Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินีภาคแยก | บทที่ 17 เปิดม่านโศกนาฏกรรม

Now you are reading Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี Chapter ภาคแยก | บทที่ 17 เปิดม่านโศกนาฏกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จาเน็ตข่มใจที่เต้นรัว นางกำนัลไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ นางคิดว่าตนควรจะไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดจึงรีบถอดเสื้อคลุมของจักรพรรดิที่อยู่บนร่างของตนออกและนำกลับไปคลุมไว้บนบ่าของอีกฝ่ายก่อนจะรีบกล่าวลา

“ฝ่าบาท หากหม่อมฉันรบกวนเวลาพักผ่อนต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว…”

“เดี๋ยวก่อน”

จักรพรรดิหนุ่มเอ่ยรั้งจาเน็ตและคว้าข้อมือของนางไว้โดยไม่ตั้งใจ ในขณะที่จาเน็ตดูตกใจอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยแม้แต่น้อย จาเน็ตลืมฐานะของตนไปชั่วขณะและมองหน้าเขาหน้าตรงๆ

“ฝ่าบาท”

“เอ่อ…”

จักรพรรดิเองก็ดูตกใจเช่นกันด้วยคิดไม่ถึงว่าตนจะทำแบบนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะปล่อยมือที่จับอยู่ด้วยเช่นกัน จักรพรรดิค่อยๆ ผ่อนแรงที่จับข้อมือนั้นไว้ แต่มิได้ปล่อย

หญิงสาวกล่าวราวกับจะอ้อนวอน “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องไปแล้วเพคะ ขุนนางท่านอื่นอาจจะกำลังเรียกหาหม่อม…”

“หากเราต้องการตัวเจ้าเล่า?” จักรพรรดิกล่าวเสียงสั่น “ต่อให้เราต้องการตัวเจ้า เจ้าก็ยังจะไปอย่างนั้นหรือ?”

“…เพคะ?”

“คือ…”

จักรพรรดิต้องรีบคิดหาข้ออ้างโดยเร็วเพื่อรั้งจาเน็ตไว้ เขาทำเสียงอ้ำอึ้งพลางคิดหาข้อแก้ตัว ทันใดนั้นก็เอ่ยข้ออ้างแปลกๆ ออกไป

“นางกำนัลที่ประจำอยู่ในห้องเราเตี้ยเกินไป”

“เพคะ?”

แล้วเรื่องนั้นเกี่ยวกับอันใดกับการถวายการรับใช้เล่า…? จาเน็ตจะไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย นางจึงถามกลับอย่างมึนงง จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ รีบชักแม่น้ำทั้งห้า[1]ทันที

“เจ้าก็เห็นว่าเราตัวสูงขนาดนี้ หากนางกำนัลตัวเตี้ยก็จะปรนนิบัติดูแลลำบาก”

“เช่นนั้นแล้ว…?”

“เจ้าตัวสูงมิใช่หรือ”

เป็นเช่นนั้นจริง จาเน็ตสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตร เรียกได้ว่าเป็นสตรีที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของจักรวรรดิ ครั้นจักรพรรดิเห็นหญิงสาวพยักหน้ารับ เขาก็อธิบายต่ออย่างเริงร่า

“ดังนั้นเจ้าต้องมาปรนนิบัติเรา”

“อะไรนะเพคะ?” จาเน็ตตกใจจนหน้าถอดสี “แต่หม่อมฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลรับใช้ขุนนางที่ติดตามพระองค์แล้วนะเพคะ…”

“ถึงกระนั้น หากสุริยันแห่งจักรวรรดิอย่างเราออกคำสั่ง เรื่องพรรค์นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงเมื่อใดก็ได้มิใช่หรือ”

นั่นก็จริง จาเน็ตพยักหน้าอย่างงงๆ จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจและเอ่ยกับหญิงสาว

“ลมกลางคืนหนาวเย็นนัก เข้าไปข้างในกันเถอะ”

“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉัน…”

“ที่เราบอกเมื่อครู่เจ้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไปแล้วหรือ” จักรพรรดิพูดกับจาเน็ตด้วยสีหน้าหมดคำจะพูด “เจ้าก็ต้องตามเรามาด้วยสิ”

“…เรื่องนั้นพระองค์พูดจริงหรือเพคะ”

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเราพูดเล่นหรือ”

ขณะถามกลับ จักรพรรดิก็ยิ้มอย่างสดใส จาเน็ตรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาและความแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ทันใดนั้นนางก็ถูกรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา

‘ตอนนั้นข้าควรจะตั้งใจฟังสิ่งที่เอเวอรีพูดหรือเปล่านะ’

จู่ๆ ก็เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา แต่ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปแล้ว วินาทีนั้นจาเน็ตกำลังวิ่งไปตามแรงฉุดที่ข้อมือจนถึงห้องของจักรพรรดิ

จักรพรรดิจูงมือจาเน็ตมาถึงห้องและให้นางกำนัลคนอื่นๆ ออกไป เหลือไว้เพียงจาเน็ตคนเดียว

ทว่า แม้จะมาถึงห้องของจักรพรรดิแล้ว จาเน็ตก็ยังเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเคาน์เตสอะมอร์อย่างไรดี เรื่องที่ตัวนางไม่กล้าแม้แต่จะคิดได้เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้ จาเน็ตกำลังสับสนอย่างมากเลยทีเดียว

จักรพรรดิสังเกตเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม “ดูเหมือนเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“เพคะ?”

หลังจากหลุดปากถามกลับด้วยความตกใจ ครู่หนึ่งจาเน็ตก็เอ่ยตอบเสียงค่อย “เปล่าเพคะ ไม่ใช่อย่างนั้น”

“อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้า…”

ขณะที่พูดอยู่นั้นจักรพรรดิก็เริ่มถอดเสื้อผ้า การกระทำปุบปับนั้นทำให้จาเน็ตตกใจ แต่จะกรีดร้องออกมาก็ไม่ได้ จึงได้แต่หันหลังให้ตามสัญชาตญาณ จักรพรรดิเห็นปฏิกิริยาของจาเน็ตก็ถามอย่างสงสัย

“เหตุใดท่าทีของเจ้าจึงเป็นเช่นนั้นเล่า”

“เพคะ? เอ่อ…หม่อมฉันเพียงแต่…”

จาเน็ตตอบอย่างใจเย็น แม้จะยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่ยังเต้นตุบๆ ด้วยความตกใจ

“เอ่อ…หม่อมฉันคิดว่าร่างกายของผู้สูงศักดิ์มิอาจมองได้ตามอำเภอใจ…”

งานส่วนใหญ่ของจาเน็ตในตำหนักตากอากาศแห่งนี้มีแต่สิ่งที่ระเบียบพิธีการกำหนดไว้เท่านั้น ระหว่างที่จักรพรรดิหรือเหล่าชนชั้นสูงไม่ได้มาที่นี่ นางและข้ารับใช้คนอื่นๆ อย่างเอเวอรีก็มีหน้าที่จัดการดูแลห้องที่ว่างเปล่า ระหว่างที่มีผู้มาเยือน นางก็มีหน้าที่บริการอาหารว่าง หรือไม่ก็จัดการของมีค่าต่างๆ เรื่องช่วยอาบน้ำหรือช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เคยทำอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสตรีชนชั้นสูงทั้งสิ้น จึงเรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเรือนร่างของบุรุษที่เปลื้องผ้า

แน่นอนว่าจักรพรรดิไม่มีทางรู้เรื่องนี้ เขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจาเน็ตซึ่งเป็นถึงนางกำนัลถึงได้มีปฏิกิริยาอ่อนไหวกับเรื่องเช่นนี้เหลือเกิน

“การช่วยอาบน้ำมิใช่เรื่องพื้นฐานของการเป็นนางกำนัลหรอกหรือ”

“เอ่อ…หม่อมฉันเคยแต่ช่วยเลดี้อาบน้ำเท่านั้นเพคะ เรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เช่นกัน… หากทรงเป็นกังวลว่าหม่อมฉันจะทำได้ไม่ดี เช่นนั้นทรงเรียกหานางกำนัลคนอื่น…”

“ไม่ล่ะ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น”

จักรพรรดิหยิบเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นมาสวมเองและมีสีหน้าครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เสนอทางแก้ด้วยน้ำเสียงสดใส

“เช่นนั้นก็ไม่ยาก จะสตรีหรือบุรุษล้วนเป็นคนเหมือนกัน เจ้าทำอย่างที่เคยทำก็พอ”

“…”

“แล้วก็ตอนนี้เจ้าหันกลับมาได้แล้ว”

ได้ยินดังนั้นจาเน็ตจึงยอมหันกลับมา

“ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันช่วยพระองค์สรงน้ำเพียงคนเดียวหรือเพคะ” นางถาม

“เจ้าไม่พอใจหรือ? เจ้าทำไม่ได้หรือว่า…”

“…หามิได้เพคะ”

คนที่นางต้องช่วยอาบน้ำเพียงคนเดียวมิใช่ใครที่ไหนแต่เป็นถึงจักรพรรดิ นี่มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ แม้จะเป็นนางกำนัลของตำหนักตากอากาศในต่างเมือง แต่จาเน็ตรู้ดีกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามประเพณี หญิงสาวมิอาจล่วงรู้เจตนาของจักรพรรดิได้เลย

แต่การทำตามคำสั่งของเขาเป็นชะตาของราษฎรทั้งจักรวรรดิ แน่นอนว่ารวมถึงจาเน็ตด้วย

จาเน็ตเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างเสียไม่ได้ ในอ่างอาบน้ำมีน้ำร้อนอยู่เต็มอ่าง ดูเหมือนเขาจะสั่งให้เตรียมไว้ก่อนจะออกไปข้างนอก ไม่นานจักรพรรดิก็ตามเข้ามาในชุดเสื้อคลุมผ้าไหมบางๆ ปกปิดร่างกาย เขาลงไปในอ่างอาบน้ำทั้งอย่างนั้นอย่างไม่ใส่ใจ

จาเน็ตที่เพิ่งเคยช่วยผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิอาบน้ำเป็นครั้งแรกรู้สึกกังวลอย่างมากว่าหากตนทำอะไรผิดพลาดไปจะทำอย่างไรดี แต่นางก็พยายามทำใจให้สงบและคิดเสียว่าตนกำลังช่วยเลดี้คนหนึ่งอาบน้ำเท่านั้น หากมัวแต่ทำไปกังวลไปมีแต่จะยิ่งผิดพลาดไปกันใหญ่

“…”

“…”

ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน และในห้องน้ำก็อยู่กันแค่สองคนจึงไม่แปลกที่ทั้งห้องจะตกอยู่ในความเงียบ แน่นอนว่าจาเน็ตกำลังตั้งใจทำหน้าที่ช่วยอาบน้ำอย่างเต็มที่จึงไม่มีเวลาไปสนใจความเงียบงันนั้น แต่จักรพรรดิมิใช่แบบนั้น เขาจ้องจาเน็ตเขม็งอยู่หลายต่อหลายครั้งคล้ายมีอะไรจะพูด แต่จาเน็ตก็ไม่ได้รู้สึกถึงแม้กระทั่งสายตาอันแน่วแน่นี้ จนกระทั่งการอาบน้ำใกล้จะเสร็จสิ้นนางจึงเพิ่งสังเกตเห็น

“ฝ่าบาท ตอนนี้เชิญเสด็จขึ้นจากอ่าง…”

วินาทีที่จาเน็ตผละจากท่าก้มโค้งโดยไม่ตั้งใจ นางก็สบเข้ากับดวงตาสีนิลของจักรพรรดิ ใบหน้าหลังการอาบน้ำของเขาดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนอยู่ใต้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ผิวพรรณผ่องแผ้วที่แดงระเรื่อเล็กน้อยนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าข่าวลือเกี่ยวกับรูปโฉมอันงดงามของเขานั้นมิได้โป้ปดแม้แต่น้อย

จาเน็ตเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ในใจก็คิดว่า ‘บ้าไปแล้วแน่ๆ’ แต่ในฐานะนางกำนัลนางก็อดดีใจไม่ได้ที่ตนได้รับเกียรติให้ช่วยจักรพรรดิอาบน้ำแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่านั่นเป็นใจจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจแม้กระทั่งตัวนางเองก็มิอาจรู้

“…”

“…”

สายตาอันเหนียวแน่นนั้นมองตามนางตลอดจนจาเน็ตเริ่มทำตัวไม่ถูก

เหตุใดจึงจ้องข้าไม่วางตาเช่นนี้เล่า?

หญิงสาวอยากจะถามออกไป แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วก็พบว่าช่างน่าแปลกที่นางรู้สึกว่าไม่สามารถถามออกไปได้ ขณะที่จาเน็ตทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เผยอปาก จู่ๆ จักรพรรดิก็ยกแขนที่เปียกโชกขึ้นจากน้ำ ท่อนแขนแกร่งมีผ้าบางๆ แนบสนิทไม่เหลือช่องว่างปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงน้ำกระฉอก ขณะที่จาเน็ตยังคงจ้องมองอีกฝ่าย เขาก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาจับผมที่หลุดลงมาด้านข้างนำไปทัดหูให้

“เจ้าดูตั้งใจมากทีเดียว”

“เอ่อ…” จาเน็ตตกใจหน้าแดงโดยไม่รู้ตัวพลางเอ่ยขออภัย “หากทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”

แต่แม้จะได้ฟังคำขอโทษแล้ว จักรพรรดิก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ จนกระทั่งความเงียบเริ่มก่อให้เกิดความวุ่นวายใจ จักรพรรดิจึงเอ่ยปาก

“เจ้าบอกว่าชื่อจาเน็ตใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาท”

คำพูดต่อมาของเขาทำให้นางตกตะลึงอย่างมาก

“ไม่อยากไปอยู่ที่วังบ้างหรือ”

“…เพคะ?”

วินาทีนั้นจาเน็ตนึกสงสัยว่าตนหูฝาดไปหรือไม่จึงถามกลับทันทีอย่างเสียมารยาท แต่เห็นสีหน้าของจักรพรรดิแล้วก็ดูเหมือนว่าตนไม่ได้เข้าใจผิดไป เขาหมายถึงการไปพระราชวังจริงๆ ในหัวของจาเน็ตคิดออกเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้ามึนงง

“หม่อมฉันเข้าใจ…ถูกต้องใช่ไหมเพคะ ฝ่าบาท”

“ใช่”

“แต่คนอย่างหม่อมฉัน…เหตุใด…”

“ความเมตตาของจักรพรรดิไม่มีเหตุผล หัวใจของจักรพรรดิเองก็ไม่มีเหตุผลเช่นกัน”

“…”

“หากเจ้าไม่ต้องการ เราก็จะไม่บังคับ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในขณะที่จาเน็ตยังคงได้แต่เหม่อมองจักรพรรดิ เขายิ้มให้นางด้วยใบหน้าที่มีเสน่ห์อย่างหาที่สุดมิได้ และนั่นทำให้นางเผลอพยักหน้าตอบรับราวกับต้องมนตร์

วินาทีนั้น จาเน็ตไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษหรือลึกซึ้ง นางชอบจักรพรรดิที่อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับที่จักรพรรดิชอบนาง

นางคิดเพียงเท่านั้น

นางไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ตนเคยเตือนเอเวอรีด้วยซ้ำ ราวกับนางมั่นใจว่าคำเตือนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางแม้แต่น้อย

“ขอบใจนะ”

จักรพรรดิยิ้มอย่างงดงามให้อีกหนึ่งครั้งก่อนจะมอบจุมพิตให้จาเน็ต แม้จาเน็ตจะยังรู้สึกแปลกๆ แต่นางก็น้อมรับจุมพิตนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ วินาทีนั้น นางได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรกและรู้สึกมีความสุขจากใจ

ในคืนนั้นจาเน็ตตัดสินใจร่วมเตียงกับจักรพรรดิ หลังจากนั้นนางก็ไม่ใช่นางกำนัลของตำหนักตากอากาศอีกต่อไป หลายคนแสดงความยินดีกับนางที่ได้รับความเมตตาจากจักรพรรดิ แต่หลายคนก็มองนางด้วยสายตาริษยา เดิมทีจาเน็ตก็ไม่ค่อยสนใจสายตาของคนอื่นอยู่แล้วจึงเมินเฉยต่อคนกลุ่มหลังและเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงด้วยความตื่นเต้น

วันรุ่งขึ้น จาเน็ตเข้าวังพร้อมกับจักรพรรดิในฐานะนางกำนัลตำหนักกลางที่จักรพรรดิพักอยู่

นางกำนัลตำหนักกลางที่อยู่มาก่อนย่อมไม่ยินดีกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจาเน็ต แต่ในเมื่อจักรพรรดิยังคงมอบให้ความรักให้กับนาง เหล่านางกำนัลตำหนักกลางที่ดูเบาและจงเกลียดจงชังจาเน็ตเพราะมีฐานะต่ำต้อยจึงมิอาจทำอะไรได้ตามอำเภอใจ

ถึงกระนั้นจาเน็ตก็ไม่เคยลืมฐานะของตัวเองและทำตัวยโสโอหัง นางเพียงแต่คอยช่วยเหลือจักรพรรดิอยู่ข้างๆ และทำหน้าที่ของตนเท่านั้น นั่นทำให้จักรพรรดิมอบความรักความหวงแหนให้กับนางอย่างไม่รู้เบื่อ

กระทั่งวันหนึ่ง ข่าวการแต่งตั้งจักรพรรดินีอย่างเป็นทางการก็แพร่สะพัดไปทั่วจักรวรรดิ

[1] ชักแม่น้ำทั้งห้า หมายถึง พูดจาหว่านล้อมยกเหตุผลต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ได้สิ่งที่ประสงค์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด