Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15)

 

เรื่องที่เกิดขึ้น ณ หอประชุมทิศตะวันตกในคืนงานบอลในที่สุดก็ถูกแพร่ออกมาภายนอก  แม้ว่าหนานกงจิ่งจะข่มขู่ผู้เห็นเหตุการณ์ไปแล้วก็ตาม และเป็นที่แน่ชัดว่าหนานกงจิ่งย่อมไม่สามารถควานหาตัวคนปากสว่างเจอ  เพราะในวันงานมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งนอกจากผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว  ก็ยังมีพนักงานเสิร์ฟที่ถูกจ้างชั่วคราวรวมอยู่ด้วย

 

หากว่าเรื่องคราวก่อนได้ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้อี้ด่างพร้อยแล้ว   เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ถือว่า ได้ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้อี้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นเลยทีเดียว

 

อันที่จริงฉีเซิงก็คะเนเอาไว้ว่าหนานกงจิ่งคงต้องปรี่มาหาเรื่องเธอเป็นแน่   แต่เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะถึงกับกล้าลงมือลักพาตัวเธอ

 

“หนานกงจิ่ง ฉันคิดว่านายคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ นั่นล่ะ”   ฉีเซิงนั่งอย่างสงบอยู่ตรงกลาง ระหว่างชายร่างใหญ่กล้ามล่ำสองคน   สีหน้าของเธอยังแสดงถึงความใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว   มุมปากของเธอเหยียดขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา

 

หนานกงจิ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ   ท่าทางอันเหนื่อยล้าที่แสดงออก  ทำให้ใบหน้าของเขาดูราวกับว่ามีอายุเพิ่มขึ้นไปอีกสองถึงสามปี

 

หนานกงจิ่งไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกหวาดกลัว ตื่นตระหนก กังวล  หรือแม้แต่…ความรู้สึกรักจากผู้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย   สิ่งที่เธอแสดงออกมีแต่เพียงความนิ่งสงบเท่านั้น

 

‘ซวีเฉิงเยว่ที่เขาเคยรู้จักไม่ควรที่จะมีท่าทางแบบนี้   ที่สำคัญไปกว่านั้น…เธอไม่ควรที่จะได้อยู่อย่างสงบสุข’ หนานกงจิ่งคิดอย่างเกรี้ยวกราด

 

“ฉันจะให้เธอได้ลิ้มลองความเจ็บปวดแบบที่อี้อี้เคยได้รับ   แต่เธอจะต้องทรมานกว่าอี้อี้เป็นร้อย..…ไม่สิ คนอย่างเธอต้องทรมานกว่าอี้อี้เป็นพันเท่าถึงจะสาสม” หนานกงจิ่งว่าก่อนจะเบนสายตาออกจากใบหน้าของเธอ   เขาเกลียดท่าทางเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนใดๆที่แสดงอยู่บนใบหน้าของเธอ  เขาเกลียดที่เธอทำราวกับเขาไม่อยู่ในสายตาของเธอ    สิ่งที่เขาต้องการอยากจะเห็นคือ  ภาพของเธอที่คุกเข่าอ้อนวอนร้องขอความเมตตาและพร่ำบอกขอโทษซูอี้อี้

 

“การที่ซูอี้อี้ทุกข์ทรมานแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?”

 

 ‘ไอ้คนงี่เง่า สมองหมู !’

 

“เธอกล้าสาบานไหมล่ะ   ว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ นั่น?”  แม้ว่าเขาจะตามสืบจนรู้ว่าใครคือ คนที่วางยาในเครื่องดื่มของซูอี้อี้   แต่เขาก็ยังปฏิเสธความจริงข้อนั้น  และไม่ว่าอย่างไร  เขาก็ยังคงไม่เชื่อว่าซวีเฉิงเยว่จะไม่มีส่วนรู้เห็น ‘คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องเป็นซวีเฉิงเยว่แน่ๆ  มีแค่เธอที่เกลียดอี้อี้มากพอ  ที่จะทำลายชีวิตของอี้อี้ให้พังย่อยยับ”

 

ฉีเซิงผลักชายกล้ามโตคนหนึ่งออกไป   เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เธอนั่งได้อย่างสบายมากขึ้น  “ถ้าฉันเป็นคนบงการจริงๆ  ฉันไม่มีทางให้เรื่องมันจบแค่นั้นแน่”

 

‘แล้วไง? ซวีเฉิงเยว่ทำอะไรผิด?   ในเนื้อเรื่องเดิม  ทั้งๆ ที่ซูอี้อี้ก็รู้อยู่แก่ใจว่าในเครื่องดื่มแก้วนั้นมียา  แต่เจ้าหล่อนยังเลือกที่จะเอาแก้วนั้นมาสลับให้กับซวีเฉิงเยว่   ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังโทรเรียกหนานกงจิ่งมาอีก   ตอนนี้สิ่งที่ฉันทำก็แค่คืนทุกอย่างกลับไปให้หล่อน   ฉันยังไม่ได้เริ่มทำอะไรหล่อนเลยด้วยซ้ำ’

 

“ทำไมเธอถึงโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้?!”   จู่ๆ หนานกงจิ่งก็หันกลับมาจ้องหน้าเธอ  กลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่กระจายรอบตัวเขา

 

“ขอบคุณสำหรับคำชม  แต่นายไม่ได้เป็นคนแรกที่พูดอย่างนี้กับฉัน”

 

“ไร้เหตุผลสิ้นดี”

 

‘เฮ้!   ใครกันแน่ที่ไร้เหตุผลก่อน!  คุณพระเอก…ตรรกะในสมองของนายนี่มันช่าง…แปลกประหลาดเสียจริง   ช่างเถอะ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว   พูดกับนายไปก็เสียเวลาเปล่า   คอยดูเถอะ   สักวันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะตรรกะพวกนี้’

 

อาจเพราะเขาคิดว่าตัวเธอไม่สามารถที่จะก่ออันตรายใดๆ ได้ หนานกงจิ่งจึงไม่ได้สั่งให้คนของเขามัดเธอเอาไว้

 

เวลาล่วงเลยมาสักพักที่เธอถูกคุมตัวอยู่ในรถ   พื้นถนนมีความเป็นหลุมเป็นบ่อมากขึ้นมากขึ้นจนกระทั่ง  รถมุ่งหน้าขึ้นเนินและจอดลงตรงหน้าบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งในหุบเขา   ฉีเซิงถูกลากลงจากรถ   หนานกงจิ่งสั่งให้คนของเขาขังเธอไว้ในห้อง  ห้องหนึ่งบนชั้นสอง และครั้งนี้เธอถูกมัดไม้กับเก้าอี้

 

[โฮสต์ คุณยั่วโมโหหนานกงจิ่งทำไม?]

 

ฉีเซิงบิดตัวของเธอไปมา  ทำให้เชือกที่พันธนาการเธออยู่คลายออกอย่างรวดเร็ว

 

[……] ‘ฉันจำไม่ได้ว่าเคยให้ความสามารถนี้กับโฮสต์!’

 

 

“เพื่อจะได้มีเหตุผลดีๆ มาใช้ทรมานหมอนั่นตามใจชอบไง”  ฉีเซิงตอบพลางโยนเชือกลงบนพื้น  ก่อนจะนวดๆ ถูๆ รอยแดงบนแขนของเธอ

 

[…การปะทะกับพระเอกนางเอกของโลกไม่ได้บรรจุอยู่ในภารกิจของคุณ]  เนื่องจากนี่เป็นโลกภารกิจโลกแรกของเธอ   ระบบจึงเลือกโลกที่มีภารกิจง่ายๆ เพื่อให้โฮสต์ได้ทำความคุ้นเคยกับงานก่อน

 

 

“แล้วไง?   ไม่ได้เป็นภารกิจแต่ฉันไม่ชอบขี้หน้าพวกเขานิ”   ฉีเซิงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากที่ไหนสักที่   เธอไถนิ้วลงบนหน้าจอไม่กี่ครั้งก่อนจะสอดมันลงในกระเป๋ากางเกงของเธอ

 

 

สำหรับฉีเซิง   คนพวกนี้เป็นเพียงแค่ตัวละครในเกมไม่มีชีวิต   ส่วนเธอคือผู้เล่น   ดังนั้นความสุขของเธอย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด   ซึ่งกว่าเจ้าระบบจะสังเกตเห็นความคิดที่มีปัญหานี้ของเธอ  มันก็สายเกินไปเสียแล้ว  แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในภายหลัง

 

ในห้องมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง   ฉีเซิงมองออกไปข้างนอก   เธอเห็นคนสองคนยืนเฝ้าอยู่ในสนามหญ้าข้างล่าง  ฉีเซิงหยุดพินิจพิเคราะห์ถึงทางหนีที่ดีสุด   ในระหว่างที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น   เธอก็เห็นรถคุ้นตาคันหนึ่งปรากฏขึ้นภายนอกรั้วบ้าน

 

‘!!! เจ้าวิตถารฉู่ถางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?’

 

ฉู่ถางนั่งอยู่ในรถ  สายตาของเขามองออกมานอกรถ  เขามองตรงมายังหน้าต่างชั้นสองของบ้านพักตากอากาศที่ซึ่งฉีเซิงถูกคุมตัวอยู่   ฉีเซิงชะงัก   แม้ว่าหน้าต่างจะเป็นสีเข้มแต่เธอกลับรู้สึกราวกับว่าสายตาของฉู่ถางกำลังจับจ้องมายังเธอ  แต่อย่างไรก็ตามรถคันนั้นก็ขับผ่านรั้วไป  โดยไม่แม้แต่จะผ่อนความเร็วลง

 

จากจุดที่ฉีเซิงยืนอยู่   เธอสามารถมองเห็นบ้านพักตากอากาศหลังอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปได้   บ้านพักในหุบเขาเหล่านี้นอกจากจะถูกใช้พักผ่อนตากอากาศแล้ว   บ่อยครั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่เจรจาต่อรองทางธุรกิจ   ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องประหลาดที่ฉู่ถางจะมาที่นี่   เพียงฉีเซิงระลึกได้ถึงเหตุผลข้อนี้เธอก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก   เธอปลอบใจตัวเองด้วยการย้ำกับตัวเองว่ามันเป็นเเค่เรื่องบังเอิญ…บังเอิญ…และบังเอิญ

 

รถของฉู่ถางเคลื่อนเข้าไปยังบ้านพักตากอากาศสีขาวหลังหนึ่ง   เมื่อรถของเขาผ่านเข้าไป บอดี้การ์ดหลายก็คนกรูกันออกมาจากบ้านพักก่อนจะยืนแถวตรง  เรียงเป็นสองฝั่งเพื่อรอต้อนรับเขาอย่างเคารพ   ผู้ช่วยของฉู่ถางลงมาเป็นคนแรกเพื่อเปิดประตูรถให้กับฉู่ถาง

 

ฉู่ถางก้าวลงมา ราศีนายท่านผู้ร่ำรวยยังคงแผ่ออกมาจากตัวของเขา   ท่ายืนสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงแม้ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นท่วงท่าที่สง่างาม   แต่เมื่อฉู่ถางเป็นผู้กระทำเขากลับดูสง่างามได้กับท่าทางเช่นนั้น

 

 

“นายท่าน   เราสามารถยืนยันจุดที่คุณหนูซวีอยู่ได้แล้วครับ”  ผู้ช่วยรับแท็บเลตมาจากหนึ่งในบอดี้การ์ด  หน้าจอของมันแสดงแบบจำลองบ้านพักตากอากาศหลังที่หนานกงจิ่ง  กำลังขังฉีเซิงไว้ในรูปแบบสามมิติ   จุดสีแดงจุดหนึ่งปรากฏอยู่บนชั้นสองของแบบจำลองนั้น

 

ฉู่ถางปรายตามองแบบจำลองก่อนยกยิ้ม  “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น  เฝ้าระวังอยู่ข้างนอกเพื่อให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย”

 

‘ไม่ใช่ว่าเราต้องรีบบุกเข้าไปช่วยเธอหรอกหรือ?  แล้วหลังจากนั้นด้วยความซาบซึ้ง   คุณหนูซวีก็จะได้ตอบแทนนายท่านด้วยร่างกายของเธออย่างเต็มใจ’  ผู้ช่วยของฉู่ถางสงสัย  ‘ความคิดของนายท่านนี่คาดเดาได้ยากขึ้นทุกวัน’

 

ในสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถที่จะเข้าใจความคิดของฉู่ถางได้ ผู้ช่วยทำได้เพียงทำตามคำสั่งของฉู่ถางอย่างเคร่งครัด  เขากระจายคำสั่งของฉู่ถางคำต่อคำไปยังบอดี้การ์ดรอบนอก   เพื่อให้แน่ใจว่าคุณหนูตระกูลซวีจะปลอดภัย ‘กว่านายท่านฉู่จะสนใจผู้หญิงสักคนไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ดังนั้นคุณหนูซวีจะตายไม่ได้!’

 

ด้วยเพราะกลัวว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจนทำให้แผนของพวกเขาคลาดเคลื่อน   ผู้ช่วยของฉู่ถางจึงขึ้นเป็นผู้ควบคุมทีมด้วยตนเอง จนเวลาพลบค่ำ  รถคันหนึ่งเคลื่อนเข้าไปในบ้านพักตากอากาศหลังนั้น  เพียงเห็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนก้าวลงมาจากรถคันนั้น   ผู้ช่วยก็ระลึกได้ว่าชายผู้ซึ่งเพิ่งมาถึงคือคุณชายเล็กตระกูลหลิง ‘น่าสงสารอะไรอย่างนี้ แตะต้องสมบะ.. เพ้ย! คนสิคน แตะต้องคนของนายท่านฉู่   คุณชายตระกูลหลิง  คุณมีประกันชีวิตแล้วใช่ไหม?’

 

“ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนั้นมาซะ”  ผู้ช่วยสั่งบอดี้การ์ดข้างตัวเขาก่อนจะแตะลงบนหน้าจอของแท็บเล็ต   ห้องที่ฉีเซิงถูกขังอยู่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอในทันที   และราวกับเธอจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง    เธอจึงจ้องเขม็งตรงกลับมายังเขา…หมายถึงเธอมองตรงมายังกล้องนั่นล่ะ

 

ฉีเซิงมองออกไปยังนอกหน้าต่างชั่วขณะก่อนจะเบนสายตากลับมายังในห้อง  ไม่นานนักหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก

 

เพียงสังเกตเห็นฉีเซิงยืนกอดอกอยู่ในห้อง   หนานกงจิ่งก็ตวัดขาเตะชายร่างยักษ์ข้างๆตัวเขาทันที  “ฉันสั่งให้พวกแกมัดเธอไว้  แล้วนี่อะไร?”

 

ชายผู้นั้นตกอยู่ในความงุนงงและรู้สึกถึงความผิดปกติ  เมื่อเขามั่นใจว่าเขามัดเธอเอาไว้แล้ว!

 

ซูอี้อี้เดินออกมาจากข้างหลังของหนานกงจิ่ง   เธอจ้องตรงไปยังฉีเซิงด้วยสีหน้าอึมครึม ‘ ฉันอยากให้ยัยนี่ตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด!  ชีวิตฉันถูกทำลายก็เพราะมัน!’

 

อาจเป็นเพราะว่าเธอกลัวว่าหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวจะเห็นด้านที่ไม่ใช่เด็กสาวอ่อนโยนใสซื่อของเธอ   ซูอี้อี้จึงจำต้องเก็บความเกลียดความอาฆาตแค้นไว้ภายในใจ

 

“มัดเธอซะ!” หนานกงจิ่งเตะชายร่างยักษ์อีกครั้ง  เขาจึงรีบกระวีกระวาดพุ่งเข้าไปเพื่อจะมัดฉีเซิง ‘ฉันมัดเธอแล้วจริงๆนะ!’ เขาโอดครวญในใจ

 

สีหน้าของฉีเซิงยังคงสงบไม่มีเปลี่ยนแปลง   เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  มีเพียงมือที่เคยสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอที่ถูกดึงออกมา  ได้เห็นของที่อยู่ในมือของเธอด้วยสองตา  ชายร่างยักษ์ก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที

 

ด้วยเพราะถูก ร่างสูงใหญ่ของชายผู้นั้นบังทัศนะวิสัยของคนด้านหลังเสียหมด   พวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมชายร่างยักษ์จึงหยุดชะงักอยู่กับที่   หนานกงจิ่งจึงเร่งเขาให้เข้าไปมัดฉีเซิงอีกครั้งอย่างหมดความอดทน   แต่เขาก็ยังไม่ยอมขยับตัว หากผู้คนที่อยู่ด้านหลังได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนี้   พวกเขาจะเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของชายผู้นี้เบิกโพลงอย่างตื่นตระหนกและบนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมาอย่างมากมายด้วยความกลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15)

 

เรื่องที่เกิดขึ้น ณ หอประชุมทิศตะวันตกในคืนงานบอลในที่สุดก็ถูกแพร่ออกมาภายนอก  แม้ว่าหนานกงจิ่งจะข่มขู่ผู้เห็นเหตุการณ์ไปแล้วก็ตาม และเป็นที่แน่ชัดว่าหนานกงจิ่งย่อมไม่สามารถควานหาตัวคนปากสว่างเจอ  เพราะในวันงานมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งนอกจากผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว  ก็ยังมีพนักงานเสิร์ฟที่ถูกจ้างชั่วคราวรวมอยู่ด้วย

 

หากว่าเรื่องคราวก่อนได้ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้อี้ด่างพร้อยแล้ว   เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ถือว่า ได้ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้อี้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นเลยทีเดียว

 

อันที่จริงฉีเซิงก็คะเนเอาไว้ว่าหนานกงจิ่งคงต้องปรี่มาหาเรื่องเธอเป็นแน่   แต่เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะถึงกับกล้าลงมือลักพาตัวเธอ

 

“หนานกงจิ่ง ฉันคิดว่านายคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ นั่นล่ะ”   ฉีเซิงนั่งอย่างสงบอยู่ตรงกลาง ระหว่างชายร่างใหญ่กล้ามล่ำสองคน   สีหน้าของเธอยังแสดงถึงความใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว   มุมปากของเธอเหยียดขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา

 

หนานกงจิ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ   ท่าทางอันเหนื่อยล้าที่แสดงออก  ทำให้ใบหน้าของเขาดูราวกับว่ามีอายุเพิ่มขึ้นไปอีกสองถึงสามปี

 

หนานกงจิ่งไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกหวาดกลัว ตื่นตระหนก กังวล  หรือแม้แต่…ความรู้สึกรักจากผู้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย   สิ่งที่เธอแสดงออกมีแต่เพียงความนิ่งสงบเท่านั้น

 

‘ซวีเฉิงเยว่ที่เขาเคยรู้จักไม่ควรที่จะมีท่าทางแบบนี้   ที่สำคัญไปกว่านั้น…เธอไม่ควรที่จะได้อยู่อย่างสงบสุข’ หนานกงจิ่งคิดอย่างเกรี้ยวกราด

 

“ฉันจะให้เธอได้ลิ้มลองความเจ็บปวดแบบที่อี้อี้เคยได้รับ   แต่เธอจะต้องทรมานกว่าอี้อี้เป็นร้อย..…ไม่สิ คนอย่างเธอต้องทรมานกว่าอี้อี้เป็นพันเท่าถึงจะสาสม” หนานกงจิ่งว่าก่อนจะเบนสายตาออกจากใบหน้าของเธอ   เขาเกลียดท่าทางเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนใดๆที่แสดงอยู่บนใบหน้าของเธอ  เขาเกลียดที่เธอทำราวกับเขาไม่อยู่ในสายตาของเธอ    สิ่งที่เขาต้องการอยากจะเห็นคือ  ภาพของเธอที่คุกเข่าอ้อนวอนร้องขอความเมตตาและพร่ำบอกขอโทษซูอี้อี้

 

“การที่ซูอี้อี้ทุกข์ทรมานแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?”

 

 ‘ไอ้คนงี่เง่า สมองหมู !’

 

“เธอกล้าสาบานไหมล่ะ   ว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ นั่น?”  แม้ว่าเขาจะตามสืบจนรู้ว่าใครคือ คนที่วางยาในเครื่องดื่มของซูอี้อี้   แต่เขาก็ยังปฏิเสธความจริงข้อนั้น  และไม่ว่าอย่างไร  เขาก็ยังคงไม่เชื่อว่าซวีเฉิงเยว่จะไม่มีส่วนรู้เห็น ‘คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องเป็นซวีเฉิงเยว่แน่ๆ  มีแค่เธอที่เกลียดอี้อี้มากพอ  ที่จะทำลายชีวิตของอี้อี้ให้พังย่อยยับ”

 

ฉีเซิงผลักชายกล้ามโตคนหนึ่งออกไป   เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เธอนั่งได้อย่างสบายมากขึ้น  “ถ้าฉันเป็นคนบงการจริงๆ  ฉันไม่มีทางให้เรื่องมันจบแค่นั้นแน่”

 

‘แล้วไง? ซวีเฉิงเยว่ทำอะไรผิด?   ในเนื้อเรื่องเดิม  ทั้งๆ ที่ซูอี้อี้ก็รู้อยู่แก่ใจว่าในเครื่องดื่มแก้วนั้นมียา  แต่เจ้าหล่อนยังเลือกที่จะเอาแก้วนั้นมาสลับให้กับซวีเฉิงเยว่   ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังโทรเรียกหนานกงจิ่งมาอีก   ตอนนี้สิ่งที่ฉันทำก็แค่คืนทุกอย่างกลับไปให้หล่อน   ฉันยังไม่ได้เริ่มทำอะไรหล่อนเลยด้วยซ้ำ’

 

“ทำไมเธอถึงโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้?!”   จู่ๆ หนานกงจิ่งก็หันกลับมาจ้องหน้าเธอ  กลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่กระจายรอบตัวเขา

 

“ขอบคุณสำหรับคำชม  แต่นายไม่ได้เป็นคนแรกที่พูดอย่างนี้กับฉัน”

 

“ไร้เหตุผลสิ้นดี”

 

‘เฮ้!   ใครกันแน่ที่ไร้เหตุผลก่อน!  คุณพระเอก…ตรรกะในสมองของนายนี่มันช่าง…แปลกประหลาดเสียจริง   ช่างเถอะ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว   พูดกับนายไปก็เสียเวลาเปล่า   คอยดูเถอะ   สักวันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะตรรกะพวกนี้’

 

อาจเพราะเขาคิดว่าตัวเธอไม่สามารถที่จะก่ออันตรายใดๆ ได้ หนานกงจิ่งจึงไม่ได้สั่งให้คนของเขามัดเธอเอาไว้

 

เวลาล่วงเลยมาสักพักที่เธอถูกคุมตัวอยู่ในรถ   พื้นถนนมีความเป็นหลุมเป็นบ่อมากขึ้นมากขึ้นจนกระทั่ง  รถมุ่งหน้าขึ้นเนินและจอดลงตรงหน้าบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งในหุบเขา   ฉีเซิงถูกลากลงจากรถ   หนานกงจิ่งสั่งให้คนของเขาขังเธอไว้ในห้อง  ห้องหนึ่งบนชั้นสอง และครั้งนี้เธอถูกมัดไม้กับเก้าอี้

 

[โฮสต์ คุณยั่วโมโหหนานกงจิ่งทำไม?]

 

ฉีเซิงบิดตัวของเธอไปมา  ทำให้เชือกที่พันธนาการเธออยู่คลายออกอย่างรวดเร็ว

 

[……] ‘ฉันจำไม่ได้ว่าเคยให้ความสามารถนี้กับโฮสต์!’

 

 

“เพื่อจะได้มีเหตุผลดีๆ มาใช้ทรมานหมอนั่นตามใจชอบไง”  ฉีเซิงตอบพลางโยนเชือกลงบนพื้น  ก่อนจะนวดๆ ถูๆ รอยแดงบนแขนของเธอ

 

[…การปะทะกับพระเอกนางเอกของโลกไม่ได้บรรจุอยู่ในภารกิจของคุณ]  เนื่องจากนี่เป็นโลกภารกิจโลกแรกของเธอ   ระบบจึงเลือกโลกที่มีภารกิจง่ายๆ เพื่อให้โฮสต์ได้ทำความคุ้นเคยกับงานก่อน

 

 

“แล้วไง?   ไม่ได้เป็นภารกิจแต่ฉันไม่ชอบขี้หน้าพวกเขานิ”   ฉีเซิงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากที่ไหนสักที่   เธอไถนิ้วลงบนหน้าจอไม่กี่ครั้งก่อนจะสอดมันลงในกระเป๋ากางเกงของเธอ

 

 

สำหรับฉีเซิง   คนพวกนี้เป็นเพียงแค่ตัวละครในเกมไม่มีชีวิต   ส่วนเธอคือผู้เล่น   ดังนั้นความสุขของเธอย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด   ซึ่งกว่าเจ้าระบบจะสังเกตเห็นความคิดที่มีปัญหานี้ของเธอ  มันก็สายเกินไปเสียแล้ว  แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในภายหลัง

 

ในห้องมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง   ฉีเซิงมองออกไปข้างนอก   เธอเห็นคนสองคนยืนเฝ้าอยู่ในสนามหญ้าข้างล่าง  ฉีเซิงหยุดพินิจพิเคราะห์ถึงทางหนีที่ดีสุด   ในระหว่างที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น   เธอก็เห็นรถคุ้นตาคันหนึ่งปรากฏขึ้นภายนอกรั้วบ้าน

 

‘!!! เจ้าวิตถารฉู่ถางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?’

 

ฉู่ถางนั่งอยู่ในรถ  สายตาของเขามองออกมานอกรถ  เขามองตรงมายังหน้าต่างชั้นสองของบ้านพักตากอากาศที่ซึ่งฉีเซิงถูกคุมตัวอยู่   ฉีเซิงชะงัก   แม้ว่าหน้าต่างจะเป็นสีเข้มแต่เธอกลับรู้สึกราวกับว่าสายตาของฉู่ถางกำลังจับจ้องมายังเธอ  แต่อย่างไรก็ตามรถคันนั้นก็ขับผ่านรั้วไป  โดยไม่แม้แต่จะผ่อนความเร็วลง

 

จากจุดที่ฉีเซิงยืนอยู่   เธอสามารถมองเห็นบ้านพักตากอากาศหลังอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปได้   บ้านพักในหุบเขาเหล่านี้นอกจากจะถูกใช้พักผ่อนตากอากาศแล้ว   บ่อยครั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่เจรจาต่อรองทางธุรกิจ   ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องประหลาดที่ฉู่ถางจะมาที่นี่   เพียงฉีเซิงระลึกได้ถึงเหตุผลข้อนี้เธอก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก   เธอปลอบใจตัวเองด้วยการย้ำกับตัวเองว่ามันเป็นเเค่เรื่องบังเอิญ…บังเอิญ…และบังเอิญ

 

รถของฉู่ถางเคลื่อนเข้าไปยังบ้านพักตากอากาศสีขาวหลังหนึ่ง   เมื่อรถของเขาผ่านเข้าไป บอดี้การ์ดหลายก็คนกรูกันออกมาจากบ้านพักก่อนจะยืนแถวตรง  เรียงเป็นสองฝั่งเพื่อรอต้อนรับเขาอย่างเคารพ   ผู้ช่วยของฉู่ถางลงมาเป็นคนแรกเพื่อเปิดประตูรถให้กับฉู่ถาง

 

ฉู่ถางก้าวลงมา ราศีนายท่านผู้ร่ำรวยยังคงแผ่ออกมาจากตัวของเขา   ท่ายืนสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงแม้ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นท่วงท่าที่สง่างาม   แต่เมื่อฉู่ถางเป็นผู้กระทำเขากลับดูสง่างามได้กับท่าทางเช่นนั้น

 

 

“นายท่าน   เราสามารถยืนยันจุดที่คุณหนูซวีอยู่ได้แล้วครับ”  ผู้ช่วยรับแท็บเลตมาจากหนึ่งในบอดี้การ์ด  หน้าจอของมันแสดงแบบจำลองบ้านพักตากอากาศหลังที่หนานกงจิ่ง  กำลังขังฉีเซิงไว้ในรูปแบบสามมิติ   จุดสีแดงจุดหนึ่งปรากฏอยู่บนชั้นสองของแบบจำลองนั้น

 

ฉู่ถางปรายตามองแบบจำลองก่อนยกยิ้ม  “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น  เฝ้าระวังอยู่ข้างนอกเพื่อให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย”

 

‘ไม่ใช่ว่าเราต้องรีบบุกเข้าไปช่วยเธอหรอกหรือ?  แล้วหลังจากนั้นด้วยความซาบซึ้ง   คุณหนูซวีก็จะได้ตอบแทนนายท่านด้วยร่างกายของเธออย่างเต็มใจ’  ผู้ช่วยของฉู่ถางสงสัย  ‘ความคิดของนายท่านนี่คาดเดาได้ยากขึ้นทุกวัน’

 

ในสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถที่จะเข้าใจความคิดของฉู่ถางได้ ผู้ช่วยทำได้เพียงทำตามคำสั่งของฉู่ถางอย่างเคร่งครัด  เขากระจายคำสั่งของฉู่ถางคำต่อคำไปยังบอดี้การ์ดรอบนอก   เพื่อให้แน่ใจว่าคุณหนูตระกูลซวีจะปลอดภัย ‘กว่านายท่านฉู่จะสนใจผู้หญิงสักคนไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ดังนั้นคุณหนูซวีจะตายไม่ได้!’

 

ด้วยเพราะกลัวว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจนทำให้แผนของพวกเขาคลาดเคลื่อน   ผู้ช่วยของฉู่ถางจึงขึ้นเป็นผู้ควบคุมทีมด้วยตนเอง จนเวลาพลบค่ำ  รถคันหนึ่งเคลื่อนเข้าไปในบ้านพักตากอากาศหลังนั้น  เพียงเห็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนก้าวลงมาจากรถคันนั้น   ผู้ช่วยก็ระลึกได้ว่าชายผู้ซึ่งเพิ่งมาถึงคือคุณชายเล็กตระกูลหลิง ‘น่าสงสารอะไรอย่างนี้ แตะต้องสมบะ.. เพ้ย! คนสิคน แตะต้องคนของนายท่านฉู่   คุณชายตระกูลหลิง  คุณมีประกันชีวิตแล้วใช่ไหม?’

 

“ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนั้นมาซะ”  ผู้ช่วยสั่งบอดี้การ์ดข้างตัวเขาก่อนจะแตะลงบนหน้าจอของแท็บเล็ต   ห้องที่ฉีเซิงถูกขังอยู่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอในทันที   และราวกับเธอจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง    เธอจึงจ้องเขม็งตรงกลับมายังเขา…หมายถึงเธอมองตรงมายังกล้องนั่นล่ะ

 

ฉีเซิงมองออกไปยังนอกหน้าต่างชั่วขณะก่อนจะเบนสายตากลับมายังในห้อง  ไม่นานนักหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก

 

เพียงสังเกตเห็นฉีเซิงยืนกอดอกอยู่ในห้อง   หนานกงจิ่งก็ตวัดขาเตะชายร่างยักษ์ข้างๆตัวเขาทันที  “ฉันสั่งให้พวกแกมัดเธอไว้  แล้วนี่อะไร?”

 

ชายผู้นั้นตกอยู่ในความงุนงงและรู้สึกถึงความผิดปกติ  เมื่อเขามั่นใจว่าเขามัดเธอเอาไว้แล้ว!

 

ซูอี้อี้เดินออกมาจากข้างหลังของหนานกงจิ่ง   เธอจ้องตรงไปยังฉีเซิงด้วยสีหน้าอึมครึม ‘ ฉันอยากให้ยัยนี่ตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด!  ชีวิตฉันถูกทำลายก็เพราะมัน!’

 

อาจเป็นเพราะว่าเธอกลัวว่าหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวจะเห็นด้านที่ไม่ใช่เด็กสาวอ่อนโยนใสซื่อของเธอ   ซูอี้อี้จึงจำต้องเก็บความเกลียดความอาฆาตแค้นไว้ภายในใจ

 

“มัดเธอซะ!” หนานกงจิ่งเตะชายร่างยักษ์อีกครั้ง  เขาจึงรีบกระวีกระวาดพุ่งเข้าไปเพื่อจะมัดฉีเซิง ‘ฉันมัดเธอแล้วจริงๆนะ!’ เขาโอดครวญในใจ

 

สีหน้าของฉีเซิงยังคงสงบไม่มีเปลี่ยนแปลง   เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  มีเพียงมือที่เคยสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอที่ถูกดึงออกมา  ได้เห็นของที่อยู่ในมือของเธอด้วยสองตา  ชายร่างยักษ์ก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที

 

ด้วยเพราะถูก ร่างสูงใหญ่ของชายผู้นั้นบังทัศนะวิสัยของคนด้านหลังเสียหมด   พวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมชายร่างยักษ์จึงหยุดชะงักอยู่กับที่   หนานกงจิ่งจึงเร่งเขาให้เข้าไปมัดฉีเซิงอีกครั้งอย่างหมดความอดทน   แต่เขาก็ยังไม่ยอมขยับตัว หากผู้คนที่อยู่ด้านหลังได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนี้   พวกเขาจะเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของชายผู้นี้เบิกโพลงอย่างตื่นตระหนกและบนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมาอย่างมากมายด้วยความกลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+