Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 4 64 เรื่องสนุกที่ทั้งเมืองรอคอยนี้

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 64 เรื่องสนุกที่ทั้งเมืองรอคอยนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ทั้งเมืองหลวงก็เอะอะอย่างยิ่ง คนนับไม่ถ้วนแห่มายังประตูเมืองทิศใต้  

 

 

พวกเฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวงจากที่นี่ ตัดผ่านเมืองไปยังถนนเสด็จพระราชดำเนิน หลังจากนั้นจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน้าพระราชวัง  

 

 

เหลาสุราร้านนำชาบนถนนเส้นนี้ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนก็ถูกจองหมดแล้ว คนที่จองไม่ได้และจองที่สูงๆ ไม่ไหว ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มายึดครองที่บนถนน  

 

 

ตั้งแต่ในเมืองจนไปถึงนอกเมืองคนเบียดอยู่เต็ม ที่ซึ่งฝูงชนมากที่สุดย่อมเป็นประตูเมืองกับถนนเสด็จพระราชดำเนิน เพราะที่นี่จะมีองค์ชายมาต้อนรับด้วยองค์เอง รวมถึงการเข้าเฝ้าฮ่องเต้  

 

 

นอกจากที่นี่ สถานที่อื่นก็ฝูงชนแออัดเช่นกัน จากที่สูงสุดบนประตูเมืองมองออกไป ฝูงชนแทบจะเรียงรายไปจนถึงค่ายทหารนอกเมืองที่นั่น  

 

 

เพื่อรักษาระเบียบ กรมทหารม้าห้าเมืองรวมถึงกองทหารองครักษ์เคลื่อนพลนับพันคน เพียงแต่ฝูงชนมากมายเช่นนี้ ทั้งทหารเหล่านี้ก็สังกัดกองทหารองครักษ์ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพร อำนาจข่มขวัญไม่พอ เสียงเอะอะและการเบียดเสียดจึงเกิดขึ้นตรงนั้นตรงนี้  

 

 

“ครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ” บุรุษสวมชุดไหมหรูหราคนหนึ่งที่อยู่ในห้องที่สูงที่สุดของเหลาสุราใกล้ประตูเมืองถอนหายใจเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ชวนให้คนเลื่อมใส”  

 

 

“แต่สำหรับคนพวกนี้แล้ว ที่จริงสงสัยใคร่รู้มากกว่า” มีคนหัวเราะเรียบเฉย “เลื่อมใสอะไรคงเรียกไม่ได้”  

 

 

“ใช่แล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่แดนเหนือ” มีอีกคนหัวเราะหยันเช่นกัน “หากเฉิงกั๋วกงคิดว่าจะเหมือนอยู่ที่แดนเหนือเช่นนั้นได้ เกรงว่าคงต้องผิดหวังแล้ว”  

 

 

บุรุษสวมชุดผ้าไหมหรูหราผู้นั้นหัวเราะแล้ว  

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?” เขาหันศีรษะกลับมาเอ่ยถาม  

 

 

บุรุษหลายคนพยักหน้า  

 

 

“เพื่อไม่ให้พลาด” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยพลางยื่นมือชี้ด้านหน้า “จึงจัดคนไว้นอกเมืองสิบลี้”  

 

 

“ถึงเวลาเฉิงกั๋วกงมาไม่ได้ ข่าวย่อมแจ้งมาให้ทุกคนได้ทราบสาเหตุเอง เช่นนี้ย่อมไม่ทำให้องค์ชายเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายด้านนี้ตื่นระหนก” บุรุษอีกคนอมยิ้มเอ่ย  

 

 

คนบางพวกหาเรื่องได้ คนบางพวกหาเรื่องไม่ได้ ตรรกะนี้พวกเขาที่เป็นพ่อค้ารู้ชัดยิ่งกว่าใคร  

 

 

บุรุษชุดไหมหรูหราพยักหน้า สีหน้าพึงพอใจรั้งสายตากลับ มองไปยังนอกประตูเมืองไกลๆ  

 

 

“หวังว่าเฉิงกั๋วกงจะชอบเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้” เขายิ้มเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อกระบวนทัพสี่เหลี่ยมก้าวออกจาค่ายใหญ่นอกเมือง ฝูงชนที่รอคอยอยู่ด้านนี้ก็ส่งเสียงเอะอะทันที  

 

 

กำลังพลเหล่านี้ไม่เหมือนกับกองทหารองครักษ์ที่เห็นประจำวันอย่างสิ้นเชิง ชุดเกราะของพวกเขาแม้นับไม่ได้ว่าสวยงาม รูปร่างก็ไม่สูงใหญ่อย่างเช่นเหล่าทหารองครักษ์ แต่ก็เป็นเพราะความเก่าอยู่บ้างผอมแกร็นอยู่บ้างนั่นที่ยิ่งเสริมกลิ่นอายเหล็กและคาวเลือด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดาบหอกกระบี่คันศรโล่ที่พวกเขาพกเหล่านั้น กดทับจนก้าวเท้าของม้าล้วนหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน  

 

 

ยามเผชิญหน้าเสียงโห่ร้องที่ระลอกหนึ่งดังกว่าระลอกหนึ่งกะทันหันนี้ กำลังพลในกระบวนทัพล้วนไม่ขยับสักนิด คล้ายดวงตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน  

 

 

อิทธิพลของภาพท่ามกลางพายุใหญ่คลื่นยักษ์ข้ายืนตระหง่านไม่ขยับเช่นนี้ยิ่งทำให้คนที่มาชมเรื่องสนุกฮึกเหิมอย่างยิ่ง  

 

 

มีทหารม้าของกองทหารองครักษ์หลายคนขี่เร็วรี่มา  

 

 

“ฝ่าบาทออกจากตำหนักบรรทมแล้วขอรับ”  

 

 

“บรรดาองค์ชายทั้งหลายก็ออกจากประตูวังแล้วขอรับ”  

 

 

ออกจากพระราชวังเวลาใด อยู่ตำแหน่งไหนเวลาใด ต้อนรับเวลาใด นั่นล้วนเป็นฤกษ์ดีที่โหรทำนายไว้แล้ว ไม่ใช่บอกจะไปก็ไปได้ตามสบาย  

 

 

ได้ยินรายงานฝั่งนี้ ขุนนางด้านนี้ที่รออยู่ก็ส่งสัญญาณให้เฉิงกั๋วกงทันที  

 

 

“ท่านกั๋วกง ออกเดินทางได้แล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย  

 

 

เฉิงกั๋วกงส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แตรสัญญาณและกลองศึกฉับพลันดังขึ้น ทัพใหญ่เคลื่อนไหวพร้อมเพรียง  

 

 

แตรสัญญาณฮูมฮูมหนักหน่วงเสียงกลองก็ฮึกเหิม แรงสั่นสะเทือนยามกีบเท้าเหล็กตกพื้นพร้อมเพรียง ทำให้ชาวบ้านที่มุงดูอยู่สองฝั่งเส้นขนลุกชัน หลังเงียบอยู่พักหนึ่งก็ร้องสรรเสริญดังกว่าเดิม  

 

 

“ตอนทำศึกก็กระบวนทัพเช่นนี้ใช่หรือไม่?”  

 

 

“นี่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ”  

 

 

“มิน่าทำให้ชาวจินกลัวจนไม่กล้ารุกรานได้”  

 

 

“เจ้าโง่รึ ชาวจินก็มีกระบวนทัพเช่นกัน บนสนามรบทำสงครามล้วนเป็นเช่นนี้”  

 

 

กองทัพเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงพูดคุย เสียงเอะอะประหนึ่งคลื่นสมุทรถาโถมแผ่ขยาย  

 

 

ได้ยินเสียงเอะอะไกลออกไปลอยมา ฝูงชนที่รออยู่ด้านนี้ก็วุ่นวายพักหนึ่ง  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“ห้ามเบียด!”  

 

 

“ถอยหลัง!”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงตำหนิเสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกเบียดปะปนอยู่ด้วยกัน ทั้งถนนใหญ่อื้ออึงอย่างยิ่ง นายทหาร เจ้าพนักงาน ทหารองครักษ์ทิ่มกระบองชูแส้ม้าหวดตีพักหนึ่งถึงทำให้ฝูงชนสงบลงได้  

 

 

ตรงที่แถบนี้มีคนไม่น้อยสีหน้าประหลาด คล้ายหนักใจคล้ายตื่นเต้นคล้ายตึงเครียดทั้งยังตื่นเต้นอยู่เลือนราง  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“เตรียมพร้อม”  

 

 

“อย่าเพิ่งขยับก่อน”  

 

 

“ฟังคำสั่ง”  

 

 

เสียงแผ่วเบาส่งต่อกันไปในฝูงชน คนไม่น้อยเริ่มรวมตัวกันไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงดังโครม  

 

 

“เต๋อเซิ่งชางแจกรางวัล”  

 

 

พร้อมกันนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น  

 

 

เต๋อเซิ่งชาง?  

 

 

แจกรางวัล?  

 

 

แจกรางวัลอะไร?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นอึ้งไปวูบหนึ่ง มองตามเสียงไปแล้วตะลึงทันที  

 

 

เห็นเพียงสองข้างทางคนหลายคนฉับพลันโผล่ออกมา ในมือถือตะกร้าอยู่ เวลานี้กำลังเทตะกร้าไปด้านข้าง เงินมากมายดุจสายฝนสาดกระจาย  

 

 

เสียงโครมนี่ก็คือเสียงเงินร่วงตกพื้นนี่เอง  

 

 

ฝูงชนชะงักหนึ่งวูบหนึ่งจากนั้นก็เฮละโล คนนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เงินบนพื้น  

 

 

ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีกำลังจะรวมตัวเข้าด้วยกันฉับพลันถูกพุ่งกระแทกจนวุ่นวาย นอกจากนี้ในหมู่พวกเขาก็มีคนไม่น้อยวิ่งเข้าใส่เงินที่สาดร่วงอยู่ด้วย  

 

 

“อย่าไป!”  

 

 

“ห้ามไป!”  

 

 

“รีบกลับมา!”  

 

 

เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นวุ่นวาย ทว่าต่อหน้าเงินตรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแย่งชิงกับคนมากมาย สติปัญญาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว การเคลื่อนไหวคล้ายเป็นไปตามสัญชาติญาณ  

 

 

เห็นฝูงชนที่พริบตาวุ่นวายกระจายไป บุรุษหลายคนที่เป็นแกนนำก็ถลึงตากัดฟัน  

 

 

“เจ้าตัวสายตาคับแคบเหล่านี้” พวกเขาเอ่ยสียงเบาแต่ก็จนปัญญา อย่างไรหากไม่ใช่สายตาคับแคบก็คงไม่มีทางถูกเงินของพวกเขารวบรวมมา  

 

 

ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางคนที่สาดเงินเหล่านั้นด้วยสีหน้าชิงชัง  

 

 

เต๋อเซิ่งชาง!  

 

 

รวยจนไม่มีที่ใช้เงินนักรึ? มาร่วมสนุกอะไรด้วย วุ่นวายจริง!  

 

 

สาดเงินเวลานี้ไม่กลัวชักนำความโกลาหลรึ? พวกนายทหารรีบขับไล่พวกเขาสิ จับพวกเขามาลงโทษสิ!  

 

 

แต่การสาดเงินของเต๋อเซิ่งซางนี่สาดได้มีชั้นเชิงยิ่งนัก ประการแรกอยู่ลึกเข้าไปสองฝั่งฟากถนน แล้วยังมีบรรดาพนักงานรักษาระเบียบไม่ให้คนเบียดเหยียบกันอีก  

 

 

ฝูงชนถูกดึงออกไป ข้างถนนใหญ่จึงเบียดเสียดน้อยลงแล้ว ดังนั้นเหล่านายทหารที่วุ่นจนหายใจไม่ทันกลับได้ผ่อนหายใจ พวกเขาจึงไม่ได้ไปขับไล่คนของเต๋อเซิ่งชาง ตรงกันข้ามรู้สึกขอบคุณอยู่นิดๆ คล้ายอยากให้พวกเขาสาดเงินไปตลอด  

 

 

นี่ทำให้คนหลายคนฝั่งนี้ยิ่งโกรธจนเต้นผาง  

 

 

“มาแล้ว!”  

 

 

คนหนึ่งในนั้นเสียงลนลานอยู่บ้างตะโกนขึ้นมา ยื่นมือชี้ด้านหน้า  

 

 

กองทัพทหารบนถนนใหญ่ประหนึ่งขุนเขากลิ้งมา ที่ๆ มาถึง เสียงโห่ร้องพลันดังขึ้น  

 

 

รอไม่ได้แล้ว! บุรุษที่เป็นแกนนำกัดฟันทีหนึ่ง  

 

 

“ไม่ต้องสนใจคนที่แย่งเงินพวกนั้นแล้ว มีคนเท่าไรก็เท่านั้น ไม่อาจรอได้แล้ว รอกระบวนทัพนี่เดินเข้าใกล้พวกเราก็พุ่งเข้าไปไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

คนรอบด้านเห็นกระบวนทัพทหารใกล้เข้ามาทุกที ในใจก็ตะลึงงัน บรรยากาศนี่น่าสะพรึงเกินไปแล้วอย่างแท้จริง  

 

 

พวกเขาถึงขั้นรู้สึกว่าหากพุ่งออกไปขวางทาง กองทหารเหล่านี้คงเหยียบย่ำผ่านบนร่างพวกเขาไปเหมือนมองไม่เห็น  

 

 

“ไม่มีทาง ที่นี่คือเมืองหลวง นี่คือใต้พระบาทโอรสสวรรค์ พวกเขาไม่ใช่โจรจินเสียหน่อย” บุรุษที่เป็นแกนนำเอ่ย “แล้วยังใต้สายตาของประชาชนนับหมื่นอีก เฉิงกั๋วกงไม่กล้าแน่นอน”  

 

 

เหตุผลนี้ก็ถูก ความหวาดหวั่นของผู้คนรอบด้านถดถอยไป  

 

 

“เร็วๆ ขวางทางไว้”  

 

 

“เอาป้ายผ้าออกมา”  

 

 

พร้อมกับความวุ่นวายพักหนึ่ง คนที่รวมตัวอยู่ด้วยกันก็พุ่งไปกลางถนน  

 

 

นายทหารที่เพิ่งผ่อนลมหายใจชั่วขณะรับมือไม่ทัน ถูกพุ่งชนจนโงนเงนโซเซ เบิ่งตามองคนหนึ่งร้อยกว่าคนวิ่งไปตรงกลางถนน  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คนรอบด้านล้วนได้สติมองมา สีหน้าประหลาดใจ  

 

 

นายทหารทั้งหลายเลิกคิ้ว  

 

 

จะก่อเรื่อง!  

 

 

“เร็ว รีบไล่ไป”  

 

 

แต่สายไปแล้ว กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงมาถึงตรงหน้าแล้ว  

 

 

มองเห็นผืนดินฝั่งนี้ฉับพลันฝูงชนโผล่ออกมาขวางทาง สีหน้าขึงขังของนายทหารแถวหน้าสุดพลันปรากฏความประหลาดใจ รวมถึงไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง  

 

 

“หยุด”  

 

 

ธงโบกสะบัดส่งสัญญาณ กีบเท้าม้าย่ำหนักหน่วง กระบวนทัพที่กำลังเคลื่อนที่พริบตายืนมั่นคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับแล้ว  

 

 

การเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงพรึบพรับนี่นำความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมมา เสียงเอะอะรอบด้านพลันเงียบลง  

 

 

กระทั่งนายทหารในหน้าที่ทั้งหลายที่จะพุ่งออกมาขับไล่คนเหล่านี้ก็หยุดลงโดยไม่ทันรู้ตัวด้วย ท่าทางกริ่งเกรงอยู่บ้างมองไป  

 

 

ฝั่งนี้ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาด  

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่กลางถนนพรูลมหายใจ  

 

 

บังคับให้หยุดได้จริงๆ  

 

 

แม้คนน้อยลงไปมาก เคลื่อนไหวก็ลนลานอยู่มาก ไม่บรรลุถึงความเคร่งขรึมอย่างที่คิดไว้ล่วงหน้า แต่ดีเลวก็ยังทำได้แล้ว  

 

 

เขาคุกเข่าลงดังตึก พร้อมกับที่เขาคุกเข่าลงคนอื่นๆ บนถนนใหญ่ก็คุกเข่าลงพรึบพรับเช่นกัน ป้ายผ้าเจ็ดแปดผืนถูกยกชู  

 

 

“ท่านกั๋วกง ให้ทางรอดพวกเราประชาชนตัวน้อยด้วยเถิด”  

 

 

เสียงตะโกนพร้อมเพรียงดังขึ้นในเวลาเดียว  

 

 

เห็นภาพนี้ นายทหารมากมายในกระบวนทัพอดไม่ได้เบิ่งตา สีหน้าประหลาดใจทั้งยังฉงน  

 

 

นี่ก็คือพบผู้เป็นใหญ่ใจเป็นธรรมขวางถนนเรียกร้องความเป็นธรรมที่บนเวทีละครแสดงกันรึ?  

