Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี 41 ช่างเป็นความรักที่น่าเศร้าโดยแท้

Now you are reading Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี Chapter 41 ช่างเป็นความรักที่น่าเศร้าโดยแท้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าจะลงโทษนางอย่างไรก็ได้ เราอนุญาต แต่โปรดไว้ชีวิตนาง” เขาร้องขอ

“เห็นจะมิได้เพคะ ฝ่าบาท การลอบสังหารพระจักรพรรดิหรือเชื้อพระวงศ์นั้นมีโทษหนัก เป็นโทษที่ต้องลงทัณฑ์ด้วยการประหารชีวิต จะงดเว้นเพียงเพราะนางเป็นคนรักของพระจักรพรรดิได้อย่างไร”

“เรามิได้ห้ามมิให้ตัดสินโทษประหาร เจ้าจะทำให้นางกลายเป็นคนไร้ตัวตนบนโลกนี้ก็ย่อมได้ ขอเพียงไว้ชีวิตนาง”

“…”

“ขอร้องเถอะนะ จักรพรรดินี เจ้าอาจไม่เข้าใจแต่นางสำคัญกับเรามาก หากเจ้ายอมไว้ชีวิตนาง บุญคุณนี้เราจะไม่ลืมตลอดชีวิต”

“…ทำไมหรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดนางจึงสำคัญต่อพระองค์ถึงเพียงนั้น นางเป็นอะไรสำหรับพระองค์กันแน่…!”

“เจ้าคงไม่เข้าใจ”

ขณะที่พูดประโยคนั้น สีหน้าของลูซิโอช่างดูเศร้าหมองเสียเหลือเกิน แพทริเซียรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ยอมบอกอะไรนาง และความลับนั้นน่าจะใหญ่กว่าที่นางคิดไว้ นางพร้อมแล้วหรือที่จะรับรู้เรื่องนั้น?

“เพคะ ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ยอมบอกกล่าว ต่อให้หม่อมฉันตายแล้วเกิดใหม่ก็คงไม่มีวันเข้าใจหรอกเพคะ”

นางยังไม่อยากรับรู้ความจริงข้อนั้น ความอยากรู้และความไม่อยากรู้ของนางกำลังขัดแย้งกันเอง นางไม่สามารถอธิบายความรู้สึกวุ่นวายใจแปลกๆ นั้นได้ รอยยิ้มของแพทริเซียในตอนนี้ดูประหลาด

“ในเมื่อพระองค์กล่าวว่านางเป็นคนสำคัญ แล้วหม่อมฉันจะทำอย่างไรได้ ทว่า ชื่อของนางจะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ที่ตายไปแล้ว ซึ่งหม่อมฉันก็ไม่รู้ว่านางจะต้องการชีวิตเช่นนั้นหรือไม่นะเพคะ” นางจำต้องพูดเช่นนี้

“สิ่งที่นางเลือกหลังจากนั้น เราไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซง เพียงแต่…อย่างน้อยเราก็อยากจะเหลือทางเลือกไว้ให้นางบ้าง”

“ช่างเป็นความรักที่น่าเศร้าโดยแท้”

เขาเพียงแต่ยิ้มออกมาบางๆ แม้จะถูกแพทริเซียประชดประชันเช่นนั้น หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วรอยยิ้มของลูซิโอก็บิดเบี้ยวก่อนจะหายไปพร้อมกับเสียงไออย่างรุนแรง

“แค่กแค่ก!”

“ฝ่าบาท!”

สีหน้าเหม่อลอยของแพทริเซียพลันแปรเปลี่ยนเป็นตกใจขณะที่คว้าตัวลูซิโอไว้โดยอัตโนมัติ การกระทำนั้นลื่นไหลเป็นธรรมชาติจนทั้งเขาและนางไม่ทันรู้สึกตัว หญิงสาวรีบถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“ทรงเป็นอะไรไปเพคะ หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาดีหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก แค่สำลักน่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

“…”

แพทริเซียค่อยๆ ปล่อยมือจากตัวอีกฝ่าย อา อีกแล้ว… งี่เง่าจริงๆ เป็นอีกครั้งที่นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาได้ หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปาก หากเป็นเช่นนี้ ที่นางเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่มีความหมายอะไรเลยน่ะสิ

“ดูเหมือนหม่อมฉันจะมารบกวนพระองค์นานเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะจัดการทุกอย่างให้พระองค์สามารถกลับมาทรงงานได้ทันทีในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา…”

แพทริเซียคิดว่าตนต้องรีบอยู่ให้ห่างจากเขา น่าแปลกที่นางไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เมื่ออยู่กับผู้ชายคนนี้ แน่นอนว่าเป็นอารมณ์ในด้านลบ แพทริเซียกล่าวอำลาและรีบออกจากห้อง

นางออกเดินโดยไม่พูดไม่จาอีกครั้ง ในเมื่อจักรพรรดิฟื้นแล้ว อีกไม่นานนางก็ต้องลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ก่อนที่เขาจะกลับมาทำงาน นางต้องจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นจึงออกคำสั่งกับมีร์ยาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“ในเมื่อพระจักรพรรดิทรงฟื้นแล้ว อีกไม่นานข้าคงต้องลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”

“หม่อมฉันจะจัดการโดยมิให้เกิดความผิดพลาดเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”

“อืม…กำหนดการต่อไปคืออะไร”

“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดขอเข้าเฝ้าเพคะ ฝ่าบาท เวลานี้น่าจะรออยู่ที่ห้องรับรองของตำหนักจักรพรรดินีแล้ว”

“ต้องรีบแล้วสิ”

แพทริเซียพึมพำออกมาสั้นๆ และเร่งฝีเท้า ผู้ที่รอนางอยู่หาใช่คนอื่นแต่เป็นดยุกวีเธอร์ฟอร์ด จะปล่อยให้รอได้อย่างไร แพทริเซียยังคงไม่ละทิ้งความสง่างามแม้ในยามที่ต้องสาวเท้าอย่างรวดเร็ว และมาถึงตำหนักของตัวเองในเวลาอันสั้น

เมื่อแพทริเซียไปที่ห้องรับรอง ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกำลังนั่งจิบชาแดงที่ข้ารับใช้นำมาให้อยู่ที่โต๊ะซึ่งทำจากโลหะ ชาสีแดงนั้นดูเหมือนจะเป็นชาดาร์จีลิง นางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะกล่าวทักทายเขา

“พบกันอีกแล้วนะ ดยุก”

“ฝ่าบาท”

ครั้นเห็นแพทริเซีย ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็รีบลุกจากที่นั่งและทำความเคารพ

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้จักรวรรดิจงมีแต่ความรุ่งเรือง”

“ลุกขึ้นเถิด ดยุกแห่งจักรวรรดิไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องนอบน้อมต่อเราถึงเพียงนี้”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”

เขาตอบสั้นๆ และโค้งคำนับ เมื่อแพทริเซียนั่งลงเขาก็นั่งตามก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่องทันทีโดยไม่เสียเวลาเกริ่นนำเหมือนยามสนทนาเรื่องทั่วไป

“ที่กระหม่อมมาพบพระองค์ในวันนี้ก็ด้วยเรื่องที่กระหม่อมกำลังสอบสวนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“…อืม เราก็พอจะรู้แล้วว่าไม่มีความคืบหน้า”

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้เป็นดยุกคอตกอย่างหมดราศี สีหน้าของแพทริเซียไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลง เพราะนางเองก็พอจะรู้อยู่แล้ว

เดิมทีแพทริเซียได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าการจะเปิดเผยความจริงด้วยการสอบสวนเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องยาก แต่นางจะมาหงุดหงิดเพียงเพราะเรื่องนั้นก็ดูจะไร้สาระ แพทริเซียเอ่ยปากถามต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แต่ท่านคงมิได้มาหาเราเพียงเพื่อจะบอกเรื่องนั้นกระมัง ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด เราคิดว่าท่านน่าจะมาหาเราด้วยเหตุผลอื่น หรือเราคิดไปเอง?”

“มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมมาเข้าเฝ้าเพราะมีเรื่องจะหารือ”

หารือ… แพทริเซียไตร่ตรองถึงคำพูดนั้น

หากเป็นเรื่องที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ‘ต้องการหารือ’ กับนางก็คงจะมีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องที่เกี่ยวกับการสืบสวนในคราวนี้ และการที่เขาต้องการปรึกษาอาจสื่อได้ว่าเรื่องที่เขากำลังจะพูดเป็นเรื่องที่ต้องการการเห็นชอบจากนางในระดับหนึ่ง แพทริเซียพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตด้วยสีหน้าเจือความอยากรู้อยากเห็น

“แต่ไหนแต่ไร หากไม่มีโทษก็เพียงแค่สร้างขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ยิ่งง่ายดายนัก”

“ที่ท่านพูดมาก็ถูก แต่ดูเหมือนท่านดยุกจะมีใครในใจให้ป้ายสีแล้วกระมังจึงได้มาหาเรา ใช่หรือไม่?”

แพทริเซียถามพลางยิ้มบางๆ ตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดเป็นอริกับตระกูลดยุกเอเฟรนีมาหลายต่อหลายรุ่น เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในใจเขาย่อมเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเอเฟรนีเป็นแน่ แพทริเซียคิดว่า ‘แต่หากเป็นโรสมอนด์ก็คงดี’ ในตอนนี้นางเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดมิใช่หรือ? ถ้าเพียงเขาเอ่ยชื่อนั้นออกมา แพทริเซียก็พร้อมจะผลักดันแผนการของตนให้ถึงที่สุด

“ดูเหมือนกระหม่อมจะปิดบังพระองค์ไม่ได้จริงๆ”

“เพราะสถานการณ์เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ ว่าแต่คนที่ท่านคิดไว้เป็นใครกัน”

“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ไม่สิ ฝ่าบาทต้องพอพระทัยเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ‘ตัวละคร’ นี้เป็นคนที่ทุกคนต่างก็รู้จักดี”

“…”

เขาเปลี่ยนคำเรียก ใบหน้าของแพทริเซียเผยรอยยิ้ม คำพูดของเขาหมายความว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนที่ตัวนางในฐานะจักรพรรดินีจะต้องพอใจ หาใช่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เช่นนั้นก็มีเพียงคนเดียวมิใช่หรือ นางยิ้มระรื่นก่อนจะถามกลับไป

“ว่าแต่ทำไมกัน? เราไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดท่านจึงเลือกที่จะทำเช่นนี้ หรือนางมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลดยุกเอเฟรนี?”

สิ่งที่นางพอจะรู้มีเพียงเรื่องที่ในชาติก่อนโรสมอนด์และดัชเชสเอเฟรนีร่วมกันวางแผนร้ายเท่านั้น เป็นไปได้ว่าดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอาจไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทว่า เหตุใดคนที่เขาหมายหัวจึงเป็นโรสมอนด์ มิใช่คนของตระกูลดยุกเอเฟรนี? แน่นอนว่าดยุกวีเธอร์ฟอร์ดย่อมเอื้อเฟื้อมอบคำตอบให้แก่แพทริเซียที่กำลังสงสัย

“หากลองพิจารณาเป็นสองทาง เรื่องนั้นก็เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ดยุกเอเฟรนีนั้นเรียกได้ว่าไม่ยอมรับในตัวพระองค์พ่ะย่ะค่ะ หากเขาต้องการรักษาอำนาจที่อยู่ในมือตอนนี้ เขาย่อมต้องพยายามผูกสัมพันธ์กับฝ่าบาทหรือไม่ก็บารอเนสเฟ็ลปส์ แต่ดูจากท่าทีของเขาที่มีต่อพระองค์แล้ว ดูเหมือนว่าสายสัมพันธ์นั้นจะไม่ได้มุ่งมาทางนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็เหลืออีกเพียงทางเดียว หรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“…”

“ฝ่าบาททรงคิดว่ากระหม่อมคิดผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ หาได้เป็นเช่นนั้น ทว่า…”

แพทริเซียมีสีหน้าครุ่นคิดพลางลากเสียงท้ายอย่างลังเล ใช่แล้ว นางเองก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าตระกูลดยุกเอเฟรนีไม่ค่อยพอใจในตัวนางสักเท่าไร ตั้งแต่ที่นางขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อีกฝ่ายก็หาเรื่องมาโต้เถียงนางไม่จบไม่สิ้น คงไม่มีคนโง่เง่าที่ไหนที่มองการกระทำนั้นไม่ออก

แต่เพราะอะไรกันแน่? แพทริเซียนึกสงสัย นางไม่เคยเลือกปฏิบัติกับมหาเสนาบดีทั้งสามเลยสักครั้ง ทั้งยังพยายามปฏิบัติตัวต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือไมตรีจิตจากตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ด และความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลดยุกวาเซียร์ซึ่งวางตัวเป็นกลางในทุกสถานการณ์

ทว่า มีเพียงดยุกเอเฟรนีเท่านั้นที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับนาง ไม่สิ จะบอกว่าเป็นปฏิปักษ์ก็ยังดูคลุมเครือ แต่อย่างน้อยก็คงยากที่จะมองว่าเป็นมิตร

แพทริเซียลองครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงสาเหตุของเรื่องนี้ แต่เมื่อคิดเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบนางจึงตัดสินใจเอ่ยปากถาม

“เราเพียงแต่สงสัยเท่านั้น เหตุใดพวกเขาจึงเกลียดเรา เท่าที่จำได้เราก็ไม่เคยไปทำอะไรให้พวกเขาเจ็บช้ำน้ำใจเสียหน่อย”

แพทริเซียรอคำตอบจากดยุกวีเธอร์ฟอร์ด และคำตอบที่ได้รับก็อยู่เหนือความคาดหมายของนาง

“ฝ่าบาท เหตุใดจึงคิดว่าปัญหาอยู่ที่พระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“…คะ?”

“เดิมทีการเมืองเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินด้วยความคิดเพียงสองด้าน โดยเฉพาะกับเรื่องเช่นนี้”

“…ว่าต่อไป”

“กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อขุนนางทั้งหลายอย่างเท่าเทียม คงไม่มีขุนนางที่เข้าร่วมการประชุมคนใดไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้”

“แล้ว?”

“เพราะฉะนั้นอย่างน้อยปัญหาก็มิได้อยู่ที่การปฏิบัติตัวของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ หากเป็นก่อนจะดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ไม่สิ ถ้าเป็นก่อนที่พระองค์จะเป็นพระจักรพรรดินีก็ไม่แน่ ทว่า ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าพระองค์เป็นคนเงียบขรึม ตอนเป็นเลดี้ก็ใช้ชีวิตอย่างสามัญ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมองว่าปฏิกิริยาของพวกเขาเป็นผลมาจากการปฏิบัติตัวของพระองค์”

“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่เลือกเรา?”

แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดต่อหน้าประมุขของตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดซึ่งเป็นปรปักษ์กับตระกูลดยุกเอเฟรนี แต่นางสงสัยเหลือเกิน ทำไมกัน? อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาไม่เลือกนาง เมื่อเอ่ยปากถามออกไปแล้ว หญิงสาวก็เฝ้าดูท่าทีของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ทว่า อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มกว้างเท่านั้น

“เหตุผลนั้นทั้งฝ่าบาทและกระหม่อมมิอาจทราบได้พ่ะย่ะค่ะ คงมีเพียงประมุขของตระกูลนั้นที่ทราบ”

“…เป็นเช่นนั้น”

“แต่ที่แน่ชัดคือพวกเรามาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด