Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 11 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (11)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 11 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 11  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (11)

 

อาจารย์สาวรีบมองไปยังซูอี้อี้  เห็นหน้าผากที่บวมแดงของซูอี้อี้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน  เธอขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม “ซูอี้อี้  ใครเป็นคนผลักเธอ?”

 

ซูอี้อี้แอบปรายตามองไปยังฉีเซิงด้วยท่าทางหวาดกลัว  ก่อนเธอจะส่ายหัว  “ไม่มีค่ะ  ไม่มีใครผลักหนู  หนูล้มลงไปเอง”

 

แค่มองเพียงแวบเดียวคนที่เป็นอาจารย์ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘ปกปกความผิด’  “อย่ามาโกหก  บอกมาว่า ใครเป็นคนผลักเธอ?”

 

ซูอี้อี้ในสายตาของอาจารย์สาวคนนี้คือ  เด็กสาวแสนดีที่เข้ากับได้ทุกคน ในขณะที่เด็กสาวคู่กรณีนั้นกลับนิสัยตรงข้าม  เป็นแค่เด็กสาวที่ชอบเก็บตัวและเข้ากับสังคมไม่ได้  เธอเคยเห็นซวีเฉิงเยว่นั่งรถหรูออกไปข้างนอกหลายครั้ง  และกลับมาพร้อมกับข้าวของแบรนด์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่บ่อยครั้ง ‘เหอะ   เด็กนักเรียนแบบนี้ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว’

 

ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรที่จิตใต้สำนึกของเธอจะเอนเอียงเข้าข้างซูอี้อี้มากกว่า

 

“ไม่ใช่นะคะ  มันเป็น……….”  ซูอี้อี้ยังคงพยายามที่จะอธิบาย

 

“อี้อี้  ทำไมเธอต้องช่วยปกปิดความผิดให้ยายนี่ด้วยล่ะ?   อาจารย์คะ  หนูกับเซี่ยหนิงเป็นพยานได้  ซวีเฉิงเยว่เป็นคนที่ผลักอี้อี้คะ”

 

เซี่ยหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนเธอจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นฉีเซิงยังยืนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน  เธอจึงพยักหน้ารับคำพูดของอันอันทันที

 

“เธอชื่ออะไร?”  อาจารย์สาวมองไปยังฉีเซิง  เธอแสดงทัศนคติอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอเชื่อคำพูดของอันอัน  และท่าทางอันหวาดกลัวของซูอี้อี้อย่างสนิทใจ

 

“ซวีเฉิงเยว่” ฉีเซิงจ้องมองไปยังซูอี้อี้ด้วยสายเจือขบขัน  แววตานั่นทำให้ซูอี้อี้รู้สึกไม่สบายใจนัก  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อไตร่ตรองดูดีแล้วซูอี้อี้คิดว่าซวีเฉิงเยว่ไม่มีหลักฐานที่จะช่วยให้เธอดิ้นหลุดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้  ความกังวลของเธอจึงค่อยๆสงบลง

 

“นักศึกษาซวีเฉิงเยว่   ความผิดสำหรับการทะเลาะวิวาทกับนักศึกษาคนอื่น  จนเป็นเหตุทำให้นักศึกษาคนนั้นได้รับบาดเจ็บ โทษของเธอคือการที่จะต้องกวาดพื้นทางเดินทั้งหมดของหอพักเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์  เธอมีอะไรจะคัดค้านไหม? ”

 

“คุณเชื่อเรื่องที่พวกเธอเล่าเพียงแค่ฝ่ายเดียวหรอค่ะ?” ฉีเซิงเลิกคิ้วขึ้น ‘อาจารย์คนนี้ฟังความแค่ข้างเดียวก็จะสั่งลงโทษฉันแล้ว   เธอตั้งใจที่จะช่วยซูอี้อี้รังแกฉันชัดๆ’

 

สีหน้าของอาจารย์มืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด  เธอแค่คิดจะหาเรื่องลงโทษซวีเฉิงเยว่สักหน่อย  แต่ยายเด็กบ้านี่กลับจับไต๋เธอได้

 

“ในห้องมีพยานยืนอยู่ตั้งสองคน  เธอยังอยากจะพูดอะไรแก้ตัวอีก?  ฉันจะพูดกับเธอไว้ตรงนี้เลยนะ  ในฐานะนิสิตนักศึกษาเธอควรจะประพฤติตัวให้เหมาะสมกับคำๆนี้  ไม่ใช่มัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ  เธอคิดว่าการที่เธอทำอย่างนั้นมันจะทำให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิตหรอ?  เธอคิดว่าจากอีกามันจะเปลี่ยนไปเป็นหงส์ได้อย่างงั้นเหรอ?”

 

สีหน้าของฉีเซิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณหมายความว่าอะไร?”

 

“เธอก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเธอกำลังทำอะไรอยู่  ยังมีหน้าจะไปถามคนอื่นอีกเหรอ?”  อันอันเอ่ยเยาะ

 

ซูอี้อี้แสดงสีหน้าโศกเศร้า  แต่สายตากับทรยศ ในแววตาของเธอมันประกาศอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นผู้ชนะ ‘ต่อให้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วยังไงล่ะ?  คนเยอะขนาดนี้  พูดกันปากต่อปากไปเรื่อยๆ  ใครยังจะมาสนอีกว่าเรื่องไหนเรื่องจริง  เรื่องไหนเรื่องหลอก ชื่อเสียงของเธอได้ป่นปี้แน่!’

 

คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังมุงอยู่ด้านนอก  เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์และอันอัน  ต่างก็เริ่มพากันซุบซิบเสียงเบา

 

“สองสามวันก่อน  ฉันเพิ่งเห็นหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถปอร์เช่  บางครั้งก็เห็นรถมาจอดรับเธอที่หน้าประตูมหาลัย  เธอคิดว่าหล่อนจะเป็นเด็กเสี่ยจริงไหมล่ะ?”

 

“ถึงฉันจะไม่เห็นกับตา  แต่ก็ได้ยินคนอื่นเมาท์เกี่ยวกับเรื่องหล่อนกันให้แซ่ด”

 

“ฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าบ้านหล่อนมีฐานะ”

 

“ถ้าหล่อนเป็นคุณหนูจริง  หล่อนจะมาอยู่หอพักทำไมล่ะ  ทำไมไม่ไปอยู่หอเอกชนข้างนอก?  อย่าไปโง่หน่อยเลยน่า  ดูซะก่อนว่าลูกคนรวยคนไหนบ้างที่ไม่มีรถขับเป็นของเอง?”

 

“หล่อน….คงไม่ได้ไปเป็นเมียน้อยของใครหรอกน่ะใช่ไหม?”

 

แน่นอนว่าอาจารย์สาว  ได้ยินทุกคำพูดที่นิสิตคนอื่นๆกำลังซุบซิบกัน  แต่เธอกลับไม่ห้ามปรามแม้แต่น้อย  ยิ่งไปกว่านั้นเธอถึงขั้นเอ่ยกับซวีเฉิงเยว่ว่า  “นิสิตซวีเฉิงเยว่  การกระทำของเธอแสดงถึงจริยธรรมอันต่ำตม  ฉันจะรายงานเรื่องนี้ต่อทางมหาวิทยาลัยให้ทางมหาวิทยาลัยลงโทษเธอตามกฎ”

 

“ถ้าหากเธอไม่อยากให้คนอื่นรู้  เธอก็ไม่ควรทำตัวอย่างนี้เสียตั้งแต่แรก”  อันอันเอ่ยสับทับด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

 

“ฉันขอคืนประโยคนั้นให้กับเธอ”  ฉีเซิงหมุนตัวและก้าวเท้ากลับไปยังโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ  เธอหยิบของชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนนั้นขึ้นมา  “ต้องขอโทษด้วยนะ  พอดีฉันเพิ่งได้ของเล่นใหม่มา  บังเอิญว่าเจ้านี่เนี่ย สามารถเก็บบันทึกภาพและเสียงได้เป็นชั่วโมงๆเสียด้วยสิ  ไป…พวกเราไปที่ห้องทำงานของท่านอธิการบดีกันเถอะ  ไปให้ท่านตัดสินว่าใครกันแน่ที่เป็นคนถูกหรือเป็นคนผิด”

 

ซูอี้อี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม  ‘หล่อนอัดสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ทั้งหมดจริงๆหรอ?  พวกเราพูดว่าเธอเป็นคนผลักฉันล้ม ทั้งๆที่อันอันเป็นคนทำ  ถ้าเธอได้พบกับท่านอธิการบดีพร้อมกับเทปนั่น  ชื่อเสียงของฉันต้องถูกทำลายจนป่นปี้แน่ๆ!!  ไม่…ฉันยอมให้เธอเอาหลักฐานไปหาท่านอธิการบดีไม่ได้!’

 

ฉีเซิงดูราวกับว่าจะตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้ว  เธอจึงสาวเท้าเดินไปที่ทางออกของห้อง “อาจารย์รีบเดินสิคะ  เราต้องรีบไปที่ห้องทำงานของท่านอธิการกันนะคะ  เมื้อกี้คุณเพิ่งจะป้ายสีฉัน แต่ฉันเชื่อว่าท่านอธิการต้องให้ความเป็นธรรมกับฉันได้แน่”

 

“เฉิงเยว่  เธออย่าทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปเลยนะ” ซูอี้อี้รีบยื้อฉีเซิงไว้

 

“เรื่องเล็กอย่างงั้นหรอ?  พวกเธอสามคนรวมหัวกันใส่ร้ายฉัน   แล้วยังจะอาจารย์คนนี้อีก  เธอป้ายความผิดให้ฉันหน้าตายเฉย  นี่หรือ…เรื่องเล็กที่เธอว่า?”

 

“เฉิงเยว่….ฉัน….”  ตอนนี้อันอันก็อยากจะจบเรื่องนี้อย่างสันติด้วยเช่นกัน  เธอคาดไม่ถึงว่าฉีเซิงจะอัดภาพเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด  เปรียบเทียบการทะเลาะตบตีกัน กับ การใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นและทำลายชื่อเสียงคนอื่น  การใส่ร้ายป้ายสีและทำลายชื่อเสียงคนอื่นดูจะร้ายแรงมากกว่า นี่อาจจะทำให้เธอโดนไล่ออกได้

 

อาจารย์สาวเองก็ลังเลด้วยเหมือนกัน  เธอไม่ได้มีหลักฐานว่าฉีเซิงเป็นเมียน้อยของใคร  แต่เธอกลับกล่าวหาฉีเซิงผู้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปแล้ว  ด้วยเหตุผลข้อนี้ก็สามารถทำให้เธอถูกไล่ออกได้แล้ว  อาจารย์สาวจึงรีบเดินไปขวางประตูทางออก

 

 

“นิสิตซวีเฉิงเยว่  คุณไม่จำเป็นต้องไปรบกวนท่านอธิการด้วยเรื่องแค่นี้ก็ได้  ในเมื่อคุณเป็นคนผลักนิสิตซูอี้อี้  ถ้าอย่างนั้นคุณก็แค่ขอโทษนิสิตซูอี้อี้เสีย  แล้วฉันจะทำเป็นลืมเรื่องทั้งหมดนี้เอง”

 

ฉีเซิงไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดกับอาจารย์ผู้ไร้ความผิดชอบอีก  เธอคว้าโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาก่อนจะกดโทรออก “ทนายหวัง  ช่วยมาที่มหาลัยของฉันหน่อย  ใช่…ที่หอพัก  รีบมาเดี๋ยวนี้”

 

ฉีเซิงวางสาย  คราวนี้แทนที่เธอจะหาทางออกจากห้อง เธอกลับดึงเก้าอี้ออกมานั่งแทน

 

ใบหน้าของอาจารย์กลายเป็นสีเขียว  ‘หล่อนถึงกลับก้าโทรเรียกทนาย!’

 

บรรดานิสิตนักศึกษาที่มุงอยู่ด้านนอกมองหน้ากันและกัน ‘โอ้…ดูเหมือนว่าเรื่องจะประหลาดเข้าไปทุกที!’

 

คนที่สามารถรักษาความสงบแล้วต่อสายหาทนายได้ทันทีขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสี่ยของเธอมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก  ก็อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ได้เป็นเด็กเสี่ยตั้งแต่แรก

 

ทนายความหวัง  มาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว  เขาแทรกตัวผ่านบรรดานิสิตหญิง  ความรู้สึกภายในใจของเขา ณ  ตอนนี้แสดงออกได้เพียง ( ̄ △  ̄;)   นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าผ่านมวลบุพผาชูช่อนับหมื่นนับแสนน่ะ

 

หลังจากที่แทรกตัวเข้ามาอย่างกล้าหาญ  ทนายความหวังก็ใช้นิ้วดันแว่นตาที่เลื่อนหลุดออกมาจากดั้งจมูกของเขาให้กลับเข้าที่  ก่อนจะเข้ามาหาฉีเซิง “คุณหนูซวี”

 

ผู้คนที่มุงอยู่ภายนอกต่างตกตะลึง  ‘มีทนายความ มาจริงๆด้วยล่ะ…..’

 

ฉีเซิงพยักหน้ารับเบาๆ  ก่อนจะส่งของที่อยู่ในมือของเธอให้กับเขา  เธอใช้น้ำเสียงเรียบๆตามปกติเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง

 

ทนายความหวังดันแว่นขึ้น  หลังจากที่คิดไม่นานเขาก็หันไปกล่าวกับอาจารย์สาวและพวกของซูอี้อี้  “นิสิตทั้งสามท่านนี้พยายามที่จะใส่ความลูกความของผมว่าเป็นคนผลักนิสิตท่านนี้จนทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ  ตามประมวลกฎหมายของสาธารรัฐประชาชนจีนได้กำหนดไว้ว่า จากการกระทำผิดในลักษณะเช่นนี้ผู้กระทำมีสิทธิ์ถูกจำคุกอย่างน้อย5 วัน หรือ อย่างมาก 10 วัน  ส่วนอาจารย์ท่านนี้ได้ทำการใส่ร้ายป้ายสีให้ลูกความของผมต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง……”

 

แน่นอนว่าพวกซูอี้อี้ไม่มีทางที่จะรู้ข้อกฎหมายดีไปกว่าทนายความ  ขณะนี้พวกเธอจึงทำได้เพียงแค่ยืนหน้าซีด  คิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

 

ระหว่างที่พวกเธอกำลังยืนฟังทนายร่ายยาวอยู่นั้น  อธิการบดีก็ปรากฏตัวขึ้นในที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว  ขนาดทนายความยังถูกเรียกตัวมาแล้ว  นับประสาอะไรกับอธิการบดี  เขาจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง?

 

“อย่ามามุงกันอยู่ตรงนี้  ออกไปซะ  กลับห้องของพวกเธอไปได้แล้ว”  เมื่อมาถึงเขาก็รีบเอ่ยปากไล่ฝูงชน ให้สลายตัวกันออกไปทันที

 

อธิการบดีผู้ซึ่งเพิ่งจะได้รับข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่  ไม่รีรอที่จะกล่าวตำหนิอาจารย์ผู้ก่อเหตุทันที  ก่อนจะไล่เธอออกต่อหน้าฉีเซิง  นอกจากนี้เขายังรีบกว่าขอโทษฉีเซิงด้วยท่าทางที่เสียใจเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยเพราะทางฝ่ายเขาเป็นฝ่ายผิด ต่อให้อธิการบดีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง  แต่ถ้ามีข่าวลือเกี่ยวกับ อาจารย์ใส่ความนิสิตนักศึกษาแพร่ออกไป ข่าวนี้ย่อมต้องส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทางมหาวิทยาลัยแน่นอน

 

ในส่วนของซูอี้อี้และพรรคพวก  อธิการบดีได้นำตัวพวกเธอออกจากห้องไปพร้อมเขา  ก่อนจะออกไปเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะต่อฉีเซิงว่าเธอจะต้องได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจกับการตัดสินใจของเขาแน่นอน

 

เพียงแค่ก้าวพ้นเขตตึกหอพักนักศึกษาที่เกิดเหตุ  อธิการบดีก็ตะคอกใส่หน้าของอาจารย์ผู้ซึ่งเป็นคนวิ่งมารายงานเรื่องนี้กับเขาทันที “ฉันบอกพวกนายหลายครั้งแล้วใช่ไหม  ว่าให้ท่องจำให้ดีๆว่าใครล่วงเกินไม่ได้!  แล้วเป็นยังไง?  ครั้งนี้โชคดีว่าเป็นซวีเฉิงเยว่  ถ้าครั้งหน้าเป็นเสี่ยวเหว่ยล่ะจะทำยังไง?  คราวนี้ล่ะมหาวิทยาลัยไปพลิกคว่ำพลิกงายแน่!!”

 

อาจารย์คนที่ถูกตะคอกรู้สึกขมขื่นในใจยิ่งนัก ‘ทำไมพวกเราต้องพยายามจำคนประเภทเสี่ยวเหว่ยด้วย? คนประเภทนั้นแสดงตัวราวกับว่ามีคำว่า ‘ฉันเป็นลูกคนรวย’  ติดอยู่บนหน้าผากอย่างงั้น  คนแบบนั้น  พวกเรายังต้องพยายามจำด้วยหรือ!!’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 11 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (11)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 11 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 11  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (11)

 

อาจารย์สาวรีบมองไปยังซูอี้อี้  เห็นหน้าผากที่บวมแดงของซูอี้อี้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน  เธอขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม “ซูอี้อี้  ใครเป็นคนผลักเธอ?”

 

ซูอี้อี้แอบปรายตามองไปยังฉีเซิงด้วยท่าทางหวาดกลัว  ก่อนเธอจะส่ายหัว  “ไม่มีค่ะ  ไม่มีใครผลักหนู  หนูล้มลงไปเอง”

 

แค่มองเพียงแวบเดียวคนที่เป็นอาจารย์ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘ปกปกความผิด’  “อย่ามาโกหก  บอกมาว่า ใครเป็นคนผลักเธอ?”

 

ซูอี้อี้ในสายตาของอาจารย์สาวคนนี้คือ  เด็กสาวแสนดีที่เข้ากับได้ทุกคน ในขณะที่เด็กสาวคู่กรณีนั้นกลับนิสัยตรงข้าม  เป็นแค่เด็กสาวที่ชอบเก็บตัวและเข้ากับสังคมไม่ได้  เธอเคยเห็นซวีเฉิงเยว่นั่งรถหรูออกไปข้างนอกหลายครั้ง  และกลับมาพร้อมกับข้าวของแบรนด์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่บ่อยครั้ง ‘เหอะ   เด็กนักเรียนแบบนี้ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว’

 

ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรที่จิตใต้สำนึกของเธอจะเอนเอียงเข้าข้างซูอี้อี้มากกว่า

 

“ไม่ใช่นะคะ  มันเป็น……….”  ซูอี้อี้ยังคงพยายามที่จะอธิบาย

 

“อี้อี้  ทำไมเธอต้องช่วยปกปิดความผิดให้ยายนี่ด้วยล่ะ?   อาจารย์คะ  หนูกับเซี่ยหนิงเป็นพยานได้  ซวีเฉิงเยว่เป็นคนที่ผลักอี้อี้คะ”

 

เซี่ยหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนเธอจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นฉีเซิงยังยืนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน  เธอจึงพยักหน้ารับคำพูดของอันอันทันที

 

“เธอชื่ออะไร?”  อาจารย์สาวมองไปยังฉีเซิง  เธอแสดงทัศนคติอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอเชื่อคำพูดของอันอัน  และท่าทางอันหวาดกลัวของซูอี้อี้อย่างสนิทใจ

 

“ซวีเฉิงเยว่” ฉีเซิงจ้องมองไปยังซูอี้อี้ด้วยสายเจือขบขัน  แววตานั่นทำให้ซูอี้อี้รู้สึกไม่สบายใจนัก  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อไตร่ตรองดูดีแล้วซูอี้อี้คิดว่าซวีเฉิงเยว่ไม่มีหลักฐานที่จะช่วยให้เธอดิ้นหลุดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้  ความกังวลของเธอจึงค่อยๆสงบลง

 

“นักศึกษาซวีเฉิงเยว่   ความผิดสำหรับการทะเลาะวิวาทกับนักศึกษาคนอื่น  จนเป็นเหตุทำให้นักศึกษาคนนั้นได้รับบาดเจ็บ โทษของเธอคือการที่จะต้องกวาดพื้นทางเดินทั้งหมดของหอพักเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์  เธอมีอะไรจะคัดค้านไหม? ”

 

“คุณเชื่อเรื่องที่พวกเธอเล่าเพียงแค่ฝ่ายเดียวหรอค่ะ?” ฉีเซิงเลิกคิ้วขึ้น ‘อาจารย์คนนี้ฟังความแค่ข้างเดียวก็จะสั่งลงโทษฉันแล้ว   เธอตั้งใจที่จะช่วยซูอี้อี้รังแกฉันชัดๆ’

 

สีหน้าของอาจารย์มืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด  เธอแค่คิดจะหาเรื่องลงโทษซวีเฉิงเยว่สักหน่อย  แต่ยายเด็กบ้านี่กลับจับไต๋เธอได้

 

“ในห้องมีพยานยืนอยู่ตั้งสองคน  เธอยังอยากจะพูดอะไรแก้ตัวอีก?  ฉันจะพูดกับเธอไว้ตรงนี้เลยนะ  ในฐานะนิสิตนักศึกษาเธอควรจะประพฤติตัวให้เหมาะสมกับคำๆนี้  ไม่ใช่มัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ  เธอคิดว่าการที่เธอทำอย่างนั้นมันจะทำให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิตหรอ?  เธอคิดว่าจากอีกามันจะเปลี่ยนไปเป็นหงส์ได้อย่างงั้นเหรอ?”

 

สีหน้าของฉีเซิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณหมายความว่าอะไร?”

 

“เธอก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเธอกำลังทำอะไรอยู่  ยังมีหน้าจะไปถามคนอื่นอีกเหรอ?”  อันอันเอ่ยเยาะ

 

ซูอี้อี้แสดงสีหน้าโศกเศร้า  แต่สายตากับทรยศ ในแววตาของเธอมันประกาศอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นผู้ชนะ ‘ต่อให้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วยังไงล่ะ?  คนเยอะขนาดนี้  พูดกันปากต่อปากไปเรื่อยๆ  ใครยังจะมาสนอีกว่าเรื่องไหนเรื่องจริง  เรื่องไหนเรื่องหลอก ชื่อเสียงของเธอได้ป่นปี้แน่!’

 

คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังมุงอยู่ด้านนอก  เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์และอันอัน  ต่างก็เริ่มพากันซุบซิบเสียงเบา

 

“สองสามวันก่อน  ฉันเพิ่งเห็นหล่อนขึ้นไปนั่งบนรถปอร์เช่  บางครั้งก็เห็นรถมาจอดรับเธอที่หน้าประตูมหาลัย  เธอคิดว่าหล่อนจะเป็นเด็กเสี่ยจริงไหมล่ะ?”

 

“ถึงฉันจะไม่เห็นกับตา  แต่ก็ได้ยินคนอื่นเมาท์เกี่ยวกับเรื่องหล่อนกันให้แซ่ด”

 

“ฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าบ้านหล่อนมีฐานะ”

 

“ถ้าหล่อนเป็นคุณหนูจริง  หล่อนจะมาอยู่หอพักทำไมล่ะ  ทำไมไม่ไปอยู่หอเอกชนข้างนอก?  อย่าไปโง่หน่อยเลยน่า  ดูซะก่อนว่าลูกคนรวยคนไหนบ้างที่ไม่มีรถขับเป็นของเอง?”

 

“หล่อน….คงไม่ได้ไปเป็นเมียน้อยของใครหรอกน่ะใช่ไหม?”

 

แน่นอนว่าอาจารย์สาว  ได้ยินทุกคำพูดที่นิสิตคนอื่นๆกำลังซุบซิบกัน  แต่เธอกลับไม่ห้ามปรามแม้แต่น้อย  ยิ่งไปกว่านั้นเธอถึงขั้นเอ่ยกับซวีเฉิงเยว่ว่า  “นิสิตซวีเฉิงเยว่  การกระทำของเธอแสดงถึงจริยธรรมอันต่ำตม  ฉันจะรายงานเรื่องนี้ต่อทางมหาวิทยาลัยให้ทางมหาวิทยาลัยลงโทษเธอตามกฎ”

 

“ถ้าหากเธอไม่อยากให้คนอื่นรู้  เธอก็ไม่ควรทำตัวอย่างนี้เสียตั้งแต่แรก”  อันอันเอ่ยสับทับด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

 

“ฉันขอคืนประโยคนั้นให้กับเธอ”  ฉีเซิงหมุนตัวและก้าวเท้ากลับไปยังโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ  เธอหยิบของชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนนั้นขึ้นมา  “ต้องขอโทษด้วยนะ  พอดีฉันเพิ่งได้ของเล่นใหม่มา  บังเอิญว่าเจ้านี่เนี่ย สามารถเก็บบันทึกภาพและเสียงได้เป็นชั่วโมงๆเสียด้วยสิ  ไป…พวกเราไปที่ห้องทำงานของท่านอธิการบดีกันเถอะ  ไปให้ท่านตัดสินว่าใครกันแน่ที่เป็นคนถูกหรือเป็นคนผิด”

 

ซูอี้อี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม  ‘หล่อนอัดสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ทั้งหมดจริงๆหรอ?  พวกเราพูดว่าเธอเป็นคนผลักฉันล้ม ทั้งๆที่อันอันเป็นคนทำ  ถ้าเธอได้พบกับท่านอธิการบดีพร้อมกับเทปนั่น  ชื่อเสียงของฉันต้องถูกทำลายจนป่นปี้แน่ๆ!!  ไม่…ฉันยอมให้เธอเอาหลักฐานไปหาท่านอธิการบดีไม่ได้!’

 

ฉีเซิงดูราวกับว่าจะตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้ว  เธอจึงสาวเท้าเดินไปที่ทางออกของห้อง “อาจารย์รีบเดินสิคะ  เราต้องรีบไปที่ห้องทำงานของท่านอธิการกันนะคะ  เมื้อกี้คุณเพิ่งจะป้ายสีฉัน แต่ฉันเชื่อว่าท่านอธิการต้องให้ความเป็นธรรมกับฉันได้แน่”

 

“เฉิงเยว่  เธออย่าทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปเลยนะ” ซูอี้อี้รีบยื้อฉีเซิงไว้

 

“เรื่องเล็กอย่างงั้นหรอ?  พวกเธอสามคนรวมหัวกันใส่ร้ายฉัน   แล้วยังจะอาจารย์คนนี้อีก  เธอป้ายความผิดให้ฉันหน้าตายเฉย  นี่หรือ…เรื่องเล็กที่เธอว่า?”

 

“เฉิงเยว่….ฉัน….”  ตอนนี้อันอันก็อยากจะจบเรื่องนี้อย่างสันติด้วยเช่นกัน  เธอคาดไม่ถึงว่าฉีเซิงจะอัดภาพเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด  เปรียบเทียบการทะเลาะตบตีกัน กับ การใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นและทำลายชื่อเสียงคนอื่น  การใส่ร้ายป้ายสีและทำลายชื่อเสียงคนอื่นดูจะร้ายแรงมากกว่า นี่อาจจะทำให้เธอโดนไล่ออกได้

 

อาจารย์สาวเองก็ลังเลด้วยเหมือนกัน  เธอไม่ได้มีหลักฐานว่าฉีเซิงเป็นเมียน้อยของใคร  แต่เธอกลับกล่าวหาฉีเซิงผู้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปแล้ว  ด้วยเหตุผลข้อนี้ก็สามารถทำให้เธอถูกไล่ออกได้แล้ว  อาจารย์สาวจึงรีบเดินไปขวางประตูทางออก

 

 

“นิสิตซวีเฉิงเยว่  คุณไม่จำเป็นต้องไปรบกวนท่านอธิการด้วยเรื่องแค่นี้ก็ได้  ในเมื่อคุณเป็นคนผลักนิสิตซูอี้อี้  ถ้าอย่างนั้นคุณก็แค่ขอโทษนิสิตซูอี้อี้เสีย  แล้วฉันจะทำเป็นลืมเรื่องทั้งหมดนี้เอง”

 

ฉีเซิงไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดกับอาจารย์ผู้ไร้ความผิดชอบอีก  เธอคว้าโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาก่อนจะกดโทรออก “ทนายหวัง  ช่วยมาที่มหาลัยของฉันหน่อย  ใช่…ที่หอพัก  รีบมาเดี๋ยวนี้”

 

ฉีเซิงวางสาย  คราวนี้แทนที่เธอจะหาทางออกจากห้อง เธอกลับดึงเก้าอี้ออกมานั่งแทน

 

ใบหน้าของอาจารย์กลายเป็นสีเขียว  ‘หล่อนถึงกลับก้าโทรเรียกทนาย!’

 

บรรดานิสิตนักศึกษาที่มุงอยู่ด้านนอกมองหน้ากันและกัน ‘โอ้…ดูเหมือนว่าเรื่องจะประหลาดเข้าไปทุกที!’

 

คนที่สามารถรักษาความสงบแล้วต่อสายหาทนายได้ทันทีขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสี่ยของเธอมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก  ก็อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ได้เป็นเด็กเสี่ยตั้งแต่แรก

 

ทนายความหวัง  มาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว  เขาแทรกตัวผ่านบรรดานิสิตหญิง  ความรู้สึกภายในใจของเขา ณ  ตอนนี้แสดงออกได้เพียง ( ̄ △  ̄;)   นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าผ่านมวลบุพผาชูช่อนับหมื่นนับแสนน่ะ

 

หลังจากที่แทรกตัวเข้ามาอย่างกล้าหาญ  ทนายความหวังก็ใช้นิ้วดันแว่นตาที่เลื่อนหลุดออกมาจากดั้งจมูกของเขาให้กลับเข้าที่  ก่อนจะเข้ามาหาฉีเซิง “คุณหนูซวี”

 

ผู้คนที่มุงอยู่ภายนอกต่างตกตะลึง  ‘มีทนายความ มาจริงๆด้วยล่ะ…..’

 

ฉีเซิงพยักหน้ารับเบาๆ  ก่อนจะส่งของที่อยู่ในมือของเธอให้กับเขา  เธอใช้น้ำเสียงเรียบๆตามปกติเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง

 

ทนายความหวังดันแว่นขึ้น  หลังจากที่คิดไม่นานเขาก็หันไปกล่าวกับอาจารย์สาวและพวกของซูอี้อี้  “นิสิตทั้งสามท่านนี้พยายามที่จะใส่ความลูกความของผมว่าเป็นคนผลักนิสิตท่านนี้จนทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ  ตามประมวลกฎหมายของสาธารรัฐประชาชนจีนได้กำหนดไว้ว่า จากการกระทำผิดในลักษณะเช่นนี้ผู้กระทำมีสิทธิ์ถูกจำคุกอย่างน้อย5 วัน หรือ อย่างมาก 10 วัน  ส่วนอาจารย์ท่านนี้ได้ทำการใส่ร้ายป้ายสีให้ลูกความของผมต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง……”

 

แน่นอนว่าพวกซูอี้อี้ไม่มีทางที่จะรู้ข้อกฎหมายดีไปกว่าทนายความ  ขณะนี้พวกเธอจึงทำได้เพียงแค่ยืนหน้าซีด  คิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

 

ระหว่างที่พวกเธอกำลังยืนฟังทนายร่ายยาวอยู่นั้น  อธิการบดีก็ปรากฏตัวขึ้นในที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว  ขนาดทนายความยังถูกเรียกตัวมาแล้ว  นับประสาอะไรกับอธิการบดี  เขาจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง?

 

“อย่ามามุงกันอยู่ตรงนี้  ออกไปซะ  กลับห้องของพวกเธอไปได้แล้ว”  เมื่อมาถึงเขาก็รีบเอ่ยปากไล่ฝูงชน ให้สลายตัวกันออกไปทันที

 

อธิการบดีผู้ซึ่งเพิ่งจะได้รับข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่  ไม่รีรอที่จะกล่าวตำหนิอาจารย์ผู้ก่อเหตุทันที  ก่อนจะไล่เธอออกต่อหน้าฉีเซิง  นอกจากนี้เขายังรีบกว่าขอโทษฉีเซิงด้วยท่าทางที่เสียใจเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยเพราะทางฝ่ายเขาเป็นฝ่ายผิด ต่อให้อธิการบดีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง  แต่ถ้ามีข่าวลือเกี่ยวกับ อาจารย์ใส่ความนิสิตนักศึกษาแพร่ออกไป ข่าวนี้ย่อมต้องส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทางมหาวิทยาลัยแน่นอน

 

ในส่วนของซูอี้อี้และพรรคพวก  อธิการบดีได้นำตัวพวกเธอออกจากห้องไปพร้อมเขา  ก่อนจะออกไปเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะต่อฉีเซิงว่าเธอจะต้องได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจกับการตัดสินใจของเขาแน่นอน

 

เพียงแค่ก้าวพ้นเขตตึกหอพักนักศึกษาที่เกิดเหตุ  อธิการบดีก็ตะคอกใส่หน้าของอาจารย์ผู้ซึ่งเป็นคนวิ่งมารายงานเรื่องนี้กับเขาทันที “ฉันบอกพวกนายหลายครั้งแล้วใช่ไหม  ว่าให้ท่องจำให้ดีๆว่าใครล่วงเกินไม่ได้!  แล้วเป็นยังไง?  ครั้งนี้โชคดีว่าเป็นซวีเฉิงเยว่  ถ้าครั้งหน้าเป็นเสี่ยวเหว่ยล่ะจะทำยังไง?  คราวนี้ล่ะมหาวิทยาลัยไปพลิกคว่ำพลิกงายแน่!!”

 

อาจารย์คนที่ถูกตะคอกรู้สึกขมขื่นในใจยิ่งนัก ‘ทำไมพวกเราต้องพยายามจำคนประเภทเสี่ยวเหว่ยด้วย? คนประเภทนั้นแสดงตัวราวกับว่ามีคำว่า ‘ฉันเป็นลูกคนรวย’  ติดอยู่บนหน้าผากอย่างงั้น  คนแบบนั้น  พวกเรายังต้องพยายามจำด้วยหรือ!!’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+