Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 17 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (17)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 17 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (17) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 17 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (17)

 

*****คําเตือนเนื้อหาบางส่วนในตอนนี้มีเนื้อหาติดเรท 18+ เบาๆ *****

 

หลังจากที่ฟื้นจากอาการสลบไม่ได้สติด้วยแรงกระแทกจากแรงระเบิด การแก้แค้นตระกูลชวีคือ สิ่งแรกที่อยู่ในความคิดของหลิงฮ่าว แต่เขายังไม่ทันได้เริ่มลงมือทําอะไรสักอย่าง  บริษัทตระกูลหลิงกลับถูกร้องเรียนว่าถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินและลักลอบนําเข้าของผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งสองคดีก็ล้วนมีหลักฐานที่แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด

 

คนตระกูลหลิงไม่มีเวลาตั้งตัวคิดหาทางออกเลยเพราะเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก บริษัทตระกูลหลิงก็ถูกสั่งให้ปิดทําการโดยอํานาจศาล

 

บริษัทซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางการค้ากับบริษัทตระกูลหลิง รีบตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับพวกเขาในทันที เหล่าชนชั้นสูงผู้ซึ่งเคยสนิทสนมก็พากันตีตัวออกห่างราวกับกลัวโรคติดต่อ

 

เจ้าหนี้ต่างเบียดเสียดจอแจกันอยู่หน้าประตูบ้านของพวกเขาเพื่อหวังทวงหนี้สิน คนตระกูลหลิงต่างคับแค้นในหายนะครั้งนี้ที่ไร้ซึ่งทางออกและการช่วยเหลือใดๆผู้คน

 

“ไม่ใช่ว่าทางฉันไม่อยากจะช่วยคุณนะ แต่ถ้าฉันยื่นมือเข้าไป บริษัทของเราได้ล้มกันทั้งคู่แน่ๆ” ตระกูลหลิงได้ยินประโยคนี้จากผู้คนมากมายจนกระทั่งมีบุคคลผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ชิดเชื้อกันกับตระกูลหลิงผู้หนึ่งยอมเปิดปาก เขาเล่าว่าพวกเขาต่างถูกข่มขู่ด้วยข้อมูลสุ่มเสี่ยงบางอย่างของบริษัท

 

ถ้าหากพวกเขากล้าสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้กับตระกูลหลิง ข้อมูลลับของบริษัทเหล่านั้นจะถูกเปิดเผยสู่สายตาสาธารณชน เมื่อถูกข่มขู่เช่นนี้ ใครกันเล่าจะกล้าก้าวเข้ามาช่วยตระกูลหลิงออกจากสภาวะวิกฤติ? มีใครบ้างในโลกใบนี้ที่ไม่มีความลับดํามืดซุกซ่อนอยู่?

 

การทําลายรากฐานทางธุรกิจของใครสักคนอาจเป็นเรื่องยาก แต่หากเป็นการทําลายชื่อเสียงแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง สถานการณ์ภายในตระกูลหนานกงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เมื่อจู่ๆหนานกงเจิ้งก็พาตัวลูกนอกสมรสเข้าบ้านหลักของตระกูล โดยลูกนอกสมรสผู้นี้มีอายุน้อยกว่าหนานกงจิ่งเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น

 

การแต่งงานระหว่างหนานกงเจิ้งและคุณนายหนานกงเกิดขึ้นเพียงเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ ในขณะที่รักแท้ของหนานกงเจิ้งกลับกลายเป็นมารดาของลูกนอกสมรสผู้นี้

 

ก่อนหน้านี้ไม่นานนักหนานกงเจิ้งได้จัดการให้ลูกนอกสมรสของตนเข้าฝึกงานในบริษัทสาขาย่อยของตระกูล แต่ตอนนี้หนานกงเจิ้งกลับพาตัวเขาเข้ามาทํางานในบริษัทหลัก แม้ว่าตําแหน่งของเขาจะไม่ได้สูงไปกว่าหนานกงจิ่ง แต่ตําแหน่งของเขาก็ถือได้ว่าเป็นตําแหน่งที่สําคัญไม่ น้อยหน้าใครเช่นกัน

 

ความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงเจิ้งและหนานกงจิ๋งจึงดิ่งลงเหวทันที ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงจิ่งผู้ซึ่งเริ่มงานได้ไม่นานนักยังไม่สามารถเข้าควบคุมบริษัทได้อย่างเบ็ดเสร็จ บอร์ดบริหารและพนักงานบางส่วนซึ่งไม่พอใจในตัวหนานกงจิ่งมานานพอสมควรแล้ว ก็พากันแสดงตัวอยู่ฝั่งเดียวกับลูกนอกสมรสผู้นั้นในทันที เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายคือหนานกงวิ่งและคุณชายหนานกงคนใหม่ต้องลงสนามฟาดฟันกัน เพื่อแย่งชิงอํานาจในการตัดสินใจของบริษัทเข้ามาอยู่ในกํามือของตน

 

หนานกงจิ่งใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกังวลมามากกว่าสิบปี ตลอดชีวิตเขาไม่เคยพบเจอกับความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อน “ไอ้ลูกเมียน้อยนั่น! ทั้งๆ ที่มันเพิ่งเข้ามาในบริษัทแท้ๆ แต่มันกลับใช้คําหวานๆ ป้อยอดึงคนจํานวนไม่น้อยเข้าไปเป็นพวกได้!

 

“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่จริงๆ ที่มอบโอกาสให้ผมได้เป็น ผู้ดูแลโปรเจ็คนี้ วางใจได้เลย ผมจะทํามันออกมาให้ดีที่สุด ไม่ทําให้พี่ผิดหวังเลยล่ะ” เด็กหนุ่มยกยิ้มบางสีหน้าและน้ำเสียงของเขาอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับเขาและหนานกงจิ๋งเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ

 

หนานกงจิ่งกํามือแน่นจนเส้นเลือดเส้นเอ็นปดโปนออกมา บนหลังมือเขา สีหน้าของเขาเย็นชาอึมครึม เขาลงแรงไปมากกับโปรเจ็คนี้แต่เพราะความผิดพลาดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในส่วนของเขา ไอ้ลูกเมียน้อยนี่เลยได้คาบชิ้นปลามันไปกินสบายใจเฉิบ

 

“อย่ามาเรียกฉันว่าพี่” มันน่าสะอิดสะเอียน” หนานกงจิงพยายามบังคับตัวเองให้ใจเย็น เขาจะแสดงความจุดอ่อนออกมาต่อหน้าไอ้ลูกเมียน้อยนี้ไม่ได้

 

เด็กหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบางเบาติดอยู่บนใบหน้า “อย่างน้อยๆเราก็มีสายเลือดเดียวกัน พี่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปไม่ได้หรอกนะครับ”

 

คําพูดของเขาทําให้หนานกงจิ่งหวนระลึกไปถึงมารดาผู้ซึ่งล้มป่วยลงเพียงเพราะได้ยินข่าวของไอ้เฮงซวยตรงหน้า และเพียงคิดถึงมารดาสติของเขาก็ขาดผึ้งหนานกงจิ่งกระโจนเข้าเหวี่ยงหมัดใส่เด็กหนุ่มในทันที ใครกันที่มีสายเลือดเดียวกันกับแก? แกมันก็แค่ไอ้ลูกเมียน้อย! กล้าดียังไงมาทําตัวจองหองกับฉัน!”

 

ข่าวเรื่องการวิวาทของพวกเขาทั้งคู่กระจายไปทั่วบริษัทอย่างรวดเร็ว ความเห็นส่วนใหญ่ของคนภายในบริษัทจึงค่อนข้างจะเข้าข้างคุณชายหนานกงคนใหม่เมื่อเด็กหนุ่มไม่ได้ ตอบโต้หนานกงวิ่งกลับมีเพียงปัดป้องตลอดการวิวาท

 

ยิ่งไปกว่านั้นจู่ๆ ข่าวซุบซิบเรื่องการถอนหมั้นของหนานกง วิ่งที่จางหายไปนานแล้ว นั้นกลับถูกใครบางคนขุดคุ้ยขึ้นมาด้วยเช่นกัน ข่าวซุบซิบที่ว่าด้วยเรื่องที่หนานกงจิ่งหลับนอนกับผู้หญิงอื่น และถูกจับได้คาหนังคาเขาจากคู่หมั้นของตน คู่หมั้นสาว…คุณหนูตระกูลซวีจึงทนไม่ได้ขอถอนหมั้นกับเขา

 

หากไม่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ข่าวที่ปิดเอาไว้ก็คงไม่ถูกเปิดเผยออกมา สถานการณ์ของหนานกงวิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีกหลายระดับ

 

เมื่อข่าวฉาวของเขาถูกกระพือขึ้นจนโหมกระจายไปทั่วดุจไฟป่าจากลมปากของผู้ไม่หวังดีหลายฝ่าย

 

ย่อมเป็นเรื่องปกติที่ประวัติของคู่รักตัวน้อยของหนานกงวิ่ง ย่อมต้องถูกขุดคุ้ยขึ้นมาด้วยข่าวลือที่ว่าเธอมีโอกาสได้พบกับหนานกงวิ่งเพราะใช้ซวีเฉิงเยว่เป็นสะพาน ข่าวลือความสัมพันธ์อันคลุมเครือของเธอกับคุณชายเล็กตระกูลหลิง ข่าวลือเรื่องที่เธอหลับนอนกับผู้ชายระหว่างงานบอล ข่าวซุบซิบเหล่านี้ย่อมต้องถูกนํามาเป็นขี้ปากของคนด้วยเช่นกัน

 

ในตอนนี้ในสายตาของคนทั่วไป หนานกงจิ่งไม่ต่างอะไรจากไอ้โง่คนหนึ่ง ไอ้โง่ที่ทะนุถนอมรักใคร่ผู้หญิงที่สวมเขาให้เขาอย่างกับสมบัติล้ำค่า

 

หนานกงจิ้งผู้ซึ่งถูกความเครียดเรื่องงานบีบคั้นมาตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาพบกับท่าทางเหนียมอายของซูอี้ในอพาร์ทเมนท์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงภาพในวันที่เธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของชายอื่น ความโกรธของเขาคล้ายกับจะถูกจุดขึ้นด้วยเรื่องนั้น เขาปรี่เข้าไปหาซูอี้อี้และกดเธอลงกับโต๊ะอาหารในทันที จานชามที่บรรจุอาหารเย็นอยู่บนโต๊ะก็หล่นบนพื้น ดังเปรี้ยงปรางไปทั่วห้อง

 

“จิ่ง ฉันเจ็บนะ” ซูอี้อี้เอ่ยดุหนานกงวิ่งด้วยเสียงหวานหยดย้อยด้วยเธอไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเขา

 

ราวกับสัตว์ร้ายภายในจิตใจของเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ดวงตาของหนานกงจิ่งแดง… เขาฉีกทั้งเสื้อผ้าของซูอี้จนขาดวิ่น ก่อนจะเสือกไสตัวตนของเขาเข้าไปในตัวเธอ โดยไม่มีแม้แต่จะเล้าโลมเตรียมความพร้อมให้กับเธอก่อน ซูอี้ สูดลมหายใจลึกด้วยความเจ็บปวดในที่สุดเธอก็เริ่มรู้สึกว่าหนานกงจิ่งมีท่าทางแปลกประหลาดไปจากทุกครั้ง เธอจึงเริ่มที่จะขัดขืนและดึงตัวออกจากเขา

 

“จิ้งจึง เป็นอะไรไป? หยุดก่อนได้ไหม? อ้า จึง! ปล่อย ปล่อยฉัน!” ข้อมือของซูอี้ ถูกรวบไว้ในอุ้งมือของหนานกงจิ่ง ในขณะที่ร่างของเธอถูกบังคับให้เอนกายลงบนโต๊ะแข็งๆ เธอไม่สามารถที่จะขยับหนีออกจากเงื้อมมือของเขาไปได้เลย

 

ครั้งนี้มันต่างไปจากครั้งก่อนๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความสุขสม และทะนุถนอมในครานี้มันมีเพียงแค่ความรุนแรงและความเจ็บปวดเท่านั้นที่เธอได้รับ

 

ด้วยเพราะหนานกงจิ่งไม่เคยทําอย่างนี้กับเธอมาก่อนซูอี้อี้จึงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าเธอจะอ้อนวอนหนานกงจิ๋งมากเท่าไร หนานกงจิ๋งก็ไม่ตอบสนองต่อคําวิงวอนเหล่านั้นของเธอ ยังคงมีเพียงการกระทําอันจาบจ้วงหยาบคายเท่านั้นที่เธอได้รับ

 

เมื่อคลื่นพายุอารมณ์ซัดสาดผ่านพ้นไปแล้วบนร่างกาย ของซูอี้อี้ก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ส่วนบอบบางของเธอก็ยับเยินเจ็บปวด เธอกอดเข่าตัวเองซุกขดกายอยู่ในมุม มุมหนึ่งของโซฟา บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ําตา และสีของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

หนานกงจิ่งได้แต่พร่ำขอโทษเธอซ้ำๆ พลางรีบอธิบายสถานการณ์เคร่งเครียดในบริษัทที่เขาเผชิญมาจนทําให้เขาขาดสติให้เธอฟังเขาวอนขอให้ซูอี้อี้อภัยให้เขา

 

“อี้อี้ ฉันสัญญา ต่อไป..ฉันจะไม่ทําอย่างนี้กับเธออีก ฉันผิดไปแล้ว หายโกรธฉันเถอะนะ”

 

แม้ว่าซูอี้อี้จะยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา แต่เมื่อเธอคิดถึงสถานการณ์ที่หนานกงจิ่งได้เผชิญหัวใจของเธอก็เจ็บปวดเพราะเขา เธอสะอื้น “นายทําให้ฉันกลัวมากจริงๆ”

 

“ฉันจะไม่ทําอย่างนั้นกับเธออีก” หนานกงจิ่งโผเข้ากอดซูอี้อี้แน่น พลางพึมพําคําขอโทษซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาสวมกอดปลอบประโลมกันได้ไม่นานนัก เกมกามารมณ์ของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้หนานกงจิ๋งอ่อนโยนกว่าเดิมมาก ความอ่อนโยนวาบหวามทําให้สติของซูอี้อี้ล่องลอยไปด้วยความหฤหรรษ์

 

………

 

ณ หมู่ตึกจินหม่านสถานที่ที่มีเงินสะพัดมากที่สุดในเมืองแห่งนี้ ผู้คนต่างพากันมาที่นี่เพื่อหาความสุขและผ่อนคลาย

 

ภายในห้องส่วนตัวหรูหรา ห้องหนึ่งภายในหมู่ตึกจินหม่าน แสงไฟสลัวสาดส่องให้เห็นร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งด้วยท่าทางหวาดระแวง เขาหันซ้ายหันขวาสอดส่ายสายตาไปมา รอบๆตัวราวกับกลัวว่าจะถูกใครบางคนจับตามองเส้นประสาทของเขาเครียดแข็งบิดเป็นเกลียวเสียจนแทบจะขาดแล้วนั้นล่ะ จู่ๆประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดออกโดยคนผู้หนึ่งด้วย เพราะภายในมีเพียงแสงไฟสลัวๆมองเห็นเพียงเลือนลาง สิ่งที่เขาเห็นจึงมีเพียงเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งตรงกรอบประตูเพียงเท่านั้น เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่ชุดตัดเย็บอย่างประณีตซึ่งสอดรับเข้ากับส่วนเว้าส่วนโค้งขับเน้นรูปร่างของเธอจนดูโดดเด่น

 

เขาได้ยินเสียงสวิทช์ถูกกดเปิดก่อนที่แสงไฟสว่างจ้าจะสาดส่องลงมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน เธอปิดประตูลงก่อนจะสาวเท้าตรงเข้ามาหาเขา ดวงหน้าของเจ้าหล่อนงดงามหมดจดริมฝีปากได้รูปของเธอกําลังยกยิ้มบางเบาให้กับเขา

 

แม้รูปลักษณ์ของเธอยังดูอ่อนเยาว์ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเธอกลับเต็มไปด้วยกระแสแห่งความสง่างามและกลิ่นอายอํานาจของผู้สูงศักดิ์

 

แม้ริมฝีปากของเธอจะหยักยิ้มแต่ดวงตาคู่สวยของ เธอกลับสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์

 

แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นฉีเซิง

 

“คุณมาแล้ว” ชายผู้มาถึงก่อนยืนขึ้น ท่าทางประหม่าของเขาปรากฏชัด เพียงแค่ปรายตามองก็ยังบอกได้ว่าชายผู้นี้หวาดกลัวเธอมากขนาดไหน

 

“เรียบร้อยแล้วหรือ?” ฉีเซิงแสดงท่าทางเป็นเชิงให้เขานั่ง ซึ่งเขาก็นั่งลงอย่างระมัดระวังใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวล

 

“ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้ตามคําแนะนําของคุณแล้ว ในอนาคตอันใกล้ตระกูลหลิงย่อมต้องพบกับปัญหามากขึ้นแน่นอนครับ”

 

หากหลิงฮ่าวไม่ได้ร่วมมือในแผนการลักพาตัวเธอในครั้งนั้น เธอย่อมไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูลหลิงของเขา แต่เมื่อเขาทําลงไปแล้ว แน่นอนว่าคนอย่างฉีเซิงย่อมไม่เคยเมตตาต่อศัตรูของเธอ

 

ฉีเซิงพยักหน้าก่อนจะนําแฟ้มออกมาจากกระเป๋าที่เธอนาติดตัวมา “ของทั้งหมดอยู่ในนี้ จําเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้ฉันหาจุดอ่อนของคุณได้ ครั้งหน้าฉันย่อมต้องหาได้อีกเช่นกัน ดังนั้นฉันคงไม่ต้องอธิบายหรอกใช่ไหมว่าผลลัพธ์ของการทรยศฉันมันจะเป็นอย่างไร?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 17 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (17)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 17 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (17) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 17 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (17)

 

*****คําเตือนเนื้อหาบางส่วนในตอนนี้มีเนื้อหาติดเรท 18+ เบาๆ *****

 

หลังจากที่ฟื้นจากอาการสลบไม่ได้สติด้วยแรงกระแทกจากแรงระเบิด การแก้แค้นตระกูลชวีคือ สิ่งแรกที่อยู่ในความคิดของหลิงฮ่าว แต่เขายังไม่ทันได้เริ่มลงมือทําอะไรสักอย่าง  บริษัทตระกูลหลิงกลับถูกร้องเรียนว่าถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินและลักลอบนําเข้าของผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งสองคดีก็ล้วนมีหลักฐานที่แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด

 

คนตระกูลหลิงไม่มีเวลาตั้งตัวคิดหาทางออกเลยเพราะเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก บริษัทตระกูลหลิงก็ถูกสั่งให้ปิดทําการโดยอํานาจศาล

 

บริษัทซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางการค้ากับบริษัทตระกูลหลิง รีบตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับพวกเขาในทันที เหล่าชนชั้นสูงผู้ซึ่งเคยสนิทสนมก็พากันตีตัวออกห่างราวกับกลัวโรคติดต่อ

 

เจ้าหนี้ต่างเบียดเสียดจอแจกันอยู่หน้าประตูบ้านของพวกเขาเพื่อหวังทวงหนี้สิน คนตระกูลหลิงต่างคับแค้นในหายนะครั้งนี้ที่ไร้ซึ่งทางออกและการช่วยเหลือใดๆผู้คน

 

“ไม่ใช่ว่าทางฉันไม่อยากจะช่วยคุณนะ แต่ถ้าฉันยื่นมือเข้าไป บริษัทของเราได้ล้มกันทั้งคู่แน่ๆ” ตระกูลหลิงได้ยินประโยคนี้จากผู้คนมากมายจนกระทั่งมีบุคคลผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ชิดเชื้อกันกับตระกูลหลิงผู้หนึ่งยอมเปิดปาก เขาเล่าว่าพวกเขาต่างถูกข่มขู่ด้วยข้อมูลสุ่มเสี่ยงบางอย่างของบริษัท

 

ถ้าหากพวกเขากล้าสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้กับตระกูลหลิง ข้อมูลลับของบริษัทเหล่านั้นจะถูกเปิดเผยสู่สายตาสาธารณชน เมื่อถูกข่มขู่เช่นนี้ ใครกันเล่าจะกล้าก้าวเข้ามาช่วยตระกูลหลิงออกจากสภาวะวิกฤติ? มีใครบ้างในโลกใบนี้ที่ไม่มีความลับดํามืดซุกซ่อนอยู่?

 

การทําลายรากฐานทางธุรกิจของใครสักคนอาจเป็นเรื่องยาก แต่หากเป็นการทําลายชื่อเสียงแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง สถานการณ์ภายในตระกูลหนานกงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เมื่อจู่ๆหนานกงเจิ้งก็พาตัวลูกนอกสมรสเข้าบ้านหลักของตระกูล โดยลูกนอกสมรสผู้นี้มีอายุน้อยกว่าหนานกงจิ่งเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น

 

การแต่งงานระหว่างหนานกงเจิ้งและคุณนายหนานกงเกิดขึ้นเพียงเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ ในขณะที่รักแท้ของหนานกงเจิ้งกลับกลายเป็นมารดาของลูกนอกสมรสผู้นี้

 

ก่อนหน้านี้ไม่นานนักหนานกงเจิ้งได้จัดการให้ลูกนอกสมรสของตนเข้าฝึกงานในบริษัทสาขาย่อยของตระกูล แต่ตอนนี้หนานกงเจิ้งกลับพาตัวเขาเข้ามาทํางานในบริษัทหลัก แม้ว่าตําแหน่งของเขาจะไม่ได้สูงไปกว่าหนานกงจิ่ง แต่ตําแหน่งของเขาก็ถือได้ว่าเป็นตําแหน่งที่สําคัญไม่ น้อยหน้าใครเช่นกัน

 

ความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงเจิ้งและหนานกงจิ๋งจึงดิ่งลงเหวทันที ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงจิ่งผู้ซึ่งเริ่มงานได้ไม่นานนักยังไม่สามารถเข้าควบคุมบริษัทได้อย่างเบ็ดเสร็จ บอร์ดบริหารและพนักงานบางส่วนซึ่งไม่พอใจในตัวหนานกงจิ่งมานานพอสมควรแล้ว ก็พากันแสดงตัวอยู่ฝั่งเดียวกับลูกนอกสมรสผู้นั้นในทันที เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายคือหนานกงวิ่งและคุณชายหนานกงคนใหม่ต้องลงสนามฟาดฟันกัน เพื่อแย่งชิงอํานาจในการตัดสินใจของบริษัทเข้ามาอยู่ในกํามือของตน

 

หนานกงจิ่งใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกังวลมามากกว่าสิบปี ตลอดชีวิตเขาไม่เคยพบเจอกับความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อน “ไอ้ลูกเมียน้อยนั่น! ทั้งๆ ที่มันเพิ่งเข้ามาในบริษัทแท้ๆ แต่มันกลับใช้คําหวานๆ ป้อยอดึงคนจํานวนไม่น้อยเข้าไปเป็นพวกได้!

 

“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่จริงๆ ที่มอบโอกาสให้ผมได้เป็น ผู้ดูแลโปรเจ็คนี้ วางใจได้เลย ผมจะทํามันออกมาให้ดีที่สุด ไม่ทําให้พี่ผิดหวังเลยล่ะ” เด็กหนุ่มยกยิ้มบางสีหน้าและน้ำเสียงของเขาอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับเขาและหนานกงจิ๋งเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ

 

หนานกงจิ่งกํามือแน่นจนเส้นเลือดเส้นเอ็นปดโปนออกมา บนหลังมือเขา สีหน้าของเขาเย็นชาอึมครึม เขาลงแรงไปมากกับโปรเจ็คนี้แต่เพราะความผิดพลาดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในส่วนของเขา ไอ้ลูกเมียน้อยนี่เลยได้คาบชิ้นปลามันไปกินสบายใจเฉิบ

 

“อย่ามาเรียกฉันว่าพี่” มันน่าสะอิดสะเอียน” หนานกงจิงพยายามบังคับตัวเองให้ใจเย็น เขาจะแสดงความจุดอ่อนออกมาต่อหน้าไอ้ลูกเมียน้อยนี้ไม่ได้

 

เด็กหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบางเบาติดอยู่บนใบหน้า “อย่างน้อยๆเราก็มีสายเลือดเดียวกัน พี่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปไม่ได้หรอกนะครับ”

 

คําพูดของเขาทําให้หนานกงจิ่งหวนระลึกไปถึงมารดาผู้ซึ่งล้มป่วยลงเพียงเพราะได้ยินข่าวของไอ้เฮงซวยตรงหน้า และเพียงคิดถึงมารดาสติของเขาก็ขาดผึ้งหนานกงจิ่งกระโจนเข้าเหวี่ยงหมัดใส่เด็กหนุ่มในทันที ใครกันที่มีสายเลือดเดียวกันกับแก? แกมันก็แค่ไอ้ลูกเมียน้อย! กล้าดียังไงมาทําตัวจองหองกับฉัน!”

 

ข่าวเรื่องการวิวาทของพวกเขาทั้งคู่กระจายไปทั่วบริษัทอย่างรวดเร็ว ความเห็นส่วนใหญ่ของคนภายในบริษัทจึงค่อนข้างจะเข้าข้างคุณชายหนานกงคนใหม่เมื่อเด็กหนุ่มไม่ได้ ตอบโต้หนานกงวิ่งกลับมีเพียงปัดป้องตลอดการวิวาท

 

ยิ่งไปกว่านั้นจู่ๆ ข่าวซุบซิบเรื่องการถอนหมั้นของหนานกง วิ่งที่จางหายไปนานแล้ว นั้นกลับถูกใครบางคนขุดคุ้ยขึ้นมาด้วยเช่นกัน ข่าวซุบซิบที่ว่าด้วยเรื่องที่หนานกงจิ่งหลับนอนกับผู้หญิงอื่น และถูกจับได้คาหนังคาเขาจากคู่หมั้นของตน คู่หมั้นสาว…คุณหนูตระกูลซวีจึงทนไม่ได้ขอถอนหมั้นกับเขา

 

หากไม่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ข่าวที่ปิดเอาไว้ก็คงไม่ถูกเปิดเผยออกมา สถานการณ์ของหนานกงวิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีกหลายระดับ

 

เมื่อข่าวฉาวของเขาถูกกระพือขึ้นจนโหมกระจายไปทั่วดุจไฟป่าจากลมปากของผู้ไม่หวังดีหลายฝ่าย

 

ย่อมเป็นเรื่องปกติที่ประวัติของคู่รักตัวน้อยของหนานกงวิ่ง ย่อมต้องถูกขุดคุ้ยขึ้นมาด้วยข่าวลือที่ว่าเธอมีโอกาสได้พบกับหนานกงวิ่งเพราะใช้ซวีเฉิงเยว่เป็นสะพาน ข่าวลือความสัมพันธ์อันคลุมเครือของเธอกับคุณชายเล็กตระกูลหลิง ข่าวลือเรื่องที่เธอหลับนอนกับผู้ชายระหว่างงานบอล ข่าวซุบซิบเหล่านี้ย่อมต้องถูกนํามาเป็นขี้ปากของคนด้วยเช่นกัน

 

ในตอนนี้ในสายตาของคนทั่วไป หนานกงจิ่งไม่ต่างอะไรจากไอ้โง่คนหนึ่ง ไอ้โง่ที่ทะนุถนอมรักใคร่ผู้หญิงที่สวมเขาให้เขาอย่างกับสมบัติล้ำค่า

 

หนานกงจิ้งผู้ซึ่งถูกความเครียดเรื่องงานบีบคั้นมาตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาพบกับท่าทางเหนียมอายของซูอี้ในอพาร์ทเมนท์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงภาพในวันที่เธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของชายอื่น ความโกรธของเขาคล้ายกับจะถูกจุดขึ้นด้วยเรื่องนั้น เขาปรี่เข้าไปหาซูอี้อี้และกดเธอลงกับโต๊ะอาหารในทันที จานชามที่บรรจุอาหารเย็นอยู่บนโต๊ะก็หล่นบนพื้น ดังเปรี้ยงปรางไปทั่วห้อง

 

“จิ่ง ฉันเจ็บนะ” ซูอี้อี้เอ่ยดุหนานกงวิ่งด้วยเสียงหวานหยดย้อยด้วยเธอไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเขา

 

ราวกับสัตว์ร้ายภายในจิตใจของเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ดวงตาของหนานกงจิ่งแดง… เขาฉีกทั้งเสื้อผ้าของซูอี้จนขาดวิ่น ก่อนจะเสือกไสตัวตนของเขาเข้าไปในตัวเธอ โดยไม่มีแม้แต่จะเล้าโลมเตรียมความพร้อมให้กับเธอก่อน ซูอี้ สูดลมหายใจลึกด้วยความเจ็บปวดในที่สุดเธอก็เริ่มรู้สึกว่าหนานกงจิ่งมีท่าทางแปลกประหลาดไปจากทุกครั้ง เธอจึงเริ่มที่จะขัดขืนและดึงตัวออกจากเขา

 

“จิ้งจึง เป็นอะไรไป? หยุดก่อนได้ไหม? อ้า จึง! ปล่อย ปล่อยฉัน!” ข้อมือของซูอี้ ถูกรวบไว้ในอุ้งมือของหนานกงจิ่ง ในขณะที่ร่างของเธอถูกบังคับให้เอนกายลงบนโต๊ะแข็งๆ เธอไม่สามารถที่จะขยับหนีออกจากเงื้อมมือของเขาไปได้เลย

 

ครั้งนี้มันต่างไปจากครั้งก่อนๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความสุขสม และทะนุถนอมในครานี้มันมีเพียงแค่ความรุนแรงและความเจ็บปวดเท่านั้นที่เธอได้รับ

 

ด้วยเพราะหนานกงจิ่งไม่เคยทําอย่างนี้กับเธอมาก่อนซูอี้อี้จึงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าเธอจะอ้อนวอนหนานกงจิ๋งมากเท่าไร หนานกงจิ๋งก็ไม่ตอบสนองต่อคําวิงวอนเหล่านั้นของเธอ ยังคงมีเพียงการกระทําอันจาบจ้วงหยาบคายเท่านั้นที่เธอได้รับ

 

เมื่อคลื่นพายุอารมณ์ซัดสาดผ่านพ้นไปแล้วบนร่างกาย ของซูอี้อี้ก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ส่วนบอบบางของเธอก็ยับเยินเจ็บปวด เธอกอดเข่าตัวเองซุกขดกายอยู่ในมุม มุมหนึ่งของโซฟา บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ําตา และสีของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

หนานกงจิ่งได้แต่พร่ำขอโทษเธอซ้ำๆ พลางรีบอธิบายสถานการณ์เคร่งเครียดในบริษัทที่เขาเผชิญมาจนทําให้เขาขาดสติให้เธอฟังเขาวอนขอให้ซูอี้อี้อภัยให้เขา

 

“อี้อี้ ฉันสัญญา ต่อไป..ฉันจะไม่ทําอย่างนี้กับเธออีก ฉันผิดไปแล้ว หายโกรธฉันเถอะนะ”

 

แม้ว่าซูอี้อี้จะยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา แต่เมื่อเธอคิดถึงสถานการณ์ที่หนานกงจิ่งได้เผชิญหัวใจของเธอก็เจ็บปวดเพราะเขา เธอสะอื้น “นายทําให้ฉันกลัวมากจริงๆ”

 

“ฉันจะไม่ทําอย่างนั้นกับเธออีก” หนานกงจิ่งโผเข้ากอดซูอี้อี้แน่น พลางพึมพําคําขอโทษซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาสวมกอดปลอบประโลมกันได้ไม่นานนัก เกมกามารมณ์ของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้หนานกงจิ๋งอ่อนโยนกว่าเดิมมาก ความอ่อนโยนวาบหวามทําให้สติของซูอี้อี้ล่องลอยไปด้วยความหฤหรรษ์

 

………

 

ณ หมู่ตึกจินหม่านสถานที่ที่มีเงินสะพัดมากที่สุดในเมืองแห่งนี้ ผู้คนต่างพากันมาที่นี่เพื่อหาความสุขและผ่อนคลาย

 

ภายในห้องส่วนตัวหรูหรา ห้องหนึ่งภายในหมู่ตึกจินหม่าน แสงไฟสลัวสาดส่องให้เห็นร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งด้วยท่าทางหวาดระแวง เขาหันซ้ายหันขวาสอดส่ายสายตาไปมา รอบๆตัวราวกับกลัวว่าจะถูกใครบางคนจับตามองเส้นประสาทของเขาเครียดแข็งบิดเป็นเกลียวเสียจนแทบจะขาดแล้วนั้นล่ะ จู่ๆประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดออกโดยคนผู้หนึ่งด้วย เพราะภายในมีเพียงแสงไฟสลัวๆมองเห็นเพียงเลือนลาง สิ่งที่เขาเห็นจึงมีเพียงเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งตรงกรอบประตูเพียงเท่านั้น เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่ชุดตัดเย็บอย่างประณีตซึ่งสอดรับเข้ากับส่วนเว้าส่วนโค้งขับเน้นรูปร่างของเธอจนดูโดดเด่น

 

เขาได้ยินเสียงสวิทช์ถูกกดเปิดก่อนที่แสงไฟสว่างจ้าจะสาดส่องลงมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน เธอปิดประตูลงก่อนจะสาวเท้าตรงเข้ามาหาเขา ดวงหน้าของเจ้าหล่อนงดงามหมดจดริมฝีปากได้รูปของเธอกําลังยกยิ้มบางเบาให้กับเขา

 

แม้รูปลักษณ์ของเธอยังดูอ่อนเยาว์ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเธอกลับเต็มไปด้วยกระแสแห่งความสง่างามและกลิ่นอายอํานาจของผู้สูงศักดิ์

 

แม้ริมฝีปากของเธอจะหยักยิ้มแต่ดวงตาคู่สวยของ เธอกลับสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์

 

แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นฉีเซิง

 

“คุณมาแล้ว” ชายผู้มาถึงก่อนยืนขึ้น ท่าทางประหม่าของเขาปรากฏชัด เพียงแค่ปรายตามองก็ยังบอกได้ว่าชายผู้นี้หวาดกลัวเธอมากขนาดไหน

 

“เรียบร้อยแล้วหรือ?” ฉีเซิงแสดงท่าทางเป็นเชิงให้เขานั่ง ซึ่งเขาก็นั่งลงอย่างระมัดระวังใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวล

 

“ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้ตามคําแนะนําของคุณแล้ว ในอนาคตอันใกล้ตระกูลหลิงย่อมต้องพบกับปัญหามากขึ้นแน่นอนครับ”

 

หากหลิงฮ่าวไม่ได้ร่วมมือในแผนการลักพาตัวเธอในครั้งนั้น เธอย่อมไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูลหลิงของเขา แต่เมื่อเขาทําลงไปแล้ว แน่นอนว่าคนอย่างฉีเซิงย่อมไม่เคยเมตตาต่อศัตรูของเธอ

 

ฉีเซิงพยักหน้าก่อนจะนําแฟ้มออกมาจากกระเป๋าที่เธอนาติดตัวมา “ของทั้งหมดอยู่ในนี้ จําเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้ฉันหาจุดอ่อนของคุณได้ ครั้งหน้าฉันย่อมต้องหาได้อีกเช่นกัน ดังนั้นฉันคงไม่ต้องอธิบายหรอกใช่ไหมว่าผลลัพธ์ของการทรยศฉันมันจะเป็นอย่างไร?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+