 

 

พวกเขาจะร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเฉิงกั๋วกงหรือ?  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 4 64 เรื่องสนุกที่ทั้งเมืองรอคอยนี้

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 64 เรื่องสนุกที่ทั้งเมืองรอคอยนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ทั้งเมืองหลวงก็เอะอะอย่างยิ่ง คนนับไม่ถ้วนแห่มายังประตูเมืองทิศใต้  

 

 

พวกเฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวงจากที่นี่ ตัดผ่านเมืองไปยังถนนเสด็จพระราชดำเนิน หลังจากนั้นจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน้าพระราชวัง  

 

 

เหลาสุราร้านนำชาบนถนนเส้นนี้ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนก็ถูกจองหมดแล้ว คนที่จองไม่ได้และจองที่สูงๆ ไม่ไหว ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มายึดครองที่บนถนน  

 

 

ตั้งแต่ในเมืองจนไปถึงนอกเมืองคนเบียดอยู่เต็ม ที่ซึ่งฝูงชนมากที่สุดย่อมเป็นประตูเมืองกับถนนเสด็จพระราชดำเนิน เพราะที่นี่จะมีองค์ชายมาต้อนรับด้วยองค์เอง รวมถึงการเข้าเฝ้าฮ่องเต้  

 

 

นอกจากที่นี่ สถานที่อื่นก็ฝูงชนแออัดเช่นกัน จากที่สูงสุดบนประตูเมืองมองออกไป ฝูงชนแทบจะเรียงรายไปจนถึงค่ายทหารนอกเมืองที่นั่น  

 

 

เพื่อรักษาระเบียบ กรมทหารม้าห้าเมืองรวมถึงกองทหารองครักษ์เคลื่อนพลนับพันคน เพียงแต่ฝูงชนมากมายเช่นนี้ ทั้งทหารเหล่านี้ก็สังกัดกองทหารองครักษ์ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพร อำนาจข่มขวัญไม่พอ เสียงเอะอะและการเบียดเสียดจึงเกิดขึ้นตรงนั้นตรงนี้  

 

 

“ครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ” บุรุษสวมชุดไหมหรูหราคนหนึ่งที่อยู่ในห้องที่สูงที่สุดของเหลาสุราใกล้ประตูเมืองถอนหายใจเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ชวนให้คนเลื่อมใส”  

 

 

“แต่สำหรับคนพวกนี้แล้ว ที่จริงสงสัยใคร่รู้มากกว่า” มีคนหัวเราะเรียบเฉย “เลื่อมใสอะไรคงเรียกไม่ได้”  

 

 

“ใช่แล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่แดนเหนือ” มีอีกคนหัวเราะหยันเช่นกัน “หากเฉิงกั๋วกงคิดว่าจะเหมือนอยู่ที่แดนเหนือเช่นนั้นได้ เกรงว่าคงต้องผิดหวังแล้ว”  

 

 

บุรุษสวมชุดผ้าไหมหรูหราผู้นั้นหัวเราะแล้ว  

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?” เขาหันศีรษะกลับมาเอ่ยถาม  

 

 

บุรุษหลายคนพยักหน้า  

 

 

“เพื่อไม่ให้พลาด” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยพลางยื่นมือชี้ด้านหน้า “จึงจัดคนไว้นอกเมืองสิบลี้”  

 

 

“ถึงเวลาเฉิงกั๋วกงมาไม่ได้ ข่าวย่อมแจ้งมาให้ทุกคนได้ทราบสาเหตุเอง เช่นนี้ย่อมไม่ทำให้องค์ชายเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายด้านนี้ตื่นระหนก” บุรุษอีกคนอมยิ้มเอ่ย  

 

 

คนบางพวกหาเรื่องได้ คนบางพวกหาเรื่องไม่ได้ ตรรกะนี้พวกเขาที่เป็นพ่อค้ารู้ชัดยิ่งกว่าใคร  

 

 

บุรุษชุดไหมหรูหราพยักหน้า สีหน้าพึงพอใจรั้งสายตากลับ มองไปยังนอกประตูเมืองไกลๆ  

 

 

“หวังว่าเฉิงกั๋วกงจะชอบเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้” เขายิ้มเอ่ย  

 

 

……………………………………….  

 

 

เมื่อกระบวนทัพสี่เหลี่ยมก้าวออกจาค่ายใหญ่นอกเมือง ฝูงชนที่รอคอยอยู่ด้านนี้ก็ส่งเสียงเอะอะทันที  

 

 

กำลังพลเหล่านี้ไม่เหมือนกับกองทหารองครักษ์ที่เห็นประจำวันอย่างสิ้นเชิง ชุดเกราะของพวกเขาแม้นับไม่ได้ว่าสวยงาม รูปร่างก็ไม่สูงใหญ่อย่างเช่นเหล่าทหารองครักษ์ แต่ก็เป็นเพราะความเก่าอยู่บ้างผอมแกร็นอยู่บ้างนั่นที่ยิ่งเสริมกลิ่นอายเหล็กและคาวเลือด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดาบหอกกระบี่คันศรโล่ที่พวกเขาพกเหล่านั้น กดทับจนก้าวเท้าของม้าล้วนหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน  

 

 

ยามเผชิญหน้าเสียงโห่ร้องที่ระลอกหนึ่งดังกว่าระลอกหนึ่งกะทันหันนี้ กำลังพลในกระบวนทัพล้วนไม่ขยับสักนิด คล้ายดวงตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน  

 

 

อิทธิพลของภาพท่ามกลางพายุใหญ่คลื่นยักษ์ข้ายืนตระหง่านไม่ขยับเช่นนี้ยิ่งทำให้คนที่มาชมเรื่องสนุกฮึกเหิมอย่างยิ่ง  

 

 

มีทหารม้าของกองทหารองครักษ์หลายคนขี่เร็วรี่มา  

 

 

“ฝ่าบาทออกจากตำหนักบรรทมแล้วขอรับ”  

 

 

“บรรดาองค์ชายทั้งหลายก็ออกจากประตูวังแล้วขอรับ”  

 

 

ออกจากพระราชวังเวลาใด อยู่ตำแหน่งไหนเวลาใด ต้อนรับเวลาใด นั่นล้วนเป็นฤกษ์ดีที่โหรทำนายไว้แล้ว ไม่ใช่บอกจะไปก็ไปได้ตามสบาย  

 

 

ได้ยินรายงานฝั่งนี้ ขุนนางด้านนี้ที่รออยู่ก็ส่งสัญญาณให้เฉิงกั๋วกงทันที  

 

 

“ท่านกั๋วกง ออกเดินทางได้แล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย  

 

 

เฉิงกั๋วกงส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แตรสัญญาณและกลองศึกฉับพลันดังขึ้น ทัพใหญ่เคลื่อนไหวพร้อมเพรียง  

 

 

แตรสัญญาณฮูมฮูมหนักหน่วงเสียงกลองก็ฮึกเหิม แรงสั่นสะเทือนยามกีบเท้าเหล็กตกพื้นพร้อมเพรียง ทำให้ชาวบ้านที่มุงดูอยู่สองฝั่งเส้นขนลุกชัน หลังเงียบอยู่พักหนึ่งก็ร้องสรรเสริญดังกว่าเดิม  

 

 

“ตอนทำศึกก็กระบวนทัพเช่นนี้ใช่หรือไม่?”  

 

 

“นี่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ”  

 

 

“มิน่าทำให้ชาวจินกลัวจนไม่กล้ารุกรานได้”  

 

 

“เจ้าโง่รึ ชาวจินก็มีกระบวนทัพเช่นกัน บนสนามรบทำสงครามล้วนเป็นเช่นนี้”  

 

 

กองทัพเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงพูดคุย เสียงเอะอะประหนึ่งคลื่นสมุทรถาโถมแผ่ขยาย  

 

 

ได้ยินเสียงเอะอะไกลออกไปลอยมา ฝูงชนที่รออยู่ด้านนี้ก็วุ่นวายพักหนึ่ง  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“ห้ามเบียด!”  

 

 

“ถอยหลัง!”  

 

 

เสียงตะโกนเสียงตำหนิเสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกเบียดปะปนอยู่ด้วยกัน ทั้งถนนใหญ่อื้ออึงอย่างยิ่ง นายทหาร เจ้าพนักงาน ทหารองครักษ์ทิ่มกระบองชูแส้ม้าหวดตีพักหนึ่งถึงทำให้ฝูงชนสงบลงได้  

 

 

ตรงที่แถบนี้มีคนไม่น้อยสีหน้าประหลาด คล้ายหนักใจคล้ายตื่นเต้นคล้ายตึงเครียดทั้งยังตื่นเต้นอยู่เลือนราง  

 

 

“มาแล้ว”  

 

 

“เตรียมพร้อม”  

 

 

“อย่าเพิ่งขยับก่อน”  

 

 

“ฟังคำสั่ง”  

 

 

เสียงแผ่วเบาส่งต่อกันไปในฝูงชน คนไม่น้อยเริ่มรวมตัวกันไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงดังโครม  

 

 

“เต๋อเซิ่งชางแจกรางวัล”  

 

 

พร้อมกันนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น  

 

 

เต๋อเซิ่งชาง?  

 

 

แจกรางวัล?  

 

 

แจกรางวัลอะไร?  

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นอึ้งไปวูบหนึ่ง มองตามเสียงไปแล้วตะลึงทันที  

 

 

เห็นเพียงสองข้างทางคนหลายคนฉับพลันโผล่ออกมา ในมือถือตะกร้าอยู่ เวลานี้กำลังเทตะกร้าไปด้านข้าง เงินมากมายดุจสายฝนสาดกระจาย  

 

 

เสียงโครมนี่ก็คือเสียงเงินร่วงตกพื้นนี่เอง  

 

 

ฝูงชนชะงักหนึ่งวูบหนึ่งจากนั้นก็เฮละโล คนนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เงินบนพื้น  

 

 

ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีกำลังจะรวมตัวเข้าด้วยกันฉับพลันถูกพุ่งกระแทกจนวุ่นวาย นอกจากนี้ในหมู่พวกเขาก็มีคนไม่น้อยวิ่งเข้าใส่เงินที่สาดร่วงอยู่ด้วย  

 

 

“อย่าไป!”  

 

 

“ห้ามไป!”  

 

 

“รีบกลับมา!”  

 

 

เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นวุ่นวาย ทว่าต่อหน้าเงินตรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแย่งชิงกับคนมากมาย สติปัญญาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว การเคลื่อนไหวคล้ายเป็นไปตามสัญชาติญาณ  

 

 

เห็นฝูงชนที่พริบตาวุ่นวายกระจายไป บุรุษหลายคนที่เป็นแกนนำก็ถลึงตากัดฟัน  

 

 

“เจ้าตัวสายตาคับแคบเหล่านี้” พวกเขาเอ่ยสียงเบาแต่ก็จนปัญญา อย่างไรหากไม่ใช่สายตาคับแคบก็คงไม่มีทางถูกเงินของพวกเขารวบรวมมา  

 

 

ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางคนที่สาดเงินเหล่านั้นด้วยสีหน้าชิงชัง  

 

 

เต๋อเซิ่งชาง!  

 

 

รวยจนไม่มีที่ใช้เงินนักรึ? มาร่วมสนุกอะไรด้วย วุ่นวายจริง!  

 

 

สาดเงินเวลานี้ไม่กลัวชักนำความโกลาหลรึ? พวกนายทหารรีบขับไล่พวกเขาสิ จับพวกเขามาลงโทษสิ!  

 

 

แต่การสาดเงินของเต๋อเซิ่งซางนี่สาดได้มีชั้นเชิงยิ่งนัก ประการแรกอยู่ลึกเข้าไปสองฝั่งฟากถนน แล้วยังมีบรรดาพนักงานรักษาระเบียบไม่ให้คนเบียดเหยียบกันอีก  

 

 

ฝูงชนถูกดึงออกไป ข้างถนนใหญ่จึงเบียดเสียดน้อยลงแล้ว ดังนั้นเหล่านายทหารที่วุ่นจนหายใจไม่ทันกลับได้ผ่อนหายใจ พวกเขาจึงไม่ได้ไปขับไล่คนของเต๋อเซิ่งชาง ตรงกันข้ามรู้สึกขอบคุณอยู่นิดๆ คล้ายอยากให้พวกเขาสาดเงินไปตลอด  

 

 

นี่ทำให้คนหลายคนฝั่งนี้ยิ่งโกรธจนเต้นผาง  

 

 

“มาแล้ว!”  

 

 

คนหนึ่งในนั้นเสียงลนลานอยู่บ้างตะโกนขึ้นมา ยื่นมือชี้ด้านหน้า  

 

 

กองทัพทหารบนถนนใหญ่ประหนึ่งขุนเขากลิ้งมา ที่ๆ มาถึง เสียงโห่ร้องพลันดังขึ้น  

 

 

รอไม่ได้แล้ว! บุรุษที่เป็นแกนนำกัดฟันทีหนึ่ง  

 

 

“ไม่ต้องสนใจคนที่แย่งเงินพวกนั้นแล้ว มีคนเท่าไรก็เท่านั้น ไม่อาจรอได้แล้ว รอกระบวนทัพนี่เดินเข้าใกล้พวกเราก็พุ่งเข้าไปไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา  

 

 

คนรอบด้านเห็นกระบวนทัพทหารใกล้เข้ามาทุกที ในใจก็ตะลึงงัน บรรยากาศนี่น่าสะพรึงเกินไปแล้วอย่างแท้จริง  

 

 

พวกเขาถึงขั้นรู้สึกว่าหากพุ่งออกไปขวางทาง กองทหารเหล่านี้คงเหยียบย่ำผ่านบนร่างพวกเขาไปเหมือนมองไม่เห็น  

 

 

“ไม่มีทาง ที่นี่คือเมืองหลวง นี่คือใต้พระบาทโอรสสวรรค์ พวกเขาไม่ใช่โจรจินเสียหน่อย” บุรุษที่เป็นแกนนำเอ่ย “แล้วยังใต้สายตาของประชาชนนับหมื่นอีก เฉิงกั๋วกงไม่กล้าแน่นอน”  

 

 

เหตุผลนี้ก็ถูก ความหวาดหวั่นของผู้คนรอบด้านถดถอยไป  

 

 

“เร็วๆ ขวางทางไว้”  

 

 

“เอาป้ายผ้าออกมา”  

 

 

พร้อมกับความวุ่นวายพักหนึ่ง คนที่รวมตัวอยู่ด้วยกันก็พุ่งไปกลางถนน  

 

 

นายทหารที่เพิ่งผ่อนลมหายใจชั่วขณะรับมือไม่ทัน ถูกพุ่งชนจนโงนเงนโซเซ เบิ่งตามองคนหนึ่งร้อยกว่าคนวิ่งไปตรงกลางถนน  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คนรอบด้านล้วนได้สติมองมา สีหน้าประหลาดใจ  

 

 

นายทหารทั้งหลายเลิกคิ้ว  

 

 

จะก่อเรื่อง!  

 

 

“เร็ว รีบไล่ไป”  

 

 

แต่สายไปแล้ว กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงมาถึงตรงหน้าแล้ว  

 

 

มองเห็นผืนดินฝั่งนี้ฉับพลันฝูงชนโผล่ออกมาขวางทาง สีหน้าขึงขังของนายทหารแถวหน้าสุดพลันปรากฏความประหลาดใจ รวมถึงไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง  

 

 

“หยุด”  

 

 

ธงโบกสะบัดส่งสัญญาณ กีบเท้าม้าย่ำหนักหน่วง กระบวนทัพที่กำลังเคลื่อนที่พริบตายืนมั่นคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับแล้ว  

 

 

การเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงพรึบพรับนี่นำความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมมา เสียงเอะอะรอบด้านพลันเงียบลง  

 

 

กระทั่งนายทหารในหน้าที่ทั้งหลายที่จะพุ่งออกมาขับไล่คนเหล่านี้ก็หยุดลงโดยไม่ทันรู้ตัวด้วย ท่าทางกริ่งเกรงอยู่บ้างมองไป  

 

 

ฝั่งนี้ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาด  

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่กลางถนนพรูลมหายใจ  

 

 

บังคับให้หยุดได้จริงๆ  

 

 

แม้คนน้อยลงไปมาก เคลื่อนไหวก็ลนลานอยู่มาก ไม่บรรลุถึงความเคร่งขรึมอย่างที่คิดไว้ล่วงหน้า แต่ดีเลวก็ยังทำได้แล้ว  

 

 

เขาคุกเข่าลงดังตึก พร้อมกับที่เขาคุกเข่าลงคนอื่นๆ บนถนนใหญ่ก็คุกเข่าลงพรึบพรับเช่นกัน ป้ายผ้าเจ็ดแปดผืนถูกยกชู  

 

 

“ท่านกั๋วกง ให้ทางรอดพวกเราประชาชนตัวน้อยด้วยเถิด”  

 

 

เสียงตะโกนพร้อมเพรียงดังขึ้นในเวลาเดียว  

 

 

เห็นภาพนี้ นายทหารมากมายในกระบวนทัพอดไม่ได้เบิ่งตา สีหน้าประหลาดใจทั้งยังฉงน  

 

 

นี่ก็คือพบผู้เป็นใหญ่ใจเป็นธรรมขวางถนนเรียกร้องความเป็นธรรมที่บนเวทีละครแสดงกันรึ?  

 

 

พวกเขาจะร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเฉิงกั๋วกงหรือ?  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+