Long Live The Hokage 31

Now you are reading Long Live The Hokage Chapter 31 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่เมืองหลวงของ แคว้นแห่งไฟ

หลังจากเดินทางมาได้ 1 วัน มาซาฮิโกะ ก็เดินทางมาถึงใจกลางของ แคว้นแห่งไฟ ที่นั่นเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของแคว้นแห่งนี้

ในฐานะที่เมืองหลวงแห่งนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของ แคว้นแห่งไฟ ทำให้เมืองนี้ดูเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อาคารทรงเตี้ยและตึกรามบ้านช่องสามารถมองเห็นได้อย่างหนาแน่นในเมือง

แม้ว่าจะเป็นเวลากว่า 58 ปีแล้ว ที่ มาซาฮิโกะ ได้ข้ามมายังโลกแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่เคยเข้ามาเยี่ยมชมในเขตเมืองหลวงที่ค่อนข้างทันสมัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สิ่งก่อสร้างที่นี่ไม่ใช่อาคารสูงเหมือนกับศตวรรษที่ 21 แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่นี่มีลักษณะแบบท้องถิ่นและแบบพื้นบ้านมากกว่า มาซาฮิโกะ เดินไปตามถนนในย่านใจกลางเมือง และเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนจากพ่อค้าแม่ค้าตลอด 2 ข้างทางที่เขาเดินผ่านไป

เครื่องปั้นดินเผาที่ทำด้วยมือจาก แคว้นแห้งลม , เสื้อผ้าจาก แคว้นแห่งน้ำ , หินแกะสลักจาก แคว้นแห่งดิน และอีกมากมาย….

มีพ่อค้าจำนวนมากเดินทางมาที่เมืองนี้เพื่อนำสินค้าจากทั่วทุกมุมโลกมาขาย

“น่าทึ่งจริง ๆ แม้จะอยู่ในช่วงที่เกิดสงครามขึ้นแบบนี้ แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายเดินทางมาที่นี่ แน่นอนว่าจะยังไง ธุรกิจก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการต่อสู้อยู่แล้ว”

ทันใดนั้น มาซาฮิโกะ ก็ได้ยินสิ่งที่คุ้นเคย “คุณเบื่อไหมกับการติดต่อสื่อสารที่ยากลำบาก แถมยังติด ๆ ขัด ๆ ถ้าอย่างนั้นเราขอเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของเรา! ครั้งแรกในแคว้นแห่งนี้ ที่ร้านของเราเท่านั้น…”

มาซาฮิโกะ ประหลาดใจเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “การตลาดที่คุ้นเคย…”

เขาเดินเข้าไปใกล้กับคนขาย ขณะที่คนขายถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก เขาพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไป

สิ่งที่คนขายขายกำลังขายอยู่คือหูฟัง มาซาฮิโกะ ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะมาปรากฏอยู่ในโลกนี้ และเมื่อเขามองไปที่ผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่และเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน

“โลกนี้แม้ว่าจะอยู่ในยุคที่เกิดสงคราม แต่เทคโนโลยีก็ยังคงพัฒนได้อย่างต่อเนื่อง มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกละมั้ง…”

คนขาย พูดต่อ “นี่คือ ชุดหูฟังวิทยุ สินค้าใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดยร้านของฉัน เพียงแค่คุณสวมใส่สิ่งนี้ ไม่ว่าคุณและคู่สายของคุณจะอยู่ห่างกันแค่ไหน คุณก็จะสามารถสื่อสารกันผ่านสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ชุดหูฟังวิทยุนี้กำลังเป็นที่นิยมมากในหมู่นินจา เพราะมันสามารถใช้ในสนามรบเพื่อส่งคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว! คุณสามารถเป็นเจ้าของมันได้ในราคาเพียงแค่ 100 ล้านเรียวเท่านั้น! สินค้ามีจำนวนจำกัด”

เมื่อได้ยินราคา มาซาฮิโกะ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก…เขาไม่ค่อยแน่ใจ แต่เขาก็คิดว่าเทคโนโลยีการสื่อสารระยะไกลแบบนี้ คงจะยังเป็นเป็นสินค้าที่หาได้ยากในยุคนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมันจะสามารถแพงได้ถึง 100 ล้านเรียวเลยเหรอ?

ในการ์ตูนนารูโตะ ค่าหัวของ ซารุโทบิ อาสึมะ ในตลาดมืด คือ 30 ล้านเรียว และ 30 ล้านเรียว ในเวลานั้น ก็คงจะประมานเท่ากับ 3 ล้านเรียว ในตอนนี้

สำหรับเงินมากถึง 100 ล้านเรียว ก็คงจะเหมือนกับโกยเงินของทั้งตระกูลออกมา

แน่นอนว่ามีหลายคนที่สงสัยว่ามันจะใช้การได้ดีขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครต้องการใช้เงินของพวกเข้าเพื่อแลกกับการได้รู้เรื่องนี้

“คงมีแต่คนโง่เท่านั้นเหละที่จะยอมซื้อมัน…” มาซาฮิโกะ คิด แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนที่คุ้นเคยดังขึ้นมา

“ฉันจะซื้อมัน!”

มาซาฮิโกะ มองไปที่ต้นตอของเสียงและเห็น ผู้นำตระกูลนารา กำลังสนใจที่จะซื้อหูฟังวิทยุนั้น

เมื่อ มาซาฮิโกะ เห็นคนที่คุ้นเคย เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ท่านนารา! ฮ่าฮ่าฮ่า เราเจอกันอีกแล้วนะ…”

เมื่อ ผู้นำตระกูลนารา มองเห็น มาซาฮิโกะ เขาก็จำได้ทันทีว่าการต่อสู้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เหมืองของ ตระกูลซารุโทบิ พวกเขาต้องพ่ายแพ้ก็เพราะวิชาอัญเชิญของ มาซาฮิโกะ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดและอยากออกไปจากที่นั่นทันที

มาซาฮิโกะ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่เขาก็พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้

“ท่านจะรีบไปไหนละ? ท่านนารา มันไม่ง่ายเลยนะที่จะเจอคนที่เรารู้จักในเมืองใหญ่แบบนี้”

“ฉันแค่คิดว่าชุดหูฟังวิทยุนี้มันแพงเกินไป ก็คงจะมีแต่คนโง่…เอ้ย ฉันหมายถึงคนรวยเท่านั้นที่จะซื้อได้!”

ผู้นำตระกูลนารา ทำอะไรไม่ถูก ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด มาซาฮิโกะ เพิ่งจะด่าว่าเขาเป็นคนโง่

ผู้นำตระกูลนารา รู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนกับว่า มาซาฮิโกะ กำลังด่าเขาว่าเป็นคนโง่อยู่ แต่เขาก็ไม่แน่ใจและเขาก็ไม่คิดที่จะเอามาใส่ใจ จากนั้นเขาก็พูดออกมาว่า “โอ้…ใช่…ก็อาจจะ…”

“ท่านนารา ท่านได้รับคำเชิญจาก ไดเมียว ให้มาที่นี่ด้วยใช่ไหม?”

“ไดเมียว? เปล่าสะหน่อย ฉันแค่มาซื้อของเฉย ๆ” ผู้นำตระกูลนารา ตอบ

“โอ้ อย่างนี้นี่เอง” มาซาฮิโกะ รู้สึกได้ว่า ผู้นำตระกูลนารา กำลังพยายามซ่อนบางอย่างเอาไว้ “ท่านจะซื้อเจ้านี้จริง ๆ เหรอ? ทำไมท่านไม่ใช่วิชาของ ตระกูลยามานากะ ในการสื่อสารล่ะ?”

การแสดงออกของ ผู้นำตระกูลนารา เปลี่ยนไปในทันที เขาไม่คิดว่า มาซาฮิโกะ จะรู้เรื่องนี้

เมื่อ มาซาฮิโกะ เห็นท่าทางของ ผู้นำตระกูลนารา เขาก็พยายามอธิบายออกมาว่า “ไม่ต้องตกใจไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันจะเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง ก็ฉันอยู่มาตั้ง 58 ปีแล้วนิ”

ผู้นำตระกูลนารา พยักหน้าและพยายามเชื่อคำพูดของ มาซาฮิโกะ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไป

“โอ้ โฮโฮโฮ…” ครั้งนี้ มาซาฮิโกะ ไม่ได้คิดจะหยุด ผู้นำตระกูลนารา ไว้ เขาแค่หัวเราะออกมาแล้วเดินจากไป เขารู้สึกว่าการที่ได้ล้อเล่นกับคนฉลาด ๆ อย่าง ผู้นำตระกูลนารา นั้นสนุกกว่าการล้อเล่นกับ ฮาชิรามะ หลายเท่า

หลังจากนั้น มาซาฮิโกะ ก็หมดความสนใจที่จะเดิมเที่ยวต่อไป หลังจากถามทางชาวบ้าน 2 – 3 คน ในที่สุดเขาก็มาถึง คฤหาสน์ไดเมียว และเมื่อเขาอธิบายถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ให้ผู้ดูแลประตูฟัง เขาก็ได้รับการนำทางไปที่ห้องพักของ ตระกูลเซนจู ทันที

“ท่านปู่ มาแล้วเหรอครับ? ไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้างครับ?” โทบิรามะ ทักทาย มาซาฮิโกะ ขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้อง

“ก็ดี แล้วนี่ท่านทำอะไรอยู่ละ ถ้าฉันเดาไม่ผิด ท่านคงกำลังติดอยู่กับความคิดที่ไม่เหมือนชาวบ้านของฉันอยู่สินะ…” มาซาฮิโกะ มองค้อนไปที่ โทบินรามะ

โทบิรามะ รู้สึกว่าหน้าของเขาชาเหมือนแช่อยู่ในน้ำแข็ง เขาอยากจะสาปแช่งพี่ชายของเขาที่หลุดปากพูดเรื่องนั้นออกมา

“ทำไมพูดแบบนั้นละครับ?! ท่านช่วยตระกูลเรามาตั้งหลายปี แค่คำขอบคุณก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ”

“ถ้างั้นก็ขอโทษที่เข้าใจผิดละกัน แล้วตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ยังไม่แน่ใจครับ เพราะตอนนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมากันไม่ครบ ตัวแทนจากตระกูลน้อยใหญ่ทุกตระกูลจากทั่วทุกมุมของ แคว้นแห่งไฟ ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ ผมคิดว่าบางอย่างที่ร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้น” โทบิรามะ อธิบาย

“ทุกตระกูลเลยเหรอ?” มาซาฮิโกะ ถามอย่างประหลาดใจ

โทบิรามะ ยิ้มแล้วเขาก็พูดว่า “ใช่ครับ พวกเขาก็มาด้วย ที่จริงแล้วเพราะความเป็นพันธมิตรของพวกเรา ห้องพวกเขาเลยอยู่ติดกับห้องเราครับ”

“งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องไปเยี่ยมหลานชายของฉันสะหน่อยแล้ว” มาซาฮิโกะ พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

มาซาฮิโกะ เดินไปที่ห้องถัดไป และพบว่าหน้าห้องนั้นมีคำว่า อุซึมากิ เขียนเอาไว้ จากนั้นเขาก็เคาะประตู

ประตูเปิดออกและก็เป็น ผู้นำตระกูลอุซึมากิ ที่เป็นคนเปิดประตูออกมา

วินาทีที่ ผู้นำตระกูลอุซึมากิ เห็น มาซาฮิโกะ เขาก็ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุง! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ท่านดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ!”

“แต่ท่านดูแกขึ้นนะ…”

แม้ว่า มาซาฮิโกะ จะอายุมากขึ้น แต่เขาก็พยายามรักษารูปร่างหน้าตาให้เหมือนกับตอนที่เขาอายุ 48 ปี เอาไว้ด้วยคาถาแปลงร่าง

แต่ไม่ใช่สำหรับ ผู้นำตระกูลอุซึมากิ ตอนนี้เขาอายุ 40 ปีแล้ว และความเครียดที่เขาต้องเจอไม่ว่าจะเป็นเรื่องงายหรือเรื่องส่วนตัว ก็ดูจะส่งผลกับสภาพร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก จนทำให้ตอนนี้เขาดูแก่กว่า มาซาฮิโกะ เสียอีก

มาซาฮิโกะ เห็นสิ่งนี้และรู้สึกอายเล็กน้อย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เพื่อให้ได้แต้มการเข้าร่วมมากขึ้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่กับ เซนจู แต่ถึงอย่างไรเขาก็ควรจะกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านและช่วยเหลือหลานของเขาบ้าง เรื่องเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “ท่านผู้นำ หลังจากเรื่องนี้จบลง ฉันจะกลับไปที่หมู่บ้านกับท่าน”

เมื่อได้ยินประโยคนั้นของ มาซาฮิโกะ ผู้นำตระกูลอุซึมากิ ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก “ถ้าท่านกลับมาช่วย เรื่องต่าง ๆ ก็คงจะง่ายขึ้นมาก! หลายปีมาแล้วที่ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 และ 3 เกษียณไป แล้วท่านก็ไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันและจัดการเรื่องต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าชาวบ้านจะเริ่มไม่พอใจที่ฉันออกคำสั่งและตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง พวกเขาคิดว่าฉันกำลังจะกลายเป็นเผด็จการ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ มาซาฮิโกะ รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก “ไม่ต้องกังวลไป มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแน่นอน ฉันจะรับหน้าที่ฝึกสอนนินจารุ่นใหม่เอง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ฉันเชื่อในท่าน ดังนั้นท่านก็จัดการตามสมควรได้เลย”

“แล้วแต่ท่านเลย ท่านลุง ขอแค่ท่านกลับไปฉันก็อุ่นใจแล้ว…” ผู้นำตระกูลอุซึมากิ พยักหน้าอย่างมีความสุข

“เอาละ ตอนนี้ฉันคงต้องไปก่อน ฉันมาที่นี่เพื่อช่วย โทบิรามะ เรื่องการประชุมที่จะเกิดขึ้นนี้ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องทักทายฉัน!” จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็เดินกลับไปที่ห้องพักของ ตระกูลเซนจู

เมื่อ มาซาฮิโกะ เดินไปแล้ว ผู้นำตระกูลอุซึมากิ ก็ถอนหายใจออกมา

“ยังเหมือนเดิมเลยนะ…ท่านลุง…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด