Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 4 33 รบเถอะ

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 33 รบเถอะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟ้าสว่างจ้าแล้ว ในคูน้ำนอกกำแพงเตี้ยเงียบงันไปครู่หนึ่ง เสียงกลองรบพลันดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงกลองรบนี่ ทหารจินแถวแล้วแถวเล่าชูดาบขวานโล่เกราะพุ่งเข้ามา  

 

 

สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาคือศรคมดุจฝนระลอกหนึ่งหลังกำแพงเตี้ย  

 

 

แต่ประการแรกโล่ขวางศรคมไว้ส่วนหนึ่ง ประการที่สองต่อให้ถูกยิงเข้า ทหารจินมากกว่าเดิมหลังร่างก็ประหนึ่งน้ำหลากเหยียบย่ำสหายร่วมชาติที่ตายไปขึ้นไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงเร่งเร้าของกลางศึก  

 

 

เสียงร้องประหลาดภาษาหูมืดฟ้ามัวดิน พริบตาเติมเต็มกำแพงเตี้ยกับคูน้ำ หลังจากนั้นก็ล้นทะลักขึ้นมา  

 

 

ยืนอยู่บนกำแพงด่านเก่าพัง มองเห็นทหารจินสวมเกราะหนักสีหน้าดุร้ายที่โถมเข้ามาเหล่านี้ได้  

 

 

“ถอย”  

 

 

แม่ทัพที่กำแพงด่านยิงศรดอกสุดท้ายเสร็จก็ตะโกนบอก  

 

 

เห็นทหารโจวผลุนผลันถอยหนี ทหารจินที่ข้ามกำแพงเตี้ยกับคูน้ำมาฉับพลันกำลังใจยิ่งฮึกเหิม พุ่งเข้ามาในกำแพงด่านอย่างรวดเร็วยิ่ง  

 

 

ผ่านศึกดุเดือดคืนหนึ่ง หลังกำแพงด่านพังถล่มระเกะระกะดูไม่ได้ กำแพงดินถูกเหยียบจนไถลร่วง โครงไม้ติดไฟ คราบเลือดสดแห้งกรัง ซากศพทหารโจวล้มกลิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น รวมถึงรถเกราะโครงไม้ที่ทิ้งไว้  

 

 

โหดร้ายประหนึ่งนรกบนดิน แต่ก็ทำให้การเดินผ่านทางกลายเป็นยากลำบาก  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านในกำแพงด่านนี้เดิมก็คับแคบ ทหารจินที่แห่เข้ามาชั่วขณะหนึ่งคลื่อนที่เชื่องช้า เบียดรวมเป็นกลุ่ม โล่อยู่หน้า อาวุธหนักอยู่หลัง กระบวนทัพที่มีเพชฌฆาตป้องกันสองด้านไร้ความหมาย  

 

 

ด่านเมืองใหม่เล็กๆ แห่งนี้แม้ไม่ใหญ่ แต่สภาพภูมิประเทศสูงชัน ถอยป้องกันได้ บุกโจมตีได้ ดังนั้นหลังเฉิงกั๋วกงเข้าอี้โจวได้สิ่งแรกที่ทำคือยึดที่นี่เสีย นอกจากนี้ยังอาศัยที่นี่จนเกือบจับตัวองค์ชายเจ็ดของแคว้นจินได้ หากไม่ใช่ทั่วป๋าอูนำทหารมาทลายวงล้อมได้ทันเวลา  

 

 

สำหรับทหารจินแล้ว คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากกว่าทหารโจวมาก แต่ทหารจินทั้งหลายที่เข้ามากลับระวังระไว สีหน้าที่เดิมทีดุร้ายเปลี่ยนกลายเป็นฉงนอยู่บ้าง  

 

 

ด้านในกำแพงด่านนี่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน  

 

 

หรือเมื่อคืนทหารโจวตายเกลี้ยงแล้ว  

 

 

แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกับความเร็วของพวกเขา เพราะหลังร่างทหารจินมากกว่าเดิมแห่เข้ามา พริบตาด้านในกำแพงด่านก็เบียดเต็มไปด้วยผู้คน  

 

 

กำลังจะพุ่งเข้าไปในเมืองด้านหน้า เสียงกลองฆ้องแหลมระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นเสียงลมฟิ้วฟิ้วก็ดังมา ทหารจินทั้งหลายเงยหน้าโดยไม่รู้ตัว เห็นกระสุนหินกองหนึ่งบินมาจากด้านในเมืองเบื้องหน้า  

 

 

ทหารจินร้องเสียงประหลาดทันทีต้องการหลบกระจายออก แต่คนมากที่แคบ ด้านหลังยังมีทหารจินที่ไม่ทันตอบสนองแห่เข้ามาอีก ชั่วครู่เดียวกระสุนหินสิบกว่าเม็ดก็เขวี้ยงลงมา  

 

 

พริบตาคนกองหนึ่งก็ถูกทุบคว่ำลงกับพื้น ศีรษะใต้หมวกเกราะบิดผิดรูป เลือดไหลทะลัก  

 

 

นอกจากกระสุนหินที่ตกใส่บาดเจ็บยังมีคนของตนเองชนกันเหยียบกันท่ามกลางความชุลมุนอีกด้วย  

 

 

“ทำไมยังมีรถโยนหินได้อีก?”  

 

 

“ไม่ใช่ใช้ไปหมดแล้วหรือ?”  

 

 

ได้ฟังภาษาหูกับเสียงกรีดร้องข้างนอก แม่ทัพที่หลบซ่อนอยู่หลังกำแพงเมืองชั้นในสีหน้านิ่งสงงบ  

 

 

มีอะไรแปลก พวกเขาไม่เคยคาดหวังทหารกองหนุน ย่อมต้องสร้างหลักประกันไว้ให้เพียงพอ  

 

 

“พลหน้าไม้” เขาลุกขึ้นยืน หน้าไม้ในมือเล็งไปนอกกำแพงดิน “ยิง”  

 

 

นายทหารสิบกว่าคนลุกขึ้นยืน ลั่นไกหน้าไม้ในมือ  

 

 

ศรประดุจฝนโถมเข้าใส่ทหารจินใต้กำแพงดิน  

 

 

ด้านในกำแพงด่านตกสู่ความโกลาหล  

 

 

เห็นทหารจินทั้งหลายที่พุ่งเข้าไปหนีกลับมา ทั่วป๋าอูที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ในค่ายทหารไกลออกไปก็โกรธจัด ออกคำสั่งยิงสังหารทหารจินที่ถอยหลัง  

 

 

“เขาไม่เหลือกำลังทหารเท่าไรแล้ว ยันไม่ไหวแล้ว” เขาตะโกนโกรธเกรี้ยว “ทหารกล้าทั้งหลายต่อให้ต้องใช้ซากศพทับก็ต้องทับจูซานให้ตาย!”  

 

 

ทหารจินที่ถอยหลังระลอกหนึ่งถูกยิงสังหาร เข้าก็ตาย ถอยก็ตาย ทหารจินนับไม่ถ้วนมีแต่ต้องเสี่ยงตายไปข้างหน้า  

 

 

ในนอกกำแพงด่านซากศพแน่นขนัด  

 

 

“… รอบนี้มีประมาณหนึ่งพันกว่ากระมัง” แม่ทัพที่ยืนอยู่บนกำแพงด้านในเอ่ยเสียงเบา เขาพูดพลางหัวเราะหึหึหึ เห็นชัดว่าพอใจยิ่งกับผลลัพธ์นี้  

 

 

“ไม่เลวยิ่ง”  

 

 

เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากด้านหลัง  

 

 

แม่ทัพหันหลังมองไป เห็นแม่ทัพนายทหารกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ห้อมล้อมบุรุษรุปร่างกำยำคนหนึ่งไว้  

 

 

ข้างกายมีนายทหารชูธงผืนใหญ่ ธงผืนใหญ่โบกสะบัดตามสายลมบดบังแสงตะวัน ทอดเงาดำแถบหนึ่งครอบบุรุษคนนี้ไว้  

 

 

บุรุษคนนี้สวมชุดเกราะ สวมหมวกเกราะ ใต้เงาดำผืนนี้ใบหน้ายิ่งมองไม่ชัด พู่สีแดงบนหมวกเกราะสะดุดสายตาเป็นพิเศษ  

 

 

ในมือเขาถือดาบยาวเล่มหนึ่ง ดาบยาวนี่สร้างได้ประณีตอย่างยิ่ง กะคร่าวๆ มียี่สิบสามสิบชั่ง เวลานี้ใต้แสงตะวันทอประกายเย็นเยียบ  

 

 

“ท่านกั๋วกง” แม่ทัพรีบก้าวเข้าไปคำนับ  

 

 

สายตาของเฉิงกั๋วกงมองไปด้านหน้า  

 

 

หลังซากศพมากยมายแน่นขนัดเบื้องหน้า ทหารจินนับไม่ถ้วนกำลังแห่มาไม่ขาดสาย  

 

 

“รบเถอะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย  

 

 

นี่จะเป็นศึกสุดท้ายแล้ว  

 

 

แต่เสียงของเขายังคงเหมือนวันวาน ไม่มีความโศกเศร้าคับแค้นยินดีโกรธเกรี้ยว คำพูดสั้นกระชับเด็ดขาด  

 

 

แม่ทัพรอบด้านสีหน้าก็นิ่งสงบเช่นกัน  

 

 

ก่อนมาก็รู้จุดจบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่หดหู่อันใด  

 

 

“สังหารโจรชั่ว!” พวกเขาชักอาวุธร้องตะโกน  

 

 

บนกำแพงนายทหารทั้งหมดล้วนลุกขึ้นยืน ตะเบ็งเสียงตะโกนสุดกำลัง พวกเขาสายตาแน่วแน่ สีหน้ามีความโกรธแค้นและฮึกเหิม มีความเฉยชา ไม่มีเพียงความหวาดกลัว  

 

 

เสียงดั่งอสนีบาตวสันต์ฤดูสะท้อนก้องกังวานป้อมปราการด่าน  

 

 

เห็นระลอกหนึ่งแห่เข้ามา แล้วระลอกหนึ่งถอยออกไป จากนั้นระลอกหนึ่งแห่เข้ามาอีกครั้ง เสียงตะโกนสังหารสะเทือนฟ้า ทั่วป๋าอูที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ไกลออกไปก็อดไม่ได้อกสั่นขวัญแขวน มือวางอยู่ตรงเอวกำขวานยาวแน่น  

 

 

พร้อมกับการรุกถอยของสองฝ่ายระหว่างรบ สนามรบก็เคลื่อนมาถึงนอกป้อมปราการด่าน ในสายตาของทั่วป๋าอูในที่สุดก็ปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่ง  

 

 

คนผู้นี้รูปร่างสูงกำยำ ทั้งร่างชุดเกราะสีขาวสว่างตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาบยาวเล่มนั้นในมือ  

 

 

ก็เป็นดาบยาวเล่มนี้เองที่ตัดศีรษะน้องชายของเขา ทำให้เขาใช้ชีวิตเลื่อนลอนอย่างสุนัขไปสี่ปี  

 

 

ทั่วป๋าอูดวงตาแดงก่ำ  

 

 

หากสังหารเฉิงกั๋วกงด้วยมือตนเองได้ก็คราวเดียวล้างความอับอายก่อนหน้าได้  

 

 

เขาคว้าขวานยาวกำลังจะลงจากหอสังเกตการณ์ กลับมองเห็นดาบยาวของเฉิงกั๋วกงร่ายรำดุดันเยี่ยงพยัคฆ์ คนที่เข้าใกล้ข้างกายเขาถูกกวาดออกล้มลงแถบแล้วแถบเล่า  

 

 

คนมากปานนั้นชุลมุนปานนั้น การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่รีบร้อนไม่ลนลานตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ความรู้สึกงดงามอย่างประหลาด  

 

 

แต่ความรู้สึกงดงามนี้กลับคลุ้งคาวเลือดอย่างที่สุด  

 

 

ดาบยาวสะบัดผ่าน นายทหารคนหนึ่งแทบถูกฟันกลายเป็นสองเสี่ยง ใต้แสงตะวันหมอกโลหิตฟุ้งกระจาย อวัยวะภายในปลิวว่อนรอบด้าน  

 

 

ทั่วป๋าอูอดไม่ได้สีหน้าคล้ำเขียว แววตาเต้นระริก กำขวานยาวในมือแน่นแล้วหยุดก้าวเท้า  

 

 

เฉิงกั๋วกงจูซานตายแน่แล้ว หากเห็นตนต้องลากตนเองลงสุสานไปด้วยแน่  

 

 

แม้กำลังพลมากมาย พวกเฉิงกั๋วกงไม่มีกำลังสวนกลับแล้ว แต่เฉิงกั๋วกงเจ้าเล่ห์เพทุบาย ใครจะรู้ว่ายังมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่หรือไม่  

 

 

เสี่ยงอันตรายนี้ไม่ได้ รอเขาตายแล้วตนไปตัดศีรษะเขาด้วยมือตนเองก็เหมือนกัน  

 

 

“โจมตีต่อ โจมตี” เขาคว้าราวกั้นตะโกน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนทั้งหมดบุกให้หมด สังหารพวกเขา สังหารพวกเขา”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็แหงนหน้าหัวเราะบ้าคลั่ง  

 

 

“จูซานต้องตายแล้ว! จูซานในที่สุดก็ต้องตายแล้ว!”  

 

 

เวลานี้เอง ในหูก็ได้ยินเสียงบึ้มดังสนั่นหหลายครั้ง หอสังเกตการณ์เอนไหวไปวูบหนึ่ง ทั่วป๋าอูที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบหกคะเมนลงมา  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

เขารีบคว้าราวกั้นไว้ ยังไม่ทันหาพบว่าเสียงลอยมาจากที่ใดก็ได้ยินเสียงอุทานตกใจวุ่นวายวูบหนึ่งหลังร่าง  

 

 

“ทหารกองหนุนของชาวโจวมาแล้ว !”  

 

 

ทหารกองหนุนของชาวโจว?  

 

 

ทหารกองหนุนของชาวโจวมาจากไหน?  

 

 

นอกจากเฉิงกั๋วกงจูซาน ใครกล้าขัดบัญชาฮ่องเต้ ใครกล้านำทหารบุกเข้าเขตจิน ใครรู้ชัดว่าศัตรูหลายหมื่นรวมพลอยู่ยังกล้ามาเผชิญศึก?  

 

 

มองผิดใช่หรือไม่?  

 

 

แต่ความวุ่นวายข้างหลังยิ่งมาก เสียงตะโกนตลบกลบฟ้ากลบดิน  

 

 

“เป็นกองทหารชิงซาน”  

 

 

“กองทหารชิงซานมาแล้ว”  

 

 

กองทหารชิงซานเป็นกองทหารอะไร?  

 

 

ทั่วป๋าอูหันกลับไปมอง สีหน้าตกตะลึง  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด