Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 บทที่ 182 เขาจะมาในวันเคราะห์หามยามร้าย

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาค 3 บทที่ 182 เขาจะมาในวันเคราะห์หามยามร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่เซียนหลินตะลึง ตอนนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ เมื่อวานตอนที่เสี่ยงอันตรายที่สุดพวกทหารเกณฑ์ก็ขึ้นมาบนกำแพงด้วย ใช้ก้อนหิน น้ำมันร้อน ท่อนไม้ขวางทหารจินปีนเข้าเมือง พวกทหารเกณฑ์ที่มือไร้อาวุธแทบจะตายอยู่บนกำแพงหมดแล้ว  

 

 

ส่วนคนหนุ่มในเมืองวันนี้ก็ล้วนถือหอกดาบขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้ว  

 

 

“มีแต่พวกผู้หญิงที่จะมาเป็นทหารเกณฑ์ได้แล้ว” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา  

 

 

หลี่เซียนหลินเงียบไปครู่หนึ่งไม่ได้เอ่ยวาจา ก้าวข้ามศพคนตายทหารบาดเจ็บมองไปนอกเมือง ทหารจินนอกเมืองกำลังรวมพลถอย การโจมตีเมืองก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อยเช่นกัน นอกจากนี้บันไดที่เสียหายไปก็ต้องซ่อมแซมใหม่ด้วย  

 

 

ทหารจินด้านล่างกำแพงเมืองเหล่านี้เหลือเพียงหนึ่งพันกว่านาย นอกจากนี้ยังบาดเจ็บหมด ไม่มีค่าให้กลัว  

 

 

สิ่งที่หลี่เซียนหลินต้องสนใจอยู่ไกลออกไปอีก เขาเงยสายตามองไปด้านหน้า  

 

 

เมืองสยงโจวภูมิประเทศเป็นที่ราบกว้าง มองปราดเดียวก็มองออกไปได้ไกลยิ่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือสองลี้นอกเมืองนั่นเอง เขามองเห็นค่ายใหญ่ของชาวจินตั้งอยู่ เวลานี้ธงเป็นทิวแถว กำลังพลยืนแถวนิ่ง ที่นั่นอย่างน้อยก็มีกำลังพลห้าพันนาย อาจถึงขั้นมากกว่านั้น  

 

 

โจรจินห้าหมื่นเพราะทหารม้าเร็วดังนั้นจึงแบ่งเป็นสามกอง ห้าพันนายน็ก็คือกำลังพลหลักหนึ่งในสามกองที่ส่งมา  

 

 

หลายวันนี้กำลังพลที่นี่ผลัดกันออกมาโจมตีเมืองสยงโจวไม่หยุด  

 

 

“ถ้าหากกองหนุนมา เกรงว่าคงต้องเดินทางจากทางใต้จะง่ายกว่า” หลี่เซียนหลินพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

คำพูดนี้ทำให้แม่ทัพทั้งหลายหลังร่างสีหน้าหม่นหมองลง  

 

 

“จะไม่มีกองหนุนมาแล้วขอรับ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ  

 

 

พวกเขายืนหยัดป้องกันอยู่เจ็ดวันแล้ว หากมีกองหนุนมาก็ควรมานานแล้ว แต่ตอนนี้เห็นเพียงทหารจินยิ่งมายิ่งมากรวมพลกัน กองหนุนกลับไม่เห็นสักคน  

 

 

“ทหารสอดแนมบอกว่าโจรจินแบ่งทหารเป็นสามกอง ที่อื่นดูแลตนเองก็ไม่ทันแล้ว ไม่ใช่ไม่มีทหารเหลือก็ถูกขวางระหว่างทางที่มา” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา  

 

 

บนกำแพงเมืองแม่ทัพหลายคนเงียบไปครู่หนึ่ง  

 

 

เมืองสยงโจวช่วยไปก็ไม่มีความหมายแล้ว ยังไม่สู้เสริมการป้องกันให้เมืองข้างหลัง  

 

 

ในฐานะแม่ทัพพวกเขาเองก็เข้าใจหลักการนี้ หากพวกเขาเป็นแม่ทัพของที่อื่นก็จะตัดสินใจทำเช่นนี้เหมือนกัน  

 

 

หลี่เซียนหลินแก้มกระตุก กำดาบในมือแน่น  

 

 

“จะมีกองหนุนมา” เขาเอ่ย “ทุกคนฮึกเหิมเข้า พักผ่อนสักครู่ ข้าคาดว่าโจรจินคงโจมตีเมืองอีกครั้งตอนกลางคืน”  

 

 

เขาพูดแล้วหมุนตัว  

 

 

“ข้าจะไปคุยกับเจ้าเมืองถง เปลี่ยนชายฉกรรจ์ชุดใหม่ขึ้นกำแพงเมือง”  

 

 

พูดจบก็ก้าวยาวลงกำแพงไป แม่ทัพทั้งหลายมองแผ่นหลังของเขารู้สึกเพียงองอาจแต่เศร้าโศกเป็นพิเศษ  

 

 

ส่วนในเมืองยิ่งเศร้าสลดไปหมด  

 

 

ตามคำสั่งก่อนหน้านี้ ชาวบ้านทั้งหลายในปกครองล้วนหลบมาอยู่ในเขตที่ทำการขุนนางที่แข็งแกร่งของเมือง เวลานี้บนถนนคนนอนอยู่เต็มไปหมด เหล่าเศรษฐีคหบดีแจกจ่ายข้าวสารอาหารในบ้านออกมานานแล้ว ไม่จู้จี้แบ่งฐานะชนชั้นเจ้าข้าอะไรอีก รักษาเมืองไว้ได้ทุกคนก็รอด เมืองแตกทุกคนล้วนเป็นศพคนตายร่างหนึ่ง  

 

 

“พวกเจ้ารู้ไหมว่าหลังเมืองแตกจะเป็นอย่างไร?” ผู้เฒ่าคนหนึ่งสีหน้านิ่งสนิทนั่งอยู่บนพื้นเอ่ยพึมพำ  

 

 

ไม่มีใครตอบคำเขา นี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่น่าเบิกบานใจ  

 

 

“ข้าจำได้สิบปีก่อนตอนทหารจินเข้าเขตมา เมืองข้างๆ ของพวกเราแตก คนทั้งอำเภอล้วนถูกสังหาร สังหารแล้วยังไม่พอยังยัดไว้ในบ่อน้ำ แขวนไว้บนต้นไม้ จุดไฟเผา…” ผู้เฒ่าไม่สนใจว่าไม่มีคนถาม ตัวเองเล่าต่อไปเอง แววตาของเขาฟั่นเฟือนไปอยู่บ้างแล้ว  

 

 

นี่คือความฟั่นเฟือนซึ่งความหวาดกลัวและความสิ้นหวังนำมา เหมือนวัชพืชแผ่ขยายครอบงำสติปัญญาของผู้คน  

 

 

“เมืองของพวกเราจะไม่แตก”  

 

 

เสียงมั่นคงเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ  

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายรีบแหงนศีรษะขึ้น มองเห็นบุรุษวัยกลางคนผอมซูบคนหนึ่งก้าวออกมา แม้บนถนนเละเทะไปหมด ชุดขุนนางหมวกขุนนางของเขากลับสะอาดเรียบร้อย น่าเกรงขาม น่าเคารพ  

 

 

นี่คือถงเจี๋ยเจ้าเมืองสยงโจว  

 

 

“ท่านเจ้าเมือง” ชาวบ้านทั้งหลายพากันคำนับ  

 

 

“เมืองสยงโจวของพวกเราจะไม่แตก ผู้บัญชาการทหารหลี่นำทหารต่อต้านศัตรูอยู่ ส่วนทหารกองหนุนก็กำลังจะมาถึงแล้ว” เจ้าเมืองถงเอ่ย “แค่ต้องลำบากทุกคนร่วมด้วยช่วยกันข้ามวิกฤติ”  

 

 

ผู้เฒ่าที่ฟั่นเฟือนก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ สงบลง  

 

 

“ขอรับ ขอรับ ตามคำสั่งของใต้เท้า” เขาตะโกนจากท่ามกลางฝูงชน  

 

 

พวกเจ้าพนักงานก้าวเข้ามา จัดการตามเจ้าเมืองถงแบ่งผู้เฒ่าเด็กสตรีเหล่านี้เป็นสามกลุ่ม ไปดูแลทหารที่บาดเจ็บรวมถึงยกศพคนตายบนกำแพงเมือง  

 

 

มองเห็นชาวบ้านที่ทยอยวิ่งวุ่นบนถนน ในดวงตาของเจ้าเมืองถงความเศร้าเสียใจก็แล่นผ่านไป  

 

 

“ยังต้านได้นานอีกเท่าไร?” เขาหมุนตัวมองหลี่เซียนหลินที่เดินเข้ามาใกล้เอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

แก้มของหลี่เซียนหลินกระตุกอีกครั้ง  

 

 

“อย่างมากที่สุดคืนนี้” เขาเอ่ย “ทหารจินเพิ่มมากขึ้นอีกแล้ว”  

 

 

เร็วปานนี้!  

 

 

ยืนหยัดปกป้องอยู่เจ็ดวัน ต่อสู้ดุเดือดบนกำแพงเมืองสามวัน ทหารที่ปกป้องสยงโจวแห่งนี้ไม่พอแล้ว ส่วนทหารจินกลับยังมาไม่ขาดสาย  

 

 

จะอาศัยผู้เฒ่าเด็กน้อยคนป่วยพิการเหล่านี้รึ?  

 

 

นั่นใยไม่ใช่จบสิ้นแล้ว ร่างของเจ้าเมืองคล้ายจะโอนเอนนิดหนึ่ง  

 

 

“ทหารกองหนุน…” เขาเอ่ย  

 

 

“ทหารกองหนุนจะมา” หลี่เซียนหลินขัดเขา เสียงร้อนรนอยู่บ้าง  

 

 

เจ้าเมืองถงมองเขาครู่หนึ่ง  

 

 

“ผู้บัญชาการทหารหลี่ ข้าไม่อยากถามเรื่องทหารกองหนุนแล้ว” เขาเอ่ย “ข้าแค่อยากถามว่าทำไมมีแต่พวกท่านสองพันคนปกป้องเมืองสยงโจว? กองทหารกว่างซิ่นคนอื่นเล่า?”  

 

 

กำลังหลักของกองทหารกว่างซิ่นมีเกือบห้าพันนาย ทหารกองหนุนก็มีหกพันเจ็ดร้อยกว่านาย วันนี้คนที่มาปกป้องเมืองสยงโจวกลับมีแค่สองพันนาย  

 

 

ได้ยินเขาถามเรื่องนี้ บนหน้าหลี่เซียนหลินฉงนสนเท่ห์  

 

 

ใช่สิ ทำไมพวกเขาปกป้องเมืองยากเย็นปานนี้ ก็เพราะกองหทารกว่างซิ่นที่เดิมควรมาทั้งหมดกลับหายไปกะทันหัน เดิมทีคิดว่าพวกเขาไปป้อมปราการอื่น แต่หากอยู่ที่ป้อมปราการใกล้ๆ จริงย่อมไม่มีทางไม่มาช่วยเหลือ ทหารสอดแนมไปสืบกลับมา บอกว่ากองทหารกว่างซิ่นถอยไปแล้ว  

 

 

เป็นไปได้อย่างไรเล่า? ที่แท้เกิดผิดพลาดอะไร?  

 

 

“ข้าไม่รู้” เขาเอ่ยพึมพำ  

 

 

เสียงเขาสัตว์ฮูมฮูมพลันดังมา นี่ทำให้สองคนที่พูดคุยกันอยู่พลันตัวสั่น จากนั้นแรงสั่นสะเทือนจากกีบเท้าม้ารวมตัวเหยียบย่ำดินก็ส่งมาใต้เท้า  

 

 

“โจรจินโจมตีเมืองแล้ว” เจ้าเมืองถงเอ่ย สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง “นี่เพิ่งจบไปไม่นานเอง”  

 

 

“ดูท่าพวกเขาคงต้องการยึดเมืองสยงโจวให้ได้ก่อนฟ้ามืด” หลี่เซียนหลินเอ่ย  

 

 

“ทำอย่างไร?” เจ้าเมืองถงหลุดปากเอ่ย  

 

 

หลี่เซียนหลินชักดาบจากเอว  

 

 

“ทำอย่างไรได้” เขาตวาดดุดัน “ชักดาบ ง้างศร จนกว่าจะตาย”  

 

 

……………………………………….  

 

 

ขึ้นกำแพงเมืองอีกครั้ง แสงตะวันพลบประหนึ่งโลหิตยังไม่ทันหายไป ส่องบนกำแพงประหนึ่งเลือดย้อมทุกหนทุกแห่งเป็นสีแดง ใบหน้าของหลี่เซียนหลินก็เป็นสีแดงสดด้วย เขามองดูทหารจินที่มายั้วเยี้ยใต้กำแพง ธงหัวสุนัขป่ามืดฟ้ามัวดินเป็นทิวแถว มองกวาดไปทีหนึ่งมีถึงพันคน  

 

 

นี่เป็นทหารจินที่ผลัดรอบกันออกศึกจากค่ายใหญ่ด้านนั้น กินอิ่มดื่มพอพักผ่อนเพียงพอประหนึ่งเสือหิวลงจากเขาต้องทำสำเร็จแน่  

 

 

หลี่เซียนหลินหันกลับมามองทหารที่รอคำสั่งบนกำแพง เวลานี้ถึงขั้นไม่อาจพูดได้ว่าเป็นทหารแล้ว ทหารบาดเจ็บรวมถึงผู้ชายที่รวบรวมได้จากในเมือง แต่ละคนๆ สีหน้างุนงง คนมากมายกระทั่งท่ากำหอกดาบก็ยังไม่ถูกต้อง  

 

 

นี่เป็นการไปตายโดยแท้  

 

 

ตายก็ตายสิ อย่างไรก็ต้องตายครั้งเดียว สู้ตายก็ดีกว่าถูกจับและสังหาร  

 

 

“ทุกคนคิดถึงภรรยาลูกชายลูกสาวข้างหลัง” หลี่เซียนหลินเอ่ย ในแววตาคือความโศกเศร้าองอาจอันเด็ดเดี่ยว เขาหันกลับไปมองในเมือง “ป้องกันได้หนึ่งเค่อ พวกเขาก็มีชีวิตรอดได้หนึ่งเค่อ ขอแค่รอทหารกองหนุนมาถึง…”  

 

 

ทหารกองหนุน…  

 

 

แม่ทัพรอบด้านสีหน้านิ่งสนิทแล้ว  

 

 

ยังจะมีทหารกองหนุนได้อีกหรือ?  

 

 

“ถอย ถอยแล้ว…”  

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้น  

 

 

อะไรถอยแล้ว?  

 

 

หลี่เซียนหลินมองไปทางคนผู้นั้น แม่ทัพคนนั้นสีหน้าตะลึง ยื่นมือชี้นอกเมือง  

 

 

“ทหารจิน กำลังถอย” เขาเอ่ย เสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย คล้ายตนเองก็ไม่เชื่อคำที่ตนเองเอ่ย  

 

 

เป็นไปได้อย่างไร?  

 

 

หลี่เซียนหลินรีบมองไป เห็นทหารจินที่แห่มารอโจมตีเมืองเหล่านั้นพลันประหนึ่งน้ำหลากถอยไปแล้วจริงๆ  

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  

 

 

ไกลออกไปมีเสียงกลองศึกเสียงแล้วเสียงเล่าลอยมาประหนึ่งหมื่นอาชาวิ่งทะยาน ตีกระหน่ำบนหัวใจของทุกคน  

 

 

ในเวลาเดียวกันธงผืนหนึ่งพลันปรากฏที่ขอบฟ้า  

 

 

แรกสุดผืนเดียวตามติดมาด้วยผืนที่สองผืนที่สาม มืดฟ้ามัวดินมากมายถี่ยิบ ส่วนใต้ธงคือหอกยาวประหนึ่งป่าทึบ  

 

 

ท่ามกลางธงทิวหอกยาวชูสลอนแถบนี้ ธงใหญ่ผืนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏ ไม่เหมือนกับธงสีแดงสดเหล่านั้น ธงผืนใหญ่ผืนนี้เป็นสีดำ ด้านบนเขียนอักษรคำว่า “จู” ขนาดใหญ่โตไว้  

 

 

ธงดำอักษรแดงประสานกับแสงอัสดงที่ร่วงหล่นจากขอบฟ้า ยิ่งธงสูงขึ้นก็ประหนึ่งแบกอาทิตย์อัสดงขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งแผ่นดินกลายเป็นสว่างไสว  

 

 

“เฉิงกั๋วกง…” หลี่เซียนหลินพึมพำ คล้ายมองเห็นเงาร่างสูงใหญ่องอาจร่างหนึ่งนั่งสง่าอยู่ใต้ธงผืนนั้น  

 

 

เฉิงกั๋วกง  

 

 

ห่างไกลอีกเท่าใดเขาก็จดจำได้ ไม่มีคนจำไม่ได้ นั่นคือเฉิงกั๋วกง  

 

 

เขาประหนึ่งปลาที่ถูกโยนลงทอดในกระทะน้ำมัน กระโดดไปเกาะกำแพงเมือง  

 

 

“เฉิงกั๋วกงมาแล้ว!”  

 

 

เฉิงกั๋วกงมาแล้ว!  

 

 

เฉิงกั๋วกงมาแล้ว!  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด