Reincarnation Of The Strongest Sword God 2867

Now you are reading Reincarnation Of The Strongest Sword God Chapter 2867 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2867 ร่างมานาขั้นห้า

สำหรับเรื่องการสร้างร่างเวทย์มนต์ขึ้นใหม่นั้น ซือเฟิงยังไม่เคยลอง …. แต่หลังจากได้ฝึกฝนมาอย่างเต็มที่จากการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์ออร์เบ็คจนสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาเดิมไปได้หนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์นั้น เขาก็พอจะมีกรอบภาพความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คร่าวๆแล้ว

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในห้องลับ ซือเฟิงก็ได้ทำการสร้างร่างมานาจนเสร็จสิ้น และเสียงแจ้งเตือนของระบบนั้นก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

ระบบ : ร่างมานาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่มีอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพอยู่ที่หนึ่งร้อยห้าสิบสี่เปอเซ็นต์ และมันล้มเหลวในการจะเข้าถึงมาตราฐานชนชั้นสิ่งมีชีวิตขั้นห้า

ซือเฟิงมองไปที่การแจ้งเตือนของระบบ และยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนเลยว่าการที่จะสร้างร่างมานาให้มีมาตราฐานของสิ่งมีชีวิตขั้นห้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ….”

ร่างมานาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ของเขาร่างนี้นั้นสามารถพูดได้เลยว่ามันมีมานาที่สมบูรณ์มากๆ โดยมันได้รวมธาตุพื้นฐานทั้งหมดเข้ากับร่างมานาของเขาอย่างสมบูรณ์ และซือเฟิงก็กระทั่งสร้างวงเวทย์ที่ช่วยควบแน่นเป็นพิเศษขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการชักนำมานาโดยรอบด้วย ….

แต่ผลลัพธ์สุดท้ายออกมา มันกับมีอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพอยู่ที่หนึ่งร้อยห้าสิบสี่เปอเซ็นต์เท่านั้น ….

จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาเรื่องการสร้างร่างมานาขั้นห้า ยิ่งร่างมานาเดิมมีระดับสูงเท่าไหร่ ความต้องการอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาใหม่ที่ต้องการเพื่อจะไปสู่ขั้นห้าก็จะลดลงมากเท่านั้น

โดยหากมีร่างมานาระดับดาร์คโกลนั้น ผู้เล่นจะต้องการอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาที่สามร้อยเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้น มันจึงจะทำให้ผู้เล่นสามารถเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้าได้

ขณะที่ร่างมานาระดับทองแดงนั้นจะต้องการอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพที่ห้าร้อยเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้นเพื่อที่จะเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้าได้
นี่คือเหตุผลที่ว่าทไมตอนอยู่ในขั้นสามนั้น ผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือเก่งกาจกว่านั้นทุกคนล้วนพยายามจะสร้างร่างมานาที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ขึ้นมา เพราะสิ่งนี้มันไม่เพียงแต่จะเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของมานาของตัวเองเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงเรื่องการเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้าด้วย ซึ่งมันมีเกณฑ์ขนาดใหญ่ที่แตกต่างกัน

“หนึ่งร้อยห้าสิบสี่เปอเซ็นต์ยังไม่เพียงพอ …. ดูเหมือนว่าหากผู้ที่มีร่างมานาระดับอีปิคต้องการจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้า มันก็จะต้องมีอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาใหม่ที่ราวสองร้อยเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้นสินะ ….”

ซือเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะนำคริสตัลคำแนะนำมรดกของจั๊กเกอร์น็อตที่เขาได้รับมาจากโลก God domain ยุคโบราณออกมา และเริ่มทำการเรียนรู้คำแนะนำมรดกจากมันโดยตรง ….

ร่างมานาใหม่ที่ซือเฟิงสร้างขึ้นมาได้ก่อนหน้านี้มันนับเป็นขีดจำกัดสูงสุดในการสร้างร่างมานาใหม่ด้วยพลังของซือเฟิงในตอนนี้แล้ว

ซึ่งเท่าที่ซือเฟิงคิดนั้นมันน่าจะมีอยู่สามจุดที่ทำให้เขาไม่สามารถบรรลุมาตราฐานขั้นห้าได้

จุดที่หนึ่งคือ ความแข็งแกร่ง และความเข้าใจในการควบคุมมานาของเขานั้นยังไม่เพียงพอ

จุดที่สองคือ เขายังคงขาดความเข้าใจเกี่ยวกับธาตุเวทย์มนต์อยู่ในระดับหนึ่ง

ส่วนจุดที่สามคือ เขาน่าจะยังมีความเข้าใจในเรื่องร่างมานาไม่มากเพียงพอ

ในการทดสอบของมังกรศักสิทธิ์นั้น ซือเฟิงสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของขั้นสี่แล้วในแง่ของการควบคุมมานา และความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และนี่มันก็ทำให้ผีมังกรยักษ์นั้นยกย่องเขามากๆ เพราะแม้แต่มังกรโตเต็มวัยขั้นห้าบางตัวก็ยังทำไม่ได้แบบเขาเลย

ดังนั้นนี่มันจึงเพียงพอจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีปัญหากับสองจุดแรก

เมื่อเป็นดังนี้มันก็เหลือเพียงอย่างเดียวคือจุดที่สามที่ว่าเขายังมีความเข้าใจในเรื่องร่างมานาไม่มากเพียงพอ และวิธีแก้ปัญหาในจุดที่สามนั้นมันก็ง่ายมาก ….
ก่อนหน้านี้ที่ซือเฟิงยังคงเลือกจะไม่ยอมใช้คริสตัลคำแนะนำมรดกของจั๊กเกอร์น็อต นั่นเป็นเพราะเขายังคงกังวลว่าเขาจะไม่สามารถเรียนรู้ข้อมูลภายในมรดกได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากซือเฟิงคิดว่ารากฐานของเขานั้นยังคงไม่แข็งแกร่ง และเขาก็จำเป็นจะต้องเพิ่มรากฐานให้มากขึ้นก่อน ซึ่งเมื่อเขาเพิ่มรากฐานได้ถึงระดับที่เหมาะสมแล้ว เขาก็น่าจะสามารถเรียนรู้ข้อมูลภายในได้ดีขึ้นมาก แถมเขายังอาจจะนำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ไปสอนคนอื่นๆที่ไม่ได้รับสิทให้ใช้คริสตัลคำแนะนำมรดกของจั๊กเกอร์น็อตได้ด้วย

แต่ตอนนี้ดูเหมือนรากฐานของเขาจะแข็งแกร่งมากแล้วจนแม้แต่มังกรโตเต็มวัยขั้นห้าบางตัวก็ยังไม่สามารถจะเทียบได้

ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้คำแนะนำมรดกของจั๊กเกอร์น็อต

ในห้องลับตอนนี้เวลาค่อยๆผ่านไป โดยทุกนาทีและทุกวินาทีนั้น ข้อมูลต่างๆก็ถูกป้อนเข้าสู่สมองของซือเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งซือเฟิงได้รับรู้ถึงเนื้อหาของข้อมูลนี้มากเท่าไหร่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งสดใสมากขึ้น เพราะคำถามมากมายที่เขาครุ่นคิดอยู่ก่อนหน้านี้มันได้รับคำตอบแล้ว และยิ่งได้รับรู้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงใหล

แม้ว่าคำแนะนำมรดกจะทำการป้อนข้อมูลเข้าสู่สมองของซือเฟิงเรียบร้อยแล้ว แต่ซือเฟิงก็ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้ารูปสลักสัตว์อสูรโบราณ และจมอยู่ในห้วงความคิดเรื่องคำแนะนำมรดกอยู่ ….

ขณะเดียวกันในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังทำการประเมินคำแนะนำของมรดกอยู่ในห้องลับ สถานการณ์ของสภาสิบแปดปีกหลายสิ่งก็เริ่มกลับตาลปัตร

เพราะเมื่อไม่นานมานี้สภาสิบแปดปีกได้ประกาศแล้วว่าจะเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้สาธารณชนเข้าชมอย่างเต็มรูปแบบ โดยผู้เล่นทุกคนจะสามารถเทเลพอร์ตมายังเมืองสภาสิบแปดปีกได้ผ่านเมืองสกายสปริง และสำหรับผู้เล่นบางส่วนที่ไม่ต้องการจะเดินทางผ่านทางนี้ พวกเขาก็จะสามารถเดินเท้าเข้ามาที่เมืองสภาสิบแปดปีกได้โดยตรงเลย หากพวกเขามีความแข็งแกร่งมากพอ ….

เมื่อได้ยินข่าวนี้ ไม่เพียงแต่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกเท่านั้นที่รู้สึกตกตะลึงและตื่นเต้น แต่ผู้เล่นอิสระคนอื่นๆ รวมไปถึงสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆก็รู้สึกตกตะลึง และตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากเช่นกัน
“เยี่ยม ! นี่มันเยี่ยมมากๆ !!”

“ฉันได้ยินมาว่าเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นมอบผลประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับผู้เล่นมากๆ !!! โดยการฝึกในนั้นหนึ่งวันนั้นมันให้ผลมากกว่าการฝึกในโลกภายนอกหลายวัน …. ฉันไม่คาดคิดเลยจริงๆว่าเมืองจะเปิดให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชมจริงๆแล้ว….”

“ก็ตามนั้นแหละ ดูกันง่ายๆเลยจากบรรดาสมาชิกขั้นสามของสภาสิบแปดปีก ตอนแรกพวกเขามีเลเวลเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปไม่มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขากับมีเลเวลสูงกว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปอย่างมากมาก ความเร็วในการเก็บเลเวลของพวกเขานั้นมันจัดว่าเร็วมากจริงๆ ….”

สำหรับเมืองสภาสิบแปดปีกนั้น ผู้เล่นทั่วทั้งทวีปด้านตะวันออกล้วนรับรู้ถึงผลประโยชน์ของมันกันแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่รับรู้ถึงผลประโยชน์จริงๆทั้งหมดมันก็ยังมีน้อยมาก เพราะสภาสิบแปดปีกนั้นยังไม่ได้เปิดเมืองให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชม สำหรับมหาอำนาจต่างๆ พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำอะไรกับสภาสิบแปดปีกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่มองดูบรรดาสมาชิกกิลของสภาสิบแปดปีก และสมาชิกของกองกำลังที่ร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกอย่างอิจฉาเท่านั้น

แต่ตอนนี้เมืองสภาสิบแปดปีกได้เปิดให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชมแล้ว ดังนั้นมันจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร ?

หลังจากสภาสิบแปดปีกประกาศข่าวนี้ออกไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผู้เล่นและมหาอำนาจทั่วทั้งทวีปด้านตะวันออกก็รู้เรื่องนี้ทั้งหมด โดยข่าวเรื่องนี้นั้นแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วกว่าตอนที่ช่องทางเข้าสู่โลกอื่นขนาดใหญ่ถูกเปิดขึ้นซะอีก

จักรวรรดิมังกรไฟ สำนักงานใหญ่หลักศาลาลับ :

ศาลาลับนั้นจัดเป็นกิลและองค์กรที่มีความข้อมูลเกี่ยวกับทุกๆอย่างใน God domain มากที่สุด และศาลาลับก็เป็นกิลแรกเลยด้วยซ้ำที่ได้รับรู้ข้อมูลการเปิดเมืองให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชมของสภาสิบแปดปีก พวกเขารู้แม้กระทั่งค่าเข้าเมืองที่สภาสิบแปดปีกจะเรียกเก็บ และจำนวนคนที่เมืองสภาสิบแปดปีกจะสามารถรองรับได้ด้วยซ้ำ

“ลุงหยวน ดูเหมือนว่าในที่สุดสภาสิบแปดปีกก็จะเริ่มเคลื่อนไหวเต็มกำลังแล้วนะ …” เพอเพิ้ลเจดกล่าวกับหยวนเทียนซินด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เธออ่านข่าวอัพเดทล่าสุดของเมืองสภาสิบแปดปีก “การเคลื่อนไหวแบบนี้ของสภาสิบแปดปีกมันจะทำให้มหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันออกนั่งกันไม่ติดแน่นอน …”

เพอเพิ้ลเจดในเวลานี้นั้นก็ดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นกันในด้านอารมณ์และความรู้สึกเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ตอนนี้เธอเป็นเหมือนกับเป็นอาวุธศักสิทธิ์คมกริบที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้ความรู้สึกพิเศษ และละเอียดอ่อนกับผู้ที่อยู่ใกล้เท่านั้น แต่เธอยังแผ่ออร่าคมชัดที่ไม่อาจบรรยายได้ออกมาด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และความรู้สึกของเพิ้ลเจด …. หากซือเฟิงมาอยู่ที่นี่เขาจะต้องตกใจอย่างมากอย่างแน่นอน

เนื่องจากเพอเพิ้ลเจดในปัจจุบันนั้นเป็นจักรพรรดิดาบขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบสามแล้ว และมานาที่เธอแผ่ออกมาในปัจจุบันนั้นก็ดูเป็นหมอกจางๆอย่างชัดเจน

“สภาสิบแปดปีกได้มาถึงจุดคอขวดแล้ว หากไม่ใช่เพราะสงครามโลกแบบนี้ กิลอาจจะพอใช้เวลาตั้งตัวและพัฒนาไปอย่างลับๆได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีเรื่องสงครามโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง สภาสิบแปดปีกจึงจำเป็นจะต้องเปิดเมืองสภาสิบแปดปีก หากต้องการจะพัฒนาต่อไปเพื่อรับเอาทรัพยากรมากขึ้น การกระทำของสภาสิบแปดปีก แม้ว่ามันจะมาพร้อมกับความเสี่ยง แต่มันก็สมเหตุสมผล …” หยวนเทียนซิน
กล่าวอย่างรู้สึกประหลาดใจ ในขณะที่เขาอ่านรายงานข่าวล่าสุดของสภาสิบแปดปีก

“ตอนแรกฉันก็คิดว่าสภาสิบแปดปีกน่าจะเก็บตัวเงียบไปพักหนึ่ง ฉันไม่คิดเลยว่าหลังแบล๊คเฟรมกลับมา เขาจะตัดสินใจเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกทันทีแบบนี้ แบล๊คเฟรมยังเป็นคนที่ยากจะหยั่งถึงเหมือนเคยจริงๆ ….”

การเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชมนั้น มันจะช่วยในการพัฒนาเมืองสภาสิบแปดปีกได้อย่างรวดเร็วแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวไปข้างต้น มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงหลายด้าน เพราะนี่มันถือเป็นการพยายามขยายอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัด และนี่มันก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการของหลายฝ่าย โดยเฉพาะกองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่น

กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นสามารถเอาชนะมหาอำนาจท้องถิ่นไปได้แล้วมากมาย ซึ่งหากการขยายอิทธิพลของสภาสิบแปดปีกครั้งนี้ได้รวมเอาเหล่าผู้พ่ายแพ้กลับมาจัดตั้งกองกำลังท้องถิ่นขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่ มันก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นแน่นอน และแน่นอนว่านี่มันก็เป็นสิ่งที่กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นไม่ต้องการจะเห็น

ก่อนหน้านี้ที่ผู้รุกรานจากโลกอื่นไม่ได้ตั้งเป้ามาที่สภาสิบแปดปีกมากนัก ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะสภาสิบแปดปีกนั้นลดขนาดปฎิบัติการของตัวเองลงมา และเลือกจะปฎิบัติการหลายอย่างใกล้กับเมืองกิลของตัวเอง แถมเมืองกิลของสภาสิบแปดปีกทุกเมืองยังแข็งแกร่งมากๆ โดยเฉพาะกับเมืองสภาสิบแปดปีก ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่ผู้รุกรานจากโลกอื่นจะเข้าโจมตีและยึดครองได้ และเมื่อเทียบกันในเรื่องนี้นั้น การไปจัดการโจมตีและยึดครองเมืองของมหาอำนาจอื่นๆจะดีกว่ามาก ดังนั้นทัศนคติที่พวกเขามีต่อสภาสิบแปดปีกก็จะเป็นการเมิน เพราะท้ายที่สุดในทวีปด้านตะวันออกนั้นมันมีมหาอำนาจอยู่มากมาย ดังนั้นเหล่าผู้รุกรานจากโลกอื่นจึงรู้ดีว่า พวกเขาไม่ควรจะต้องตัดสินใจกัดกระดูกที่แข็งเกินไป

แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปเมื่อเมืองสภาสิบแปดปีกเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ ทุกคนนั้นไม่จำเป็นจะต้องวิเคราะห์ใดๆเลย เมื่อพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ของเมืองสภาสิบแปดปีก ดังนั้นทุกคนจึงสามารถจะบอกได้เลยว่าต่อไปสภาสิบแปดปีกจะกลายเป็นกิลที่ใหญ่ที่สุดในทวีปด้านตะวันออกแน่นอน หากพวกเขามีเวลาอีกระยะหนึ่ง

ซึ่งเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้นั้น แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะเป็นกระดูกที่ยากจะกัดได้ แต่กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นก็จะตัดสินใจที่จะกัดมันแน่นอนเพื่ออนาคต

อย่างไรก็ตามเพอเพิ้ลเจดนั้นไม่ได้สนใจท่าทีใดๆของหยวนเทียนซิน เธอได้กล่าวต่ออย่างตื่นเต้นว่า “ลุงหยวนลุงว่างแล้วใช่ไหม ? ไปเมืองสภาสิบแปดปีกกับฉันหน่อยสิ ฉันอยากจะลองไปขอประมือกับหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมสักหน่อย หลังจากกลับมาจากที่นั่น ฉันยังไม่ได้มีโอกาสจะทดสอบความแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองเลย โดยตอนนี้มันก็คงจะมีก็แต่หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมเท่านั้นแหละที่จะทำให้ฉันสามารถใช้พลังทั้งหมดของตัวเองออกมาได้ อีกอย่างฉันก็อยากเห็นเช่นกันว่าตอนนี้หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว …. ”

นับตั้งแต่กลับมาจาก “ที่นั่น” มันก็ไม่มีนักดาบคนไหนในศาลาลับที่จะสามารถต่อกรกับเธอได้อีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้มันจึงเหลือแต่เพียงซือเฟิง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเธอที่เธอต้องการจะไล่ตามให้ทัน และเอาชนะให้ได้เพื่อกลายเป็นนักดาบอันดับหนึ่งของ God domain

“โอเค เนื่องจากเธอต้องการจะไป ฉันก็จะไปกับเธอ ….” หยวนเทียนซินกล่าวพลางมองไปยังเพอเพิ้ลเจดด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่กลับมาจากที่นั่น นักดาบในศาลาลับทุกคนก็ไม่อาจจะต่อกรกับเธอได้อีกแล้ว ดังนั้นการได้ให้เธอไปลองประมือกับแบล๊คเฟรมก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี

จากนั้นหยวนเทียนซินก็ได้นำเพอเพิ้ลเจดรีบเดินทางตรงไปยังเมืองสกายสปริง เพื่อจะเทเลพอร์ตต่อไปยังเมืองสภาสิบแปดปีกทันที

ในขณะเดียวกันตอนนี้ ซือเฟิงที่อยู่ในห้องลับชั้นใต้ดินของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองสภาสิบแปดปีกก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น

“สุดยอด !!! สมกับเป็นมรดกที่สมบูรณ์จริงๆ !!!”

ตอนนี้ซือเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลังจากที่ไฟเออร์แดนซ์ได้เรียนรู้คำแนะนำมรดกนี้ไป เธอถึงพัฒนาไปได้ไกลมาก ….. แม้ว่าอาชีพของเธอจะไม่เหมาะกับมรดกนี้ก็ตาม

ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ภายในนี้นั้นมันละเอียดมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมานา องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ วงเวทย์ และอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้อมูลในการสร้างร่างมานาใหม่ของนักดาบ ….

“ก่อนหน้านี้ฉันพยายามสร้างร่างมานาโดยอิงจากพลังมานาดั้งเดิมมากเกินไป และฉันก็ไม่ได้รู้จักร่างมานาขั้นห้าเลย ร่างมานาขั้นห้า กับร่างมานาดั้งเดิมของฉันนั้นมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ฉันจะมีอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาใหม่แค่หนึ่งร้อยห้าสิบสี่เปอเซ็นต์เท่านั้น”

เมื่อซือเฟิงคิดมาถึงตรงนี้นั้น เขาก็อดไม่ได้จะรู้สึกว่า ก่อนหน้านี้เขาได้ทำอะไรที่ดูไร้ประโยชน์ไปมากเลยทีเดียว

ทำไมอาชีพขั้นห้าถึงแข็งแกร่ง ?

เนื่องจากอาชีพขั้นห้า และขั้นสี่นั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในด้านชนชั้นของสิ่งมีชีวิต โดยระดับชนชั้นสิ่งมีชีวิตของอาชีพขั้นห้านั้นเหนือกว่าขั้นสี่มากๆ แต่เขากลับมาใช้แนวทางของสิ่งมีชีวิตขั้นสี่เพื่อหาทางก้าวไปยังขั้นห้า ซึ่งมันจัดว่าผิดหลักพื้นฐานมาตั้งแต่แรกแล้ว ….

โดยมานาของพวกขั้นห้าที่แผ่ออกมาจากร่างมานาของตัวเองนั้นมันจะไม่ใช่ก๊าซ หรือหมอกอีกต่อไป แต่มันจะเป็นของเหลวทั้งหมด ดังนั้นหากผู้เล่นต้องการจะก้าวไปถึงขั้นห้าให้ได้ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องสร้างร่างมานาใหม่ที่สามารถช่วยกลั่นมานาออกมาเป็นของเหลวได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์

ซึ่งหากพวกเขาทำไม่ได้ พวกเขาก็หมดสิทที่จะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้า

เมื่อได้รู้ดังนี้แล้วนั้น ซือเฟิงก็ได้เริ่มพยายามสร้างร่างมานาใหม่อีกครั้งทันที ….

แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังคงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จนเวลานั้นมันค่อยๆผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้นั้น แม้แต่ตัวของซือเฟิงเองก็ยังรู้สึกอยากจะยอมแพ้ และไม่อยากจะทำต่อแล้ว

ระบบ : ขอแสดงความยินดีด้วย !! ร่างมานาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่มีอัตราความสำเร็จในการปลดล๊อคศักยภาพอยู่ที่สามร้อยสามสิบหกเปอเซ็นต์ ซึ่งตรงตามมาตราฐานชนชั้นของสิ่งมีชีวิตขั้นห้า ระดับการประเมินของร่างมานาใหม่นี้อยู่ในระดับ : อีปิค คุณต้องการจะเปลี่ยนมันกับร่างมานาเดิม และเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้าเลยหรือไม่ ?

“ร่างมานาขั้นห้าระดับอีปิค ?!”

หากร่างมานาใหม่ที่อยู่ในขั้นห้าที่เขาสร้างขึ้นมาเป็นระดับไฟน์โกล เขาก็จะพึงพอใจมากแล้ว พูดกันตามตรงเขาไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถสร้างร่างมานาใหม่ที่อยู่ในขั้นห้า และเป็นระดับอีปิคขึ้นมาได้ ….

และเมื่อมาถึงตรงนี้นั้น ซือเฟิงก็ได้เลือกจะเปลี่ยนมันกับร่างมานาเดิมอย่างไม่ลังเลเลย

ร่างมานาขั้นห้าระดับอีปิคนี้เขาสร้างขึ้นมาได้ด้วยโชค ถ้าเขาลองอีกครั้ง เขาไม่น่าจะสร้างมันขึ้นมาได้จนอยู่ในระดับเดิมแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะตัดสินใจเปลี่ยนมันกับร่างมานาเดิมทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด