Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 9 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 9 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 9  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9)

 

แม้ว่าเสี่ยวเหว่ยจะไม่ได้เชื่อคำพูดของฉีเซิงเท่าไหร่นัก  แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ผู้หญิงเกือบจะแทบทุกคนเป็น มนุษย์ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นและขี้ระแวง สุดท้ายจึงจบลงด้วยการที่เธอไปดักรอซูอี้อี้อยู่ที่หน้าหอพัก

 

ราวกับโชคชะตาจะเล่นตลก ในจังหวะที่เธอไปถึงหน้าหอพักนั้น  เป็นช่วงเวลาที่ซูอี้อี้กำลังก้าวลงมากจากรถของหนานกงจิ่งพอดิบพอดี และด้วยคอนเซ็ปของนางร้ายทุกเรื่อง  เสี่ยวเหว่ยจึงกระโจนเข้าเส้นทางท้า มฤตยู โดยทันที เมื่อหนานกงจิ่งเคลื่อนรถจากไป   เสี่ยวเหว่ยก็ปรี่เข้าไปหาซูอี้อี้พร้อมประเคนฝ่ามือ อรหันต์ให้ทันที

 

“กะอีแค่รวยหน่อย  หล่อนคิดว่าจะรังแกใครก็ได้งั้นสิ?!!”  ในตอนนี้แม้แต่เซี่ยหนิงก็แสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมาเช่นกัน  ด้วยตัวเธอ,ซูอี้อี้ และเด็กสาวอีกคนหนึ่งในห้องพักนี้ ล้วนแต่มาจากครอบครัวที่ฐานะธรรมดาๆ  เสี่ยวเหว่ยเองก็เป็นเด็กสาวที่เป็นที่นิยมคนหนึ่งของภาควิชาทางศิลปะ  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเธอจะพอรู้จักอยู่บ้าง

 

อย่างไรก็ตามซูอี้อี้ไม่สามารถแสดงท่าทางที่สนใจเด็กสาวทั้งสองคนที่กำลังโกรธแค้นแทนเธอได้  ตอนนี้ในหัวของเธอมีแต่คำว่า ‘ซวีเฉิงเยว่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?  แล้วไหนจะข้าวของพวกนั้นอีก  เธอทำราวกับว่าจะมาพักอยู่ที่นี่อย่างนั้นแหล่ะ!  เธอคงไม่ได้คิดจะมาแก้แค้นฉันใช่ไหม?’

 

ในขณะที่ซูอี้อี้กำลังยุ่งวุ่นวายกับความคิดที่อยู่ในหัว  เสียงโทรศัพท์ของฉีเซิงก็ดังขึ้น  เมื่อสังเกตเห็นว่าชื่อของฉู่ถางกำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอ  ใบหน้าของฉีเซิงก็มืดครึ้ม

 

‘ฉันส่งข้อความหาเจ้าหมอนี่ทุกวัน  แต่เจ้านี่กลับตอนกลับเฉพาะตอนที่มีอารมณ์จะตอบ  แล้วตอนนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา ถึงได้โทรมาหาเธอ?’  ด้วยความหวาดระแวง  ฉีเซิงจึงปล่อยให้โทรศัพท์ของเธอกรีดร้องต่อไปสักพักก่อนที่จะกดรับสาย

 

“ลงมาข้างล่าง”  สี่พยางค์สั้นๆง่ายๆ  ถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงจอแจของผู้คนเข้ามาแทนที่

 

ฉีเซิง “……….”  ไปตายซะ!!

 

เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะมองลงไปด้านล่างผ่านทางหน้าต่าง  และตามคาดเธอมองเห็นรถปอร์เช่กำลังจอดอยู่ด้านล่าง  แน่นอนว่าฉีเซิงย่อมจำรถของฉู่ถางได้  เพื่อผลประโยชน์ในการทำภารกิจเฮงซวยให้สำเร็จ  ฉีเซิงจึงทำได้แค่คว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ  แล้วเดินมุ่งหน้าลงไปยังชั้นล่าง

 

“ฉันไม่คิดว่าเธอจะกลับมาอยู่หอ  ทำไมอยู่ดีๆเธอถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

 

“ไม่รู้สิ  ตอนที่ฉันมาถึงก็เจอเธอแล้วน่ะ”  เซี่ยหนิงเอ่ยตอบพร้อมยักไหล่

 

เด็กสาวอีกคนทำเสียงในลำคอเป็นเชิงดูถูก “ฉันว่าแม่นั่นต้องเป็นอีหนูของใครสักคนแน่ๆ  ไม่เห็นหรอว่าเธอแทบจะไม่กลับมานอนที่หอเลยด้วยซ้ำ  แถมดูเสื้อผ้าที่เธอใส่สิ  ของแบรนด์เนมทั้งนั้น  ไม่แน่นะ  ยายนั่นอาจจะโดนเสี่ยที่เลี้ยงเทมา  เลยต้องกับมาตายรังที่นี่ก็ได้”

 

“อันอัน  เธอพูดอย่างนั้นได้ยังไง…”  ซูอี้อี้พูดเสียงอ่อน

 

“ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดตรงไหนนิ  ดูสิว่าแม่นั่นวางท่าเป็นนางพญาแค่ไหน  ว่าแต่ว่าเมื่อกี้ยายนั่นมองอะไรที่ข้างล่างน่ะ?”

 

เซี่ยหนิงรีบผลุดลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง  ก่อนจะมองเห็นฉีเซิงกำลังเคาะบนกระจกของรถคันหนึ่ง

 

“เฮ้!  รีบมาดูนี่เร็ว   นั่นรถปอร์เช่ใช่ไหม?”

 

อันอันและซูอี้อี้รีบปรี่มายังข้างหน้าต่าง สายตาของพวกเธอจับจ้องไปยังรถสวยหรูสะดุดตาคันหนึ่งโดยทันที  พวกเธอทันได้เห็นฉีเซิงก้มตัวลงไปคุยกับคนในรถสองสามคำ  ก่อนจะก้าวขึ้นรถคันนั้นและจากไป

 

“เห็นม๊ะ  ฉันบอกแล้ว  แม่นั่นต้องเป็นเมียน้อยแน่ๆ”  แม้ว่าน้ำเสียงของอันอันจะส่อแววถากถาง แต่นัยน์ตาของเธอของเธอกลับไม่สามารถซ่อนความรู้สึกอิจฉาที่เต้นเร่าได้ ‘นั่นมันรถปอร์เช่เชียวน่ะ  คนที่สามารถเป็นเจ้าของรถแบบนั้นได้ต้องเป็นคนรวยมากๆแน่ๆ!’

 

ซูอี้อี้ฝืนยกยิ้ม  “เราไม่ควรจะยื่นจมูกไปยุ่งเรื่องของคนอื่นนะ”

 

เนื่องจากซวีเฉิงเยว่ไม่เคยโอ้อวด และไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนร่วมห้องพักของเธอเท่าไหร่นัก  ดังนั้นซูอี้อี้จึงเป็นคนเดียวในห้องที่รู้ดีว่า ซวีเฉิงเยว่เป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวย  และเพราะอันอันกับเซี่ยหนิง  ไม่ได้มีโอกาสได้คลุกคลีกับพวกคุณหนู คุณชายจากตระกูลที่ร่ำรวย หรือต่อให้พวกเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับซวีเฉิงเยว่  แต่ในข่าวลือพวกนั้นผู้คนกลับเรียกแทนเธอว่าคุณหนูซวี ยิ่งไปกว่านั้นประกอบกับที่ซวีเฉิงเยว่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกสื่อ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเธอจะไม่รู้ประวัติของตระกูลซวี

 

ซวีเฉิงเยว่ถูกลากตัวมางานเลี้ยงของชนชั้นสูงงานหนึ่ง    ภายในงานเต็มไปด้วยบุคคลที่ประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจทางการเงินจำนวนมาก  ซึ่งจะพบเห็นคนเหล่านี้ได้บ่อยๆในทีวี หรือหน้านิตยสารชื่อดัง  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ถางถึงอยากให้เธอมาเป็นคู่ควงให้เขาในงานนี้

 

เวลาผ่านไปจะกระทั่งเกือบจะห้าทุ่ม  ฉู่ถางจึงมาส่งเธอกลับหอพัก

 

“คุณฉู่คะ  ไหนละคะ  ค่าไปเป็นคู่ควงออกงานของฉัน?”  ฉีเซิงยื่นมือออกไปหาเขา

 

‘คนในงานพวกนั้นมองฉันยังกับสัตว์ประหลาด  ฉันรู้สึกเหมือนโดนจ้องจนตัวพรุนไปหมดแล้ว  อ๊า….อยากอะไรสักอย่างมาปลอบใจจริงๆ’

 

ฉู่ถางมองลงไปยังมือที่ยังคงแบอยู่อย่างรอคอยของเธอ  ก่อนจะยื่นมือของเขาออกมาจับเธอไว้

 

“ทำอะไรของคุณคะ?  นี่จะตีเนียนหรือไง?”  ฉีเซิงกระชากมือของเธอออก  ความไม่ชอบใจแสดงออกอย่างชัดเจนในน้ำเสียงของเธอ

 

“มูลค่าการจับมือของผมแพงมาก  แค่นี้คุณซวีก็น่าจะได้กำไรแล้วล่ะ”  ฉู่ถางยกยิ้มบางเบาให้กับฉีเซิง ภายใต้ความมืดภายในรถ  มีเพียงแสงสลัวๆจากภายนอกส่องเข้ามาให้เห็น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีของเขา แสงอันริบหรี่นั้นกลับยิ่งส่งผลให้เขาดูลึกลับราวกับปีศาจเจ้าเสน่ห์ผู้ซึ่งต้องการยั่วยวนเธอหลงใหลตกลงไปในห้วงอเวจีกับเขา

 

เธอรีบกระโจนออกจากรถ พร้อมทั้งกระแทกประตูรถดัง ปัง!  ก่อนจะรีบเดินสับเท้าบนส้นสูงคู่งามกลับเข้าไปยังหอพัก  เมื่อเธอกลับเข้าไปยังห้องพัก  เธอพบว่าเพื่อนร่วมห้องของเธอยังไม่หลับกัน

 

สังเกตเห็นฉีเซิงแต่งกายด้วยชุดราตรีหรูหรา  อันอันทำเสียงแค่น “ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดนี้แล้วแท้ๆ  เธอยังมีหน้ากลับมานอนที่นี่อีกเหรอ?”

 

“อันอัน” ซูอี้อี้รีบเอ่ยปราม  แล้วหันมามองฉีเซิงด้วยใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจ “อันอันเขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าร้ายอะไรเธอหรอกน่ะ”

 

ฉีเซิงกวาดสายตาเย็นยาตอบกลับไป  ก่อนเธอจะคว้าเสื้อผ้าของเธอเดินเข้าห้องน้ำไป  โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับแม้แต่คำเดียว

 

“ดูแม่นั่นทำตัวสิ”  อันอันพูดด้วยเสียงดัง  ต่อให้เป็นห้องข้างๆก็อาจจะได้ยินเสียงของเธอ

 

ฉีเซิงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พบกับซูอี้อี้ยืนขวางทางเธออยู่หน้าประตูห้องน้ำ

 

เมื่อเผชิญหน้ากับฉีเซิง  ซูอี้อี้จึงกดเสียงต่ำลงพร้อมเอ่ยถามว่า  “อะไรทำให้เธอคิดจะมาอยู่ที่นี่?”

 

“ทำไมฉันถึงจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้  มหาลัยนี้ตระกูลเธอเป็นคนสร้างหรือไง?” ฉีเซิงมองดูซูอี้อี้ด้วยสายตาขบขัน

 

“ไม่…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  ฉันแค่…”  ซูอี้อี้กำชายเสื้อของเธอแน่น  สีหน้าของเธอพลันแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “ฉันไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้  วันนั้น….ฉัน….ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆที่จะให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น”

 

อย่างไรก็ตามเมื่อสังเกตุซูอี้อี้ดีๆ  แม้ว่าจะไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน  แต่เมื่อเพ่งมองดีๆจะพบว่าในแววตาของเธอแสดงถึงความหยิ่งผยองในชัยชนะ

 

“หลีกไป!!”

 

ฉีเซิงดื่มไวน์ไปนิดหน่อย  ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอยู่บ้าง  เธอจึงไม่มีอารมณ์จะมาเล่นเกมน้ำเน่ากับซูอี้อี้ในตอนนี้  เธออยากจะทิ้งตัวลงนอนเต็มแก่

 

“ฉันขอโทษ….ฉันไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆน่ะ  ฉันรู้ว่าฉันคงไม่สามารถที่จะชดเชยกับสิ่งที่ฉันทำกับเธอได้…”

 

ฉีเซิงยกมือนวดขมับของเธอก่อนจะผลักซูอี้อี้ออกให้พ้นทาง  เธอออกแรงไม่ได้มากนัก  อย่างมากก็แค่ทำให้ซูอี้อี้พ้นจากทางเดินของเธอ  แต่กลับกลายเป็นว่าซูอี้อี้กลับล้มลงบนพื้นเสียงดัง

 

“ซวีเฉิงเยว่  เธอผลักอี้อี้ทำไม?”  อันอันกระโจนออกมาจากเตียงของเธอพร้อมคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวใส่ฉีเซิง

 

ฉีเฉิงกัดฟันกรอด  ‘ถามตรงๆนะคุณนางเอก  เธอต้องการอะไรจากฉัน?  จุดประสงค์ของเธอคืออะไรกันแน่?  เอาล่ะ!  ฉันตัดสินใจแล้ว!  เกมใหม่ของฉันหักธงของแม่นางเอกจอมแอ๊บแบ้วนี่ให้เหี้ยน!!  ต่อให้นี่ไม่ได้เป็นความต้องการของซวีเฉิงเยว่คนก่อน  แต่ในเมื่อซูอี้อี้ต้องการจะเล่นเกมกับฉันนัก  ฉันก็จะฝืนใจเล่นกับเธอดูซักตา!!  แม่จะจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เลยคอยดูซิ!!’

 

“เธอขวางทางฉัน”  ฉีเซิงยิ้มเยาะให้กับอันอัน

 

“เธอ…”

 

“อันอัน  ฉันไม่เป็นไร  เฉิงเยว่เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก”  ซูอี้อี้ดึงอันอันผู้ซึ่งกำลังจะระเบิดอารมณ์  ก่อนจะอธิบายแทนฉีเซิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ซวีเฉิงเยว่  เธอผลักอี้อี้ทำไม?” เซี่ยหนิงก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย   ต่อให้ท่าทีของเธอจะดีกว่าอันอัน แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่พอใจเท่าไหร่นัก “ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่  เธอก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับพวกเราให้ได้  ไม่ใช่แค่ว่าเธอเห็นอี้อี้ อ่อรแอกว่าแล้วเธอจะมารังแกอี้อี้ไม่ได้!”

 

“หนิงหนิง  ฉันไม่เป็นไร”  ซูอี้อี้ลุกขึ้นจากพื้นพลางส่ายหัวให้เซี่ยหนิง  เธอแสดงท่าทางราวกับว่าช่างกล้าหาญ

 

อย่างไรก็ตามในสายตาของเซี่ยหนิง  ท่าทางของซูอี้อี้นั้นกลับคล้ายว่า  เธอไม่กล้าที่จะพูดความจริงเพราะกำลังกลัวฉีเซิง  นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อฉีเฉิงย่ำแย่ลงไปอีก

 

“เจ้าตัวเขาก็บอกแล้วนิว่าสบายดี  คนนอกอย่างพวกเธออย่าเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นน่าจะดีกว่า  ”  ฉีเซิงเดินผ่านหน้าของซูอี้อี้ได้เพียงสองก้าว  เธอก็หันหลังกลับไปมองแล้วฉีกยิ้ม  “ต่อให้ฉันรังแกเธอจริงแล้วยังไง  นั่นก็เพราะเธอติดหนี้ฉันอยู่”

 

สีหน้าของซูอี้อี้พลันเปลี่ยนไปแทบทันที  รวมถึงแสดงออกถึงความใคร่รู้ด้วย  เธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรท่าทีของซวีเฉิงเยว่จึงเปลี่ยนไปเป็นคนที่คาดเดาได้ยากขนาดนี้  เมื่อก่อนเธอเคยปั่นหัวของซวีเฉิงเยว่ด้วยคำพูดไม่กี่คำมาแล้วเสียด้วยซ้ำ  แต่ดูเธอตอนนี้สิเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน  ซวีเฉิงเยว่ปรายตามองเธอเหมือนกับว่าดูออกว่าเธอกำลังตั้งใจจะทำอะไร  นั่นทำให้ซูอี้อี้อ่อนแอและรู้สึกอับอายอย่างที่สุด

 

ฉีเซิงกลับไปยังเตียงของเธอ ‘ซูอี้อี้  ในเมื่อเธอกระตือรือร้นที่อยากจะเป็นหนี้พี่สาวคนนี้นัก  งั้นพี่สาวคนนี้ก็จะฝืนใจรับหนี้นี้ไว้ด้วยความเมตตาเอง!’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke 9 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9)

Now you are reading Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke Chapter 9 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 9  คุณหนูผู้มั่งคั่ง (9)

 

แม้ว่าเสี่ยวเหว่ยจะไม่ได้เชื่อคำพูดของฉีเซิงเท่าไหร่นัก  แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ผู้หญิงเกือบจะแทบทุกคนเป็น มนุษย์ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นและขี้ระแวง สุดท้ายจึงจบลงด้วยการที่เธอไปดักรอซูอี้อี้อยู่ที่หน้าหอพัก

 

ราวกับโชคชะตาจะเล่นตลก ในจังหวะที่เธอไปถึงหน้าหอพักนั้น  เป็นช่วงเวลาที่ซูอี้อี้กำลังก้าวลงมากจากรถของหนานกงจิ่งพอดิบพอดี และด้วยคอนเซ็ปของนางร้ายทุกเรื่อง  เสี่ยวเหว่ยจึงกระโจนเข้าเส้นทางท้า มฤตยู โดยทันที เมื่อหนานกงจิ่งเคลื่อนรถจากไป   เสี่ยวเหว่ยก็ปรี่เข้าไปหาซูอี้อี้พร้อมประเคนฝ่ามือ อรหันต์ให้ทันที

 

“กะอีแค่รวยหน่อย  หล่อนคิดว่าจะรังแกใครก็ได้งั้นสิ?!!”  ในตอนนี้แม้แต่เซี่ยหนิงก็แสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมาเช่นกัน  ด้วยตัวเธอ,ซูอี้อี้ และเด็กสาวอีกคนหนึ่งในห้องพักนี้ ล้วนแต่มาจากครอบครัวที่ฐานะธรรมดาๆ  เสี่ยวเหว่ยเองก็เป็นเด็กสาวที่เป็นที่นิยมคนหนึ่งของภาควิชาทางศิลปะ  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเธอจะพอรู้จักอยู่บ้าง

 

อย่างไรก็ตามซูอี้อี้ไม่สามารถแสดงท่าทางที่สนใจเด็กสาวทั้งสองคนที่กำลังโกรธแค้นแทนเธอได้  ตอนนี้ในหัวของเธอมีแต่คำว่า ‘ซวีเฉิงเยว่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?  แล้วไหนจะข้าวของพวกนั้นอีก  เธอทำราวกับว่าจะมาพักอยู่ที่นี่อย่างนั้นแหล่ะ!  เธอคงไม่ได้คิดจะมาแก้แค้นฉันใช่ไหม?’

 

ในขณะที่ซูอี้อี้กำลังยุ่งวุ่นวายกับความคิดที่อยู่ในหัว  เสียงโทรศัพท์ของฉีเซิงก็ดังขึ้น  เมื่อสังเกตเห็นว่าชื่อของฉู่ถางกำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอ  ใบหน้าของฉีเซิงก็มืดครึ้ม

 

‘ฉันส่งข้อความหาเจ้าหมอนี่ทุกวัน  แต่เจ้านี่กลับตอนกลับเฉพาะตอนที่มีอารมณ์จะตอบ  แล้วตอนนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา ถึงได้โทรมาหาเธอ?’  ด้วยความหวาดระแวง  ฉีเซิงจึงปล่อยให้โทรศัพท์ของเธอกรีดร้องต่อไปสักพักก่อนที่จะกดรับสาย

 

“ลงมาข้างล่าง”  สี่พยางค์สั้นๆง่ายๆ  ถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงจอแจของผู้คนเข้ามาแทนที่

 

ฉีเซิง “……….”  ไปตายซะ!!

 

เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะมองลงไปด้านล่างผ่านทางหน้าต่าง  และตามคาดเธอมองเห็นรถปอร์เช่กำลังจอดอยู่ด้านล่าง  แน่นอนว่าฉีเซิงย่อมจำรถของฉู่ถางได้  เพื่อผลประโยชน์ในการทำภารกิจเฮงซวยให้สำเร็จ  ฉีเซิงจึงทำได้แค่คว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ  แล้วเดินมุ่งหน้าลงไปยังชั้นล่าง

 

“ฉันไม่คิดว่าเธอจะกลับมาอยู่หอ  ทำไมอยู่ดีๆเธอถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

 

“ไม่รู้สิ  ตอนที่ฉันมาถึงก็เจอเธอแล้วน่ะ”  เซี่ยหนิงเอ่ยตอบพร้อมยักไหล่

 

เด็กสาวอีกคนทำเสียงในลำคอเป็นเชิงดูถูก “ฉันว่าแม่นั่นต้องเป็นอีหนูของใครสักคนแน่ๆ  ไม่เห็นหรอว่าเธอแทบจะไม่กลับมานอนที่หอเลยด้วยซ้ำ  แถมดูเสื้อผ้าที่เธอใส่สิ  ของแบรนด์เนมทั้งนั้น  ไม่แน่นะ  ยายนั่นอาจจะโดนเสี่ยที่เลี้ยงเทมา  เลยต้องกับมาตายรังที่นี่ก็ได้”

 

“อันอัน  เธอพูดอย่างนั้นได้ยังไง…”  ซูอี้อี้พูดเสียงอ่อน

 

“ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดตรงไหนนิ  ดูสิว่าแม่นั่นวางท่าเป็นนางพญาแค่ไหน  ว่าแต่ว่าเมื่อกี้ยายนั่นมองอะไรที่ข้างล่างน่ะ?”

 

เซี่ยหนิงรีบผลุดลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง  ก่อนจะมองเห็นฉีเซิงกำลังเคาะบนกระจกของรถคันหนึ่ง

 

“เฮ้!  รีบมาดูนี่เร็ว   นั่นรถปอร์เช่ใช่ไหม?”

 

อันอันและซูอี้อี้รีบปรี่มายังข้างหน้าต่าง สายตาของพวกเธอจับจ้องไปยังรถสวยหรูสะดุดตาคันหนึ่งโดยทันที  พวกเธอทันได้เห็นฉีเซิงก้มตัวลงไปคุยกับคนในรถสองสามคำ  ก่อนจะก้าวขึ้นรถคันนั้นและจากไป

 

“เห็นม๊ะ  ฉันบอกแล้ว  แม่นั่นต้องเป็นเมียน้อยแน่ๆ”  แม้ว่าน้ำเสียงของอันอันจะส่อแววถากถาง แต่นัยน์ตาของเธอของเธอกลับไม่สามารถซ่อนความรู้สึกอิจฉาที่เต้นเร่าได้ ‘นั่นมันรถปอร์เช่เชียวน่ะ  คนที่สามารถเป็นเจ้าของรถแบบนั้นได้ต้องเป็นคนรวยมากๆแน่ๆ!’

 

ซูอี้อี้ฝืนยกยิ้ม  “เราไม่ควรจะยื่นจมูกไปยุ่งเรื่องของคนอื่นนะ”

 

เนื่องจากซวีเฉิงเยว่ไม่เคยโอ้อวด และไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนร่วมห้องพักของเธอเท่าไหร่นัก  ดังนั้นซูอี้อี้จึงเป็นคนเดียวในห้องที่รู้ดีว่า ซวีเฉิงเยว่เป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวย  และเพราะอันอันกับเซี่ยหนิง  ไม่ได้มีโอกาสได้คลุกคลีกับพวกคุณหนู คุณชายจากตระกูลที่ร่ำรวย หรือต่อให้พวกเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับซวีเฉิงเยว่  แต่ในข่าวลือพวกนั้นผู้คนกลับเรียกแทนเธอว่าคุณหนูซวี ยิ่งไปกว่านั้นประกอบกับที่ซวีเฉิงเยว่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกสื่อ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเธอจะไม่รู้ประวัติของตระกูลซวี

 

ซวีเฉิงเยว่ถูกลากตัวมางานเลี้ยงของชนชั้นสูงงานหนึ่ง    ภายในงานเต็มไปด้วยบุคคลที่ประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจทางการเงินจำนวนมาก  ซึ่งจะพบเห็นคนเหล่านี้ได้บ่อยๆในทีวี หรือหน้านิตยสารชื่อดัง  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ถางถึงอยากให้เธอมาเป็นคู่ควงให้เขาในงานนี้

 

เวลาผ่านไปจะกระทั่งเกือบจะห้าทุ่ม  ฉู่ถางจึงมาส่งเธอกลับหอพัก

 

“คุณฉู่คะ  ไหนละคะ  ค่าไปเป็นคู่ควงออกงานของฉัน?”  ฉีเซิงยื่นมือออกไปหาเขา

 

‘คนในงานพวกนั้นมองฉันยังกับสัตว์ประหลาด  ฉันรู้สึกเหมือนโดนจ้องจนตัวพรุนไปหมดแล้ว  อ๊า….อยากอะไรสักอย่างมาปลอบใจจริงๆ’

 

ฉู่ถางมองลงไปยังมือที่ยังคงแบอยู่อย่างรอคอยของเธอ  ก่อนจะยื่นมือของเขาออกมาจับเธอไว้

 

“ทำอะไรของคุณคะ?  นี่จะตีเนียนหรือไง?”  ฉีเซิงกระชากมือของเธอออก  ความไม่ชอบใจแสดงออกอย่างชัดเจนในน้ำเสียงของเธอ

 

“มูลค่าการจับมือของผมแพงมาก  แค่นี้คุณซวีก็น่าจะได้กำไรแล้วล่ะ”  ฉู่ถางยกยิ้มบางเบาให้กับฉีเซิง ภายใต้ความมืดภายในรถ  มีเพียงแสงสลัวๆจากภายนอกส่องเข้ามาให้เห็น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีของเขา แสงอันริบหรี่นั้นกลับยิ่งส่งผลให้เขาดูลึกลับราวกับปีศาจเจ้าเสน่ห์ผู้ซึ่งต้องการยั่วยวนเธอหลงใหลตกลงไปในห้วงอเวจีกับเขา

 

เธอรีบกระโจนออกจากรถ พร้อมทั้งกระแทกประตูรถดัง ปัง!  ก่อนจะรีบเดินสับเท้าบนส้นสูงคู่งามกลับเข้าไปยังหอพัก  เมื่อเธอกลับเข้าไปยังห้องพัก  เธอพบว่าเพื่อนร่วมห้องของเธอยังไม่หลับกัน

 

สังเกตเห็นฉีเซิงแต่งกายด้วยชุดราตรีหรูหรา  อันอันทำเสียงแค่น “ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดนี้แล้วแท้ๆ  เธอยังมีหน้ากลับมานอนที่นี่อีกเหรอ?”

 

“อันอัน” ซูอี้อี้รีบเอ่ยปราม  แล้วหันมามองฉีเซิงด้วยใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจ “อันอันเขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าร้ายอะไรเธอหรอกน่ะ”

 

ฉีเซิงกวาดสายตาเย็นยาตอบกลับไป  ก่อนเธอจะคว้าเสื้อผ้าของเธอเดินเข้าห้องน้ำไป  โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับแม้แต่คำเดียว

 

“ดูแม่นั่นทำตัวสิ”  อันอันพูดด้วยเสียงดัง  ต่อให้เป็นห้องข้างๆก็อาจจะได้ยินเสียงของเธอ

 

ฉีเซิงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พบกับซูอี้อี้ยืนขวางทางเธออยู่หน้าประตูห้องน้ำ

 

เมื่อเผชิญหน้ากับฉีเซิง  ซูอี้อี้จึงกดเสียงต่ำลงพร้อมเอ่ยถามว่า  “อะไรทำให้เธอคิดจะมาอยู่ที่นี่?”

 

“ทำไมฉันถึงจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้  มหาลัยนี้ตระกูลเธอเป็นคนสร้างหรือไง?” ฉีเซิงมองดูซูอี้อี้ด้วยสายตาขบขัน

 

“ไม่…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  ฉันแค่…”  ซูอี้อี้กำชายเสื้อของเธอแน่น  สีหน้าของเธอพลันแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “ฉันไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้  วันนั้น….ฉัน….ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆที่จะให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น”

 

อย่างไรก็ตามเมื่อสังเกตุซูอี้อี้ดีๆ  แม้ว่าจะไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน  แต่เมื่อเพ่งมองดีๆจะพบว่าในแววตาของเธอแสดงถึงความหยิ่งผยองในชัยชนะ

 

“หลีกไป!!”

 

ฉีเซิงดื่มไวน์ไปนิดหน่อย  ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอยู่บ้าง  เธอจึงไม่มีอารมณ์จะมาเล่นเกมน้ำเน่ากับซูอี้อี้ในตอนนี้  เธออยากจะทิ้งตัวลงนอนเต็มแก่

 

“ฉันขอโทษ….ฉันไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆน่ะ  ฉันรู้ว่าฉันคงไม่สามารถที่จะชดเชยกับสิ่งที่ฉันทำกับเธอได้…”

 

ฉีเซิงยกมือนวดขมับของเธอก่อนจะผลักซูอี้อี้ออกให้พ้นทาง  เธอออกแรงไม่ได้มากนัก  อย่างมากก็แค่ทำให้ซูอี้อี้พ้นจากทางเดินของเธอ  แต่กลับกลายเป็นว่าซูอี้อี้กลับล้มลงบนพื้นเสียงดัง

 

“ซวีเฉิงเยว่  เธอผลักอี้อี้ทำไม?”  อันอันกระโจนออกมาจากเตียงของเธอพร้อมคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวใส่ฉีเซิง

 

ฉีเฉิงกัดฟันกรอด  ‘ถามตรงๆนะคุณนางเอก  เธอต้องการอะไรจากฉัน?  จุดประสงค์ของเธอคืออะไรกันแน่?  เอาล่ะ!  ฉันตัดสินใจแล้ว!  เกมใหม่ของฉันหักธงของแม่นางเอกจอมแอ๊บแบ้วนี่ให้เหี้ยน!!  ต่อให้นี่ไม่ได้เป็นความต้องการของซวีเฉิงเยว่คนก่อน  แต่ในเมื่อซูอี้อี้ต้องการจะเล่นเกมกับฉันนัก  ฉันก็จะฝืนใจเล่นกับเธอดูซักตา!!  แม่จะจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เลยคอยดูซิ!!’

 

“เธอขวางทางฉัน”  ฉีเซิงยิ้มเยาะให้กับอันอัน

 

“เธอ…”

 

“อันอัน  ฉันไม่เป็นไร  เฉิงเยว่เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก”  ซูอี้อี้ดึงอันอันผู้ซึ่งกำลังจะระเบิดอารมณ์  ก่อนจะอธิบายแทนฉีเซิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ซวีเฉิงเยว่  เธอผลักอี้อี้ทำไม?” เซี่ยหนิงก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย   ต่อให้ท่าทีของเธอจะดีกว่าอันอัน แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่พอใจเท่าไหร่นัก “ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่  เธอก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับพวกเราให้ได้  ไม่ใช่แค่ว่าเธอเห็นอี้อี้ อ่อรแอกว่าแล้วเธอจะมารังแกอี้อี้ไม่ได้!”

 

“หนิงหนิง  ฉันไม่เป็นไร”  ซูอี้อี้ลุกขึ้นจากพื้นพลางส่ายหัวให้เซี่ยหนิง  เธอแสดงท่าทางราวกับว่าช่างกล้าหาญ

 

อย่างไรก็ตามในสายตาของเซี่ยหนิง  ท่าทางของซูอี้อี้นั้นกลับคล้ายว่า  เธอไม่กล้าที่จะพูดความจริงเพราะกำลังกลัวฉีเซิง  นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อฉีเฉิงย่ำแย่ลงไปอีก

 

“เจ้าตัวเขาก็บอกแล้วนิว่าสบายดี  คนนอกอย่างพวกเธออย่าเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นน่าจะดีกว่า  ”  ฉีเซิงเดินผ่านหน้าของซูอี้อี้ได้เพียงสองก้าว  เธอก็หันหลังกลับไปมองแล้วฉีกยิ้ม  “ต่อให้ฉันรังแกเธอจริงแล้วยังไง  นั่นก็เพราะเธอติดหนี้ฉันอยู่”

 

สีหน้าของซูอี้อี้พลันเปลี่ยนไปแทบทันที  รวมถึงแสดงออกถึงความใคร่รู้ด้วย  เธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรท่าทีของซวีเฉิงเยว่จึงเปลี่ยนไปเป็นคนที่คาดเดาได้ยากขนาดนี้  เมื่อก่อนเธอเคยปั่นหัวของซวีเฉิงเยว่ด้วยคำพูดไม่กี่คำมาแล้วเสียด้วยซ้ำ  แต่ดูเธอตอนนี้สิเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน  ซวีเฉิงเยว่ปรายตามองเธอเหมือนกับว่าดูออกว่าเธอกำลังตั้งใจจะทำอะไร  นั่นทำให้ซูอี้อี้อ่อนแอและรู้สึกอับอายอย่างที่สุด

 

ฉีเซิงกลับไปยังเตียงของเธอ ‘ซูอี้อี้  ในเมื่อเธอกระตือรือร้นที่อยากจะเป็นหนี้พี่สาวคนนี้นัก  งั้นพี่สาวคนนี้ก็จะฝืนใจรับหนี้นี้ไว้ด้วยความเมตตาเอง!’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+