Reincarnation Of The Strongest Sword God 2865

Now you are reading Reincarnation Of The Strongest Sword God Chapter 2865 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2865 ได้รับสมบัติ

ในขณะที่เหลียงจิงไปเตรียมวัสดุทั้งหมดตามที่ซือเฟิงต้องการ ตัวของซือเฟิงเองนั้นก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อน และทำการตรวจสอบไอเทมที่หยิงชุนและคนอื่นๆ
ดรอปออกมา

หยิงชุนและคนอื่นๆนั้นแต่ละคนมีมีพลังในการต่อสู้อยู่ที่ขั้นสี่กันทั้งหมด ดังนั้นอาวุธและอุปกรณ์ที่พวกเขาสวมใส่จึงจัดได้ว่าอยู่ในระดับชั้นยอดทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซ็ทอุปกรณ์ที่พวกขั้นสามของพวกเขาสวมใส่ที่มันทำให้มีพลังเทียบเท่ากับขั้นสี่ ซึ่งหากสภาสิบแปดปีกได้รับมานั้น มันก็จะช่วยกิลได้ในหลายๆด้านเลยทีเดียว

เมื่อซือเฟิงเริ่มตรวจสอบไอเทมทั้งหมดที่ดรอปออกมาของคนเหล่านี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจในอาวุธกับอุปกรณ์ของผู้เชี่ยวชาญจากโลกอื่น

ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของพวกเขาทุกคนล้วนสวมใส่เซ็ทมานาขั้นสาม ซึ่งแต่ละเซ็ทมีราคานับหมื่นเหรียญทอง ซึ่งเซ็ทแบบนี้นั้นผู้เล่นทุกคนในทวีปหลักล้วนต้องการมันอย่างมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับอาวุธและอุปกรณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ดรอปนั้น มันก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แตกต่างกันมากๆ พวกเขาทุกคนนั้นล้วนดรอปอุปกรณ์ระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบออกมา ขณะที่บางคนนั้นก็ดรอปกระทั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเซ็ทระดับอีปิคด้วยซ้ำ ซึ่งนี่มันทำให้จินตนาการได้ง่ายๆเลยว่าผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจกว่านี้จากโลกอื่นก็น่าจะสวมใส่เซ็ทพวกนี้ได้ครบเซ็ทแน่นอน

และแม้แต่สภาสิบแปดปีกเองก็ยังแทบไม่มีเซ็ทระดับอีปิคอยู่เลยด้วยซ้ำในตอนนี้

เพราะท้ายที่สุดแล้วการจะได้รับเซ็ทระดับอีปิคมานั้น มันไม่สามารถทำได้ผ่านการฆ่าบอสตัวเดียว แต่มันต้องฆ่าบอสที่แตกต่างกันหลากหลายตัวที่มีโอกาสดรอปเท่านั้น และอัตราการดรอปมันก็ไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ด้วย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าผู้เล่นไม่ได้ฆ่าบอสทุกชนิดจำนวนมากแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวบรวมเซ็ทแบบนี้ให้ครบได้

และในการจะฆ่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ที่มีเลเวลใกล้เคียงกับหนึ่งร้อยห้าสิบจำนวนมากนั้น มันก็จำเป็นจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่เป็นจำนวนมากด้วย
แม้ว่าการได้เห็นชิ้นส่วนของเซ็ทอุปกรณ์ระดับอีปิคแค่บางส่วนจะไม่ได้พิสูจน์อะไรมากนัก …. แต่ตอนนี้ที่ซือเฟิงถืออยู่ในมือมันก็มีถึงห้าชิ้น และนี่เป็นเพียงอุปกรณ์จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระขั้นสี่จากโลกอื่นเท่านั้น ดังนั้นนี่ก็น่าจะพอทำให้จินตนาการถึงความทรงพลัง และความน่ากลัวของมหาอำนาจจากโลกอื่นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระยังมีแบบนี้ มหาอำนาจจากโลกอื่นก็จะต้องมีเหนือกว่าแน่นอน

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมหาอำนาจต่างๆในทวีปหลักของ God domain ถึงไม่สามารถจะต่อกรกับผู้รุกรานจากโลกอื่นได้ แค่ในแง่ของอาวุธกับอุปกรณ์ มันก็จัดว่าค่อนข้างห่างกันแล้ว มหาอำนาจต่างๆในทวีปหลักของ God domain นั้นจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยครึ่งปีเลย กว่าจะรวบรวมอาวุธกับอุปกรณ์ให้ได้เท่ากับผู้รุกรานจากโลกอื่นในตอนนี้ นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่อีก ….” ซือเฟิงมองไปที่ไอเทมทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากการฆ่าหยิงชุนและคนอื่นๆด้วยความรู้สึกปวดหัว

ตอนแรกซือเฟิงก็คิดว่ามันคงมีความแตกต่างกันเพียงแค่จำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ กับคุณภาพของสกิลและเวทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดไปมาก เพราะแม้แต่อาวุธกับอุปกรณ์ก็ยังแตกต่างกันมากๆ

ต้องบอกเลยว่ากองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นจัดเป็นภัยคุกคามมากกว่าที่เขาคาดคิดอย่างมาก ….

เนื่องจากในปัจจุบันแม้แต่ในสภาสิบแปดปีกนั้นก็มีผู้ผลิตอุปกรณ์ระดับอีปิคได้ไม่มากนัก ซึ่งพูดกันตามตรงจำนวนคนที่สามารถทำแบบนี้ได้นั้นสามารถนับได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่มากกว่าเจ็ดสิบเปอเซ็นต์ในทวีปหลักของ God domain นั้นมีอุปกรณ์ระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบใช้ไม่ถึงหกชิ้น และโดยทั่วไปแล้วผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่พวกนี้จะมีอุปกรณ์ระดับอีปิคแบบนี้แค่ราวสามชิ้นเท่านั้น

เซ็ทระดับอีปิค ?

ในทวีปหลีปหลักมันเป็นได้เพียงแค่ฝันเท่านั้นแหละ !!!

ตอนนี้ที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ของสภาสิบแปดปีกมีอุปกรณ์ระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบกันจำนวนมากนั่นก็เป็นเพราะการที่กิลสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วในหุบเขาอาร์กติกแกรนด์ในช่วงเวลานี้ แถมหยานย่า กับคลีนซิ่งวิสเซิลก็ยังได้นำอุปกรณ์ระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบกลับมาจากโลก God domain ยุคโบราณจำนวนมาก ไม่งั้นอุปกรณ์ของผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ของสภาสิบแปดปีกจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าอุปกรณ์ของผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ของสภาสิบแปดปีกจะดีกว่าผู้เชี่ยวขั้นสี่ส่วนใหญ่ของซุเปอร์กิลในทวีปหลัก แต่อุปกรณ์ของพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถจะเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ของกิลจากโลกอื่นแน่นอน

“ดูเหมือนว่าหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีปเรียบร้อย ฉันจำเป็นจะต้องเริ่มทำการเก็บรวบรวมอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคชั้นยอดแล้ว ไม่งั้นต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่มากเพียงพอ ฉันก็จะไม่สามารถรับมือกับมหาอำนาจจากโลกอื่นได้แน่นอน”

หลังจากมาถึงขั้นสี่แล้ว คำแนะนำมรดก การปรับปรุงการควบคุมมานา และองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นจะจัดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่อย่างไรก็ตามเรื่องของอาวุธกับอุปกรณ์นั้น เขาก็ไม่สามารถจะปล่อยให้คนของเขามีอาวุธกับอุปกรณ์ตามหลังได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วอาวุธกับอุปกรณ์มันก็จะส่งผลถึงพลังการต่อสู้เช่นกัน แม้จะไม่มากนักก็ตาม

อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงทำการตรวจสอบมาถึงไอเทมที่เป็นรูปสลักที่ทำจากหินคริสตัล เขาก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด

“ไอเทมนิรันดร์ ?”

แม้ว่าซือเฟิงจะไม่สามารถหาข้อมูลใดๆของไอเทมชิ้นนี้ได้ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานนิรันดร์ที่มันแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน

เมื่อเป็นดังนี้นั้น ซือเฟิงก็ได้ตัดสินใจใช้สกิลตรวจสอบที่ผสานเข้ากับตราทองคำเพื่อตรวจสอบมันทันที

ในเวลานี้หลังจากที่ซือเฟิงสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคของเขามาได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์นั้น สกิลตรวจสอบที่ผสานเข้ากับตราทองคำมันก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และท้ายที่สุดแล้วภายในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที ข้อมูลบางส่วนของรูปสลักที่ทำจากหินคริสตัลก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง

โดยข้อมูลที่ปรากฎขึ้นนั้นมันก็เป็นภาพมากมาย พร้อมๆกับชื่อของไอเทมชิ้นนี้

“หลักการชี้นำทุกสิ่ง ?!”

ซือเฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะ และไม่เข้าใจว่านี่มันหมายถึงอะไร ….

ก่อนหน้านี้ด้วยหินโลกนั้นมันจึงทำให้เขาสามารถล๊อคอิน และล๊อคเอ้าท์ออกจากระบบของ God domain เมื่ออยู่ในยุคโบราณได้ตามต้องการ แต่ไอ้สิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่ ?!

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหลักการชี้นำทุกสิ่งนั้น เหลียงจิงก็ได้ติดต่อเขามา

“หัวหน้ากิลตอนนี้ฉันได้เตรียมวัสดุที่หัวหน้าต้องการทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว และพวกมันก็ถูกส่งไปยังห้องเทเลพอร์ตเรียบร้อยแล้วเช่นกัน …”

“โอเค ฉันจะไปทันที !!”

เมื่อซือเฟิงได้ยินดังนี้ เขาก็เลือกจะเก็บหลักการชี้นำทุกสิ่งเข้ากระเป๋าไว้ก่อน ก่อนจะรีบเดินทางตรงไปยังห้องเทเลพอร์ตทันที

เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้การเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองทวีปง่ายขึ้น ซึ่งหากเขาทำได้สำเร็จนั้น สภาสิบแปดปีกก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลผ่านเรื่องนี้

เมืองสภาสิบแปดปีก สนามประลอง :

สนามประลองของเมืองสภาสิบแปดปีกซึ่งมีขนาดเท่ากับสนามกีฬาขนาดใหญ่หลายแห่งนั้นตอนนี้เต็มไปด้วยผู้เล่นจำนวนมาก และในบรรดาผู้เล่นจำนวนมากนี้ มันก็มีแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ที่กำลังเข้าแถวเพื่อรอจองห้องต่อสู้อยู่ โดยทั้งหมดนี้มันดูมีชีวิตชีวาซะยิ่งกว่าที่บ้านประมูลในเมืองหลวงของจักรวรรดิซะอีก

ฟิธาเลียมองไปยัง แม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิชที่พึ่งจะเดินออกมา ก่อนที่เธอจะอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่า “แม๊คอาฟรี่ เป็นยังไงบ้าง ? การฝึกต่อสู้ในห้องต่อสู้ให้ผลยังไงบ้าง ?”

เดิมทีพวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยสภาสิบแปดปีก และกระชับความสัมพันธ์กับสภาสิบแปดปีก

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อม และผลประโยชน์ต่างๆที่เมืองสภาสิบแปดปีกมีแล้ว มันก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า หากพวกเขาได้มาฝึกที่นี่ มันจะให้ผลดีแก่พวกเขาแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงได้เลือกจะเข้ามาทดลองที่สนามประลอง

“จะให้พูดยังไงดีล่ะ …” แม๊คอาฟรี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ถ้าการฝึกต่อสู้ที่ป้อมปราการแสงดาวให้ผลดีขึ้นราวสิบเปอเซ็นต์ ที่นี่มันก็นับว่าให้ผลดีขึ้นมากกว่าสามสิบเปอเซ็นต์”

“เอ่อ นี่มันดูจะเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อยไหม ?” ฟิธาเลียกล่าวอย่างไม่เชื่อ

แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าสภาพแวดล้อมล้อมและผลประโยชน์ต่างๆที่เมืองสภาสิบแปดปีกมอบให้นั้นมันไม่ธรรมดา แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่านี่แม๊คอาฟรี่พูดเกินจริงไปหน่อยไหม ….

“ไม่ ! มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงใดๆเลย !! แม้ว่ามานาของที่นี่จะไม่ใช่หมอก แต่หากคุณลองชักนำมัน คุณก็จะพบได้ทันทีเลยว่ามานาของที่นี่มันเหนือกว่าหมอกธรรมดามาก !!!” คริมสันวิชกล่าวเสริมด้วยความจริงจัง “ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ การได้ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญในขั้นเดียวกันนั้นจะช่วยให้เราเรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกในหลายด้านได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการควบคุมมานา และองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่รู้จริงๆแล้วว่าสภาสิบแปดปีกเป็นกิลแบบไหนกันแน่ และกิลสามารถทำแบบนี้ได้ยังไงกัน …”

“ถูกต้อง ฉันมั่นใจว่าถ้าฉันได้ฝึกที่นี่สักสองสัปดาห์หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย ฉันจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาไปได้อีกมากแน่นอน” แม๊คอาฟรี่กล่าวพลางพยักหน้า ในขณะที่เขามองไปยังสมาชิกของสภาสิบแปดปีกด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา

พวกเขาได้เข้ามาที่นี่ในครั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาได้ติดตามซือเฟิงมา หากซือเฟิงไม่ได้เปิดการอนุญาติให้พวกเขาเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีก พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีก และเพลิดเพลินไปกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้เลย

ขณะเดียวกันสมาชิกของสภาสิบแปดปีกกับสามารถจะเพลิดเพลินไปกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ทุกวัน ดังนั้นจะไม่ให้เขาอิจฉาได้อย่างไร ?

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเขามาถึงตรงนี้นั้น มันก็ยากมากที่จะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาให้ได้เพิ่มสักหนึ่งเปอเซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตาม หากเขาได้อยู่ที่นี่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะทำมันได้สำเร็จแน่นอน

“ผู้บัญชาการฟิธาเลีย หลังจากที่พวกเรากลับไปนั้น พวกเราจะต้องกล่อมให้หัวหน้ากิล รองหัวหน้ากิล และพวกผู้อาวุโสของกิลตัดสินใจมาตั้งสถานที่พักกิลชั่วคราวในเมืองสภาสิบแปดปีกให้ได้ แม้ว่าเราจะต้องจ่ายในราคาที่สูงหน่อย แต่มันก็จะคุ้มค่าแน่นอน แม้ว่าเอฟเฟคของเรื่องนี้มันอาจจะไม่ชัดเจนในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาว มันจะช่วยให้กิลเราปรับปรุงได้อย่างมากแน่นอน และเมื่อตอนนั้นมาถึง ไม่ต้องพูดถึงการไล่ตามหรือเป็นซุเปอร์กิลทั่วไปเลย แม้แต่การที่กิลเราจะกลายเป็นห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดมันก็ยังเป็นไปได้ ….”

เมื่อฟิธาเลียได้ยินคำพูดล่าสุดของคริมสันวิช รอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ

“ฉันเองก็คิดแบบนั้นแหละ อย่างไรก็ตามเมื่อวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีปเสร็จเมื่อไหร่ แม้ว่าเผ่าศักสิทธิ์ของเราจะต้องการได้รับสถานที่พักกิลชั่วคราวในเมืองสภาสิบแปดปีก แต่มันก็คงจะเป็นไปได้ยากมาก ….”

เมื่อวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีปเสร็จ และถูกเปิดขึ้นนั้น ตราบใดที่มหาอำนาจต่างๆในทั้งสองทวีปไม่ได้โง่ พวกเขาก็จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนว่าเมืองสภาสิบแปดปีกจะมีค่ามากขนาดไหน นี่ยังไม่ต้องนับรวมเรื่องสภาพแวดล้อม และผลประโยชน์ต่างๆที่เมืองมีให้อีก ….

และเมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็จะมีกองกำลังจำนวนมากที่ต้องการเข้ามาขอร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกแน่นอน

“มันก็ไม่จริงซะทั้งหมดนะ …” แม๊คอาฟรี่กล่าวกับฟิธาเลียด้วยรอยยิ้ม “ฉันได้ยินมาว่าแบล๊คเฟรมนั้นอาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน ซึ่งด้วยอิทธิพลและความสัมพันธ์ที่ตระกูลคุณมี หากคุณไปเชิญให้แบล๊คเฟรมร่วมมือด้วยเป็นการส่วนตัว ฉันคิดว่า มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะตกลงนะ”

ฟิธาเลียนั้นเป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลยักษ์ใหญ่ใน Upper Zone และเมื่อบวกกับรูปลักษณ์ที่งดงามของเธอในโลกแห่งความจริง กับสถานะที่น่ากลัวของเธอแล้ว หากเธอไปออกปากขอร่วมมือเป็นการส่วนตัว มันก็คงมีน้อยคนที่จะปฎิเสธเธอได้

คริมสันวิชที่ยืนอยู่ข้างแม๊คอาฟรี่ก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันกับเรื่องนี้ ….

“พวก … คุณ !!!” ฟิธาเลียรู้สึกพูดไม่ออก

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มันก็เกิดเสียงดังขึ้นอย่างกระทันหันที่ด้านนอกของสนามประลอง จากนั้นมานาทั้งหมดภายในเมืองสภาสิบแปดปีกก็เริ่มเดือดพล่าน และรุนแรงขึ้นมากๆ ….

และเมื่อพวกเขาก้าวออกไปดูนั้น พวกเขาก็พบว่ามันมีลำแสงขนาดใหญ่ยักษ์พุ่งขึ้นมาจากห้องเทเลพอร์ต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด