Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน 1319 แข่งขันท่องบทกวี

Now you are reading Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน Chapter 1319 แข่งขันท่องบทกวี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทพปีศาจหวนคืน  บทที่  1319 แข่งขันท่องบทกวี

แปลโดย  iPAT   

“บทกวีที่ดี ” เทพธิดาเถียนลู่หัวเราะ  “โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย  ข้าคิดว่ามันต้องกล่าวถึงข้าอย่างแน่นอน  ฮ่าฮ่า ”

นางทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

หลุนเฟยเผยรอยยิ้มขมขื่นและนั่งลง  “โปรดอย่าสนใจบทกวีที่หยาบคายของข้า ”

“หลุนเฟย  เจ้าถ่อมตัวเกินไป  เอาล่ะ  ข้าก็มีบทกวีเช่นกัน ” ลั่วมู่ซือกล่าว

“โอ้  เช่นนั้นก็ขอให้เราได้ฟังมัน ” เฉียวซื่อหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ลั่วมู่ซือเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะท่องบทกวีอย่างช้าๆ

ปีนภูเขาเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ

อันตรายอยู่ในทุกย่างก้าว

ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งเหมือนแสง

วิญญาณความมืดแฝงอยู่ในหัวใจ

ความฝันดั่งหยกทอง

พันปีแห่งความเหงา

ห้าภูมิภาคและเก้าสวรรค์

ทุกสิ่งอยู่ในลมหายใจเดียวกัน

แนวคิดและจินตนาการในบทกวีนี้ทำให้กลุ่มผู้อมตะต้องขบคิดอย่างระมัดระวัง

อันตรายอยู่ในทุกย่างก้าว  ผู้อมตะจำเป็นต้องจัดการภัยพิบัติและบ่มเพาะอย่างยากลำบาก  พวกเขาต้องทุ่มเทความพยายามในการจัดการมิติช่องว่างของตน  มันเหมือนกับการปีนภูเขา  ยิ่งสูงก็ยิ่งอันตราย

ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งเหมือนแสง  ความหมายคือเวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็ว  มนุษย์ก็เหมือนกับฝุ่นที่ลอยอยู่

วิญญาณความมืดแฝงตัวอยู่ในหัวใจ  บนพื้นผิวมันหมายถึงผู้อมตะที่เก็บวิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์ไว้ในมิติช่องว่าง แต่ผู้อมตะในที่นี่ล้วนมีภูมิหลังที่ลึกซึ้ง  ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถดื่มด่ำกับความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

วิญญาณความมืดหมายถึงความพ่ายแพ้  ความล้มเหลว  การประนีประนอม  ความผิดหวัง  และความรู้สึกด้านลบทั้งหมด

มนุษย์คิดว่าผู้อมตะมีชีวิตที่ดีแต่ผู้อมตะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่พวกเขาไม่รู้

ผู้อมตะต้องอดทนต่อแรงกดดันมหาศาลในการบ่มเพาะของตน  มันหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเกิดความรู้สึกในแง่ลบ  แม้แต่เทพอมตะหรือเทพปีศาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ความฝันเหมือนหยกทอง  พันปีแห่งความเหงา  มันหมายถึงความมั่งคั่งทุกชนิดเป็นเพียงเรื่องผิวเผินเช่นความฝัน  เมื่อเวลาผ่านไป  ความรัก  ความเกลียดชัง  และความรู้สึกทั้งหมดจะหายไป  มันแสดงให้เห็นว่าบทกวีมองการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเฉยเมย

ประโยคสุดท้าย  ห้าภูมิภาคและเก้าสวรรค์  ทุกสิ่งอยู่ในลมหายใจเดียว  มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ  ความยิ่งใหญ่  และอีกมากมาย  ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีลมหายใจเหลืออยู่  พวกเขาก็ยังมีชีวิต  เมื่อสูญเสียลมหายใจ  พวกเขาจะตาย  ผู้คนต่างดิ้นรนและต่อสู้เพื่อลมหายใจเดียว  ทุกคนพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนตนเอง

เขาท่องบทกวีช้าๆก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น  นี่ทำให้ผู้ฟังค่อยๆคล้อยตาม

ชั่วขณะหนึ่งศาลาตกสู่ความเงียบ  เหล่าผู้อมตะค่อยๆขบคิดเกี่ยวกับมัน

เฉียวซื่อหลิวคิดกับตนเอง  ‘แปลก  จากความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับหลิวมู่ซือ  เขาสามารถสร้างบทกวีนี้ได้อย่างไร  เขาอาจขโมยผลงานของบางคนมา  ฮืม  เขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นผลงานของเขา !’

ภายนอกลั่วมู่ซือดูสงบนิ่งและนั่งดื่มชาอย่างเงียบๆ  แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขากลับเผยร่องรอยบางอย่างออกมา

เฉียวซื่อหลิวลอบเย้ยหยันแต่ไม่ได้เปิดเผยลั่วมู่ซือ

จากนั้นนางก็หันหน้าไปทางฟางหยวน

การแสดงออกของฟางหยวนแปลกประหลาดมาก

‘นี่คือบทกวีของฉีจื่อ  เป็นไปได้อย่างไร !? ไม่ใช่ว่าถ้ำสวรรค์ของปีศาจอมตะฉีจื่อจะปรากฏขึ้นเมื่ออาณาจักรแห่งความฝันเฟื่องฟูในสงครามห้าภูมิภาคงั้นหรือ?’

‘แปลกมาก !’

ปีศาจอมตะฉีจื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญจากอดีตกาล  เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังและเคยต่อสู้กับเทพปีศาจไร้ขอบเขต  ผลคือชนะหนึ่งครั้ง  เสมอหนึ่งครั้ง  และแพ้หนึ่ง

แน่นอนว่าเวลานั้นเทพปีศาจไร้ขอบเขตยังไม่บรรลุระดับเก้า

และในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย  เทพปีศาจไร้ขอบเขตบรรลุระดับเก้าเรียบร้อยแล้ว  แต่การต่อสู้ยังดำเนินไปถึงเก้าวันเก้าคืนก่อนที่ฝ่ายหลังจะพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามเทพปีศาจไร้ขอบเขตไม่ได้สังหารปีศาจอมตะฉีจื่อและปล่อยเขาไป

ในเวลานั้นเทพปีศาจไร้ขอบเขตกล่าวว่า  “เจ้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า  แต่หากไม่มีเจ้า  ข้าก็คงไม่บ่มเพาะอย่างสิ้นหวังถึงเพียงนี้  เจ้ามีส่วนผลักดันให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับปัจจุบัน ”

หลังจากได้รับการยอมรับและยกย่องจากเทพปีศาจไร้ขอบเขต  ชื่อของปีศาจอมตะฉีจื่อก็ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

เขาทิ้งถ้ำสวรรค์ไว้ให้คนรุ่นหลังและมันยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ในชีวิตแรกของฟางหยวน  อาณาจักรแห่งความฝันจำนวนมากปรากฏขึ้นในสงครามห้าภูมิภาค  หลังจากกำแพงภูมิภาคหายไป  การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ดังกล่าวทำให้ปราณสวรรค์พิภพเกิดความปั่นป่วน นี่ทำให้ถ้ำสวรรค์ที่ซ่อนอยู่มากมายปรากฏสู่โลกภายนอก

ถ้ำสวรรค์ของปีศาจอมตะฉีจื่อเผยตัวออกมาในสถานการณ์นี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทันทีที่มันปรากฏขึ้น  มันจะทำให้เกิดความโกลาหลมากเพียงใด

‘มันคือบทกวีของฉีจื่อที่ถูกจารึกไว้ในถ้ำสวรรค์ของเขา  ลั่วมู่ซือรู้จักบทกวีนี้ได้อย่างไร ?’

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเคยเข้าไปในถ้ำสวรรค์ฉีจื่อมาก่อน !’

ความคิดของฟางหยวนค่อนข้างว้าวุ่น

ถ้ำสวรรค์ฉีจื่อมีมรดกที่แท้จริงระดับเดียวกับของโป้ชิงอยู่ภายใน  กระทั่งไห่ฟานก็ยังไม่สามารถแข่งขัน

‘หากข้าได้รับมรดกที่แท้จริงนี้ …’

‘ข้าจะได้รับมรดกที่แท้จริงของฉีจื่อด้วยการฆ่าลั่วมู่ซือผู้นี้หรือไม่?’

เจตจนาสังหารเกิดขึ้นในใจของฟางหยวนอีกครั้ง

โดยไม่รู้ความคิดของฟางหยวน  ลั่วมู่ซือชำเลืองมองฟางหยวนด้วยใบหน้าท้าทาย  “ข้าสงสัยว่าท่านวูอี้ไห่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมหรือไม่ ? เรากำลังรออยู่ ”

“นั่นเป็นเรื่องปกติ ” หลุนเฟยเร่งกล่าว  “ต้นกำเนิดของท่านวูอี้ไห่ไม่ธรรมดา  เขามีประสบการณ์มากมายและยิ่งไปกว่านั้นทะเลตะวันออกยังมีทรัพยากรมากมาย ข้าคงไม่สามารถเปรียบเทียบความสำเร็จด้านวิชาการกับท่านวูอี้ไห่ ”

ทั้งสองยกย่องฟางหยวนด้วยถ้อยคำที่ไพเราะแต่มันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย

เฉียวซื่อหลิวตระหนักถึงเรื่องนี้  แต่นางไม่ได้ปกป้องฟางหยวนและยังสนับสนุน  “ข้าอยากฟังบทกวีของท่านจริงๆ  ข้าแน่ใจว่ามันต้องน่าสนใจและพิเศษอย่างแน่นอน ”

“ถูกต้อง ”

ฟางหยวนถูกกดดันอยู่ชั่วครู่  เขาถูจมูกและเผยรอยยิ้มขมขื่น  “สหาย  พวกท่านประเมินข้าสูงเกินไป  ข้าจะมีบทกวีได้อย่างไร  ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร ?”

“วูอี้ไห่  เจ้าถ่อมตนเกินไป !” ลั่วมู่ซือหัวเราะ

ฟางหยวนยักไหล่  “ข้ากล่าวเรื่องจริง  ข้าไม่รู้กระทั่งว่าพวกเราต้องท่องบทกวีเพื่อชื่นชมดวงจันทร์ ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น  วูอี้ไห่  เหตุใดเจ้าไม่สร้างมันขึ้นมาตอนนี้  มันต้องเป็นผลงานชั้นยอดอย่างแน่นอน  อย่ากังวล  หากมันต้องใช้เวลาอยู่บ้าง  เราทุกคนก็ยินดีที่จะรอ ” หลุนเฟยไม่ปล่อยโอกาสโจมตีฟางหยวน

ฟางหยวนถอนหายใจ

แน่นอนว่าเขามีบทกวีมากมายอยู่ในหัว

พวกมันเพียงพอที่จะจัดการผู้อมตะเหล่านี้

แต่ …

แต่แล้วอย่างไร ?

ฟางหยวนมองไปรอบๆ

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรักเฉียวซื่อหลิวโดยธรรมชาติ  พวกเขาถือว่าฟางหยวนเป็นคู่แข่งที่น่ารังเกียจ  ทั้งคู่ตกลงร่วมมือกันโดยปริยายเพื่อเอาชนะฟางหยวน  มันจะมีสิ่งใดดีขึ้นที่จะต่อสู้กับผู้แพ้ ?

เทพธิดาเถียนลู่เป็นสหายที่ดีที่สุดของเฉียวซื่อหลิวและทำงานหนักเพื่อช่วยเฉียวซื่อหลิว สำหรับคนรักของนาง  เขาไม่กล่าวสิ่งใดและจิบชาอยู่อย่างเงียบๆ  นี่เป็นแสดงให้เห็นถึงความฉลาดของเขา

ด้านเฉียวซื่อหลิว …

เทพธิดาผู้นี้มีทั้งรูปลักษณ์และภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่  นางยังเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามที่สุดของภาคใต้  นางย่อมมีความภาคภูมิใจโดยธรรมชาติ

ตระกูลเฉียวอาจสั่งให้นางเข้าหาฟางหวนแต่นางมีวิธีการของตนเอง

นางวางแผนจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน  ไม่เพียงรายละเอียดเล็กๆเรื่องการจัดที่นั่ง  แต่นางยังพาสหายสนิทมาช่วยสนับสนุนและสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือนางเชิญหลุนเฟยและลั่วมู่ซือมาด้วย

เมื่อชายสองคนแข่งขันกันเพื่อแย่งหญิงงาม  แม้นางจะเป็นหมู  พวกเขาก็ต้องคิดว่านางยอดเยี่ยม  มันจะทำให้เกิดการแข่งขันและผู้ชนะจะได้ชื่นชมหมูตัวนี้

มันคือการทำให้ตัวนางมีคุณค่ามากขึ้น

เฉียวซื่อหลิวตระหนักถึงตรรกะนี้  ดังนั้นนางจึงจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นความคิดของฟางหยวน  เมื่อฟางหยวนเริ่มไล่ตามนาง  นางก็จะตกลงและกลายเป็นภรรยาของฟางหยวน

หากเป็นวูอี้ไห่ตัวจริง  เขาอาจตกหลุมพรางไปแล้ว

น่าเสียดายที่คนที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่คือฟางหยวน

ฟางหยวนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลวูและตระกูลเฉียวรวมถึงแผนการของตระกูลเฉียว

ด้วยความเข้าใจนี้  ฟางหยวนจึงมีข้อได้เปรียบและสามารถเลือกกลยุทธ์  ขณะที่ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเป็นเพียงตัวตลกริมถนน

ผู้อมตะทั้งหมดมองฟางหยวนและสร้างแรงกดดันให้เขา

‘ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยต้องการให้ข้าอับอาย  เฉียวซื่อหลิวต้องการให้ข้ายอมรับการท้าทาย  บางทีนางอาจไม่พอใจเล็กน้อย  เพราะความงามนี้  น้ำทะเลยังหยาบคายเกินไป ’

ฟางหยวนคิดก่อนกล่าว  “เช่นนั้นข้าก็จะท่องบทกวี  โปรดอย่าหัวเราะ ”

“พวกเรากำลังฟังอยู่ !”

“พวกเรารออยู่นานแล้ว !”

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้ยินบทกวีของฟางหยวน

“โอ้  ทะเลกว้างใหญ่  เจ้าถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำ ”

“โอ้  เจ้าม้า  เจ้ามีสี่ขา ”

“โอ้  คนงาม  เจ้ามีดวงตาและปาก ”

บทกวีจบลงเพียงเท่านี้

ทั้งศาลาเงียบกริบ !

การแสดงออกของทุกคนดูเหมือนแข็งทื่อ

แม้แต่เฉียวซื่อหลิวและเทพธิดาเถียนลู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

‘นี่  นี่  นี่ …นี่มันเรื่องบัดซบใด !?’

‘นี่คือบทกวีงั้นหรือ ? ขยะ !’

‘วูอี้ไห่เป็นคนป่าเถื่อนจริงๆ ’

‘นี่มันเรื่องไร้สาระอันใด !? ชื่นชมดวงจันทร์  ท่องบทกวี  มันเป็นเหตุการณ์ที่สง่างาม  แต่ตอนนี้มันพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ !’

กลุ่มผู้อมตะกรีดร้องอยู่ภายใน

ฟางหยวนยิ้มและมองเฉียวซื่อหลิว  “ข้าสงสัยว่าเทพธิดาซื่อหลิวพอใจหรือไม่ ?”

‘พอใจ ? เจ้าต้องบ้าไปแล้ว ’

‘เจ้ายังกล้าถามคำถามนี้อีกงั้นหรือ ? เจ้าช่างอุกอาจนัก !’

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยคำรามอยู่ในใจแต่ภายนอกพวกเขายังสงบนิ่ง

ศาลายังเงียบเช่นเดิม

“อา …ฮ่าฮ่า …” เฉียวซื่อหลิวหัวเราะแม้จะฟังดูเหมือนถูกบังคับก็ตาม  “บทกวีนี้พิเศษจริงๆ  บอกตามตรง …ข้าไม่เคยได้ยินบทกวีเช่นนี้มาก่อน  มันคู่ควรกับการที่ท่านเป็นผู้สร้างสรรค์จริงๆ …ตอนนี้เมื่อข้าพิจารณาอย่างรอบคอบ  มันค่อนข้างตลกจริงๆ ”

ลั่วมู่ซื่อ  “…”

หลุนเฟย  “…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด