Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 14 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (14)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 14 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (14) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 14  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (14)

 

หนานกงจิ่งมาถึงหอประชุมทางด้านทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว  หลังจากที่ได้รับข้อความที่เสี่ยวเหว่ยให้คนส่งไปหาเขา ในส่วนของหลิงฮ่าวนั้น  เมื่อเขาสามารถหาทางปลีกตัวออกจากผู้คนที่เข้ามาชวนคุยได้ เขาก็พยายามตามหาซูอี้อี้ในทันที หลิงฮ่าวและหนานกงจิ่งรุดออกจากห้องโถง  ไปยังห้องรับรองของหอประชุมในทันที  เมื่อได้ยินจากบริกรคนหนึ่งว่า เห็นซูอี้อี้เดินออกไปทางด้านนั้น

 

ผู้ที่เดินตามหลังพวกเขาออกมาคือฉีเซิงและเสี่ยวเหว่ย  เสี่ยวเหว่ยลังเลเล็กน้อยว่า ตนจะตามฉีเซิงออกไปด้วยดีหรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ตามออกมา เสี่ยวเหว่ยคิดว่าหากมีใครสงสัย  เธอก็อาจจะอ้างได้ว่าเป็นเพราะว่าเธอเป็นห่วงซูอี้อี้  เลยตัดสินใจออกจากงานเลี้ยงมาช่วยหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวตามหาซูอี้อี้   ในส่วนของข้อความเมื่อเธอสั่งให้คนอื่นเป็นคนเอามือถือของซูอี้อี้มากกดส่งข้อความหาหนานกงจิ่งแทน ดังนั้นใครกันล่ะจะตามรอยสาวมาถึงเธอได้

 

เมื่อสังเกตเห็นพวกเขาเดินออกจากส่วนโถงของงานเลี้ยงแล้ว เด็กสาวเจ้าของกระเป๋าก็แสร้งว่าตัวเองเมา  แล้วให้คนของเธอประคองออกไปในส่วนของห้องรับรองเช่นกัน

 

การออกไปอย่างรีบร้อนของหลิงฮ่าวและหนานกงจิ่ง  รวมถึงคุณหนูซวีและเทพธิดาเสี่ยวเยว่  ทำให้คนบางส่วนภายในงานเลี้ยงเริ่มเกิดความสนใจ และอดอยากรู้ไม่ได้ว่าพวกเขารีบออกไปไหนกันจึงพากันเดินตามออกมาด้วย

 

หอประชุมทางด้านทิศตะวันตกแห่งนี้  มีห้องรับรองอยู่ทั้งหมดสามห้องด้วยกัน  เมื่อผู้คนในห้องโถง  รู้สึกเหนื่อย หรือ เบื่อหน่าย  พวกเขาก็สามารถที่จะออกไปพักผ่อนในห้องเหล่านี้ได้   ด้วยข้อความที่หนานกงจิ่งได้รับเป็นเพียงแค่ข้อความซึ่งระบุไว้ว่า  ซูอี้อี้อยู่ในหอประชุมแห่งนี้แต่ไม่ได้ระบุสถานที่เอาไว้  ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียง  ต้องเข้าไปสำรวจที่ละห้องแทน

 

ด้วยรูปลักษณ์ของหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าว  สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนที่กำลังใช้ห้องรับรองได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าห้องใดก็ตามที่พวกเขาบุกเข้าไปตามหาซูอี้อี้   เมื่อพวกเขาออกจากห้องนั้นมา  ก็มักจะมีผู้คนบางส่วนที่ตามพวกเขาออกมาด้วย   ซึ่งไม่แน่ว่านี่ก็อาจจะอยู่ในแผนการของเด็กสาวเจ้าของกระเป๋าคนนั้นตั้งแต่แรกด้วย  เนื่องจากเธอให้คนนำตัวของซูอี้อี้ไปอยู่ในห้องรับรองห้องสุดท้าย

 

เสียงครวญครางอย่างไร้ยางอายลอยตามลมออกมาทันที  เมื่อประตูห้องรับรองห้องสุดท้ายถูกเปิดออก เพียงเห็นฉากที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้อง  หนานกงจิ่งก็ตัวแข็งทื่อ  ยืนตะลึงอยู่ตรงทางเขาประตูห้องรับรองแห่งนั้น

 

ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าก็คือ  ภาพของซูอี้อี้กำลังนอนอยู่ใต้ร่างของชายผู้หนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสุขสม  แผ่นหลังของชายผู้นั้นตกอยู่ภายใต้การลูบไล้ด้วยมือเรียวของเธอ แม้ว่าประตูห้องจะถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง   แต่หนึ่งหญิงหนึ่งชายที่อยู่ตรงหน้าหนานกงจิ่งก็ยังคงไม่มีท่าทีจะผละออกจากกัน พวกเขายังคงดำเนินกิจกรรมเข้าจังหวะต่อไป

 

หลิงฮ่าวผู้ซึ่งยังสำรวจในห้องรับรองอีกห้องหนึ่งก็ได้ยินเสียงครางเช่นกัน  เขารีบวิ่งมายังห้องรับรองห้องสุดท้ายในทันที เขาปรี่เข้าไปในห้องด้วยความโกรธเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ไม่เพียงแต่จะผลักหนานกงจิ่งออกให้พ้นทาง เขายังเหวี่ยงชายที่อยู่บนร่างของซูอี้อี้ให้ออกไปอีกด้วย

 

“อี้อี้……”   หลิงฮ่าวเอ่ยเสียงเรียกอย่างตื่นตระหนก เขารีบโผเข้าประคองซูอี้อี้  แล้วใช้เศษเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายบนพื้นมาคลุมบนตัวเธอ แต่ด้วยฤทธิ์ของยาที่ซูอี้อี้ได้รับค่อนข้างแรง  เมื่อไม่สามารถที่จะไปถึงฝั่งฝันกับชายผู้นั้นได้ เธอจึงทำได้เพียงพร่ำเพ้อบิดตัวไปมาอย่างทรมานในอ้อมกอดของหลิงฮ่าว

 

และราวกับว่าเธอรับรู้ได้ว่าเธอตอนนี้กำลังอยู่ในอ้อมกอดของใคร  เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเครือว่า “รุ่นพี่…ฉันอยาก… ได้โปรด… รุ่นพี่… ให้ฉันเถอะนะคะ… อี้อี้อยากได้…ให้อี้อี้…อี้อี้อยากได้มัน…”

 

เสียงวอนขออันแผ่วเบาของซู่อี้อี้คล้ายจะทำให้หนานกงจิ่งฟื้นจากอาการมึนงง  เขารีบปรี่เข้าไปในห้องแล้วกระแทกประตูปิดในทันที   ไม่นานหลังจากนั้นเสียงทะเลาะต่อยตีกัน  อย่างโกลากลภายห้องในก็ดังเล็ดลอดออกมาถึงภายนอก ทั้งๆ ที่ห้องรับรองเหล่านี้ล้วนถือได้ว่าเก็บเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องได้พอสมควร  เมื่อผนังของห้องถูกบุด้วยวัสดุซับเสียงเกรดค่อนข้างดี การที่เสียงเล็ดลอดออกมาได้เช่นนี้สามารถบอกผู้คนภายนอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานการณ์ภายในหนักเบาเพียงไร

 

ฉีเซิงยืนพิงผนังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องที่เกิดเหตุนัก พลางวิเคราะห์ ว่า  ‘โอ้ สองคนนั้นคงไม่ได้คิดที่จะไปทรีซัมกับซูอี้อี้ข้างในนั่นหรอกใช่ไหม?’

 

ไม่รู้ด้วยเหตุผลประการใดแต่ความรู้สึกผิดหวังสายหนึ่งกลับก่อขึ้นในใจของเสี่ยวเหว่ย  เพียงแค่เธอเห็นท่าทางปรี่เข้าไปในห้องรับรองห้องนั้นของหนานกงจิ่ง อาจจะคล้ายดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า  แม้ความประทับใจก็สามารถสร้างได้เพียงชั่วครู่ แต่ความผิดหวังก็สามารถเกิดขึ้นได้เพียงชั่วยามเช่นกัน

 

เสี่ยวเหว่ยหันไปมองฉีเซิง และเห็นว่าดวงตาของเธอกำลังเปล่งประกาย  ราวกับว่าเจ้าหล่อนจะสามารถมองทะลุประตูบานนั้นเข้าไปได้อย่างไรอย่างนั้นล่ะ

 

“ใครอยู่ข้างในนั้นน่ะ?”

 

“ไม่รู้สิ แต่ผู้ชายคนนั้นดูคล้ายกับคุณชายจิ่งน่ะ”

 

“คล้ายเคล้ยอะไรกันยะ?  นั่นมันคุณชายจิ่งชัดๆ แล้วยังมีรุ่นพี่หลิงอีก ที่เข้าไปในห้องนั้น ผู้หญิงข้างในห้องนั้นเป็นใครกันน้า?”

 

“จะว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลซวีก็คงจะไม่ใช่ ดูนู่นสิ หล่อนยืนอยู่กับเทพธิดาเสี่ยวเหว่ยอยู่ตรงนู้นแน่ะ  สววรค์! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“ฉันไม่อยากเดาอะไรแล้ว!  ยิ่งฉันลองคิดถึงความเป็นไปได้มากเท่าไหร่  ฉันยิ่งรู้สึกอยากจะเป็นลมมากเท่านั้น!”

 

ด้วยพวกเขาเหล่านี้ล้วนอยากรู้ว่า  เด็กสาวเจ้าของเสียงครางคนนั้นคือใคร ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ต้องการที่จะผละออกจากบริเวณหน้าประตู  และถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับพวกเขา เมื่อไม่นานนักประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกสมใจ

 

หนานกงจิ่งอุ้มเด็กสาวผู้ซึ่งสวมใส่ชุดเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้อง  เนื่องจากใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นถูกปิดเอาไว้  จึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเด็กสาวในอ้อมแขนของหนานกงจิ่งคือใคร  หลิงฮ่าวก้าวตามออกมาพร้อมกับลากผู้ชายซึ่งกำลังหมดสติคนหนึ่งออกมาด้วย ชายผู้นั้นสวมกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำ สภาพของชายผู้นี้ยับเยินยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วเสียอีก  ดูน่าอนาถเป็นที่สุด

 

เพียงแค่ก้าวออกมาจากห้อง   สายตาของหนานกงจิ่งก็ตวัดไปยังฉีเซิงในทันที  แววกระหายเลือดปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเช่นเดียวกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา “ซวีเฉิงเยว่  เรื่องในวันนี้ฉันไม่มีทางให้อภัยเธอแน่!!”

 

หลิงฮ่าวก็จ้องมองตรงไปที่เธอด้วยเช่นกัน สายตาของเขาเย็นเยียบ คนที่เห็นสายตาของเขาต่างตัวสั่นได้ด้วยความหวาดกลัว

 

‘สองคนนี้น่ากลัวชะมัด!’ บรรดานิสิตที่กำลังมุงอยู่ตรงหน้าประตูต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน

 

เบื้องหน้าของฉีเซิงและเสี่ยวเหว่ยเปิดโล่งเมื่อฝูงชนต่างพากันถอยหลังกรูดอออกห่างจากพวกเธอโดยอัตโนมัติ  เสี่ยวเหว่ยเองก็อยากถอยไปอย่างผู้อื่นด้วยเช่นกัน แต่เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างของหนานกงจิ่ง เธอกลับไม่อยากถอยออกไปจากตรงนั้นเสียดื้อๆ

 

ฉีเซิงยืดหลังของเธอขึ้นก่อนจะสาวเท้าสองสามก้าวตรงไปยังหนานกงจิ่ง  “หนานกงจิ่ง นายคิดที่จะใส่ความฉันด้วยเรื่องนี้หรือ?

 

“เธอกล้าพูดไหมล่ะว่า  เธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”  ถ้าเขาไม่ได้อุ้มซูอี้อี้อยู่ตอนนี้ เขาคงอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหักคอคนตรงหน้าให้ตายๆ ไปซะ ‘ทำไมซวีเฉิงเยว่ถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้?’

 

“แล้วทำไมฉันต้องเอาอนาคตของตัวเอง  ไปแลกกับคนที่ไม่มีราคาอะไรกับชีวิตของฉันด้วยล่ะ?”

 

“มีแค่เธอที่เคยมีเรื่องกับ…คนคนนี้ ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครไปได้?” เขาคงจะใจดีกับซวีเฉิงเยว่มากเกินไป  เขาสาบานว่าหลังจากนี้เขาจะทำให้ซวีเฉิงเยว่ได้รู้จักกับคำว่าตายทั้งเป็น

 

“จากที่ฟังคุณชายจิ่งพูด คนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือคุณหนูตระกูลซวี ว่าแต่…คนที่คุณชายจิ่งอุ้มอยู่คือใครกันน่ะ? ฉันมองไม่เห็นเลย”

 

“ชุดนั่น…ผู้หญิงคนนั้นน่าจะ…น่าจะเป็นซู่อี้อี้ ฉันจำได้ว่าซูอี้อี้สวมชุดแบบนั้น” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นในกลุ่มคน ส่งผลให้เกิดเสียงฮือฮาเป็นระลอกกว้าง

 

“ซูอี้อี้เหรอ? บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก”

 

“คุณชายจิ่ง  คุณหนูซวี  ซูอี้อี้  คุณชายหลิง พวกเขาเกี่ยวข้องกันยังไงน่ะ?  ทำไมเรื่องมันซับซ้อนอะไรอย่างนี้?   อ๊า แล้วยังจะเทพธิดาเสี่ยวเหว่ยที่ยืนข้างๆ คุณหนูซวีนั่นอีก!”   เรื่องที่เสี่ยวเหว่ยชอบหนานกงจิ่งนั้นไม่ได้เป็นความลับอะไร  แต่ตอนนี้เสี่ยวเหว่ยกลับยืนอยู่กับคู่หมั้นเก่าของหนานกงจิ่ง   นั่นทำให้ผู้คนอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้คิดจะรวมหัวทำอะไรกันหรือไม่?

 

“ถ้ากล้าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเล่าให้ใครฟัง ก็อย่ามาพูดว่าฉันไร้เมตตา!” สายตาคมกริบของหนานกงจิ่งตวัดกวาดไปยังผู้คนโดยรอบ

 

บรรดานิสิตมุงทั้งหลายต่างหุบปากโดยฉับพลัน  พวกเขาต่างรู้ดีว่าในบรรดาคนในวงการเดียวกัน ตระกูลที่พอจะต่อกรกับตระกูลหนานกงได้มีเพียงตระกูลเสี่ยวและตระกูลหลิงเท่านั้น

 

“เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้แน่ซวีเฉิงเยว่”  ด้วยเพราะหนานกงจิ่งกังวลเกี่ยวกับอาการของซูอี้อี้  เขาจึงไม่กล้าที่จะเสียเวลามากไปกว่านี้  แค่การเอาคืนคนอย่างซวีเฉิงเยว่   เขาจะทำเมื่อไรก็ย่อมได้

 

หลิงฮ่าวจ้องฉีเซิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอีกครั้ง  ก่อนจะลากผู้ชายคนนั้นเดินตามหลังหนานกงจิ่งออกไป

 

ฉีเซิงแอบยกนิ้วกลางให้พวกเขาอย่างเงียบๆ  ‘ไอ้พวกบรมโง่!!’

 

เสี่ยวเหว่ยเหงื่อตก  ‘พฤติกรรมของยายนี่ดูเหมือนจะประหลาดขึ้นทุกวัน!

 

ฉีเซิงแยกกับเสี่ยวเหว่ย ก่อนที่เธอจะกลับไปพักที่หอเพียงลำพัง เซี่ยหนิงและอันอันยังไม่กลับมาที่ห้อง  ดังนั้นเธอจึงไปอาบน้ำ  ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงของเธออย่างมีความสุข

 

‘คืนนี้คนบางคน คงข่มตานอนไม่หลับ!’ คิดได้ดังนั้น ฉีเซิงก็หลับตาลงนอนด้วยอารมณ์แช่มชื่น

 

……………………………………..

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง ณ บ้านพักส่วนตัวของหลิงฮ่าว

 

เสียงน้ำไหลคละเคล้ากับเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำ หนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวต่างยืนอยู่กันคนละฝั่ง สีหน้าของพวกเขาทั่งคู่ย่ำแย่ สายตาหวั่นวิตกของพวกเขาต่างจับจ้องไปยังประตูข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

 

“อีอี้ เธออยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงแล้วนะ ทำไมเธอไม่ออกมาสักทีล่ะ?”  หลิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเคาะประตูเรียกเธอ แต่ไม่ว่าเขาจะเคาะมากสักเท่าไหร่ ซูอี้อี้ก็ยังไม่เปิดประตูหรือตอบรับเสียที  หลิงฮ่าวสบตากับหนานกงจิ่ง  ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ โทสะมากมายที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ก่อขึ้นในจิตใจของพวกเขาอย่างเงียบๆ   ส่งผลให้สีหน้าของพวกเขาดูบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

 

“ซวีเฉิงเยว่!” หนานกงจิ่งคำรามเสียงต่ำลอดไรฟัน  และใช้กำปั้นของตนชกเข้ากับผนังใกล้ๆ ผนังสีขาวสะอาดราวสีของหิมะจึงเลอะด้วยเลือดสีสดของหนานกงจิ่งในพริบตา  ส่วนหลิงฮ่าวเขาหมุนตัวกลับไปหาชายผู้ซึ่งเคยอยู่บนร่างของซูอี้อี้ เขาระบายความโกรธของตนลงกับชายผู้นั้น  ก่อนจะกลับไปอ้อนวอนขอให้ซูอี้อี้เปิดประตูออกมาอีกครั้ง   เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการพยายามพูดชักจูงเธอ  สุดท้ายการวอนขอของเขาก็เป็นผล

 

ซูอี้อี้ยืนอยู่ตรงนั้น….ตรงหน้าประตูห้องน้ำ  เผยให้เห็นรอยแดงเถือกจากการขัดถูอย่างรุนแรงบนเนื้อตัวของเธอ  เส้นผมเปียกน้ำปรกใบหน้าของเธอ   เมื่อประกอบกับนัยน์ตาแดงก่ำจากการร้องไห้  ภาพที่หนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวเห็นจึงเป็นภาพของเด็กสาวเปราะบางน่าสงสาร

 

หนานกงจิ่งอยากที่จะยื่นมือออกไปคว้าตัวของซูอี้อี้เข้ามากอด  แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นเขากลับรู้สึกลังเล  น้ำเสียงสุขสมที่  ซูอี้อี้ครางออกมาในห้องรับรองแห่งนั้นยังก้องอยู่ในหูของเขา   แต่ชายผู้ซึ่งอยู่บนร่างของเธอในความคิดของเขาในตอนนี้กลับเป็นหลิงฮ่าว   ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด ประโยคที่ฉีเซิงพูดกับเขาในวันนั้นมันยังวนอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก “ระวังดอกไม้ขาวของนาย  จะกลายเป็นดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง!”

 

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเคยละความสนใจ  ค่อยๆ ลอยเข้ามาในความคิดของเขา ระลอกแล้วระลอกเล่ารายละเอียดเหล่านั้นส่งผลให้ความสัมพันธ์ของหลิงฮ่าวและซูอี้อี้  ในสายตาของหนานกงจิ่งเริ่มดูเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยและคลุมเครือเหลือเกิน

 

เมื่อเห็นท่าทางลังเลของหนานกงจิ่ง   น้ำตาของซูอี้อี้ก็ไหลพรั่งพรูออกมาในทันที   ตอนนี้หัวใจของเธอตกอยู่ในห้วงแห่งความเจ็บปวด ขุ่นมัว และเกลียดชัง

 

หลิงฮ่าวใช้สายตาเย็นชาของเขาทิ่มแทงหนานกงจิ่ง  ก่อนจะเป็นฝ่ายอุ้มซูอี้อี้ไปยังเตียงนอนเพื่อให้เธอได้พักผ่อน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 14 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (14)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 14 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (14) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 14  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (14)

 

หนานกงจิ่งมาถึงหอประชุมทางด้านทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว  หลังจากที่ได้รับข้อความที่เสี่ยวเหว่ยให้คนส่งไปหาเขา ในส่วนของหลิงฮ่าวนั้น  เมื่อเขาสามารถหาทางปลีกตัวออกจากผู้คนที่เข้ามาชวนคุยได้ เขาก็พยายามตามหาซูอี้อี้ในทันที หลิงฮ่าวและหนานกงจิ่งรุดออกจากห้องโถง  ไปยังห้องรับรองของหอประชุมในทันที  เมื่อได้ยินจากบริกรคนหนึ่งว่า เห็นซูอี้อี้เดินออกไปทางด้านนั้น

 

ผู้ที่เดินตามหลังพวกเขาออกมาคือฉีเซิงและเสี่ยวเหว่ย  เสี่ยวเหว่ยลังเลเล็กน้อยว่า ตนจะตามฉีเซิงออกไปด้วยดีหรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ตามออกมา เสี่ยวเหว่ยคิดว่าหากมีใครสงสัย  เธอก็อาจจะอ้างได้ว่าเป็นเพราะว่าเธอเป็นห่วงซูอี้อี้  เลยตัดสินใจออกจากงานเลี้ยงมาช่วยหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวตามหาซูอี้อี้   ในส่วนของข้อความเมื่อเธอสั่งให้คนอื่นเป็นคนเอามือถือของซูอี้อี้มากกดส่งข้อความหาหนานกงจิ่งแทน ดังนั้นใครกันล่ะจะตามรอยสาวมาถึงเธอได้

 

เมื่อสังเกตเห็นพวกเขาเดินออกจากส่วนโถงของงานเลี้ยงแล้ว เด็กสาวเจ้าของกระเป๋าก็แสร้งว่าตัวเองเมา  แล้วให้คนของเธอประคองออกไปในส่วนของห้องรับรองเช่นกัน

 

การออกไปอย่างรีบร้อนของหลิงฮ่าวและหนานกงจิ่ง  รวมถึงคุณหนูซวีและเทพธิดาเสี่ยวเยว่  ทำให้คนบางส่วนภายในงานเลี้ยงเริ่มเกิดความสนใจ และอดอยากรู้ไม่ได้ว่าพวกเขารีบออกไปไหนกันจึงพากันเดินตามออกมาด้วย

 

หอประชุมทางด้านทิศตะวันตกแห่งนี้  มีห้องรับรองอยู่ทั้งหมดสามห้องด้วยกัน  เมื่อผู้คนในห้องโถง  รู้สึกเหนื่อย หรือ เบื่อหน่าย  พวกเขาก็สามารถที่จะออกไปพักผ่อนในห้องเหล่านี้ได้   ด้วยข้อความที่หนานกงจิ่งได้รับเป็นเพียงแค่ข้อความซึ่งระบุไว้ว่า  ซูอี้อี้อยู่ในหอประชุมแห่งนี้แต่ไม่ได้ระบุสถานที่เอาไว้  ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียง  ต้องเข้าไปสำรวจที่ละห้องแทน

 

ด้วยรูปลักษณ์ของหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าว  สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนที่กำลังใช้ห้องรับรองได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าห้องใดก็ตามที่พวกเขาบุกเข้าไปตามหาซูอี้อี้   เมื่อพวกเขาออกจากห้องนั้นมา  ก็มักจะมีผู้คนบางส่วนที่ตามพวกเขาออกมาด้วย   ซึ่งไม่แน่ว่านี่ก็อาจจะอยู่ในแผนการของเด็กสาวเจ้าของกระเป๋าคนนั้นตั้งแต่แรกด้วย  เนื่องจากเธอให้คนนำตัวของซูอี้อี้ไปอยู่ในห้องรับรองห้องสุดท้าย

 

เสียงครวญครางอย่างไร้ยางอายลอยตามลมออกมาทันที  เมื่อประตูห้องรับรองห้องสุดท้ายถูกเปิดออก เพียงเห็นฉากที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้อง  หนานกงจิ่งก็ตัวแข็งทื่อ  ยืนตะลึงอยู่ตรงทางเขาประตูห้องรับรองแห่งนั้น

 

ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าก็คือ  ภาพของซูอี้อี้กำลังนอนอยู่ใต้ร่างของชายผู้หนึ่ง ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสุขสม  แผ่นหลังของชายผู้นั้นตกอยู่ภายใต้การลูบไล้ด้วยมือเรียวของเธอ แม้ว่าประตูห้องจะถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง   แต่หนึ่งหญิงหนึ่งชายที่อยู่ตรงหน้าหนานกงจิ่งก็ยังคงไม่มีท่าทีจะผละออกจากกัน พวกเขายังคงดำเนินกิจกรรมเข้าจังหวะต่อไป

 

หลิงฮ่าวผู้ซึ่งยังสำรวจในห้องรับรองอีกห้องหนึ่งก็ได้ยินเสียงครางเช่นกัน  เขารีบวิ่งมายังห้องรับรองห้องสุดท้ายในทันที เขาปรี่เข้าไปในห้องด้วยความโกรธเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ไม่เพียงแต่จะผลักหนานกงจิ่งออกให้พ้นทาง เขายังเหวี่ยงชายที่อยู่บนร่างของซูอี้อี้ให้ออกไปอีกด้วย

 

“อี้อี้……”   หลิงฮ่าวเอ่ยเสียงเรียกอย่างตื่นตระหนก เขารีบโผเข้าประคองซูอี้อี้  แล้วใช้เศษเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายบนพื้นมาคลุมบนตัวเธอ แต่ด้วยฤทธิ์ของยาที่ซูอี้อี้ได้รับค่อนข้างแรง  เมื่อไม่สามารถที่จะไปถึงฝั่งฝันกับชายผู้นั้นได้ เธอจึงทำได้เพียงพร่ำเพ้อบิดตัวไปมาอย่างทรมานในอ้อมกอดของหลิงฮ่าว

 

และราวกับว่าเธอรับรู้ได้ว่าเธอตอนนี้กำลังอยู่ในอ้อมกอดของใคร  เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเครือว่า “รุ่นพี่…ฉันอยาก… ได้โปรด… รุ่นพี่… ให้ฉันเถอะนะคะ… อี้อี้อยากได้…ให้อี้อี้…อี้อี้อยากได้มัน…”

 

เสียงวอนขออันแผ่วเบาของซู่อี้อี้คล้ายจะทำให้หนานกงจิ่งฟื้นจากอาการมึนงง  เขารีบปรี่เข้าไปในห้องแล้วกระแทกประตูปิดในทันที   ไม่นานหลังจากนั้นเสียงทะเลาะต่อยตีกัน  อย่างโกลากลภายห้องในก็ดังเล็ดลอดออกมาถึงภายนอก ทั้งๆ ที่ห้องรับรองเหล่านี้ล้วนถือได้ว่าเก็บเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องได้พอสมควร  เมื่อผนังของห้องถูกบุด้วยวัสดุซับเสียงเกรดค่อนข้างดี การที่เสียงเล็ดลอดออกมาได้เช่นนี้สามารถบอกผู้คนภายนอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานการณ์ภายในหนักเบาเพียงไร

 

ฉีเซิงยืนพิงผนังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องที่เกิดเหตุนัก พลางวิเคราะห์ ว่า  ‘โอ้ สองคนนั้นคงไม่ได้คิดที่จะไปทรีซัมกับซูอี้อี้ข้างในนั่นหรอกใช่ไหม?’

 

ไม่รู้ด้วยเหตุผลประการใดแต่ความรู้สึกผิดหวังสายหนึ่งกลับก่อขึ้นในใจของเสี่ยวเหว่ย  เพียงแค่เธอเห็นท่าทางปรี่เข้าไปในห้องรับรองห้องนั้นของหนานกงจิ่ง อาจจะคล้ายดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า  แม้ความประทับใจก็สามารถสร้างได้เพียงชั่วครู่ แต่ความผิดหวังก็สามารถเกิดขึ้นได้เพียงชั่วยามเช่นกัน

 

เสี่ยวเหว่ยหันไปมองฉีเซิง และเห็นว่าดวงตาของเธอกำลังเปล่งประกาย  ราวกับว่าเจ้าหล่อนจะสามารถมองทะลุประตูบานนั้นเข้าไปได้อย่างไรอย่างนั้นล่ะ

 

“ใครอยู่ข้างในนั้นน่ะ?”

 

“ไม่รู้สิ แต่ผู้ชายคนนั้นดูคล้ายกับคุณชายจิ่งน่ะ”

 

“คล้ายเคล้ยอะไรกันยะ?  นั่นมันคุณชายจิ่งชัดๆ แล้วยังมีรุ่นพี่หลิงอีก ที่เข้าไปในห้องนั้น ผู้หญิงข้างในห้องนั้นเป็นใครกันน้า?”

 

“จะว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลซวีก็คงจะไม่ใช่ ดูนู่นสิ หล่อนยืนอยู่กับเทพธิดาเสี่ยวเหว่ยอยู่ตรงนู้นแน่ะ  สววรค์! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“ฉันไม่อยากเดาอะไรแล้ว!  ยิ่งฉันลองคิดถึงความเป็นไปได้มากเท่าไหร่  ฉันยิ่งรู้สึกอยากจะเป็นลมมากเท่านั้น!”

 

ด้วยพวกเขาเหล่านี้ล้วนอยากรู้ว่า  เด็กสาวเจ้าของเสียงครางคนนั้นคือใคร ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ต้องการที่จะผละออกจากบริเวณหน้าประตู  และถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับพวกเขา เมื่อไม่นานนักประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกสมใจ

 

หนานกงจิ่งอุ้มเด็กสาวผู้ซึ่งสวมใส่ชุดเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้อง  เนื่องจากใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นถูกปิดเอาไว้  จึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเด็กสาวในอ้อมแขนของหนานกงจิ่งคือใคร  หลิงฮ่าวก้าวตามออกมาพร้อมกับลากผู้ชายซึ่งกำลังหมดสติคนหนึ่งออกมาด้วย ชายผู้นั้นสวมกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำ สภาพของชายผู้นี้ยับเยินยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วเสียอีก  ดูน่าอนาถเป็นที่สุด

 

เพียงแค่ก้าวออกมาจากห้อง   สายตาของหนานกงจิ่งก็ตวัดไปยังฉีเซิงในทันที  แววกระหายเลือดปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเช่นเดียวกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา “ซวีเฉิงเยว่  เรื่องในวันนี้ฉันไม่มีทางให้อภัยเธอแน่!!”

 

หลิงฮ่าวก็จ้องมองตรงไปที่เธอด้วยเช่นกัน สายตาของเขาเย็นเยียบ คนที่เห็นสายตาของเขาต่างตัวสั่นได้ด้วยความหวาดกลัว

 

‘สองคนนี้น่ากลัวชะมัด!’ บรรดานิสิตที่กำลังมุงอยู่ตรงหน้าประตูต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน

 

เบื้องหน้าของฉีเซิงและเสี่ยวเหว่ยเปิดโล่งเมื่อฝูงชนต่างพากันถอยหลังกรูดอออกห่างจากพวกเธอโดยอัตโนมัติ  เสี่ยวเหว่ยเองก็อยากถอยไปอย่างผู้อื่นด้วยเช่นกัน แต่เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างของหนานกงจิ่ง เธอกลับไม่อยากถอยออกไปจากตรงนั้นเสียดื้อๆ

 

ฉีเซิงยืดหลังของเธอขึ้นก่อนจะสาวเท้าสองสามก้าวตรงไปยังหนานกงจิ่ง  “หนานกงจิ่ง นายคิดที่จะใส่ความฉันด้วยเรื่องนี้หรือ?

 

“เธอกล้าพูดไหมล่ะว่า  เธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”  ถ้าเขาไม่ได้อุ้มซูอี้อี้อยู่ตอนนี้ เขาคงอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหักคอคนตรงหน้าให้ตายๆ ไปซะ ‘ทำไมซวีเฉิงเยว่ถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้?’

 

“แล้วทำไมฉันต้องเอาอนาคตของตัวเอง  ไปแลกกับคนที่ไม่มีราคาอะไรกับชีวิตของฉันด้วยล่ะ?”

 

“มีแค่เธอที่เคยมีเรื่องกับ…คนคนนี้ ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครไปได้?” เขาคงจะใจดีกับซวีเฉิงเยว่มากเกินไป  เขาสาบานว่าหลังจากนี้เขาจะทำให้ซวีเฉิงเยว่ได้รู้จักกับคำว่าตายทั้งเป็น

 

“จากที่ฟังคุณชายจิ่งพูด คนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือคุณหนูตระกูลซวี ว่าแต่…คนที่คุณชายจิ่งอุ้มอยู่คือใครกันน่ะ? ฉันมองไม่เห็นเลย”

 

“ชุดนั่น…ผู้หญิงคนนั้นน่าจะ…น่าจะเป็นซู่อี้อี้ ฉันจำได้ว่าซูอี้อี้สวมชุดแบบนั้น” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นในกลุ่มคน ส่งผลให้เกิดเสียงฮือฮาเป็นระลอกกว้าง

 

“ซูอี้อี้เหรอ? บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก”

 

“คุณชายจิ่ง  คุณหนูซวี  ซูอี้อี้  คุณชายหลิง พวกเขาเกี่ยวข้องกันยังไงน่ะ?  ทำไมเรื่องมันซับซ้อนอะไรอย่างนี้?   อ๊า แล้วยังจะเทพธิดาเสี่ยวเหว่ยที่ยืนข้างๆ คุณหนูซวีนั่นอีก!”   เรื่องที่เสี่ยวเหว่ยชอบหนานกงจิ่งนั้นไม่ได้เป็นความลับอะไร  แต่ตอนนี้เสี่ยวเหว่ยกลับยืนอยู่กับคู่หมั้นเก่าของหนานกงจิ่ง   นั่นทำให้ผู้คนอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้คิดจะรวมหัวทำอะไรกันหรือไม่?

 

“ถ้ากล้าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเล่าให้ใครฟัง ก็อย่ามาพูดว่าฉันไร้เมตตา!” สายตาคมกริบของหนานกงจิ่งตวัดกวาดไปยังผู้คนโดยรอบ

 

บรรดานิสิตมุงทั้งหลายต่างหุบปากโดยฉับพลัน  พวกเขาต่างรู้ดีว่าในบรรดาคนในวงการเดียวกัน ตระกูลที่พอจะต่อกรกับตระกูลหนานกงได้มีเพียงตระกูลเสี่ยวและตระกูลหลิงเท่านั้น

 

“เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้แน่ซวีเฉิงเยว่”  ด้วยเพราะหนานกงจิ่งกังวลเกี่ยวกับอาการของซูอี้อี้  เขาจึงไม่กล้าที่จะเสียเวลามากไปกว่านี้  แค่การเอาคืนคนอย่างซวีเฉิงเยว่   เขาจะทำเมื่อไรก็ย่อมได้

 

หลิงฮ่าวจ้องฉีเซิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอีกครั้ง  ก่อนจะลากผู้ชายคนนั้นเดินตามหลังหนานกงจิ่งออกไป

 

ฉีเซิงแอบยกนิ้วกลางให้พวกเขาอย่างเงียบๆ  ‘ไอ้พวกบรมโง่!!’

 

เสี่ยวเหว่ยเหงื่อตก  ‘พฤติกรรมของยายนี่ดูเหมือนจะประหลาดขึ้นทุกวัน!

 

ฉีเซิงแยกกับเสี่ยวเหว่ย ก่อนที่เธอจะกลับไปพักที่หอเพียงลำพัง เซี่ยหนิงและอันอันยังไม่กลับมาที่ห้อง  ดังนั้นเธอจึงไปอาบน้ำ  ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงของเธออย่างมีความสุข

 

‘คืนนี้คนบางคน คงข่มตานอนไม่หลับ!’ คิดได้ดังนั้น ฉีเซิงก็หลับตาลงนอนด้วยอารมณ์แช่มชื่น

 

……………………………………..

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง ณ บ้านพักส่วนตัวของหลิงฮ่าว

 

เสียงน้ำไหลคละเคล้ากับเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำ หนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวต่างยืนอยู่กันคนละฝั่ง สีหน้าของพวกเขาทั่งคู่ย่ำแย่ สายตาหวั่นวิตกของพวกเขาต่างจับจ้องไปยังประตูข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

 

“อีอี้ เธออยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงแล้วนะ ทำไมเธอไม่ออกมาสักทีล่ะ?”  หลิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเคาะประตูเรียกเธอ แต่ไม่ว่าเขาจะเคาะมากสักเท่าไหร่ ซูอี้อี้ก็ยังไม่เปิดประตูหรือตอบรับเสียที  หลิงฮ่าวสบตากับหนานกงจิ่ง  ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ โทสะมากมายที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ก่อขึ้นในจิตใจของพวกเขาอย่างเงียบๆ   ส่งผลให้สีหน้าของพวกเขาดูบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

 

“ซวีเฉิงเยว่!” หนานกงจิ่งคำรามเสียงต่ำลอดไรฟัน  และใช้กำปั้นของตนชกเข้ากับผนังใกล้ๆ ผนังสีขาวสะอาดราวสีของหิมะจึงเลอะด้วยเลือดสีสดของหนานกงจิ่งในพริบตา  ส่วนหลิงฮ่าวเขาหมุนตัวกลับไปหาชายผู้ซึ่งเคยอยู่บนร่างของซูอี้อี้ เขาระบายความโกรธของตนลงกับชายผู้นั้น  ก่อนจะกลับไปอ้อนวอนขอให้ซูอี้อี้เปิดประตูออกมาอีกครั้ง   เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการพยายามพูดชักจูงเธอ  สุดท้ายการวอนขอของเขาก็เป็นผล

 

ซูอี้อี้ยืนอยู่ตรงนั้น….ตรงหน้าประตูห้องน้ำ  เผยให้เห็นรอยแดงเถือกจากการขัดถูอย่างรุนแรงบนเนื้อตัวของเธอ  เส้นผมเปียกน้ำปรกใบหน้าของเธอ   เมื่อประกอบกับนัยน์ตาแดงก่ำจากการร้องไห้  ภาพที่หนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวเห็นจึงเป็นภาพของเด็กสาวเปราะบางน่าสงสาร

 

หนานกงจิ่งอยากที่จะยื่นมือออกไปคว้าตัวของซูอี้อี้เข้ามากอด  แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นเขากลับรู้สึกลังเล  น้ำเสียงสุขสมที่  ซูอี้อี้ครางออกมาในห้องรับรองแห่งนั้นยังก้องอยู่ในหูของเขา   แต่ชายผู้ซึ่งอยู่บนร่างของเธอในความคิดของเขาในตอนนี้กลับเป็นหลิงฮ่าว   ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด ประโยคที่ฉีเซิงพูดกับเขาในวันนั้นมันยังวนอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก “ระวังดอกไม้ขาวของนาย  จะกลายเป็นดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง!”

 

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเคยละความสนใจ  ค่อยๆ ลอยเข้ามาในความคิดของเขา ระลอกแล้วระลอกเล่ารายละเอียดเหล่านั้นส่งผลให้ความสัมพันธ์ของหลิงฮ่าวและซูอี้อี้  ในสายตาของหนานกงจิ่งเริ่มดูเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยและคลุมเครือเหลือเกิน

 

เมื่อเห็นท่าทางลังเลของหนานกงจิ่ง   น้ำตาของซูอี้อี้ก็ไหลพรั่งพรูออกมาในทันที   ตอนนี้หัวใจของเธอตกอยู่ในห้วงแห่งความเจ็บปวด ขุ่นมัว และเกลียดชัง

 

หลิงฮ่าวใช้สายตาเย็นชาของเขาทิ่มแทงหนานกงจิ่ง  ก่อนจะเป็นฝ่ายอุ้มซูอี้อี้ไปยังเตียงนอนเพื่อให้เธอได้พักผ่อน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+