Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ราชันเร้นลับ 1212 : เผยแผ่พระกรุณา

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1212 : เผยแผ่พระกรุณา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะไคลน์กำลังคิดหาวิธี ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ

ทะเลหมอกซึ่งอยู่ท่ามกลางยอดเขาสองแห่งเริ่ม ‘เดือดพล่าน’ และแยกออกจากกันจนเผยให้เห็นรอบแยกอันไร้ก้นบึ้ง แสงแดดยามเย็นสีส้มส่องเข้ามาปกคลุมพร้อมกับสร้างทางเดินยาวที่มั่นคง

นี่คือฉากที่ผู้เย้ยเทพ อามุนด์ สร้างขึ้นเพื่อเข้าไปในภาพฉายของวังราชาคนยักษ์

เมื่อไคลน์พิจารณาว่าตนยังเข้าใจพลังดังกล่าวได้ไม่ดีพอและเตรียมเปลี่ยนไปคิดหาวิธีอื่น แสงเจือจางสีแดง น้ำเงิน และเขียวบนหัวอัญมณีพลันสว่างขึ้นเป็นสัญญาณการเริ่มทำงาน

หมอกสีเทาที่เกาะกลุ่มหนาแน่นมานานเริ่มเกิดอาการ ‘เดือด’ ที่ไม่รุนแรงมาก

กลุ่มหมอกแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง แต่ด้านในก็ยังคงเป็นหมอกสีเทาหนาแน่นซึ่งดูคล้ายกับไร้ก้นบึ้ง

ไคลน์ถอนหายใจเงียบ จากนั้นก็ลงมืออีกครั้งเมื่อค้นพบวิธีใหม่

ชายหนุ่มทดสอบเกินกว่าสิบวิธีภายในสามนาที เจ็ดครั้งเป็นความตั้งใจและสามครั้งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่สามารถเปิดบาเรียล่องหนสำเร็จ

…นั่นสินะ วิธีทั่วไปคงใช้ไม่ได้… ไคลน์สะบัดข้อมือเพื่อสลายภาพฉายของ 0-62 ที่ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

มันเอาแต่จ้องสายหมอกโดยไม่ขยับตัวนานกว่าหนึ่งนาที ราวกับค่อยๆ เปลี่ยนสถานะกลายเป็นรูปปั้นหิน

จนในที่สุด ไคลน์หลับตาลงและมองไปทางอื่น จากนั้นก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปหากลุ่มมนุษย์ที่กำลังแอบมองอยู่ไม่ไกล

ชายหนุ่มคำนวณแล้วว่าการสุ่มทดลองส่งเดชคงมีแต่ความล้มเหลว จึงคิดจะสอบถามข้อมูลจากผู้คนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงมานานกว่าสองสามพันปีแทน เพราะค่อนข้างแน่ชัดว่ามนุษย์กลุ่มนี้จะต้องเคยสำรวจสายหมอกสีเทามานับครั้งไม่ถ้วน บางทีตนอาจพบเบาะแสหรือได้รับคำใบ้จากประสบการณ์อันยาวนาน

จากการวิเคราะห์ของไคลน์ในตอนแรก มนุษย์กลุ่มดังกล่าวคงไม่เปิดใจเจรจาแต่โดยดี มันจึงคิดวิธี ‘สำแดงพลัง’ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมพูดคุยอย่างสันติ แต่กลับต้องผิดคาด เมื่อแสงจากตะเกียงส่องลงบนใบหน้าอีกฝ่าย ไคลน์พบว่ากลุ่มมนุษย์ที่ประสบภาวะพิการรุนแรงต่างอ้าปากค้างพลางจ้องตนด้วยสายตาตกตะลึง สีหน้าเปี่ยมด้วยความสับสนมึนงงและเหม่อลอยอยู่พักใหญ่

ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่ามกลางความมืด จากนั้นก็เดินไปทางกลุ่มมนุษย์โบราณผู้รอดชีวิตและหยุดในจุดที่ห่างออกมาสองสามก้าว

“รู้อะไรเกี่ยวกับหมอกพวกนี้บ้าง” ไคลน์ถามเสียงต่ำเป็นภาษาคนยักษ์

ภาษาที่กระตุ้นพลังธรรมชาติชนิดนี้สามารถใช้สื่อสารได้ในทุกภูมิภาค อาจมีความแตกต่างทางสำเนียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้ามีการดัดแปลงภาษามากเกินไป อำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติก็จะถูกลดทอนลง

อดาลถูกดึงสติกลับมาหลังจากได้ยินคำถามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ริมฝีปากของมันสั่นเทาเล็กน้อยขณะพ่นประโยคบอกเล่าโดยไม่ตอบคำถาม

“พ…พวกเรา… ไม่เคยทำให้หมอกเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อน…”

เมื่อครู่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งทำให้หมอกเดือดและแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง ฉากดังกล่าวสร้างความหวาดผวาให้พวกมันไม่น้อย บางคนรู้สึกประหนึ่งกำลังรับชมปาฏิหาริย์

ความพยายามกว่าสองสามพันปีของชาวเมืองจันทราไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น เทียบไม่ได้เลยกับความพยายามไม่กี่ร้อยลมหายใจของชายถือไม้เท้า!

นี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่แสดงท่าทีต่อต้านขณะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ย่างกรายเข้าหา

พวกมันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า ถึงจะพยายามหลบหนีไปก็คงเปล่าประโยชน์

ผ่านไปไม่กี่วินาที ไคลน์ถามต่อ

“มีบันทึกเกี่ยวกับมันบ้างไหม”

อดาลเข้าใจความนัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทันที มันออกอาการลังเลสักพักก่อนจะพยักหน้า

“มี… แต่มีเพียงมหานักบวชและคนใกล้ชิดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงได้บ่อย”

แต่งกายในชุดกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง ไคลน์ตรึกตรองหลายวินาทีก่อนจะเหยียดแขนออกไปหยิบบางสิ่งจากความว่างเปล่า

สิ่งนั้นคือไม้กางเขนทองแดงที่เก่าจนกลายเป็นสีเขียว รายล้อมด้วยหนามแหลมหลายกิ่ง

ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ของไม้กางเขนเจิดจรัส!

ไคลน์ยกไม้กางเขนขึ้นสูงและส่องไปทางกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ

แสงสว่างอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์พลันสาดส่อง สลายความมืดมิดโดยรอบพร้อมกับอาบร่างพวกมันอย่างท่วมท้น

ประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนของทุกคนตอบสนองเชิงตั้งรับโดยอัตโนมัติ แต่เพียงไม่นานก็เลิกขัดขัน

ความอบอุ่นจากแสงสว่างคือสิ่งที่หาไม่ได้จากกองไฟกองใดเลย!

ฉากตรงหน้าทำให้พวกมันหวนนึกถึง ‘เทพ’ ที่มหานักบวชเคยนิยามให้ฟัง เทพเหล่านั้นสามารถเปล่งแสงสว่างแสนอบอุ่นอันไร้ขอบเขต

ท่ามกลางแสงเจิดจ้า แก๊สมายาสีดำค่อยๆ ลอยขึ้นจากร่างกายอดาล ซิน และคนที่เหลือจนกระทั่งสลายไปโดยสมบูรณ์

สมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของพวกมันเบาขึ้น ความรู้สึกขื่นขมภายในใจถูกขจัดออกไปอย่างน่าประหลาด

หลังจากชำระล้างมลพิษและโรคภัยที่สั่งสมในร่างกายอีกฝ่าย ไคลน์สะบัดข้อมือแผ่วเบาเพื่อสลายไม้กางเขนต่อหน้าทุกคน

ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มหยิบไม้เท้าอีกอันหนึ่งที่ทำจากท่อนไม้ออกมา

สิ่งนี้คืออดีตสมบัติปิดผนึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม้เท้าแห่งชีวิต!

แม้ไคลน์จะสังเวยมันให้เทพธิดาไปแล้ว แต่สำหรับปราชญ์โบราณ สิ่งของที่เคยใช้งานจะยังคงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง

ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับใช้ปลายไม้เท้าสัมผัสตัวหัวหน้าหน่วยล่าของเมืองจันทรา

ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้อดาลไม่หลบหลีก ทันใดนั้น ตุ่มเนื้อจำนวนมากบนหน้าอดาลเริ่มปริแตกพร้อมกับมีหนองไหล หนองเหล่านั้นเลือนหายไปในเวลาต่อมาจนกระทั่งไม่เหลือทิ้งร่องรอยใด

พิจารณาจากสายตาของสมาชิกหน่วยล่า อดาลทราบทันทีว่าร่างกายของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันลังเลอยู่นานก่อนจะยอมเลื่อนมือขวาขึ้นมาลูบไล้ใบหน้า เป็นการเลื่อนมือขึ้นลงหลายครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ระหว่างนั้นก็พบว่าสุขภาพของตนดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีกว่าในช่วงวัยเด็กเสียอีก

ไคลน์ไม่ได้จ้องค้างที่อดาล เพียงก้าวในแนวเฉียงและใช้ไม้เท้าแห่งชีวิตทำแบบเดียวกันกับสมาชิกหน่วยล่าคนอื่นๆ

เมื่อเห็นอดาลเป็นตัวอย่าง ซินและคนที่เหลือไม่คิดขัดขืนการสัมผัสจากไม้เท้าและได้ลิ้มรสความรู้สึกแปลกใหม่

ในหมู่พวกมัน สองคนที่เกิดมาพิการและอ่อนไหวง่ายเริ่มหลั่งน้ำตาทันที

น่าเสียดายที่รักษาความพิการโดยกำเนิดไม่ได้… และถึงจะรักษาอาการทางจิตได้ แต่ก็รักษาแนวโน้มความบ้าคลั่งไม่ได้… ไคลน์ชักมือขวากลับพร้อมกับสลายไม้เท้าแห่งชีวิต

ชายหนุ่มเดินไปยังตำแหน่งเดิมและหมุนตัวกลับหลัง จากนั้นก็กล่าวพลางจดจ้องกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำลาย แต่มาเพื่อเผยแผ่พระกรุณาของพระองค์พร้อมกับนำพาแสงสว่างและความอบอุ่นมาสู่… จงกลับไปบอกหัวหน้าของพวกคุณว่าผมจะรออยู่ที่นี่ หากต้องการก็มาหาได้ทุกเมื่อ”

ชายหนุ่มไม่ต้องการทราบแหล่งกบดานของผู้รอดชีวิตโบราณเหล่านี้ และไม่คิดจะเดินทางไปที่นั่นโดยตรง ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดระแวงและต่อต้าน

จึงไม่มีวิธีใดเหมาะสมไปกว่าการมอบทางเลือกให้พวกมันตัดสินใจเอาเอง

อดาล ซิน และคนที่เหลือต่างพากันตกตะลึงกับภาพที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เสกสมบัติวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาใช้งาน พวกมันรู้สึกประหนึ่งกำลังพานพบปาฏิหาริย์และแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถขจัดความผิดปรกติพร้อมกับฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย เปลี่ยนให้ทุกคนแข็งแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น

“…ตกลง” อดาลมอบคำตอบในอีกหลายวินาทีถัดมา

ขณะพวกมันหันหลังและเตรียมกลับไปยังเมืองจันทรา จุดแสงสว่างขึ้นจากในความมืดและขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ

นำหน้ามาโดยชายชราผู้แต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้ม ผมเผ้าสีเทายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแยกร่องลึก

“ท่านมหานักบวช…” ซินโพล่งขึ้นหลังจากจดจำอีกฝ่ายได้

ผู้มาเยือนคือมหานักบวชแห่งเมืองจันทรา นีม

ด้านหลังนีมคือรุสและสมาชิกหน่วยล่าที่กลับไปก่อน รวมถึงผู้วิเศษลำดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง

นีมผงกศีรษะให้อดาล ซิน และคนที่เหลือก่อนจะเดินผ่านไป มันจ้องไปทางชายผู้เรียกตัวเองว่าผู้เผยแผ่ศาสนา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ จากนั้นก็เหยียดแขนออกมาข้างหน้า มือขวาทับศอกซ้าย มือซ้ายรองใต้ศอกขวาพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับ

“ยินดีต้อนแรกท่านแขกผู้มีเกียรติ ผมคือมหานักบวชแห่งเมืองจันทราผู้มีนามว่านีม… เมืองจันทราเคยเป็นของแวมไพร์มาก่อน แต่อารยธรรมดังกล่าวถูกทำลายไปเมื่อนานมาแล้ว… ในภายหลัง พวกเราได้รับพระบัญชาจากมหาเทพสุริยัน พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งให้มาที่นี่เพื่อคอยเฝ้ามองกลุ่มหมอกสีเทาและพยายามทดลองบางสิ่ง พวกเรายังคงทำหน้าที่ดังกล่าวเรื่อยมาแม้จะไม่ได้รับการตอบสนองจากพระองค์… ถึงตรงนี้ก็ผ่านมาแล้วทั้งสิ้นสามพันเจ็ดร้อยยี่สิบสองปี”

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ราชันเร้นลับ 1212 : เผยแผ่พระกรุณา

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1212 : เผยแผ่พระกรุณา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะไคลน์กำลังคิดหาวิธี ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ

ทะเลหมอกซึ่งอยู่ท่ามกลางยอดเขาสองแห่งเริ่ม ‘เดือดพล่าน’ และแยกออกจากกันจนเผยให้เห็นรอบแยกอันไร้ก้นบึ้ง แสงแดดยามเย็นสีส้มส่องเข้ามาปกคลุมพร้อมกับสร้างทางเดินยาวที่มั่นคง

นี่คือฉากที่ผู้เย้ยเทพ อามุนด์ สร้างขึ้นเพื่อเข้าไปในภาพฉายของวังราชาคนยักษ์

เมื่อไคลน์พิจารณาว่าตนยังเข้าใจพลังดังกล่าวได้ไม่ดีพอและเตรียมเปลี่ยนไปคิดหาวิธีอื่น แสงเจือจางสีแดง น้ำเงิน และเขียวบนหัวอัญมณีพลันสว่างขึ้นเป็นสัญญาณการเริ่มทำงาน

หมอกสีเทาที่เกาะกลุ่มหนาแน่นมานานเริ่มเกิดอาการ ‘เดือด’ ที่ไม่รุนแรงมาก

กลุ่มหมอกแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง แต่ด้านในก็ยังคงเป็นหมอกสีเทาหนาแน่นซึ่งดูคล้ายกับไร้ก้นบึ้ง

ไคลน์ถอนหายใจเงียบ จากนั้นก็ลงมืออีกครั้งเมื่อค้นพบวิธีใหม่

ชายหนุ่มทดสอบเกินกว่าสิบวิธีภายในสามนาที เจ็ดครั้งเป็นความตั้งใจและสามครั้งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่สามารถเปิดบาเรียล่องหนสำเร็จ

…นั่นสินะ วิธีทั่วไปคงใช้ไม่ได้… ไคลน์สะบัดข้อมือเพื่อสลายภาพฉายของ 0-62 ที่ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

มันเอาแต่จ้องสายหมอกโดยไม่ขยับตัวนานกว่าหนึ่งนาที ราวกับค่อยๆ เปลี่ยนสถานะกลายเป็นรูปปั้นหิน

จนในที่สุด ไคลน์หลับตาลงและมองไปทางอื่น จากนั้นก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปหากลุ่มมนุษย์ที่กำลังแอบมองอยู่ไม่ไกล

ชายหนุ่มคำนวณแล้วว่าการสุ่มทดลองส่งเดชคงมีแต่ความล้มเหลว จึงคิดจะสอบถามข้อมูลจากผู้คนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงมานานกว่าสองสามพันปีแทน เพราะค่อนข้างแน่ชัดว่ามนุษย์กลุ่มนี้จะต้องเคยสำรวจสายหมอกสีเทามานับครั้งไม่ถ้วน บางทีตนอาจพบเบาะแสหรือได้รับคำใบ้จากประสบการณ์อันยาวนาน

จากการวิเคราะห์ของไคลน์ในตอนแรก มนุษย์กลุ่มดังกล่าวคงไม่เปิดใจเจรจาแต่โดยดี มันจึงคิดวิธี ‘สำแดงพลัง’ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมพูดคุยอย่างสันติ แต่กลับต้องผิดคาด เมื่อแสงจากตะเกียงส่องลงบนใบหน้าอีกฝ่าย ไคลน์พบว่ากลุ่มมนุษย์ที่ประสบภาวะพิการรุนแรงต่างอ้าปากค้างพลางจ้องตนด้วยสายตาตกตะลึง สีหน้าเปี่ยมด้วยความสับสนมึนงงและเหม่อลอยอยู่พักใหญ่

ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่ามกลางความมืด จากนั้นก็เดินไปทางกลุ่มมนุษย์โบราณผู้รอดชีวิตและหยุดในจุดที่ห่างออกมาสองสามก้าว

“รู้อะไรเกี่ยวกับหมอกพวกนี้บ้าง” ไคลน์ถามเสียงต่ำเป็นภาษาคนยักษ์

ภาษาที่กระตุ้นพลังธรรมชาติชนิดนี้สามารถใช้สื่อสารได้ในทุกภูมิภาค อาจมีความแตกต่างทางสำเนียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้ามีการดัดแปลงภาษามากเกินไป อำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติก็จะถูกลดทอนลง

อดาลถูกดึงสติกลับมาหลังจากได้ยินคำถามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ริมฝีปากของมันสั่นเทาเล็กน้อยขณะพ่นประโยคบอกเล่าโดยไม่ตอบคำถาม

“พ…พวกเรา… ไม่เคยทำให้หมอกเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อน…”

เมื่อครู่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งทำให้หมอกเดือดและแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง ฉากดังกล่าวสร้างความหวาดผวาให้พวกมันไม่น้อย บางคนรู้สึกประหนึ่งกำลังรับชมปาฏิหาริย์

ความพยายามกว่าสองสามพันปีของชาวเมืองจันทราไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น เทียบไม่ได้เลยกับความพยายามไม่กี่ร้อยลมหายใจของชายถือไม้เท้า!

นี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่แสดงท่าทีต่อต้านขณะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ย่างกรายเข้าหา

พวกมันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า ถึงจะพยายามหลบหนีไปก็คงเปล่าประโยชน์

ผ่านไปไม่กี่วินาที ไคลน์ถามต่อ

“มีบันทึกเกี่ยวกับมันบ้างไหม”

อดาลเข้าใจความนัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทันที มันออกอาการลังเลสักพักก่อนจะพยักหน้า

“มี… แต่มีเพียงมหานักบวชและคนใกล้ชิดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงได้บ่อย”

แต่งกายในชุดกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง ไคลน์ตรึกตรองหลายวินาทีก่อนจะเหยียดแขนออกไปหยิบบางสิ่งจากความว่างเปล่า

สิ่งนั้นคือไม้กางเขนทองแดงที่เก่าจนกลายเป็นสีเขียว รายล้อมด้วยหนามแหลมหลายกิ่ง

ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ของไม้กางเขนเจิดจรัส!

ไคลน์ยกไม้กางเขนขึ้นสูงและส่องไปทางกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ

แสงสว่างอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์พลันสาดส่อง สลายความมืดมิดโดยรอบพร้อมกับอาบร่างพวกมันอย่างท่วมท้น

ประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนของทุกคนตอบสนองเชิงตั้งรับโดยอัตโนมัติ แต่เพียงไม่นานก็เลิกขัดขัน

ความอบอุ่นจากแสงสว่างคือสิ่งที่หาไม่ได้จากกองไฟกองใดเลย!

ฉากตรงหน้าทำให้พวกมันหวนนึกถึง ‘เทพ’ ที่มหานักบวชเคยนิยามให้ฟัง เทพเหล่านั้นสามารถเปล่งแสงสว่างแสนอบอุ่นอันไร้ขอบเขต

ท่ามกลางแสงเจิดจ้า แก๊สมายาสีดำค่อยๆ ลอยขึ้นจากร่างกายอดาล ซิน และคนที่เหลือจนกระทั่งสลายไปโดยสมบูรณ์

สมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของพวกมันเบาขึ้น ความรู้สึกขื่นขมภายในใจถูกขจัดออกไปอย่างน่าประหลาด

หลังจากชำระล้างมลพิษและโรคภัยที่สั่งสมในร่างกายอีกฝ่าย ไคลน์สะบัดข้อมือแผ่วเบาเพื่อสลายไม้กางเขนต่อหน้าทุกคน

ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มหยิบไม้เท้าอีกอันหนึ่งที่ทำจากท่อนไม้ออกมา

สิ่งนี้คืออดีตสมบัติปิดผนึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม้เท้าแห่งชีวิต!

แม้ไคลน์จะสังเวยมันให้เทพธิดาไปแล้ว แต่สำหรับปราชญ์โบราณ สิ่งของที่เคยใช้งานจะยังคงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง

ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับใช้ปลายไม้เท้าสัมผัสตัวหัวหน้าหน่วยล่าของเมืองจันทรา

ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้อดาลไม่หลบหลีก ทันใดนั้น ตุ่มเนื้อจำนวนมากบนหน้าอดาลเริ่มปริแตกพร้อมกับมีหนองไหล หนองเหล่านั้นเลือนหายไปในเวลาต่อมาจนกระทั่งไม่เหลือทิ้งร่องรอยใด

พิจารณาจากสายตาของสมาชิกหน่วยล่า อดาลทราบทันทีว่าร่างกายของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันลังเลอยู่นานก่อนจะยอมเลื่อนมือขวาขึ้นมาลูบไล้ใบหน้า เป็นการเลื่อนมือขึ้นลงหลายครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ระหว่างนั้นก็พบว่าสุขภาพของตนดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีกว่าในช่วงวัยเด็กเสียอีก

ไคลน์ไม่ได้จ้องค้างที่อดาล เพียงก้าวในแนวเฉียงและใช้ไม้เท้าแห่งชีวิตทำแบบเดียวกันกับสมาชิกหน่วยล่าคนอื่นๆ

เมื่อเห็นอดาลเป็นตัวอย่าง ซินและคนที่เหลือไม่คิดขัดขืนการสัมผัสจากไม้เท้าและได้ลิ้มรสความรู้สึกแปลกใหม่

ในหมู่พวกมัน สองคนที่เกิดมาพิการและอ่อนไหวง่ายเริ่มหลั่งน้ำตาทันที

น่าเสียดายที่รักษาความพิการโดยกำเนิดไม่ได้… และถึงจะรักษาอาการทางจิตได้ แต่ก็รักษาแนวโน้มความบ้าคลั่งไม่ได้… ไคลน์ชักมือขวากลับพร้อมกับสลายไม้เท้าแห่งชีวิต

ชายหนุ่มเดินไปยังตำแหน่งเดิมและหมุนตัวกลับหลัง จากนั้นก็กล่าวพลางจดจ้องกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำลาย แต่มาเพื่อเผยแผ่พระกรุณาของพระองค์พร้อมกับนำพาแสงสว่างและความอบอุ่นมาสู่… จงกลับไปบอกหัวหน้าของพวกคุณว่าผมจะรออยู่ที่นี่ หากต้องการก็มาหาได้ทุกเมื่อ”

ชายหนุ่มไม่ต้องการทราบแหล่งกบดานของผู้รอดชีวิตโบราณเหล่านี้ และไม่คิดจะเดินทางไปที่นั่นโดยตรง ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดระแวงและต่อต้าน

จึงไม่มีวิธีใดเหมาะสมไปกว่าการมอบทางเลือกให้พวกมันตัดสินใจเอาเอง

อดาล ซิน และคนที่เหลือต่างพากันตกตะลึงกับภาพที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เสกสมบัติวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาใช้งาน พวกมันรู้สึกประหนึ่งกำลังพานพบปาฏิหาริย์และแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถขจัดความผิดปรกติพร้อมกับฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย เปลี่ยนให้ทุกคนแข็งแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น

“…ตกลง” อดาลมอบคำตอบในอีกหลายวินาทีถัดมา

ขณะพวกมันหันหลังและเตรียมกลับไปยังเมืองจันทรา จุดแสงสว่างขึ้นจากในความมืดและขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ

นำหน้ามาโดยชายชราผู้แต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้ม ผมเผ้าสีเทายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแยกร่องลึก

“ท่านมหานักบวช…” ซินโพล่งขึ้นหลังจากจดจำอีกฝ่ายได้

ผู้มาเยือนคือมหานักบวชแห่งเมืองจันทรา นีม

ด้านหลังนีมคือรุสและสมาชิกหน่วยล่าที่กลับไปก่อน รวมถึงผู้วิเศษลำดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง

นีมผงกศีรษะให้อดาล ซิน และคนที่เหลือก่อนจะเดินผ่านไป มันจ้องไปทางชายผู้เรียกตัวเองว่าผู้เผยแผ่ศาสนา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ จากนั้นก็เหยียดแขนออกมาข้างหน้า มือขวาทับศอกซ้าย มือซ้ายรองใต้ศอกขวาพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับ

“ยินดีต้อนแรกท่านแขกผู้มีเกียรติ ผมคือมหานักบวชแห่งเมืองจันทราผู้มีนามว่านีม… เมืองจันทราเคยเป็นของแวมไพร์มาก่อน แต่อารยธรรมดังกล่าวถูกทำลายไปเมื่อนานมาแล้ว… ในภายหลัง พวกเราได้รับพระบัญชาจากมหาเทพสุริยัน พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งให้มาที่นี่เพื่อคอยเฝ้ามองกลุ่มหมอกสีเทาและพยายามทดลองบางสิ่ง พวกเรายังคงทำหน้าที่ดังกล่าวเรื่อยมาแม้จะไม่ได้รับการตอบสนองจากพระองค์… ถึงตรงนี้ก็ผ่านมาแล้วทั้งสิ้นสามพันเจ็ดร้อยยี่สิบสองปี”

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+