเซี่ย?” นางชี้กระต่ายที่นางใช้หญ้ามัดขาอยู่บนพื้น เอ่ยถามขึ้นมา  

 

 

“ให้เขาเถอะ” หยางจิ่งเอ่ย  

 

 

สิ่งที่ชาวบ้านล่าได้ล้วนรวบรวมมอบให้เซี่ยหย่งทั้งหมด เข้าเมืองขายแลกเป็นข้าวสารตามกำหนดเวลาแล้วค่อยแบ่งสันพร้อมกันอีกครั้ง  

 

 

คุณหนูจวินรู้กฎที่นี่ของพวกเขาแล้ว นางอมยิ้มพยักหน้าพลางหิ้วกระต่ายขึ้นมา  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะลงเขาแล้ว” นางโบกมือเอ่ยอย่างดีใจ  

 

 

หยางจิ่งมองท่าทางสุขสันต์ของเด็กสาว  

 

 

“คุณหนูจวิน” เขาร้องเรียก  

 

 

คุณหนูจวินหยุดทันทีหันกลับไป  

 

 

“ท่านอาหยางยังมีอันใดสั่งหรือ?” นางเอ่ยถาม  

 

 

หยางจิ่งส่ายศีรษะ  

 

 

“สั่งไม่กล้า” เขาเอ่ย “มีตาข่ายดินที่เสียอยู่หลายอันเป็นท่านซ่อมให้ใช้ได้หรือ?  

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

“ใช่แล้ว ข้าเห็นว่าเสียแล้วจึงถือโอกาสซ่อมแซมเสียหน่อย” นางเอ่ยแล้วชี้ไปอีกหลายทิศ “ยังมีเชือกรัดม้าที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน เสาศรในแม่น้ำด้วย”  

 

 

หยางจิ่งสีหน้าปั้นยาก  

 

 

“พวกเราใช้เป็นเท่านั้น ซ่อมไม่เป็น เวลานานเข้าพังไปก็ได้แต่โยนทิ้ง” เขาเอ่ย  

 

 

คนผู้นั้นจากไป จากไปคราหนึ่งนานปานนี้ คนยังทนอยู่ รออยู่ได้ ข้าวของกลับรอไม่ได้แล้ว พังแล้ว ถูกทิ้งแล้ว  

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้ม  

 

 

“หลังจากนี้ไม่ต้องเป็นห่วง” นางพยักหน้า “มีข้าอยู่ ข้าซ่อมได้ข้าซ่อมเอง”  

 

 

หยางจิ่งไม่เอ่ยวาจาอีก คำนับให้นาง คุณหนูจวินโบกมือให้เขา ก่อนก้าวไปข้างหน้าคล้ายตั้งใจแต่ไม่ตั้งใจมองหลังร่างเขาทีหนึ่ง  

 

 

เห็นสายตาของนางมองมา ในใจหยางจิ่งพลันบีบรัด อยากพูดอะไรบางอย่าง คุณหนูจวินก็เดินออกไปแล้ว  

 

 

คนก้าวเดินว่องไวบนทางภูเขา แล้วยังฮัมเพลงเสียงเบาสะท้อนก้องในป่า ค่อยๆ ไกลออกไป  

 

 

หยางจิ่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ  

 

 

“พวกนั้น นางซ่อมจนใช้ได้หมดจริงๆ หรือ?”  

 

 

เสียงสตรีขัดเขินดังมาจากเบื้องหลัง  

 

 

“นางร้ายกาจปานนี้เชียว”  

 

 

หยางจิ่งหมุนตัว มองเด็กสาวที่นั่งยองอยู่หลังหินภูเขา รูปร่างของนางเล็กผอม หินภูเขาบดบังนางมิด  

 

 

“ใช่” หยางจิ่งเอ่ย “นางซ่อมจนใช้ได้จริงๆ นางร้ายกาจยิ่ง”  

 

 

นิวหนิ่วเงยหน้าขึ้น ผืนผ้าปิดบังใบหน้านางไว้ เหลือเพียงดวงตาสองข้างเผยสู่ภายนอก เวลานี้แววตาตกตะลึงอิจฉารวมถึงริษยา  

 

 

“นี่ล้วนเป็นพ่อของข้าสอนให้นางงั้นหรือ?” นางเอ่ยถาม  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด