The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 119 ข้าไม่เชื่อว่าทำไม่ได้

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 119 ข้าไม่เชื่อว่าทำไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.119 ข้าไม่เชื่อว่าทำไม่ได้

ช่วงบ่าย การฝึกทหารยังคงดำเนินต่อไป

อาจารย์ใหญ่วิทยาลัยเทพสงครามฉินฮ่าวสวมชุดเกราะทหารจักรวรรดิ เขาลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปที่นักเรียนที่อยู่ด้านหน้า “นักเรียนสองร้อยคนนี้เป็นนักเรียนชั้นยอดที่จะจบการศึกษาในปีนี้ และเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฝึกสอนให้เป็นครูฝึกระดับดาวสีทอง อีกเดี๋ยวจบการฝึกซ้อม นักเรียนเหล่านี้อาจจะไปขอคำชี้แนะครูฝึกด้วยตนเอง”

เหลยหงพยักหน้ายิ้ม “อืม”

……

หลินมู่อวี่มองออกไปไกลๆ แล้วถามขึ้น “อาจารย์ใหญ่ฉินฮ่าวท่านนี้ก็เป็นคนของตระกูลฉินหรือ”

ฉินจื้อหลิงกล่าวเสียงเบา “หลินจื้อ อาจารย์ใหญ่ฉินฮ่าวเป็นตระกูลฉินสายรอง ถึงไม่ใช่สายตรง แต่พรสวรรค์ของเขานั้นโดดเด่นมาก ตอนนี้อยู่ขั้นจักรพรรดิสวรรค์ระดับแปดสิบเจ็ด ดังนั้นถึงแม้จะเป็นชนชั้นสูงที่ตกต่ำ แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนได้รับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยเทพสงคราม ดำรงยศเป็นแม่ทัพ ซึ่งพบได้น้อยมาก”

“อ่อ” หลินมู่อวี่รู้สึกเคารพนับถือฉินฮ่าวผู้นี้ขึ้นมากขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

ตอนนี้การฝึกซ้อมช่วงบ่ายได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เกอหยางถือม้วนกระดาษ กล่าวด้วยเสียงอันดัง “การฝึกซ้อมระดับดาวสีทอง คู่แรก การฝึกซ้อมทักษะมวย โดยครูฝึกดาวทองจางเหว่ยคู่กับผู้ช่วยฝึกดาวทองหลินจื้อ!”

จางเหว่ยงุนงงอยู่บนหลังม้า “หา? ข้ากลายเป็นครูฝึกดาวทองตั้งแต่เมื่อไหร่”

เหลยหงหัวเราะน้อยๆ แล้วโยนของชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งออกไป “ก็เป็นตอนนี้แหละ”

จางเหว่ยรับมามอง เป็นตราสัญลักษณ์ของครูฝึกดาวสีทอง จึงดีใจรีบเปลี่ยนกับตราสัญลักษณ์ดาวสีเงินอันเดิม พลิกตัวลงจากม้า กระโดดลงไปกลางลานฝึกซ้อม

หลินมู่อวี่เองก็กระโดดลงจากม้า กระบี่เหลียวหยวนสะพายอยู่ด้านหลังไม่ได้ชักออกจากฝัก เดินตัวตรงมาหยุดอยู่หน้าจางเหว่ย ประสานมือกล่าว “ใต้เท้าจางเหว่ย โปรดชี้แนะ!”

จางเหว่ยหัวเราะฮ่าๆ “สหายหลินจื้อไม่จำเป็นต้องมากพิธี มาเถอะ!”

ทันใดนั้นเขาคำรามออกมา วิญญาณยุทธ์หมีเพลิงปรากฏที่แขนทั้งสองข้าง หมัดกระชากวิญญาณบอกจะมาก็มา ส่งเสียงคำรามดั่งสายลม หมัดตรงที่มีอานุภาพรุนแรง ถึงขั้นที่เปลวเพลิงรอบหมัดกลายเป็นลมร้อนพัดใส่นักเรียนที่ยืนอยู่ใกล้จนต้องพากันถอยหลังออกไป สีหน้าแต่ละคนตกใจหวาดกลัว พลังของครูฝึกดาวทองไม่ธรรมดาจริงๆ

ใต้แววตาอันตื่นตระหนกของฝูงชน หลินมู่อวี่กลับรับมือได้ทุกกระบวนท่า ยกแขนโบกเบาๆ วิญญาณยุทธ์ก็ปรากฏขึ้น การป้องกันสองชั้นของกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรไหลวนอยู่รอบตัว บนแขนก็มีพลังสีขาวบริสุทธิ์ไหลอยู่จางๆ นั่นก็คือปราณยุทธ์!

“เอ๊ะ?” ผู้ช่วยฝึกดาวทองผู้นี้เป็นยอดฝีมือขอบเขตนภา นั่นปราณยุทธ์นี่นา!

ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา กลุ่มนักเรียนต่างเลื่อมใส หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดังออกมา “ข้ารู้มาว่า เมื่อเร็วๆ นี้วิหารศักดิ์สิทธิ์ปรากฏผู้ช่วยฝึกดาวทองเพียงผู้เดียวนามว่าหลินจื้อ ตอนนั้นเขามีเพียงพลังแค่ขอบเขตปราชญ์ระดับห้าสิบเท่านั้น แต่ในวันนี้เขาเข้าสู่ขอบเขตนภากลายเป็นปรมาจารย์สวรรค์แล้ว เลื่อนระดับได้รวดเร็วเหลือเกิน!”

“เปรี้ยง!”

หมัดที่ช่ำชองชกลงบนกระดองเต่าทมิฬ หลินมู่อวี่รีบถอยหลังอย่างเร็ว เขาหมุนตัวแต่ยังคงยืนอยู่บนลานฝึกซ้อม จางเหว่ยคำรามออกมา วาดขาออกและเร่งเปลวเพลิงขึ้นมา ส่วนหลินมู่อวี่กลับกระโจนตัวขึ้นกลางอากาศ ก้มหน้าลงมองและเห็นทักษะอันแสนจะภาคภูมิใจของจางเหว่ย “มังกรปฐพีทะยานฟ้า” ทักษะการใช้ขาที่จางเหว่ยถนัดที่สุด เท้าสองข้างล้อมด้วยเปลวเพลิงและเตะขึ้นไปบนท้องฟ้า เจ้านี่ไม่ออมมือสักนิด ความจริงแล้วจางเหว่ยเองก็รู้ดีว่าพลังของตนตอนนี้ไม่อาจทำร้ายหลินมู่อวี่ได้แล้ว ดังนั้นจึงลุยเต็มที่ เพียงแค่ให้ดูดีและอลังการเท่านั้นเอง!

หลินมู่อวี่กางฝ่ามือทั้งสองออก เขายังคงใช้ท่ามือ กลางฝ่ามือมีปราณยุทธ์ทะลักออกมารับการโจมตีของจางเหว่ย เขาลงมายืนอยู่บนพื้น กระดองเต่าทมิฬที่ถูกจางเหว่ยโจมตีเข้าต่อเนื่องจนเกิดรอยแตกนั้นฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือทักษะฟื้นฟูของต้นจิ้นหมู่ หลังจากครอบครองทักษะนี้แล้ว รอยแตกร้าวก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว นี่ก็คือส่วนที่ทรงพลังที่สุดของทักษะที่หกนี้

หลังจากโจมตีด้วยหมัดอย่างรุนแรงออกไปต่อเนื่องหลายครั้ง จางเหว่ยถอยกรูดไปอย่างรวดเร็วและยืนประชันหน้ากับหลินมู่อวี่ ประสานมือกล่าว “พลังของใต้เท้าหลินจื้อนั้นน่าอัศจรรย์ ข้าจางเหว่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้!”

หลินมู่อวี่ก็ประสานมือแล้วยิ้ม “ท่านจางเหว่ยออมมือแล้ว”

เกอหยางประกาศเสียงดัง “เสมอ! ทักษะหมัดของจางเหว่ยนั้นมีที่มาจากหมัดเพลิงสงครามของเทพสงครามเซี่ยงเหวินเทียน นักเรียนคนไหนอยากเรียกทักษะหมัดเพลิงก็รีบมาขอคำชี้แนะกับใต้เท้าจางเหว่ยได้ทันที”

ครู่เดียว จางเหว่ยก็ถูกกลุ่มนักเรียนล้อมรอบ แต่การได้รับความนิยมเช่นนี้ ชายผู้นี้เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขออกมา

หลินมู่อวี่ค่อยๆ เดินกลับมายังแถวผู้ช่วยฝึก ยืนอยู่ด้านหน้าสุดและพลิกตัวขึ้นม้า

……

เกอหยางกล่าวต่อ “การฝึกซ้อมระดับดาวทองคู่ที่สอง ครูฝึกโล่ดาบเจิ้งชานเหอคู่กับผู้ช่วยฝึกดาวเงินหม่าหลิน!”

หม่าหลินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบาก ว่ากันว่าเขาเคยเป็นทหารรับจ้างชั่วร้ายมาก่อน แต่ต่อมากลับตัวกลับใจ เนื่องจากมีฐานะเป็นสามัญชน หลังจากเข้าร่วมวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วก็กลายเป็นผู้ช่วยฝึก ไม่มีทักษะที่ชำนาญอะไร แต่การป้องกันผิวทองแดงกระดูกเหล็กของเขากลับมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่ววิหารศักดิ์สิทธิ์

ฉินจื่อหลิงยิ้มพูด “ใต้เท้าหม่าหลินระวังด้วยล่ะ ได้ยินว่าใต้เท้าเจิ้งชานเหอช่วงนี้ฝึกฝนทักษะการโจมตีจนสำเร็จแล้ว…”

หม่าหลินหัวเราะฮ่าๆ “วางใจเถอะจื่อหลิง ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”

เจิ้งซานเหอถือโล่และดาบก้าวเข้าไปยืนในลานฝึก ในหมู่ครูฝึกดาวสีทองเขาเป็นคนที่ซื่อตรงที่สุดแล้ว หลังจากเริ่มประลองเขาก็แสดงทักษะดาบและวิธีการเดินป้องกัน ไม่ได้ทำร้ายหม่าหลินแม้แต่น้อย ความจริงแล้วการฝึกของเจิ้งซานเหอนั้นเหมาะสมกับนักเรียนทหารมากที่สุด เพราะอย่างไรเสียการต่อสู้ในสนามรบก็เป็นเกมระหว่างการรุกและรับเท่านั้น

ต่อสู้กันเกือบห้านาที ทั้งสองเสมอกัน กลุ่มนักเรียนก็ส่งเสียงกระหึ่ม นักเรียนจำนวนไม่น้อยพุ่งไปหาเจิ้งซานเหอ และเขาก็เริ่มสาธิตทักษะดาบให้แก่เหล่านักเรียนที่ข้างสนาม ความจริงมันก็ไม่ยุติธรรมสักเท่าไร เหล่านักเรียนต่างกรูกันเข้าไปหาแต่ครูฝึก ไม่มีผู้ใดเข้าไปถามผู้ช่วยฝึกเลย ราวกับว่าผู้ช่วยฝึกเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ

และตอนนี้เอง เกอหยางเปิดม้วนกระดาษและกล่าว “การฝึกซ้อมคู่ที่สาม ทักษะหอก ครูฝึกดาวสีทองจ้าวจิ้นคู่กับผู้ช่วยฝึกดาวสีเงินสือจงไห่!”

สือจงไห่เป็นนายทหารที่รบบนหลังม้าที่หาได้ยากในบรรดาผู้ช่วยฝึก เขาถือหอกเหล็กแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า เข้าสู่ลานฝึกซ้อม ประสานมือคำนับจ้าวจิ้นมาแต่ไกล พร้อมยิ้มกล่าว “ใต้เท้าจ้าวจิ้น โปรดออมมือด้วย…”

“เฮอะ!”

มุมปากจ้าวจิ้นเผยรอยยิ้มเย็นชา และไม่ตอบ

“ย้าก”

สือจงไห่คำรามออกมา ควบม้าจับทวนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจ้าวจิ้นก็พุ่งเข้ามาเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายพุ่งทวนออกมาแทบจะพร้อมกัน ทวนหลีฮวาของจ้าวจิ้นสะบัดออกกลางอากาศ พริบตาเดียว ปลายทวนหลีฮวาก็ถูกย้อมด้วยโลหิต ส่วนสือจงไห่ร้องครางออกมา เขาถูกทวนหลีฮวาแทงเข้าที่ท้องจนตัวลอย

เลือดไหลหยดลง จ้าวจิ้นสะบัดหอก ทันใดนั้นสือจงไห่ก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น

“อ๊ากกก…”

สือจงไห่ร้องโหยหวน บริเวณท้องเลือดไหลไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

เหลยหงขมวดคิ้วตะโกน “ท่านหมอ!”

หมอหลายคนรีบวิ่งเข้าไปรักษาสือจงไห่ เหลยหงประสานมือไปทางฉินฮ่าวที่อยู่ด้านข้าง “ขายหน้าใต้เท้าฉินฮ่าวแล้ว…”

ใบหน้าของฉินฮ่าวเรียบเฉยแล้วกล่าว “สนามรบก็ต้องมีการนองเลือดอยู่แล้ว จะขายหน้าได้อย่างไร อีกอย่างนักเรียนทหารเหล่านี้สักวันหนึ่งก็ต้องกลายเป็นนายทหารอยู่ในสนามรบที่นองไปด้วยเลือด ให้พวกเขาเห็นการต่อสู้ที่โหดร้ายแต่เนิ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน”

ในตอนนี้เอง จ้าวจิ้นควบม้ากลับเข้ามา ถือทวนหลีฮวาที่เปื้อนเลือดแล้วยิ้มกล่าว “ผู้ดูแลอาวุโส เมื่อครู่ข้าน้อยพลั้งมือทำร้ายใต้เท้าสือจงไห่ ต้องขออภัยด้วย เพียงแต่ทักษะการใช้ทวนบนหลังม้าที่แท้จริงยังไม่ได้แสดงออกมา ถ้าอย่างไร…ผู้ดูแลอาวุโสส่งผู้ช่วยฝึกคนใหม่ที่แข็งแกร่งมาเป็นคู่ฝึกได้หรือไม่ขอรับ”

มองไปที่อัฒจันทร์ตอนนี้ กลุ่มคนที่มีสัญลักษณ์เปลวเพลิงประดับอยู่ที่บ่าทยอยลุกขึ้นยืน แล้วยกไม้ยกมือหัวเราะ “ถูกต้อง ส่งผู้ช่วยครูฝึกที่แข็งแกร่งกว่านี้มา พวกเราต้องการชมทักษะทวนที่แท้จริงของมือทวนอันดับหนึ่งแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์!”

“นี่…”

เหลยหงขมวดคิ้วแน่น “ฮึ จ้าวจิ้น…”

จ้าวจิ้นที่อยู่กลางลานกลับยกทวนยาวแล้วตะโกนขึ้น “ท่านผู้ดูแลอาวุโส ผู้ช่วยฝึกที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์คือใต้เท้าหลินจื้อ ข้าน้อยเองก็อยากประลองกับใต้เท้าหลินจื้อมานานแล้ว มิสู้ใช้โอกาสในวันนี้ ผู้ดูแลอาวุโสโปรดให้โอกาสด้วย!”

คนตะโกนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยก็ตะโกนออกมาเช่นกัน “ใต้เท้าหลินจื้อโปรดรับคำท้า! ใต้เท้าหลินจื้อโปรดรับคำท้า!”

เหลยหงเดิมทีตั้งใจจะปกป้องหลินมู่อวี่ไว้ ไม่ให้เขาต้องประจัญหน้ากับจ้าวจิ้น แต่ตอนนี้ดูท่าจะปกป้องไม่ได้แล้ว ผู้ชมกำลังไม่พอใจ คนตั้งมากมายต้องการให้หลินมู่อวี่ออกมาสู้ การประลองนี้คงยากที่จะหลีกเลี่ยงแล้ว

“หลินจื้อ”

เหลยหงพูดอยู่ไกลๆ “เจ้ายินยอมที่จะประลองกับใต้เท้าจ้าวจิ้นหรือไม่ หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่บังคับเจ้า เพราะอย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็ประลองไปแล้ว ตามกฏ ไม่มีใครสามารถบังคับให้เจ้าประลองครั้งที่สองได้”

สายตาของหลินมู่อวี่หยุดอยู่ที่ร่างของสือจงไห่ที่อนาถอยู่บนพื้น ผู้ช่วยฝึกได้รับการดูถูกเช่นนี้อีกแล้ว ดูเหมือนสถานะของผู้ช่วยฝึกในวิหารศักดิ์สิทธิ์จะไม่เคยเปลื่ยนไปเลย วินาทีถัดมา แววตาของเขาก็ฉายแววความเด็ดเดี่ยวขึ้นมา ประสานมือคารวะ “ท่านผู้ดูแลอาวุโส ข้ายินดีประลอง แต่ต้องรับปากเงื่อนไขข้าหนึ่งข้อ อนุญาตให้ข้าโจมตีได้ด้วย!”

“อะไรนะ?” เหลยหงตะลึง

ฉินฮ่าวเองก็ตกตะลึง ลุกขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “น่าสนใจ ไม่คิดว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ยังมีวีรบุรุษหนุ่มที่กล้าหาญเช่นนี้ ใต้เท้าเหลยหง ข้าว่า…ท่านอนุญาตไปเถอะ อนุญาตให้หลินมู่อวี่โจมตีได้ ถึงจะทำร้ายอีกฝ่ายก็ห้ามเอาผิดเขา เป็นอย่างไร”

เหลยหงกัดฟัน “ก็ได้ ทางที่ดีเจ้าทั้งสองควรหยุดเมื่อถูกตัวกัน ห้ามทำร้ายกันและกัน มิเช่นนั้น…ข้าจะไม่อภัยให้เด็ดขาด!”

“ขอรับ!”

……

หลินมู่อวี่ควบม้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ยกมือขึ้นชักกระบี่เหลียวหยวนออกจากฝัก ปราณยุทธ์ค่อยๆ ไหลเข้าสู่กระบี่ จนกระบี่เหลียวหยวนส่องประกายเพลิงขึ้นมา กลุ่มนักเรียนส่งเสียงประหลาดใจ คนจำนวนไม่น้อยพากันอึ้งตาค้าง “กลิ่นอายทรงพลังมาก ผู้ช่วยฝึกผู้นี้แกร่งมาก…”

ห่างออกไป จ้าวจิ้นยกทวนพาดไว้ด้านหน้าตรงอก ยิ้มบางๆ “ท่านหลินจื้อ โปรดชี้แนะ”

ดวงตาของเขามีไอสังหาร หลินมู่อวี่เองก็รู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนของจวนเสินโหว และกลุ่มบนอัฒจันทร์ที่ตะโกนให้เขาออกมาก็เป็นคนของจวนเสินโหวเช่นกัน พวกคนเหล่านี้เป็นทหารของค่ายเสินเวย และนี่เป็นหลุมพราง พวกมันหวังให้หลินมู่อวี่กระโดดลงหลุมพราง ความจริงคนกลุ่มนี้รู้ว่าตัวเขามีพลังแค่ปรมาจารย์สวรรค์ระดับหกสิบ แต่จ้าวจิ้นนั้นระดับเจ็ดสิบ ห่างกันหนึ่งขอบเขต ในสายตาของพวกมัน เขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวจิ้นอย่างแน่นอนกระมัง

“ข้าบุกล่ะนะ!”

จ้าวจิ้นชิงลงมือก่อน เขาควบม้าจับทวนหลีฮวาพุ่งเข้าโจมตี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด