Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 33 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 33 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Side Character Transmigrations: The Final B… บทที่ 33 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก.. ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13)

บทที่ 33คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13)

ทุกคนในออฟฟิศต่างสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความโกรธแค้นที่แผ่ออกมาจากตัวซีอีโอของพวกเขา หลังจากที่ฉีเซิง เซี่ยเหมิน และทีมงานกลับออกไปไม่มีใครรู้เรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขาคุยกัน แต่รู้เพียงแค่ว่าเจียงหวันสุดสิ้นสัญญาการเป็นนักแสดงภายใต้สังกัดของตงฟาง เอนเตอร์เทรนเมนท์แล้ว อีกทั้งยังหยินก็ยังลาออก ตามเธอไปด้วย

เซี่ยเหมินรับหน้าที่เป็นคนขับรถ ฉีเชิงเองก็เปลี่ยนไปนั่งที่ที่นั่งผู้โดยสารข้างๆเธอ ในขณะที่ยังหยินย้ายไปนั่งที่เบาะหลัง

 

จนตอนนี้ถังหยินก็ยังคงอยู่ภาวะตกตะลึงไม่หาย เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คําเดียวตอนที่อยู่ในออฟฟิศของซีโม่ เขาทําเพียงแค่ยืนนิ่งๆและฟังนักแสดงในความดูแลของตัวเองพร้อมกับเซี่ยเหมินตกลงกับซีโม่เท่านั้น และตอนนี้ไม่เพียงแต่สัญญาจะถูกยกเลิกไปแล้วเท่านั้นนะ แต่เขาก็ยังดันตามน้ําลาออกมากับเธอด้วยเนี้ยนะ? ให้ตายเถอะ T^T

“ฉันเลือกที่ตั้งของบริษัทได้แล้ว ส่วนเงินลงทุนก็จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” ฉีเซิงเพิกเฉยต่อสิ่งที่ถังหยินกําลังเผชิญอยู่ในใจก่อนเธอจะก้มลงไปจดข้อความบางอย่างบนสมุดบันทึกของเธอ “ถ้างั้นก็เหลือแค่ศิลปินสินะ”

“อืม, ฉันคิดว่าเราควรจะจ้างแมวมองที่มืออาชีพหน่อยมาช่วยเราหานะ” เซี่ยเหมินสูดลมหายใจเข้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอยังจําได้ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเธอทุ่มเอามรดกทั้งหมดที่พึ่งได้จากแม่ให้กับฉีเซิง ทั้งเงินสด อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่เครื่องประดับอย่างทองหรือเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งรวมมูลค่าแล้วกว่า 50 ล้านเหรียญดอลลาร์

คุณฟังไม่ผิดหรอก มันคือ 50 ล้านเหรียญไม่ใช่แค่ 5 ล้านเหรียญ พอนึกย้อนไปตอนนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทําไมเธอถึงได้เชื่อเจียงหวัน ทั้งๆที่สิ่งที่เธอพูดมันฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันซะมากกว่า แต่ทว่าอาจจะเพราะความจริงใจในน้ําเสียงที่เธอแสดงออกมามันมาก…มากเสียจนจิตใต้สํานึกของเธอมันบอกว่าให้เชื่อ

แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้นสินทรัพย์ทั้งหมดของเธอก็เพิ่มมูลค่าขึ้นมาอย่างเท่าทวีคูณ และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังตกตะลึงไม่หาย เธอทําได้ยังไงกัน นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ!”

 

“ฉันว่าจะขายพวกสินทรัพย์สภาพคล่องบางส่วน เพราะในอนาคตเราจะต้องใช้เงินจํานวนมากฉันต้องการเงินมากกว่านี้ แต่สําหรับช่วงเริ่มต้นแค่ 50 ล้านเหรียญดอลลาร์ก็น่าจะพอ”

 

เซี่ยเหมินไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เพราะถึงแม้ว่าเงินลงทุนจะเป็นของเธอ แต่ถ้าเป็นเธอยังไงก็ไม่มีทางทําให้มันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในเวลาอันรวดเร็วได้อย่างที่เธอทําแน่ๆ

 

“เดี๋ยวเดี๋ยวก่อนนะ…”ในที่สุดถังหยินก็เริ่มตอบสนอง“นี่พวกคุณจะเปิดบริษัทกันเหรอ

“ก็ใช่สิ…นี่บริษัทจดทะเบียนเรียบร้อยหมดแล้วด้วยนะ” ฉีเซิงหันไปมองหน้าถังหยินพลางพูด “แล้วพวกเราก็ตกลงกันเรียบร้อย แล้วด้วยว่าคุณจะต้องเป็นผู้ดูแลศิลปินทั้งหมดในบริษัทของเรา ส่วนเรื่องคัดคน อ่าฉันต้องการแบบว่า… สวยๆ น่ารักๆ แบบที่คนมานั่งจองได้เป็นชั่วโมงๆโดยที่ไม่เบื่อ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทําอะไรเลยอ่ะ”

เซี่ยเหมิน “….” “นั่นเธออยากหาศิลปิน หรือกําลังหาสมบัติของชาติอยู่กันแน่?

ถังหยิน “…” หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอไปทําอะไรมากันแน่?! ดาราสมัยนี้เขาต้องทําขนาดนี้แล้วหรอ? งั้นคําพูดที่เธอพูดในลิฟต์เธอก็เอาจริงนะสิ? ต้องใช่แระก็มันมาขนาดนี้แล้วนี่เนื้อะ!”

ทําไมผมรู้สึกเหมือนกับว่ากําลังจะขึ้นไปบนเรือของโจรสลัดยังไงก็ไม่รู้? ”

ด้วยคําแนะนําของถังหยิน ปัญหาบางอย่างที่พวกเธอสองคน มองข้ามก็ถูกเขาแก้ไขให้เรียบร้อย โดยที่พวกเธอไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเองให้เสียเวลา อาจจะเป็นเพราะถังหยินได้รับการอบรม และเลี้ยงดูมาจากตระกูลที่ร่ํารวย จึงทําให้เขาสามารถจัดการปัญหาพวกนี้ได้อย่างเรียบร้อย อย่างไรก็ตามถังหยินก็ได้รู้ว่าดาราในการดูแลของเขานั้นเก่งไม่เบาเลยทีเดียว

ด้วยว่าเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ดังนั้นเขาจึงพอรู้เรื่องราวชีวิตและพื้นหลังครอบครัวของเธอมาบ้าง แต่เท่ารู้มาเจียงหวัน น่าจะไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ํา เพราะฉะนั้นเธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน

และถึงแม้ว่าถังหยินจะมีข้อสงสัย ฉีเชิงก็ไม่เคยอธิบายอะไรไปมากกว่าการตอบว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่เป็นธรรมชาติสรรค์สร้างมาให้เธอตั้งแต่เกิด จนเมื่องานในบริษัทเริ่มเยอะ เขาถึงยุ่งๆจนเลิกซักไซ้ไล่เรียงเธอไปเอง

 

ช่วงที่ผ่านมาฉีเซิงโหมงานอย่างหนัก เธออยู่ในจุดที่ทํางานเป็นบ้าเป็นหลัง จนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้บริษัทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว เธอก็เลยเจียดเวลามาพักผ่อนได้สักที เธอค่อยๆเดินออกจากห้องส่วนตัว และอาจจะเพราะเธอเมานิดๆแล้วก็เวียนหัวด้วยเธอก็เลยเดินแบบตุปัดตุเปหน่อยๆ เธอตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ห้องน้ํา

 

ทางที่จะไปห้องน้ําเป็นทางเดินยาวโค้ง และขณะที่กําลังเดินอยู่นั้นตาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาของใครคนหนึ่งที่คุ้นเคย

 

ผู้ชายคนนั้นสวมชุดออกกําลังกายสีดําสนิทมือทั้งสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง และเนื่องด้วยว่าเขากําลังหันหน้าไปอีกทางจากตรงที่ฉีเชิงยืนอยู่ตอนนี้ เธอเลยไม่รู้ว่าเขากําลังแสดงอารณ์ยังไงอยู่

หญิงสาวร่างเพรียวสวมกระโปรงเข้ารูปเน้นให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนกําลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกทั้งคอและไหล่ของเธอก็โผล่พ้นขอบเสื้อออกมาเล็กน้อย ก่อนเธอจะกําลังเงยหน้าขึ้นมองชายผู้เป็นที่รักตรงหน้าอย่างมีความหมาย ฉีเซิงไม่ได้ประกาศตัวออกไป เธอเลือกที่จะพิงกําแพงข้างๆและแอบดูพวกเขาอยู่เงียบๆ

“พี่ใหญ่ลู่ พี่ก็กลับมาตั้งนานแล้วทําไมพี่ถึงยังไม่กลับเข้าบ้านอีก? คุณปูท่านคิดถึงพี่มากนะ….แล้วฉันเองก็คิดถึงพี่มากเหมือนกัน” ถังหยวนพูดด้วยน้ําเสียงเหนียมอาย

“ทําไมฉันต้องกลับ?”

 

ใบหน้าของอู่ชิงหยุนในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนั้นยิ่งทําให้ เขาหล่อและดูดีขึ้นมากๆ อีกทั้งดวงตาที่เปล่งประกายของเขาเมื่อแสงอ่อนๆตกกระทบภาพของเขาในตอนนี้ราวกับประติมากรรมชั้นยอด เป็นหนุ่มผู้สูงศักดิ์และสง่างามแต่ทําไมดูเหมือนมันเจือไปด้วยความโกรธล่ะ

“ เรา…” ถังหยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะพูดขี้นอีกครั้ง “ก็เพราะงานหมั้นของเราไงคะ”

“หมั้นเหรอ?” เสียงของลู่ชิงหยุนดังชัดขึ้นท่ามกลางบริเวณทางเดินที่เงียบงัน “ ถ้าฉันจําไม่ผิด เธอไม่ใช่เหรอที่เป็นคนไม่พอใจ เรื่องงานหมั้นในครั้งนั้น แล้วทําไมตอนนี้เธอถึงมากลับลําซะล่ะ?”

 

สีหน้าของถังหยวนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนเธอจะค่อยๆรวบรวมสติและพูดโต้ตอบออกไป “พี่ใหญ่ลู่ ฉันอธิบายเรื่องทั้งหมดได้นะ”

 

“ไม่” ดวงตาของลู่ชิงหยุนโค้งเป็นเสี้ยว ก่อนเขาจะเปิดปากอีกครั้งแล้วพูดว่า “ไม่จําเป็นต้องอธิบาย”

ราวกับว่ามีคนมากดปุ่มหยุดที่ถังหยวน เธอตัวแข็งที่อ และแม้ว่าเธอจะแต่งหน้าแต่ใบหน้าของเธอในตอนนี้กลับดูซีดไปหมด เธอจ้องมองที่ลู่ชิงหยุนด้วยความงุนงงอีกทั้งในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจ ความไม่เต็มใจและความรักอย่างสุดซึ้งต่อผู้ชายตรงหน้า ดูเหมือนตอนนี้ความรู้สึกทุกอย่างถูกผสมปนเปเข้าด้วยกันไปหมด

 

ลู่ชิงหยุนไม่ได้มองไปที่ถังหยวนอีก แต่เขากลับหันหลังให้เธอ และเดินมาทางที่ฉีเชิงกําลังยืนอยู่ดูเหมือนว่าเขาไม่แปลกใจเลยที่เห็นเธอราวกับว่าเขารู้แล้วว่าเธออยู่ตรงนั้น

นี่เพิ่งยังคงพิงกําแพงอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนเธอจะส่งยิ้มหวานเจี๊ยบให้เมื่อเห็นเขา “ผู้อุป-คุณอู่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆนะคะเนี้ย นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกัน แม้จะอยู่ห่างกันหลายพันไมล์ก็ต้องถูกลิขิตให้มาพบกันอยู่ดี ชะตาเราต้องกันขนาดนี้ คุณไม่พิจารณาเรื่องอุปถัมภ์ฉันใหม่หน่อยเหรอ?”

 

ลู่ชิงหยุนไม่พูดตอบ แต่เขากลับยิ้มก่อนจะค่อยๆเลื่อนระดับสายตาจากใบหน้าของฉีเพิ่งไล่ลงไปจนถึงหน้าอกของเธอ ระลอกคลื่นเล็กๆในแววตาของเขา ใครก็คงดูออกว่ามันเป็นสายตาที่บ่งบอกว่าเขากําลังดูถูกเธออยู่ชัดๆ!

ฉีเชิงมองตามสายตาของเขาก่อนที่สีหน้าของเธอจะเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดครื้ม “ไอ้บ้านี้ กําลังเหยียดหน้าอกของเธออีกแล้วใช่ไหม? นี่แกตาถั่วเหรอยะ! มองดูดีๆสิ นี่มันอย่างน้อยก็คัพบีแล้วนะ! ว่าแต่ไอ้บ้า! ไอ้ทะลึ่ง! ไอ้โรคจิตเอ้ย! เจอหน้ากันแกก็มอง หน้าอกฉันก่อนเลยเนี้ยนะ มองหน้าตรูสิเว้ย มองหน้า! ”

“ พี่ใหญ่ลี” ถังหยวนที่พึ่งวิ่งไล่ตามลู่ชิงหยุนมาจากด้านหลัง มองฉีเชิงด้วยใบหน้างุนงงเล็กน้อยตอนที่เห็นเธออยู่ตรงนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความเกลียดชังและอิจฉาอย่างรวดเร็ว “เจียงหวันทําไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

หรือว่าตอนนี้เธอกําลังคุยๆกับพี่ใหญ่ล่อยู่? แล้วพี่ใหญ่ลู่ไปรู้จักเธอได้ยังไง” เพียงไม่กี่วินาที่จิตใจของถังหยวนก็เริ่มปั่นป่วนไปหมดแล้ว

ฉีเชิงมองไปที่ถังหยวนก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงยียวน “เอ๊ะ…ฉันว่าขานี่มันก็ขาของฉันนะ ร่างกายเบี้ยก็ด้วย เพราะฉะนั้นฉันจะไปที่ไหนก็ได้ที่ฉันอยากไป ฉันว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอนะ”

 

ผู้หญิงคนนี้มีน่าจะความสัมพันธ์อะไรกับลู่ชิงหยุนจริงๆ ถึงมันจะไม่ได้ถูกกล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง

 

ฉีเซิงค่อยๆครุ่นคิด เพราะถ้าตามเนื้อเรื่องเดิมแล้ว ถังหยวนจะปรากฏตัวแค่เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น “เอิ่ม…นี่ฉันไปเปิดโหมดเนื้อเรื่องเสริมตอนไหน?”

ถังหยวนแทบจะอยากกรีดร้องใส่หน้าฉีเชิง แล้วก็ด่าทอสาปแช่งให้หนัก แต่เพราะลู่ชิงหยุนยังยืนอยู่ตรงนี้ เธอเลยทําได้แค่เพียงส่งเสียงเตือนฉีเพิ่งด้วยความโกรธ “ เจียงหวันฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ เลิกตอแยพี่ใหญ่อู่ซะเขาไม่ใช่คนที่เธอจะมาเพ้อฝันถึงได้!”

 

“เอ่อ..ฉันไม่ได้เพ้อฝันนะ” ฉีเชิงพูดอย่างจริงใจ “ฉันก็แค่ต้องการให้เขามาเป็นผู้อุปถัมภ์ของฉันก็เท่านั้น”

 

ฉันไม่ได้มโนนะยะหล่อน! แต่ผู้ชายคนนี้เจ็จองแล้วจ๊ะ?

 

ทันใดนั้นฉีเซิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ เมื่อเธอหันกลับไปมองก็เห็นลู่ชิงหยุนกําลังยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ใบหน้าดูยิ้มแย้มก็จริงแต่ในแววตากลับดูน่ากลัวมาก เหมือนเขาจะแผ่รังสีอํามหิตออกมาเบาๆด้วย ถ้าฉันพูดต่อ เขาคงจะไม่ฆ่าปิดปากฉันใช่ไหม

“เธอ” ถังหยวนชี้ไปที่ฉีเชิงใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง…ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากความโกรธแค้นหรือความอับอาย “เธอไม่มียางอางบ้างเลยหรือยังไง?”

“เธอต้องการให้พี่ใหญ่ลุ่รับเธอไปดูแล แต่กลับบอกว่านั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน! ประสาท

“เธอกล้ามากที่มายุ่งกับพี่ใหญ่ลู่ของฉัน นังแพศยา! ฉันจะทําให้แกเห็นว่านรกมันเป็นยังไง! “รังสีอํามหิตเริ่มแผ่ออกมาจากตาของถังหยวน “พี่ใหญ่ลู่เป็นของฉันคนเดียว ใครก็แย่งเขาไปจากฉันได้ ไม่ได้!

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 33 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 33 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Side Character Transmigrations: The Final B… บทที่ 33 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก.. ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13)

บทที่ 33คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (13)

ทุกคนในออฟฟิศต่างสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความโกรธแค้นที่แผ่ออกมาจากตัวซีอีโอของพวกเขา หลังจากที่ฉีเซิง เซี่ยเหมิน และทีมงานกลับออกไปไม่มีใครรู้เรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขาคุยกัน แต่รู้เพียงแค่ว่าเจียงหวันสุดสิ้นสัญญาการเป็นนักแสดงภายใต้สังกัดของตงฟาง เอนเตอร์เทรนเมนท์แล้ว อีกทั้งยังหยินก็ยังลาออก ตามเธอไปด้วย

เซี่ยเหมินรับหน้าที่เป็นคนขับรถ ฉีเชิงเองก็เปลี่ยนไปนั่งที่ที่นั่งผู้โดยสารข้างๆเธอ ในขณะที่ยังหยินย้ายไปนั่งที่เบาะหลัง

 

จนตอนนี้ถังหยินก็ยังคงอยู่ภาวะตกตะลึงไม่หาย เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คําเดียวตอนที่อยู่ในออฟฟิศของซีโม่ เขาทําเพียงแค่ยืนนิ่งๆและฟังนักแสดงในความดูแลของตัวเองพร้อมกับเซี่ยเหมินตกลงกับซีโม่เท่านั้น และตอนนี้ไม่เพียงแต่สัญญาจะถูกยกเลิกไปแล้วเท่านั้นนะ แต่เขาก็ยังดันตามน้ําลาออกมากับเธอด้วยเนี้ยนะ? ให้ตายเถอะ T^T

“ฉันเลือกที่ตั้งของบริษัทได้แล้ว ส่วนเงินลงทุนก็จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” ฉีเซิงเพิกเฉยต่อสิ่งที่ถังหยินกําลังเผชิญอยู่ในใจก่อนเธอจะก้มลงไปจดข้อความบางอย่างบนสมุดบันทึกของเธอ “ถ้างั้นก็เหลือแค่ศิลปินสินะ”

“อืม, ฉันคิดว่าเราควรจะจ้างแมวมองที่มืออาชีพหน่อยมาช่วยเราหานะ” เซี่ยเหมินสูดลมหายใจเข้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอยังจําได้ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเธอทุ่มเอามรดกทั้งหมดที่พึ่งได้จากแม่ให้กับฉีเซิง ทั้งเงินสด อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่เครื่องประดับอย่างทองหรือเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งรวมมูลค่าแล้วกว่า 50 ล้านเหรียญดอลลาร์

คุณฟังไม่ผิดหรอก มันคือ 50 ล้านเหรียญไม่ใช่แค่ 5 ล้านเหรียญ พอนึกย้อนไปตอนนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทําไมเธอถึงได้เชื่อเจียงหวัน ทั้งๆที่สิ่งที่เธอพูดมันฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันซะมากกว่า แต่ทว่าอาจจะเพราะความจริงใจในน้ําเสียงที่เธอแสดงออกมามันมาก…มากเสียจนจิตใต้สํานึกของเธอมันบอกว่าให้เชื่อ

แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้นสินทรัพย์ทั้งหมดของเธอก็เพิ่มมูลค่าขึ้นมาอย่างเท่าทวีคูณ และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังตกตะลึงไม่หาย เธอทําได้ยังไงกัน นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ!”

 

“ฉันว่าจะขายพวกสินทรัพย์สภาพคล่องบางส่วน เพราะในอนาคตเราจะต้องใช้เงินจํานวนมากฉันต้องการเงินมากกว่านี้ แต่สําหรับช่วงเริ่มต้นแค่ 50 ล้านเหรียญดอลลาร์ก็น่าจะพอ”

 

เซี่ยเหมินไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เพราะถึงแม้ว่าเงินลงทุนจะเป็นของเธอ แต่ถ้าเป็นเธอยังไงก็ไม่มีทางทําให้มันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในเวลาอันรวดเร็วได้อย่างที่เธอทําแน่ๆ

 

“เดี๋ยวเดี๋ยวก่อนนะ…”ในที่สุดถังหยินก็เริ่มตอบสนอง“นี่พวกคุณจะเปิดบริษัทกันเหรอ

“ก็ใช่สิ…นี่บริษัทจดทะเบียนเรียบร้อยหมดแล้วด้วยนะ” ฉีเซิงหันไปมองหน้าถังหยินพลางพูด “แล้วพวกเราก็ตกลงกันเรียบร้อย แล้วด้วยว่าคุณจะต้องเป็นผู้ดูแลศิลปินทั้งหมดในบริษัทของเรา ส่วนเรื่องคัดคน อ่าฉันต้องการแบบว่า… สวยๆ น่ารักๆ แบบที่คนมานั่งจองได้เป็นชั่วโมงๆโดยที่ไม่เบื่อ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทําอะไรเลยอ่ะ”

เซี่ยเหมิน “….” “นั่นเธออยากหาศิลปิน หรือกําลังหาสมบัติของชาติอยู่กันแน่?

ถังหยิน “…” หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอไปทําอะไรมากันแน่?! ดาราสมัยนี้เขาต้องทําขนาดนี้แล้วหรอ? งั้นคําพูดที่เธอพูดในลิฟต์เธอก็เอาจริงนะสิ? ต้องใช่แระก็มันมาขนาดนี้แล้วนี่เนื้อะ!”

ทําไมผมรู้สึกเหมือนกับว่ากําลังจะขึ้นไปบนเรือของโจรสลัดยังไงก็ไม่รู้? ”

ด้วยคําแนะนําของถังหยิน ปัญหาบางอย่างที่พวกเธอสองคน มองข้ามก็ถูกเขาแก้ไขให้เรียบร้อย โดยที่พวกเธอไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเองให้เสียเวลา อาจจะเป็นเพราะถังหยินได้รับการอบรม และเลี้ยงดูมาจากตระกูลที่ร่ํารวย จึงทําให้เขาสามารถจัดการปัญหาพวกนี้ได้อย่างเรียบร้อย อย่างไรก็ตามถังหยินก็ได้รู้ว่าดาราในการดูแลของเขานั้นเก่งไม่เบาเลยทีเดียว

ด้วยว่าเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ดังนั้นเขาจึงพอรู้เรื่องราวชีวิตและพื้นหลังครอบครัวของเธอมาบ้าง แต่เท่ารู้มาเจียงหวัน น่าจะไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ํา เพราะฉะนั้นเธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน

และถึงแม้ว่าถังหยินจะมีข้อสงสัย ฉีเชิงก็ไม่เคยอธิบายอะไรไปมากกว่าการตอบว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่เป็นธรรมชาติสรรค์สร้างมาให้เธอตั้งแต่เกิด จนเมื่องานในบริษัทเริ่มเยอะ เขาถึงยุ่งๆจนเลิกซักไซ้ไล่เรียงเธอไปเอง

 

ช่วงที่ผ่านมาฉีเซิงโหมงานอย่างหนัก เธออยู่ในจุดที่ทํางานเป็นบ้าเป็นหลัง จนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้บริษัทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว เธอก็เลยเจียดเวลามาพักผ่อนได้สักที เธอค่อยๆเดินออกจากห้องส่วนตัว และอาจจะเพราะเธอเมานิดๆแล้วก็เวียนหัวด้วยเธอก็เลยเดินแบบตุปัดตุเปหน่อยๆ เธอตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ห้องน้ํา

 

ทางที่จะไปห้องน้ําเป็นทางเดินยาวโค้ง และขณะที่กําลังเดินอยู่นั้นตาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาของใครคนหนึ่งที่คุ้นเคย

 

ผู้ชายคนนั้นสวมชุดออกกําลังกายสีดําสนิทมือทั้งสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง และเนื่องด้วยว่าเขากําลังหันหน้าไปอีกทางจากตรงที่ฉีเชิงยืนอยู่ตอนนี้ เธอเลยไม่รู้ว่าเขากําลังแสดงอารณ์ยังไงอยู่

หญิงสาวร่างเพรียวสวมกระโปรงเข้ารูปเน้นให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนกําลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกทั้งคอและไหล่ของเธอก็โผล่พ้นขอบเสื้อออกมาเล็กน้อย ก่อนเธอจะกําลังเงยหน้าขึ้นมองชายผู้เป็นที่รักตรงหน้าอย่างมีความหมาย ฉีเซิงไม่ได้ประกาศตัวออกไป เธอเลือกที่จะพิงกําแพงข้างๆและแอบดูพวกเขาอยู่เงียบๆ

“พี่ใหญ่ลู่ พี่ก็กลับมาตั้งนานแล้วทําไมพี่ถึงยังไม่กลับเข้าบ้านอีก? คุณปูท่านคิดถึงพี่มากนะ….แล้วฉันเองก็คิดถึงพี่มากเหมือนกัน” ถังหยวนพูดด้วยน้ําเสียงเหนียมอาย

“ทําไมฉันต้องกลับ?”

 

ใบหน้าของอู่ชิงหยุนในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนั้นยิ่งทําให้ เขาหล่อและดูดีขึ้นมากๆ อีกทั้งดวงตาที่เปล่งประกายของเขาเมื่อแสงอ่อนๆตกกระทบภาพของเขาในตอนนี้ราวกับประติมากรรมชั้นยอด เป็นหนุ่มผู้สูงศักดิ์และสง่างามแต่ทําไมดูเหมือนมันเจือไปด้วยความโกรธล่ะ

“ เรา…” ถังหยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะพูดขี้นอีกครั้ง “ก็เพราะงานหมั้นของเราไงคะ”

“หมั้นเหรอ?” เสียงของลู่ชิงหยุนดังชัดขึ้นท่ามกลางบริเวณทางเดินที่เงียบงัน “ ถ้าฉันจําไม่ผิด เธอไม่ใช่เหรอที่เป็นคนไม่พอใจ เรื่องงานหมั้นในครั้งนั้น แล้วทําไมตอนนี้เธอถึงมากลับลําซะล่ะ?”

 

สีหน้าของถังหยวนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนเธอจะค่อยๆรวบรวมสติและพูดโต้ตอบออกไป “พี่ใหญ่ลู่ ฉันอธิบายเรื่องทั้งหมดได้นะ”

 

“ไม่” ดวงตาของลู่ชิงหยุนโค้งเป็นเสี้ยว ก่อนเขาจะเปิดปากอีกครั้งแล้วพูดว่า “ไม่จําเป็นต้องอธิบาย”

ราวกับว่ามีคนมากดปุ่มหยุดที่ถังหยวน เธอตัวแข็งที่อ และแม้ว่าเธอจะแต่งหน้าแต่ใบหน้าของเธอในตอนนี้กลับดูซีดไปหมด เธอจ้องมองที่ลู่ชิงหยุนด้วยความงุนงงอีกทั้งในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจ ความไม่เต็มใจและความรักอย่างสุดซึ้งต่อผู้ชายตรงหน้า ดูเหมือนตอนนี้ความรู้สึกทุกอย่างถูกผสมปนเปเข้าด้วยกันไปหมด

 

ลู่ชิงหยุนไม่ได้มองไปที่ถังหยวนอีก แต่เขากลับหันหลังให้เธอ และเดินมาทางที่ฉีเชิงกําลังยืนอยู่ดูเหมือนว่าเขาไม่แปลกใจเลยที่เห็นเธอราวกับว่าเขารู้แล้วว่าเธออยู่ตรงนั้น

นี่เพิ่งยังคงพิงกําแพงอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนเธอจะส่งยิ้มหวานเจี๊ยบให้เมื่อเห็นเขา “ผู้อุป-คุณอู่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆนะคะเนี้ย นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกัน แม้จะอยู่ห่างกันหลายพันไมล์ก็ต้องถูกลิขิตให้มาพบกันอยู่ดี ชะตาเราต้องกันขนาดนี้ คุณไม่พิจารณาเรื่องอุปถัมภ์ฉันใหม่หน่อยเหรอ?”

 

ลู่ชิงหยุนไม่พูดตอบ แต่เขากลับยิ้มก่อนจะค่อยๆเลื่อนระดับสายตาจากใบหน้าของฉีเพิ่งไล่ลงไปจนถึงหน้าอกของเธอ ระลอกคลื่นเล็กๆในแววตาของเขา ใครก็คงดูออกว่ามันเป็นสายตาที่บ่งบอกว่าเขากําลังดูถูกเธออยู่ชัดๆ!

ฉีเชิงมองตามสายตาของเขาก่อนที่สีหน้าของเธอจะเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดครื้ม “ไอ้บ้านี้ กําลังเหยียดหน้าอกของเธออีกแล้วใช่ไหม? นี่แกตาถั่วเหรอยะ! มองดูดีๆสิ นี่มันอย่างน้อยก็คัพบีแล้วนะ! ว่าแต่ไอ้บ้า! ไอ้ทะลึ่ง! ไอ้โรคจิตเอ้ย! เจอหน้ากันแกก็มอง หน้าอกฉันก่อนเลยเนี้ยนะ มองหน้าตรูสิเว้ย มองหน้า! ”

“ พี่ใหญ่ลี” ถังหยวนที่พึ่งวิ่งไล่ตามลู่ชิงหยุนมาจากด้านหลัง มองฉีเชิงด้วยใบหน้างุนงงเล็กน้อยตอนที่เห็นเธออยู่ตรงนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความเกลียดชังและอิจฉาอย่างรวดเร็ว “เจียงหวันทําไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

หรือว่าตอนนี้เธอกําลังคุยๆกับพี่ใหญ่ล่อยู่? แล้วพี่ใหญ่ลู่ไปรู้จักเธอได้ยังไง” เพียงไม่กี่วินาที่จิตใจของถังหยวนก็เริ่มปั่นป่วนไปหมดแล้ว

ฉีเชิงมองไปที่ถังหยวนก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงยียวน “เอ๊ะ…ฉันว่าขานี่มันก็ขาของฉันนะ ร่างกายเบี้ยก็ด้วย เพราะฉะนั้นฉันจะไปที่ไหนก็ได้ที่ฉันอยากไป ฉันว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอนะ”

 

ผู้หญิงคนนี้มีน่าจะความสัมพันธ์อะไรกับลู่ชิงหยุนจริงๆ ถึงมันจะไม่ได้ถูกกล่าวไว้ในเนื้อเรื่อง

 

ฉีเซิงค่อยๆครุ่นคิด เพราะถ้าตามเนื้อเรื่องเดิมแล้ว ถังหยวนจะปรากฏตัวแค่เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น “เอิ่ม…นี่ฉันไปเปิดโหมดเนื้อเรื่องเสริมตอนไหน?”

ถังหยวนแทบจะอยากกรีดร้องใส่หน้าฉีเชิง แล้วก็ด่าทอสาปแช่งให้หนัก แต่เพราะลู่ชิงหยุนยังยืนอยู่ตรงนี้ เธอเลยทําได้แค่เพียงส่งเสียงเตือนฉีเพิ่งด้วยความโกรธ “ เจียงหวันฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ เลิกตอแยพี่ใหญ่อู่ซะเขาไม่ใช่คนที่เธอจะมาเพ้อฝันถึงได้!”

 

“เอ่อ..ฉันไม่ได้เพ้อฝันนะ” ฉีเชิงพูดอย่างจริงใจ “ฉันก็แค่ต้องการให้เขามาเป็นผู้อุปถัมภ์ของฉันก็เท่านั้น”

 

ฉันไม่ได้มโนนะยะหล่อน! แต่ผู้ชายคนนี้เจ็จองแล้วจ๊ะ?

 

ทันใดนั้นฉีเซิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ เมื่อเธอหันกลับไปมองก็เห็นลู่ชิงหยุนกําลังยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ใบหน้าดูยิ้มแย้มก็จริงแต่ในแววตากลับดูน่ากลัวมาก เหมือนเขาจะแผ่รังสีอํามหิตออกมาเบาๆด้วย ถ้าฉันพูดต่อ เขาคงจะไม่ฆ่าปิดปากฉันใช่ไหม

“เธอ” ถังหยวนชี้ไปที่ฉีเชิงใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง…ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากความโกรธแค้นหรือความอับอาย “เธอไม่มียางอางบ้างเลยหรือยังไง?”

“เธอต้องการให้พี่ใหญ่ลุ่รับเธอไปดูแล แต่กลับบอกว่านั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน! ประสาท

“เธอกล้ามากที่มายุ่งกับพี่ใหญ่ลู่ของฉัน นังแพศยา! ฉันจะทําให้แกเห็นว่านรกมันเป็นยังไง! “รังสีอํามหิตเริ่มแผ่ออกมาจากตาของถังหยวน “พี่ใหญ่ลู่เป็นของฉันคนเดียว ใครก็แย่งเขาไปจากฉันได้ ไม่ได้!

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+