Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 107 ทำให้ประหลาดใจ

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 3 บทที่ 107 ทำให้ประหลาดใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ใช่ ข้าชอบนาง

ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบนี้ สมาชิกครอบครัวที่จากไปนานพาเกียรติยศกลับมาพร้อมหน้า เดิมควรเป็นครอบครัวพร้อมหน้าเบิกบาน หลังได้ยินประโยคนี้ของหนิงอวิ๋นเจา บรรยากาศฉับพลันเฉกเช่นถ้วยน้ำชาในมือนายหญิงใหญ่หนิงที่ร่วงหล่นบนพื้นแตกกระจาย

หนิงอวิ๋นเยี่ยนยื่นมือปิดปากส่งเสียงกรีดร้องทีหนึ่ง

นายท่านใหญ่หนิงมึนงงอยู่บ้างราวกับฟังไม่เข้าใจ

ส่วนนายหญิงใหญ่หนิงมองหนิงอวิ๋นเจา ริมฝีปากสั่น

รอมานานปานนั้น ลมหายใจเฮือกหนึ่งกลั้นไว้นานปานนี้ เพื่ออะไร?

ไม่ใช่เพื่อฟังคำปฏิเสธประโยคหนึ่งหรือ

ตอนนี้ได้ยินแล้วว่าสัญญาหมั้นเป็นเรื่องหลอกกลับไม่ทันได้ดีใจปล่อยลมหายใจตกพื้น ก็ได้ยินว่าเขาชอบนาง

สัญญาหมั้นเป็นเรื่องหลอก แต่เขาชอบนางเป็นเรื่องจริง

เทียบกับเช่นนี้ นางยินดีได้ยินว่าสัญญาหมั้นเป็นเรื่องจริง เขาชอบนางเป็นเรื่องหลอกมากกว่า

เขาชอบนาง?

ลูกชายของนาง ลูกชายผู้ประหนึ่งมณีล้ำค่า ลูกชายที่เป็นเกียรติยศของวงศ์ตระกูล ถึงกับชอบผู้หญิงต่ำช้าคนนั้น?

นายหญิงใหญ่หนิงดวงตามืดดับล้มไปข้างหน้า

ตายไปเสียเลยเถอะ

เสียงกรีดร้องของหนิงอวิ๋นเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง วาดแหวกความเงียบสงบยามค่ำคืนของจวนตระกูลหนิง

ศาลาพักม้าที่เอะอะมาครึ่งวันกลับสู่ความเงียบสงบของราตรี

เมื่อส่งขุนนางที่มาเยี่ยมคนสุดท้ายแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ก็หาว

“คุณหนู ท่านรีบพักเถอะเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

คุณหนูจวินกลับไม่ได้พัก

“ข้าจะอ่านหนังสือต่อ” นางว่า “เจ้าไปนอนก่อนเถอะ”

หลิ่วเอ๋อร์ขานอือทีหนึ่งก็จากไปแล้ว

จดหมายที่วางอยู่ในหีบยาถูกหยิบออกมาอีกครั้ง คุณหนูจวินปรับโคมไฟบนโต๊ะให้สว่างขึ้นหลายส่วน มองจดหมายถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง เปิดหน้าแรก

ข้าคือคนโง่คนหนึ่ง

ถ้าอย่างนั้นดูซิเป็นคนโง่อย่างไรวาดแผนที่ประณีตปานนี้ออกมาได้

มือคุณหนูจวินพลิกผ่าน ดูแผนที่หน้าแล้วหน้าเล่าอย่างละเอียด

ถ้าอย่างนั้นก็ดูซิเป็นคนโง่อย่างไร เขียนวาจามองตายดั่งเป็นเช่นนี้ออกมาได้

มือคุณหนูจวินพลิกผ่าน ชุดเกราะพังซากศาสตราวุธยังคงยากปิดบังไอสังหาร

ถ้าอย่างนั้นดูซิเป็นคนโง่อย่างไร จัดแถวกระบวนทัพที่แปรเปลี่ยนนับพันแบบนี้ได้

คุณหนูจวินมองดูกระบวนทัพแรกที่ครั้งก่อนเห็น แม้อยู่ใต้แสงโคมยามค่ำคืน กลิ่นอายก็ยังคงคมกริบ

นางไม่เข้าใจวิชาทหารกระบวนทัพทหาร แล้วก็ไม่เคยได้ยินอาจารย์เอ่ยถึงมาก่อน

แต่นี่ก็ไม่มีอะไร เหมือนเช่นก่อนหน้านี้นางก็ไม่เข้าใจการเล่นหมากโยนศรอะไรเช่นกัน อาจารย์ก็โยนมาให้นาง ให้นางอ่านเองร่ำเรียนเองเหมือนกัน

ผู้อื่นล้วนเป็นอาจารย์สั่งสอน ตนเองฝึกฝน แต่กับอาจารย์ที่นี่ ตนเองร่ำเรียน เขาค่อยนำเจ้าฝึกฝน

ค่ำคืนมืดมิด ไส้โคมมอดแล้วมอดอีก เงาคนที่ทอดบนหน้าต่างนั่งตัวตรงดั่งต้นสน

เหมือนเช่นปกติ ยามฟ้ายังไม่สว่างเฉินชีก็เริ่มเตรียมตัวออกเดินทาง

เพราะคนที่ศาลาพักม้าไปๆ มาๆ ทั้งคืนไม่หยุด เพื่อเลี่ยงถูกมุงดู ขวางการเดินทางอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบให้ทันเช้า

รถม้าสามคันตรวจค้นอย่างจริงจังจนหมดแล้ว ศาลาพักม้ายังมอบม้าที่ดีที่สุดมาลากรถด้วย

“คุณหนูจวินมาพักที่พวกเราที่นี่ หายนะล้วนถอยหนี” นายศาลายิ้มเอ่ยนอบน้อมกับเฉินชี

“พูดเหลวไหลอะไรเล่า” เฉินชีส่ายศีรษะ

นายศาลาพยักหน้าขานรับรับทันที

“เป็นข้าพูดเหลวไหลเอง” เขาเอ่ย

ก่อนหน้านี้คำที่ตนพูดใครบ้างถือเป็นสาระสำคัญ เฉินชียื่นมือลูบเคราโดยไม่ทันรู้ตัว เลียนแบบท่าทางของผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว แต่น่าเสียดายยังไม่มีเครา สีหน้าท่าทางจึงดูเจ้าเล่ห์เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน ไม่สงบทรงภูมิเช่นนั้นอย่างผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว

พวกผู้คุ้มกันจูงม้าเดินไปด้านนอก นายศาลาก็เดินเป็นเพื่อนเฉินชีไปด้านนอกด้วย

“ตอนกลับเมืองหลวง ผู้ดูแลเฉินท่านต้องมาอีกนะ” เขาเอ่ย

“ท่านนี่ เหมือนโรงเตี๊ยมดึงลูกค้าแล้ว” เฉินชีก็ล้อเล่นตามเขาด้วย

สองคนคุยเล่นเดินมาถึงนอกประตู ใต้แสงอรุณขมุกขมัวรอบด้านเงียบสงบไปหมด แต่นอกศาลาพักม้ากลับมีขบวนคนม้าหยุดอยู่

เฉินชีอึ้งไป

ยังมีกระโจมสามหลังตั้งอยู่ด้วย เวลานี้ข้างทางมีเพียงม้าสะบัดหาง เหมือนคนล้วนกำลังพักผ่อนอยู่ในกระโจม

“เมื่อคืนศาลาพักม้าเต็มหรือ?” เฉินชีเอ่ยถาม

นายศาลาส่ายศีรษะ

“พวกเราเป็นศาลาพักม้าใหญ่ตรงชายแดนซานซีกับเหอหนาน” เขาเอ่ย “ไหนเลยจะพักเต็มง่ายๆ”

ถ้าอย่างนั้นเป็นพ่อค้าที่ไม่มีคุณสมบัติพักในศาลาพักม้าหรือ?

เฉินชีมองคนเหล่านี้

“ไม่ทราบขอรับ มาตอนเที่ยงคืน ไม่เข้ามาสอบถามสักนิดก็พักที่ข้างทางแล้ว” ข้ารับใช้ประจำศาลาพักม้าคนหนึ่งก้าวเข้ามารายงาน

พบศาลาพักม้าไม่พัก ตั้งกระโจมเอง นอกจากนี้กระโจมนี่หรูหราอย่างที่สุด ใครกันบนกระโจมยังห้อยไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งไว้ ช่าง…

นิสัยคนรวยแปลกประหลาดอยู่บ้าง

“ไปบอกพวกเขาซิ หลีกทางหน่อย ให้รถม้าของพวกเราผ่านไป” เฉินชีสั่งผู้คุ้มกัน

ผู้คุ้มกันขานรับก้าวเข้าไป

“สหายร่วมภูมิลำเนา” เขายืนอยู่หน้ากระโจมห่างหลายก้าวร้องเรียก “หลีกทางหน่อยได้หรือไม่”

ในกระโจมไม่มีคนตอบ มีเพียงม้าข้างทางได้ยินเสียงมองเขาอย่างใคร่รู้

ยังหลับอยู่หรือ?

ผู้คุ้มกันหันกลับมามองเฉินชีทีหนึ่ง

เฉินชีโบกมือให้เขา

“เกิดอะไรขึ้น?” คุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์เก็บของเสร็จเดินออกมา มองเห็นทุกคนยืนอยู่นอกประตูจึงเอ่ยถาม

“มีคนพักอยู่นอกศาลาพักม้าขวางทางอยู่” เฉินชีเอ่ย

นายศาลารอไม่ไหวแล้ว รีบเรียกบรรดาข้ารับใช้

“เร็วๆ ไปๆ ไล่คนไป” เขาเท้าเอวเอ่ย “อย่าขวางรถม้าของคุณหนูจวิน”

บรรดาข้ารับใช้รีบวิ่งออกมาจากข้างในพุ่งเข้าไป ด้านในกระโจมที่เดิมทีเงียบสงบกลับพลันมีคนผู้หนึ่งกระโดดออกมา

“จิ่วหลิง” เขาตะโกนเสียงดัง

บรรดาข้ารับใช้ไม่ทันตั้งตัวตกใจสะดุ้งโหยง

มองดูเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกคนนี้ หน้าตาเช่นนี้ เสื้อผ้าเช่นนี้ เครื่องประดับเช่นนี้ ประหนึ่งเซียนลงมายังโลกมนุษย์

เฉินชีก็ตกใจสะดุ้งโหยง ชั่วขณะตอบสนองไม่ทัน

จิ่วหลิงชื่อนี้คุ้นเคย คนผู้นี้?

หลิ่วเอ๋อร์อยู่ด้านหลังร้องอ๋าทีหนึ่ง

“คนผู้นี้คุ้นหน้าอยู่นะ”  นางว่า

คุ้นหน้าอยู่หรือ?

ฟางเฉิงอวี่มองเด็กสาวตรงหน้า ทั้งตื่นเต้นทั้งวิตกเศร้าใจอยู่บ้าง

นางจากไปเดือนหกปีที่แล้ว ตอนนี้สี่เดือนแล้ว ไม่ได้พบหน้าเกือบหนึ่งปีแล้ว

หนึ่งปีเชียวนะ นานนัก นานนัก

จดจำหน้าตาของตนเองได้ไม่ชัดแล้วใช่ไหม?

ท่านย่ากับท่านแม่ต่างบอกว่าตนเองโตเร็ว ตัวสูงแล้ว นางคงจำไม่ได้สินะ?

ฟางเฉิงอวี่บีบนิ้วมือ บางทีน่าจะโตช้าหน่อย

“คุ้นหน้าอะไรเล่า”

เสียงคุณหนูจวินดังขึ้น เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ใสกังวานกระจ่างทั้งอ่อนหวาน

“เฉิงอวี่ไง”

เฉิงอวี่ไง

นางบอกว่าเฉิงอวี่ไง

ฟางเฉิงอวี่มองคุณหนูจวิน แย้มยิ้มก้าวเร็วไววิ่งไปหานาง

ที่แท้คนรวยคนนี้ก็คือนายน้อยตระกูลฟางนี่เอง

แต่งตัวเช่นนี้จำไม่ได้จริงๆ

“เจ้าเที่ยงคืนก็มาถึงแล้วทำไมไม่เข้ามาเล่า?” คุณหนูจวินได้ยินนายศาลาบอกแล้ว มองฟางเฉิงอวี่

“เจ้านอนไปแล้วนี่ ดึกปานนั้น” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มบอก “เรียกเจ้าตื่นย่อมไม่ดี”

เฉินชีในใจร้องชิสองที ที่แท้นายน้อยตระกูลฟางเป็นนายน้อยเช่นนี้เอง ดูไม่ออกเลยอายุน้อยๆ ปากหวานประหนึ่งน้ำผึ้ง เรียนมาจากใครกัน? พี่สาวหรือ? จิ่นซิ่วทำไมปากคมเป็นมีด?

คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ

“อีกอย่าง แบบนี้ไม่ยิ่งคิดไม่ถึงหรือ?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ สีหน้าเริงร่า “เจ้าเดินออกมาปุบก็เห็นข้ากระโดดออกมา คิดไม่ถึงล่ะสิ?”

นี่มันช่าง…คิดไม่ถึง

เฉินชีกลอกตาไปข้างหลัง มองดูผู้คุ้มกันคนอื่นที่เดินออกมาจากในกระโจมเวลานี้

ผู้คุ้มกันกำยำอายุยี่สิบกว่าปีเหล่านี้ไม่สบายใจอยู่บ้าง เหมือนว่าไม่สะดวกใจมองทุกคนอยู่นิดๆ

ได้ยินอยู่ชัดๆ ว่ามีคนมาถาม กลับทำเป็นไม่อยู่ไม่ออกมา เล่นเกมหลบซ่อนทำให้ประหลาดใจเช่นนี้ พวกเขาหลังอายุสิบปีก็ไม่เคยทำอีกเลยกระมัง?

ก็ออกจะขายหน้าอยู่

เฉินชีมองพวกเขาท่าทางสงสารอยู่บ้าง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด