Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี 100 หากเจ้าต้องการ ข้าทำให้ได้ตลอดชีวิต

Now you are reading Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี Chapter 100 หากเจ้าต้องการ ข้าทำให้ได้ตลอดชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังกินจนหมดเลยนะ ฝ่าบาท”

ได้ยินราฟาเอลาพูดดังนั้นแพทริเซียก็หน้าแดง มีร์ยาส่งสายตาปรามอยู่ข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าราฟาเอลาไม่คิดที่จะถอย

“นับถือหัวใจของจักรพรรดิจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่น่าจะเคยทำอะไรแบบนี้แท้ๆ”

“แต่ก็ทำให้คนอื่นร้องไห้เป็นสายเลือดแทนมิใช่รึ”

คำพูดแสนเย็นชาของแพทริเซียทำให้ราฟาเอลาหุบปากฉับ แพทริเซียเดินเนิบช้าต่อไปเงียบๆ ด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาความคิด นางออกมาเดินเล่นเพราะอาหารไม่ย่อย แต่อากาศค่อนข้างเย็นเช่นนี้ช่างไม่เหมาะกับการเดินเล่นเอาเสียเลย มีร์ยาสังเกตเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม

“ฝ่าบาท เสด็จกลับดีกว่าไหมเพคะ”

“…ข้าไม่เป็นไร”

“หากประชวรขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเพคะ รีบเสด็จกลับเถอะเพคะ”

ครั้นมีร์ยาเร่งเร้า แพทริเซียจึงเดินกลับไปทางตำหนักของตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ตอนนั้นเองนางก็เห็นคนผู้หนึ่ง แพทริเซียตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัวตรงข้ามกับ ‘คนผู้นั้น’ ที่แสดงความปีติยินดีอย่างมากเมื่อได้พบนาง

“จักรพรรดินี”

ลูซิโอยิ้มกว้างพลางเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาในขณะที่แพทริเซียค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างลังเล อะไรกัน จู่ๆ ก็… แพทริเซียยิ้มแหยและทำความเคารพลูซิโอที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้

“ถวายบังคม…ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”

“พิธีรีตองนั้นช่างเถิด เจ้าออกมาเดินเล่นหรือ”

“เพคะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันกำลังจะกลับแล้ว”

“อ้อ…”

เพียงคำพูดเดียวก็เปลี่ยนสีหน้าของเขาให้กลายเป็นลูกสุนัขหงอยเหงา สีหน้าที่เปลี่ยนไปในชั่วพริบตานั้นทำให้ราฟาเอลาอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ เห็นดังนั้นมีร์ยาก็สะดุ้งเฮือกและถองสีข้างราฟาเอลา ในขณะที่แพทริเซียทำสีหน้าประหลาดขณะกล่าวกับลูซิโอ

“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา…”

“เอ่อ…” ลูซิโอเอ่ยรั้งแพทริเซียที่ทำท่าจะหันหลังกลับ “หากเจ้าไม่มีกิจธุระอันใด…ไปเดินเล่นด้วยกันสักครู่ได้หรือไม่”

“…”

ระหว่างที่แพทริเซียกำลังลังเล มีร์ยากับราฟาเอลาก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ฝ่าบาท ท่านพ่อคงกำลังเป็นห่วงหม่อมฉัน เช่นนั้น…หม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ”

“อยู่กับองค์จักรพรรดิก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะจัดที่บรรทมเอาไว้ให้”

“นี่ เดี๋ยวสิ…”

ก่อนที่แพทริเซียจะได้พูดอะไรสองคนนั้นก็รีบปลีกตัวออกไปก่อนราวกับนัดกันไว้ แพทริเซียมองจุดที่สองคนเคยยืนอยู่ด้วยสายตาว่างเปล่า ในตอนนั้นเองน้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของลูซิโอก็ดังขึ้น

“เราทำให้อึดอัดหรือ”

“…”

แพทริเซียไม่พูดอะไร ลูซิโอคิดว่าการที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยไม่รู้จะตอบคำถามของเขาอย่างไร ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะริมฝีปากบางโดยไม่รู้ตัวพลางพึมพำเบาๆ

“เราหวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายตัวเองเช่นนี้”

“เอ่อ…”

แพทริเซียมองลูซิโอด้วยความตกใจเล็กน้อย ทำไมต้องแกล้งทำเป็นอ่อนโยนไม่เข้าเรื่อง… แพทริเซียค่อยๆ ดึงมือของลูซิโอออกพลางกล่าว

“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดจะกล่าวกับหม่อมฉันหรือเพคะ”

“…บราวนี” เขาเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “อร่อยหรือไม่”

“…”

เขาคงไม่ถามเช่นนี้หากไม่ได้รู้อยู่แล้วว่านางกินมันเข้าไป ท่าทางมีร์ยาจะส่งข่าวไปบอกล่ะสิ แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูดออกไปตามตรง

“แม้จะเป็นมือสมัครเล่นแต่ก็ทำได้ไม่เลวเพคะ”

“โล่งอกไปที”

“ที่จู่ๆ พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน…หม่อมฉันควรเข้าใจว่าอย่างไรเพคะ”

“เราไม่ได้บอกไปแล้วหรือ”

เขาผินหน้ามาเล็กน้อยเพื่อมองแพทริเซีย ในขณะที่แพทริเซียกลับหลบตาและเอาแต่มองไปข้างหน้า ทว่า ลูซิโอก็ยังคงมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจว่านางจะมองกลับหรือไม่และพูดต่อ

“เราจะพยายาม”

“ด้วยบราวนีเพียงอย่างเดียวน่ะหรือเพคะ”

แพทริเซียหัวเราะอย่างเย็นชาแต่ลูซิโอก็พูดต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ

“นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เราไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะสามารถเอาชนะใจเจ้าได้ในครั้งเดียว”

“ไม่เคยคิดว่าจะเอาชนะใจได้ในครั้งเดียวหรือเพคะ” แพทริเซียแค่นหัวเราะ “รับสั่งราวกับว่าจะทำไปชั่วชีวิตเลยนะเพคะ”

“หากเจ้าต้องการ”

“…”

“เราก็คิดจะทำเช่นนั้น”

คำพูดนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของแพทริเซียเล็กน้อย ทว่า ลูซิโอกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น เดิมทีบุรุษที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรักก็มักจะทึ่มทื่อกว่าปกติอยู่แล้ว

“ช่างเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยยิ่ง องค์สุริยันแห่งจักรวรรดิ”

“เราคิดว่าหากต้องการไถ่โทษที่ได้ทำไว้กับเจ้า เรื่องเพียงเท่านี้เราควรจะทำ” จากนั้นเขาก็เอ่ยถามอย่างขมขื่น “หากยังไม่พอ เราก็จะพยายามให้มากขึ้น”

“หม่อมฉันรู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไปเพคะ” แพทริเซียกล่าวเสียงสั่น “การที่จู่ๆ ฝ่าบาทมาบอกว่ารักหม่อมฉัน มันเป็นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการหยอกล้อ”

“มิใช่จู่ๆ หรอก” ลูซิโอพูดอย่างสงบนิ่ง “เราบอกรักเจ้าเมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่เจ้า…ไม่คิดจะรับฟังเท่านั้น”

“…”

“เรามิได้จะกล่าวโทษเจ้า เพียงแต่มันเป็นเช่นนั้นจริง…แน่นอนว่าตอนนั้นเจ้าคงยอมรับได้ยาก”

“ตอนนี้ก็ด้วยเพคะ”

“นั่นสินะ” เขาไม่ได้เอ่ยแย้งและพูดต่อ “ด้วยเหตุนั้นเราถึงได้บอกว่าเราจะพยายาม”

พูดจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่และนำไปคลุมให้แพทริเซีย แพทริเซียยืนนิ่งเหมือนหุ่นจำลองขณะที่ลูซิโอเข้ามายืนซ้อนหลังพลางกระซิบเสียงค่อย

“ดูเหมือนเจ้าจะหนาว”

“…”

“หากเราวุ่นวายมากเกินไปต้องขออภัยด้วย”

“หากพระองค์ประชวรเพราะหม่อมฉัน” แพทริเซียมองลูซิโอตรงๆ เป็นครั้งแรกพลางกล่าว “ถึงตอนนั้นพระองค์จะเกลียดหม่อมฉันไหมเพคะ”

“เกลียดหรือ” เขาทวนคำเงียบๆ “แค่เอาเวลาที่เหลือในชีวิตมาเทิดทูนเจ้าก็จะไม่พออยู่แล้ว”

“…”

“แล้วเราจะเกลียดเจ้าได้อย่างไร”

ลูซิโอกระชับคอเสื้อให้แพทริเซียพลางพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ

“คนที่เกลียดคือเจ้าต่างหาง เรามิบังอาจทำเช่นนั้น”

“…”

“สำหรับเรา ขอเพียงเจ้าแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย นั่นก็ถือเป็นพรจากพระเจ้าแล้ว”

พูดจบเขาก็ยิ้มบางๆ ในขณะที่แพทริเซียมองลูซิโอตาใส ผู้ชายคนนี้ชอบทำให้ข้าสับสนอยู่เรื่อย ตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แพทริเซียพึมพำในใจ เพราะแบบนั้นเขาถึงได้น่าหงุดหงิด ขัดหูขัดตา และน่า…เป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม

“ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อครู่เราเห็นว่าชุดเดรสของเจ้าบางมาก”

“ดีขึ้นแล้วเพคะ”

“เอ่อ…เรื่องงานวันเกิด” ลูซิโออ้ำอึ้งก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่”

“คราวก่อนหม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้วว่าทรัพย์สมบัติไม่มีความหมายสำหรับหม่อมฉันเพคะ”

“ไม่ๆ ไม่ใช่ของแบบนั้น ไม่ต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองก็ได้ นอกจากเรื่องขอออกจากวัง…ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เราจะทำให้ทั้งหมด”

“ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่ต้องการสิ่งใดเพคะ” แพทริเซียตอบเสียงห้วน “สักวันหม่อมฉันอาจต้องการบางสิ่ง แต่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่รู้เพคะ”

“อืม…”

ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ คิดจะทำอะไรที่ข้าไม่รู้อีกหรือเปล่า แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

“เช่นนั้น…” แพทริเซียเงยหน้ามองลูซิโอ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ามีดอกไม้ที่ชอบหรือไม่”

“…กุหลาบเพคะ”

นางชอบกุหลาบ ตลกร้ายยิ่งนักที่ชื่อของอนุภรรยาของสามีนางก็คือโรสมอนด์ แพทริเซียยิ้มขื่นพลางกล่าวย้ำอีกครั้ง

“หม่อมฉันชอบดอกกุหลาบ”

“อืม ขอบคุณนะที่บอกเรา”

“นี่พระองค์คงไม่ได้คิดที่จะ…” แพทริเซียถามลองใจ “ทำอะไรเชยๆ อย่างเตรียมดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอกใช่ไหมเพคะ”

“…ไม่หรอก”

ดูเหมือนจะใช่ แพทริเซียยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งแรก ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่ง

“ไม่ใช่เด็ดขาด”

“ทราบแล้วเพคะ”

แพทริเซียตอบรับอย่างนุ่มนวลราวกับปลอบเด็กเล็ก เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นลูซิโอก็ถอนหายใจสั้นๆ

“ไม่ง่ายเลย ความจริงแล้วเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน”

“…”

แพทริเซียคิดจะบอกให้อีกฝ่ายล้มเลิกความตั้งใจ แต่นางก็หยุดความคิดนั้นไว้ การพูดแบบนั้นคงจะโหดร้ายเกินไปสำหรับทั้งนางและเขา แต่ความคิดเช่นนั้นก็โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่องทำให้แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด นางจึงต้องรีบจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด

“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ”

“เราจะไปส่ง”

“หม่อมฉันไปเองได้เพคะ”

“เรื่องแค่นี้เจ้าอย่าดื้อดึงนักเลย หากเจ้าไม่อยากอยู่กับเรา…เราจะเรียกองครักษ์มาให้”

“…”

“เรื่องความปลอดภัยเรายอมไม่ได้”

แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ผู้ชายคนนี้หัวแข็งกับเรื่องแบบนี้จนเกินเหตุ หลังจากนั้นลูซิโอก็เดินไปส่งแพทริเซียถึงตำหนักจักรพรรดินีโดยไม่พูดอะไรแม้ครึ่งคำ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะเขานึกถึงความรู้สึกของแพทริเซีย แต่นั่นกลับทำให้แพทริเซียอึดอัด เมื่อถึงตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียก็กล่าวลา

“หม่อมฉันทูลลา…”

นางว่าพลางถอดเสื้อคืนให้ แต่เขาก็เอ่ยห้าม

“เข้าไปแล้วค่อยถอด ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไร”

“แต่…”

“ทำตามที่บอกเถอะ”

ไม่รู้ด้วยเหตุใด แต่น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทรงพลังนั้นกลับมีอิทธิพลต่อนางอย่างประหลาด แพทริเซียพยักหน้านิ่งๆ ลูซิโอเป็นฝ่ายหันหลังเดินจากไปก่อน แพทริเซียยืนมองเบื้องหลังของอีกฝ่ายเงียบๆ ทันใดนั้นนางก็หันหลังกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ปกติแล้วก็มักจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นหวัด โดยส่วนมากลูซิโอซึ่งเป็นคนถอดเสื้อให้แพทริเซียควรจะต้องเป็นหวัดและป่วยกระเสาะกระแสะ ทว่า…

“อา ทำไมข้าถึง…”

“ฝ่าบาท พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”

น่าแปลกที่คนที่เป็นหวัดกลับเป็นแพทริเซียและนางก็รู้สึกว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย นางเป็นฝ่ายรับเสื้อมาแต่กลับเป็นหวัดเสียนี่ แพทริเซียถามอย่างอ่อนเพลีย

“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมีพระอาการประชวรบ้างหรือไม่”

“เพคะ?” จู่ๆ ก็ถูกถามเช่นนี้ มีร์ยาจึงมีสีหน้าสงสัย นางเอียงคอตอบ “ไม่นะเพคะ…ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้น”

เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ได้ติดมาจากการสวมเสื้อของเขา แต่ทำไม…! แพทริเซียหลับตาแน่น โชคร้ายจริงๆ นางถอนหายใจอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถาม

“แล้วฝ่าบาทล่ะ”

“เพคะ?”

ได้ยินอีกหนึ่งคำถามที่ไม่คาดคิด มีร์ยาก็เอียงคออีกครั้ง แต่ดูเหมือนคราวนี้นางจะไม่รู้จริงๆ จึงไม่ได้ตอบอะไร แพทริเซียจึงถามย้ำเสียงแผ่ว

“ข้าถามว่า…ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่”

ตัวนางยังป่วยขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะปกติดีหรือไม่ ตอนนั้นเองมีร์ยาถึงได้เข้าใจความคิดของแพทริเซีย

“อ้อ พระวรกายขององค์จักรพรรดิปกติเพคะ” มีร์ยาตอบ

“อย่างนั้นหรือ”

คำตอบนั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกแย่ ตากลมอยู่ด้วยกันแท้ๆ เหตุใดถึงมีแต่ข้าที่… แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า นางรู้สึกว่าทำอะไรก็เหนื่อยไปหมด

“วันนี้ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ ไม่มีเรื่องด่วนอันใดด้วย” มีร์ยากล่าว

“…คงต้องเป็นเช่นนั้น บอกนีย่าด้วยนะว่าไม่ต้องมา…มิเช่นนั้นจะติดไข้เอาได้”

“ทราบแล้วเพคะ”

มีร์ยาพูดทิ้งท้ายว่าต้องการสิ่งใดให้เรียกและออกจากห้องไป ในห้องเหลือเพียงแพทริเซียที่นอนขยุ้มผ้าห่มด้วยสีหน้าอึดอัดใจ

เหงาจัง

‘ป่วยแล้วฟุ้งซ่านเสียจริง’

แพทริเซียหัวเราะแห้งๆ พลางกะพริบตา ในตอนนั้นเองนางก็เหลือบไปเห็นเสื้อที่คุ้นตา แพทริเซียยื่นมือออกไปคว้าเสื้อตัวนั้นมาโดยไม่รู้ตัว

‘อุ่นจัง…’

ทั้งที่ถูกถอดทิ้งไว้นานแล้วแท้ๆ มันเป็นเสื้อที่นางลืมนำไปคืน แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามันอุ่น บางทีอาจเป็นเพราะเฟอร์ที่อยู่บนเสื้อ แพทริเซียสูดลมหายใจเข้า-ออกอย่างยากลำบาก นางได้กลิ่นของผู้ชายคนนั้น กลิ่นที่อบอุ่นทว่าเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็หอมหวานทว่าติดขมเล็กน้อย…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด