The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 155 มิได้หยุดพัก

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 155 มิได้หยุดพัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.155 มิได้หยุดพัก

บนหิมะมีกองปฏิกูลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตร อีกทั้งยังคงมีควันลอยขึ้นมา ความร้อนจากมันทำให้หิมะรอบๆ ละลายราวกับว่าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยพลังงานความร้อน

กองทหารของหลินมู่อวี่ต่างพากันมุงดูพร้อมสังเกตอยู่พักใหญ่ เว่ยโฉวครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “เมื่อพิจารณาจากสีและกลิ่นแล้ว…อาจเป็นสุกรไพรวัน หากมันสามารถปลดทุกข์ได้มากมายถึงเพียงนี้คงตัวใหญ่มากทีเดียว และถ้ามันกำลังหาอาหารอยู่ คงเดินไปได้ไม่ไกลนัก เราสามารถติดตามมันด้วยกลิ่นและรอยเท้าที่ทิ้งไว้ได้!”

หลังพูดจบเว่ยโฉวยื่นจมูกสูดกลิ่นในอากาศ ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะทำท่าทางเช่นนี้

หลินมู่อวี่คิดว่าการกระทำของเขาค่อนข้างตลก “เอาล่ะ เว่ยโฉวจะเป็นผู้นำทาง ไปกันเถิด!”

“ขอรับ!”

กองทหารรีบตามหลังเว่ยโฉวขณะที่เขาแกะรอยสัตว์ร้ายผ่านทะเลหิมะ เมื่อเคลื่อนทัพไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็ดลอดออกมา ‘กร้วม กร้วม’ เสียงนั่นดังมาจากสุกรไพรวันตัวมหึมาซึ่งกำลังเคี้ยววัชพืชใต้พื้นหิมะและยื่นก้นออกมาด้านนอก มันเป็นภาพที่ค่อนข้างตลก ทว่าสุกรตัวนี้มีขนาดใหญ่มากราวกับเนินเขาขนาดย่อมๆ เลยทีเดียว

“โอ้!”

เว่ยโฉวยิ้มร่าพร้อมกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องตามหาหมูป่าหนักหนึ่งพันกิโลกรัมแล้ว…เจ้าตัวนี้คงหนักราวห้าพันกิโลกรัมเสียกระมัง? มันอาจเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัยแล้วเป็นแน่!”

และใช่…สุกรตัวนี้กำลังเข้าสู่ภาวะช่วงโตเต็มวัย บนหน้าผากมีเส้นสีทองสองเส้นซึ่งหมายความว่ามันมีอายุสองพันปี อสูรตนนี้สามารถมีชีวิตได้อย่างยาวนานมันต้องกินอะไรเข้าไปเยอะมากแน่ๆ! ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็นึกถึงความทรงจำวัยเด็ก ตอนนั้นพ่อพาเขาไปกินหมูป่าและมันอร่อยมาก! อร่อยกว่าหมูที่เลี้ยงไว้เสียอีก! เขาพลันรู้สึกว่าหมูป่าสองพันปีตรงหน้าช่างน่าเอ็นดู

เว่ยโฉวยกมือขึ้นก่อนออกคำสั่งด้วยรอยยิ้ม “ล้อมปิดทางหนีของมันซะ ทุกคนระวังด้วย เราไม่สามารถใช้อาวุธใดๆ เพื่อสร้างความเสียหายกับมันได้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้สุกรตัวนี้ในพิธีบวงสรวงเหมันตฤดู…ทุกคนเข้าใจไหม?”

กลุ่มองครักษ์รักษาพระองค์ควบม้าไปอย่างเร่งรีบ จากนั้นเว่ยโฉวพุ่งตัวออกไปพร้อมชักกระบี่ เขาได้เป็นผู้นำทัพในครานี้…นั่นก็เพราะแขนของหลินมู่อวี่หักจึงไม่สามารถร่วมการต่อสู้ได้

ถึงกระนั้นอาอวี่ก็ควบม้าตามไปอย่างช้าๆ สุกรตัวนี้มีอายุเพียงสองพันปี เขามั่นใจว่าเว่ยโฉวจะสามารถจัดการมันได้ ทว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ทำให้มันบอบช้ำ

“เฮ้ย…เฮ้ย…” กลุ่มองครักษ์อวี้หลินเริ่มยั่วยุหมูป่าตัวนั้น

สุกรไพรวันยกหัวขึ้นพร้อมส่งเสียง ‘อู๊ด’ มันมองเหล่ากองทหารด้วยใบหน้าน่ารักไร้เดียงสา ทันใดนั้น! มันพลันรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่มันเห็นตรงหน้ากลับกลายเป็นเหล่าปีศาจร้ายที่หิวโหยเนื้อสุกร!

“อู๊ด อู๊ด…”

หมูป่าวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต…ทว่าเว่ยโฉวใช้พลังปราณสกัดมันไว้ สุกรพลิกตัวลุกอย่างรวดเร็วก่อนจะพยายามวิ่งหนีอีกครั้ง!

หลินมู่อวี่ทนดูต่อไม่ได้ เขายกแขนขวาขึ้นและเรียกเถาวัลย์น้ำเต้าจากใต้พื้นหิมะก่อนจะพันธนาการสุกรไพรวัน อาอวี่เหวี่ยงหมัดเสียงปีศาจออกไปดัง ‘เปรี้ยง’ จากนั้นการต่อสู้กับหมูป่าอายุสองพันปีก็เป็นอันจบลง หัวใจของมันถูกทำลายเพียงเสี้ยววินาทีด้วยหมัดเสียงปีศาจ ดังนั้นมันจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร?

“มันตายแล้วหรือขอรับ?” เว่ยโฉวตกตะลึง

“ใช่ เจ้าคิดว่ามันจะรอดหลังจากโดนหมัดเสียงปีศาจหรือ? หลินมู่อวี่ภูมิใจเล็กน้อย ทว่าไม่ออกอาการ

“หมัดเสียงปีศาจ?” เว่ยโฉวตกใจ “นั่นใช่…สิ่งที่ท่านเรียนรู้จากท่านชวีฉู่หรือไม่ขอรับ?

“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “ข้าฝึกกับท่านอาวุโสฉู่มาสักระยะหนึ่งแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหยินซาน หมัดเสียงปีศาจเป็นวิชาที่ท่านสอนข้ามา”

แววตาที่เว่ยโฉวมองไปยังหลินมู่อวี่ล้วนเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ชวีฉู่ผู้นี้ถือเป็นนักปราชญ์ฝีมือฉมังคนหนึ่งจากนักปราชญ์ทั้งหมดในแผ่นดินจีน ที่จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าโลกแห่งนี้มีนักชำนาญการขอบเขตปราชญ์ทั้งหมดกี่คน ทว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำงานให้จักรวรรดิ…ทั้งแผ่นดินจีนมีเพียงสองคนเท่านั้น…ชวีฉู่และเหล่ยหง!

ส่วนเจิ้งอี้ฝาน…คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าเขามีพลังยุทธ์มากถึงเพียงไหน…

ความจริงที่ว่าหลินมู่อวี่ได้เรียนทักษะวิชาจากชวีฉู่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหล่าองครักษ์รักษาพระองค์เกิดความเกรงกลัว

“ขอข้าลองหน่อย…”

เว่ยโฉวเดินอย่างสบายใจพร้อมล้วงมือลงไปใต้หิมะ เขาพยายามออกแรงยกหมูป่าตัวนี้ขึ้น ปราณยุทธ์โคจรรอบตัวขณะที่เว่ยโฉวคำรามเสียงทุ้ม “จงขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

“แซ่ก แซ่ก…”

มีเพียงหิมะเท่านั้นที่ขยับขณะที่ร่างหมูป่านิ่งสนิท…

องครักษ์นายหนึ่งหัวเราะออกมา “เว่ยโฉว สุกรตัวนี้มีน้ำหนักอย่างน้อยสี่ถึงห้าพันกิโลกรัม เจ้าจะยกมันด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? มา! ดึงมันขึ้นเกวียนเถิด ใครก็ได้ตักหิมะตรงหน้านี้ออกที เราจะกลับเมืองหลันเยี่ยนแล้ว!”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มระหว่างมองดูหมูป่าถูกลำเลียงขึ้นเกวียนอย่างช้าๆ เขาใช้มือปัดหิมะออกจากไหล่พลันรู้สึกว่า…สถานที่ที่เต็มไปด้วยหิมะแห่งนี้ช่างอิสระช่างน่าผ่อนคลายเหลือเกิน…แตกต่างจากเมืองหลันเยี่ยนที่มีเจิ้งอี้ฝาน เซี่ยงอวี้ เจิ้งฟาง หลัวซิ่ง และคนอื่นๆ คอยวางแผนคิดแต่จะฆ่าเขา!

เมื่อเทียบกับเมืองหลันเยี่ยน ป่าล่ามังกรแห่งนี้มีอิสระและไร้ข้อจำกัดมากกว่า

ทว่าอาอวี่มีฉินอิน เสี่ยวซี ฉู่เหยา เฟิงจี้ซิง ฉินหยาน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน จางเหว่ย และคนอื่นๆ ในเมืองหลันเยี่ยน เขามิได้มีเพื่อนอยู่ที่ป่าล่ามังกรแห่งนี้เลย ซึ่งชีวิตของหลินมู่อวี่ก็ผูกพันอยู่กับข้อเท็จจริงนี้

แม้ล้อเกวียนจะมีขนาดใหญ่ ทว่าเส้นทางบนภูเขานั้นขรุขระมาก รวมถึงยังมีพื้นที่หลายแห่งที่ไม่สามารถใช้ล้อเกวียนเดินทางข้ามผ่านไปได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวคือต้องหามเนื้อหมูป่าหนักห้าพันกิโลกรัมข้ามเส้นทางเหล่านั้นไป แน่นอน…ไม่ใช่เรื่องง่าย! ดังนั้นทหารที่ต้องรับหน้าที่นี้จะต้องเป็นทหารร่างกายกำยำถึงยี่สิบนาย ซึ่งเป็นองครักษ์ห้านายและทหารอีกสิบห้านาย ไม่มีใครทราบว่าระหว่างการเดินกลับนี้คานหามได้หักไปกี่อันแล้ว…

การเดินทางกลับนั้นใช้เวลานานกว่าขามามาก กองทหารใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการเดินทางกลับซึ่งแตกต่างจากครั้งเข้าป่าที่ขี่ม้าเพียงสี่วันเท่านั้น ทว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเขาสามารถกลับมาทันพิธีบวงสรวงเหมันตฤดู

ผ่านไปหกวัน…แขนที่หักของหลินมู่อวี่กลับมาเป็นปกติ เมื่อใช้ทักษะชีพจรวิญญาณตรวจสอบดูก็พบว่ากระดูกได้หลอมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แล้ว อาอวี่ช่วยทหารคนอื่นๆ หามสุกรไพรวัน โชคดีที่หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่องทำให้เนื้อหมูป่าไม่เน่าเสีย ส่วนเครื่องในก็ถูกชำแหละออกมาหมดแล้ว อีกทั้งระหว่างการเดินทางกลับเนื้อหมูก็ถูกบ่มด้วยหิมะอันหนาวเหน็บเป็นที่เรียบร้อย

ขณะที่กองทัพเดินทางอีกเพียงสองร้อยลี้ก็จะถึงเมืองหลวง หิมะได้หยุดตก ท้องฟ้าปลอดโปร่งและดวงอาทิตย์สาดแสงลงมายังร่างกายที่อิดโรยของพวกเขา

หลินมู่อวี่เดินนำหน้ากองทัพโดยมีเกวียนตามหลัง

“ท่านแม่ทัพ เราคงจะถึงเมืองหลันเยี่ยนในวันพรุ่งเป็นแน่!” เว่ยโฉวเอ่ยอย่างเปี่ยมสุข “พวกเราลุล่วงภารกิจทั้งหมดในการเดินทางเพียงครั้งเดียว นี่คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของหน่วยองครักษ์อินทรี ข้าสงสัยเหลือเกินว่าท่านผู้บัญชาการจะมีความสุขมากเพียงใด!”

หลินมู่อวี่ยิ้มมุมปาก “ไม่สำคัญว่าท่านผู้บัญชาการจะมีความสุขหรือไม่ เราเพียงมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจให้สำเร็จและหวังว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นก็เท่านั้น”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวกล่าวอย่างร่าเริง “เหล่าผู้คนที่รังอินทรีต่างมองว่าเราเป็นตัวตลก คงไม่คาดฝันว่าพวกเราจะลุล่วงภารกิจทั้งหมดภายในหนึ่งเดือนได้!”

“อืม ถูกต้อง!”

‘จิ้บ จิ้บ’ จู่ๆ ก็มีเสียงดังจากท้องฟ้า จากนั้นนกสีขาวก็ถลาลงบนไหล่ของหลินมู่อวี่ เขาจำนกตัวนี้ได้ทันทีเพราะลายที่เป็นเอกลักษณ์บนลำคอ มันเป็นนกพิราบสื่อสารของฉู่เหยาที่ชื่อเสี่ยวไป๋!

นักพิราบตัวนั้นพลันยกขาขึ้น หลินมู่อวี่จึงดึงกระดาษที่ขาของมันออกมา บนนั้นถูกเขียนด้วยตัวหนังสืออย่างสวยงามว่า ‘อาอวี่ ภารกิจของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จะกลับมาเมื่อใด?’

เป็นข้อความที่เขียนขึ้นอย่างสวยงามโดยฉู่เหยา

เว่ยโฉวมองข้ามไหล่หลินมู่อวี่ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนรอท่านกลับไปที่เมืองหลันเยี่ยนนะขอรับ…”

หลินมู่อวี่มองไปที่เว่ยโฉว “ถ้าไม่อยากโดนตี ก็พูดให้น้อยลงซะ…”

เว่ยโฉวเดินหนีไปพร้อมกับยิ้มอย่างซุกซน

หลินมู่อวี่ใช้กิ่งไม้ที่ไหม้เกรียมเขียนลงด้านหลังของกระดาษ ‘ข้าจะกลับเร็วๆ นี้ แล้วจะไปหาเมื่อไปถึงเมืองหลันเยี่ยน…หลินมู่อวี่’

จากนั้นนกพิราบสื่อสารก็โผบินออกไป นกตัวนี้ทำสัญญาเลือดกับหลินมู่อวี่และฉู่เหยาซึ่งเชื่อมต่อกับความรู้สึกของทั้งสอง เป็นเหตุให้เขารู้สึกผูกพันกับมัน

วันถัดมากองทหารของหลินมู่อวี่ก็มาถึงเมืองหลันเยี่ยนในเวลาพลบค่ำ พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้จึงตัดสินใจไปที่ค่ายรังอินทรีก่อน

มีองครักษ์รักษาพระองค์หลายนายใช้ตะเกียงส่องสว่างอยู่บนทางขึ้นภูเขา เมื่อเห็นกองทหารของหลินมู่อวี่ปรากฏตัว พวกเขาพลันตะโกนขึ้นว่า “กองทัพของท่านหลินมู่อวี่กำลังกลับมารายงานตัวที่ค่าย!”

จากนั้นผู้คนมากมายต่างพากันรุมล้อมกองทหารของหลินมู่อวี่ที่ถูกส่งไปทำภารกิจ

หลินมู่อวี่มีศิลาวิญญาณมากมายในกระเป๋าที่ไม่มีใครเห็น ทว่าสุกรไพรวันที่นำมาด้วยทำให้ทุกคนประหลาดใจมาก แม้กระทั่งองครักษ์ผู้มากประสบการณ์ก็มิเคยเห็นหมูป่าขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อน กลุ่มคนต่างชี้ไปที่มันพร้อมเผยสีหน้ายินดี

ทุกคนในกองทัพของหลินมู่อวี่ได้บรรลุภารกิจแล้ว…ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานที่น่าเบื่ออีกต่อไป!

ผู้บัญชาการเมิ่งฟางในชุดเกราะเต็มยศออกมากล่าวทักทายเมื่อพวกเขามาถึง เมิ่งฟางเผยรอยยิ้มจางๆ ขณะที่จับมือหลินมู่อวี่ก่อนกล่าวว่า “ท่านหลินมู่อวี่ คงเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับท่าน!”

หลินมู่อวี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม “พวกเราโชคดีที่ลุล่วงภารกิจและลำเลียงทุกสิ่งกลับมาได้ หมูป่าบนเกวียนด้านหลังนั่นข้าไม่ทราบว่ามันน้ำหนักเท่าใด ทว่ามากกว่าหนึ่งพันกิโลกรัมเป็นแน่!”

ดวงตาของเมิ่งฟางเป็นประกายราวกับคบเพลิงขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากนำเครื่องในออกแล้วหมูป่าตัวนี้คงหนักอย่างน้อยสี่พันกิโลกรัม! ฮ่าๆ หากนำไปใช้ในพิธิการ องค์จักรพรรดิต้องทรงพอพระทัยเป็นแน่ ทว่ามีอีกหนึ่งสิ่ง…ท่านได้รวบรวมศิลาวิญญาณที่จำเป็นทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?”

เป็นที่ทราบกันดีว่าฆ่าสุกรนั้นง่าย ทว่าการไล่ล่าสัตว์วิญญาณอายุกว่าห้าพันปีนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้แต่ผู้บัญชาการเมิ่งฟางเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าตนจะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงกองทหารของหลินมู่อวี่เลย…

ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังควักศิลาวิญญาณและกล่าวรายงาน ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปีนขึ้นจากเขาพร้อมหอบช่อดอกจื่อยินสีม่วงเข้มก่อนกล่าวว่า “ท่านหลินมู่อวี่แห่งค่ายรังอินทรีขอรับ!”

หลินมู่อวี่ตกตะลึงก่อนจะหันกลับพร้อมกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ข้าอยู่นี่”

ผู้ส่งสารเผยรอยยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “องค์หญิงอินทรงทราบว่าท่านหลินกลับมาถึงเมืองหลันเยี่ยนแล้ว พระองค์ทรงพระราชวินิจฉัยให้จัดพิธีเฉลิมฉลอง ณ จวนหงส์ไฟและเชิญท่านหลินเข้าร่วมขอรับ อีกทั้งพระองค์มีพระประสงค์ให้ข้าเรียนว่าองค์หญิงซีก็มาเข้าร่วมพิธีด้วย”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มออกมา และไม่คาดคิดว่าฉินอินจะได้รับข่าวสารการกลับมาของเขาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

“ได้โปรดรอจนกว่าข้าจะทำรายงานสำเร็จด้วยเถิด…”

“ท่านหลิน…” ผู้ส่งสารกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงอินทรงมีพระประสงค์ให้ท่านไปที่วังเจ๋อเทียนในทันที ส่วนการรายงาน…มันสามารถรอได้ใช่ไหมขอรับ?”

เมิ่งฟางพลันจับมืออาอวี่อย่างรวดเร็วก่อนกล่าวว่า “ใช่แล้ว พระประสงค์ขององค์หญิงสำคัญกว่าเป็นไหนๆ ท่านหลินมู่อวี่ควรรีบออกเดินทาง!”

“ขอรับท่านผู้บัญชาการ!”

หลินมูอวี่จับมือเมิ่งฟางด้วยท่าทีถ่อมตน จากนั้นเขาดึงบังเหียนม้าและตามผู้ส่งสารลงเขาไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด