The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 189 เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพมังกรพเนจร

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 189 เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพมังกรพเนจร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลานกว้างกลางตำหนักกวางโศกา ณ เวลานี้เต็มไปด้วยการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เหล่าขุนนางที่มาร่วมชุมนุมรวมไปถึงองครักษ์และทหารอวี้หลินอยู่กระจัดกระจายจนเต็มลาน หลังจากการลอบโจมตีของสำนักอัศวิน เฟิงจี้สิงจึงได้รวบรวมทหารกว่าหมื่นนายเพื่ออารักขาจักรพรรดิและองค์หญิงในตำหนักอย่างเต็มกำลัง

ท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งสองฝั่ง เฟิงจี้สิง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่ที่สวมชุดคลุมขาวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตามพรมแดงที่ถูกปูไว้จนถึงหน้าบัลลังก์จักรพรรดิฉินจิ้น ทั้งหมดทำการถวายบังคม “ทรงพระเจริญองค์จักรพรรดิ!”

หลินมู่อวี่รู้สึกปลื้มปีติอยู่ลึกๆ ตั้งแต่เขาเข้ามายังเมืองหลันเยี่ยนก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพทันที ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งดีสำหรับเขา เพราะหลินมู่อวี่อยากถวายบังคมเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเท่านั้น ไม่ต้องคุกเข่าบ่อยครั้งเหมือนพวกขุนนาง เพราะคนอย่างเขาไม่เหมาะกับการก้มหัวให้ใครง่ายๆ

ฉินจิ้นพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้!”

ฉินอินยืนยิ้มให้หลินมู่อวี่อยู่ข้างเสด็จพ่อของนาง ขณะที่เหล่าขุนนางก้มหน้าหมอบอยู่ ด้วยใบหน้าอันงดงามทำให้ฉินอินเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในจักรวรรดิ ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนแอบยิ้มและส่ายหัวเบาๆ ทว่าเฟิงจี้สิงกลับถลึงตาก่อนจะกล่าว “ไอ้แก่ฉู๋ จริงจังด้วย…”

หลินมู่อวี่หุบยิ้มเงยหน้ามองฉินอินและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“อุบ!”

ในที่สุดองค์หญิงก็หลุดหัวเราะ ทำให้ความตึงเครียดหายไปในพริบตา

“ฮ่าๆ”

ฉินจิ้นมองลูกสาวอันเป็นที่รักอย่างเหลืออดก่อนจะดุนาง “สำนักอัศวินเป็นกบฏใจหยาบที่เข้าจู่โจมตำหนักกวางโศกากลางดึกคืนหนึ่งซึ่งเป็นความผิดอันใหญ่หลวง ข้าจึงตัดสินให้มีการปราบปรามสำนักอัศวินทั่วอาณาจักร ส่งสาส์นไปยังเจ้าเมืองทุกเมืองให้ทำการกำจัดสำนักอัศวินทุกสาขาภายในหนึ่งเดือนทันที!”

“ทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางกล่าวสรรเสริญ

ฉินจิ้นถอนหายใจ “ครานี้ชางไป๋เฮ่อแห่งขอบเขตนภาก็ร่วมก่อกบฏด้วย ทว่าโชคยังดีที่เฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและทหารคนอื่นๆ อยู่ที่นั่น มิเช่นนั้นข้ากับองค์หญิงฉินอินคงไม่รอด และผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่งในการนี้คือหลินมู่อวี่ หากเขาไม่ขัดคำสั่งผู้บัญชาการหน่วยอินทรีเมิ่งฟางแล้วนำทัพองครักษ์อินทรีสามร้อยนายมา คงได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเป็นแน่”

ฉินจิ้นมองไปยังหลินมู่อวี่ด้วยสายตายกย่อง “หลินมู่อวี่ เจ้าประสงค์สิ่งใดเป็นการตอบแทน?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ “ข้าแต่ฝ่าพระบาท…ข้าน้อยผู้นี้ไม่ต้องการสิ่งใดเลยขอรับ…”

ทั้งฉินจิ้นและเหล่าขุนนางต่างพากันยิ้ม “เจ้าช่วยชีวิตข้ากับเหล่าขุนนางไว้ ทั้งยังเสี่ยงชีวิตกระโดดเข้าท้องงูเพื่อช่วยลูกสาวข้าอีก เป็นบุญคุณที่ทดแทนไม่ได้ หากข้าไม่มีสิ่งใดให้เจ้าเลยจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญูเอาได้ บอกมาเถิด…จะเป็นทรัพย์สินหรือตำแหน่งก็ย่อมได้”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าแต่ฝ่าพระบาท ข้ามิได้อับจนถึงขั้นไร้อันจะกิน เช่นเดียวกันกับตำแหน่ง…ข้าไม่ทราบดีถึงการจัดอันดับต่างๆ ในจักรวรรดิแห่งนี้ ข้าจึงให้คำตอบไม่ได้ว่าต้องการตำแหน่งใด ดังนั้นกระหม่อมขอตามพระทัยพระองค์เห็นสมควรและขอน้อมรับด้วยความยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นหัวเราะร่วน “ยอดเยี่ยมมากหลินมู่อวี่ เจ้าช่างนิสัยเหมือนท่านชวีฉูแห่งติ่งอัคนีเสียจริง”

เมื่อกล่าวจบฉินจิ้นจึงหันไปหาฉินอินที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวอิน เจ้าคิดว่าข้าควรมอบสิ่งใดให้แก่หลินมู่อวี่?”

ฉินอินกะพริบตากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ไม่มีประสบการณ์ด้านการนำทัพ เขาจึงไม่เหมาะกับตำแหน่งใหญ่ทางทหาร ข้าคิดว่า…เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันพิเศษระดับแม่ทัพมังกรพเนจร ให้เขาขึ้นเป็นผู้บัญชาการรังอินทรีและอนุญาตให้เข้าออกตำหนักเจ๋อเทียนได้อย่างอิสระ…เสด็จพ่อคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”

“พ่อเห็นด้วย!”

ฉินจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินมู่อวี่ เจ้าจะรับตำแหน่งที่องค์หญิงเสนอให้หรือไม่?”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “ขอรับ…ข้าน้อมรับตามที่องค์หญิงเสนอมา”

ฉินจิ้นหัวเราะก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “หลินมู่อวี่ ตามที่เจ้าได้รับแจ้งแล้ว ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพมังกรพเนจรและได้เงินเดือนเท่ากับผู้บัญชาการกองพัน อีกทั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการรังอินทรีแทนเจ้าคนไร้ประโยชน์เมิ่งฟางซึ่งจะถูกลดขั้นและส่งไปยังชายแดน!”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณขอรับฝ่าบาท!” หลินมู่อวี่ประสานมือคำนับ

เฟิงจี้สิงยิ้ม “ยินดีด้วยหลินมู่อวี่ องครักษ์อวี้หลินมีสามเหล่าทัพได้แก่ หน่วยมังกร หน่วยพยัคฆ์ และหน่วยอินทรี ตอนนี้เจ้าได้เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทั้งสามเช่นเดียวกับเจ้าบ้าฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนแล้ว!”

ในเมื่อฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์มังกร แสดงว่าสองในสามหน่วยองครักษ์อยู่ใต้บัญชาของหลินมู่อวี่และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน!

หลังจากนั้นฉินจิ้นจึงทำการมอบรางวัลให้แก่เฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและคนอื่นๆ ตามลำดับด้วยเหรียญทองและที่ดินต่างๆ ตามยศที่ได้รับ

หลินมู่อวี่ยืนฟังอย่างเงียบๆ อันที่จริงเขาไม่มีสิทธิ์มายืนฟังการประชุมนี้เสียด้วยซ้ำ ในบรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิทั้งสิบสี่ตำแหน่ง ได้แก่ แม่ทัพฝ่ายแข็งแกร่งและมีอำนาจอันดับสูงที่สุด รองลงมาเป็นแม่ทัพองครักษ์ตะวันออก และแม่ทัพพิทักษ์เมือง แม่ทัพองครักษ์ แม่ทัพระดับสูง แม่ทัพมังกรพเนจร พลจัตวา ผู้บัญชาการพิเศษ ผู้บัญชาการทหารม้า ผู้บัญชาการพลหอก ผู้นำ หัวหน้ากอง…ตามลำดับ หลินมู่อวี่ได้รับตำแหน่งมังกรพเนจร…เขาคิดว่าตนมีพลังมากกว่า และไม่ควรได้รับตำแหน่งระดับกลางเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น…หากไม่มีแม่ทัพมังกรพเนจรในเมืองหลันเยี่ยน ตอนนั้นกรมหลวงคงมีอำนาจเยอะกว่ากรมท้องถิ่นเป็นแน่ และอาจทำให้อำนาจในมือหลินมู่อวี่นั้นแปรเปลี่ยน ดังนั้นการที่ผู้บัญชาการระดับล่างอย่างเขาได้กลายเป็นแม่ทัพทหารชายแดนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก นั่นก็เพราะกรมหลวงต้องการให้คนของตนเองเข้าไปแทรกซึมอยู่นั่นเอง

หลังการอวยยศ ฉินจิ้นกระชับดาบไร้วิญญาณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถึงเวลาหารือกันแล้วว่าเราจะกำจัดกลุ่มกบฏสำนักอัศวินอย่างไรดี?”

แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยก้าวออกมาแล้วประสานมือคำนับ “ฝ่าบาท…คนของสำนักอัศวินกระจัดกระจายอยู่หลายแห่งในทุกเมือง อีกทั้งในแต่ละหัวเมืองใหญ่มีทหารกว่าสามล้านนายประจำการ ข้าน้อยเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“เลื่อนการพิจารณารึ?” ฉินเหลยขมวดคิ้ว “แม่ทัพอวี่เหวิน…สำนักอัศวินเกือบทำการปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิและองค์หญิงได้สำเร็จ เรายังต้องพิจารณาอันใดอีกรึ? หรือท่านคิดว่าราชวงศ์ฉินไม่สมควรมีชีวิตอยู่? หากองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้กำจัดสำนักอัศวิน พวกมันก็ต้องถูกกำจัดโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ!”

อวี่เหวินเซี่ยกล่าวตอบด้วยความตกตะลึง “ผู้บัญชาการฉินเหลย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ การถกประเด็นเรื่องนี้ไม่ควรเร่งร้อน…ให้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าขอรับ”

ฉินจิ้นเอ่ยขึ้น “อย่าทะเลาะกัน เฟิงจี้สิง…เจ้าเป็นคนที่รอบคอบและมีประสบการณ์ที่สุด เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

“ขอรับฝ่าพระบาท”

เฟิงจี้สิงคำนับด้วยแววตาเป็นประกาย “ง่ายมากขอรับ…เริ่มจากการกำจัดสำนักอัศวินบริเวณเมืองหลันเยี่ยนก่อน ตามด้วยส่งทหารชั้นยอดเข้ากำจัดสาขาทางตอนเหนือ เมื่อสถานการณ์ทางเหนือเริ่มคงที่แล้วเราจึงเข้าบุกฝั่งใต้ เช่นนี้ต่อให้พวกมันฝังรากลึกสักเพียงใดก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ฉินจิ้นพยักหน้ายิ้ม “เช่นนั้นข้าจะยกให้เจ้าเป็นคนควบคุมภารกิจนี้”

“ขอรับ!”

เฟิงจี้สิงประสานมือ “ทว่าข้ามีเรื่องอยากขอร้องพระองค์ขอรับ”

“ว่าอย่างไรเล่า?”

“ข้าต้องการคนสองคน”

“อืม…เจ้าต้องการผู้ใด?” ฉินจิ้นสงสัย

เฟิงจี้สิงยิ้ม “หลินมู่อวี่และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนขอรับ…องครักษ์สองคนนี้ฉลาดและแข็งแกร่ง หากได้ทั้งสองมาช่วยในภารกิจครั้งนี้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นเป็นสองเท่าขอรับ”

“ข้าเห็นด้วย!”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหามิได้ขอรับ” เฟิงจี้สิงเผยท่าทีแห่งความสุข

หลินมู่อวี่ขยับปากกล่าวเสียงอ่อย “ท่านได้ถามท่านพี่ใหญ่ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกับข้าหรือยัง? เช่นนี้เขาเรียกละเมิดสิทธิมนุษยชนนะขอรับ…”

เฟิงจี้สิงยังคงคำนับอยู่ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าโง่ พี่เฟิ้งผู้นี้ต้องการความช่วยเหลือ หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร? อีกอย่างภารกิจที่ต้องกำจัดสำนักอัศวินทั้งหมด หากข้าพลาดขึ้นมาเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนคอยเย้ยหยันข้าอยู่? ดีไม่ดีอาจถึงขั้นโดนกฎหมายอาญาและสูญเสียตำแหน่งผู้บัญชาการเชียวนะ”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นก็ดีสิขอรับ…ท่านจะได้มาเป็นผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างของข้า”

“ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีก…” เฟิงจี้สิงน้อยใจ

ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “ดูเหมือนเสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้จริงๆ…”

เฟิงจี้สิง “…”

หลินมู่อวี่ “…”

หลังการประชุมอย่างเป็นทางการจบลง จักรพรรดิอนุญาตให้ทุกคนแยกย้ายกลับเมืองหลันเยี่ยนได้ในช่วงบ่าย เหล่าขุนนางค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังจะกลับ จู่ๆ มีชายส่งสาสน์มาขอเข้าพบ “ท่านหลินมู่อวี่ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เข้าฝั่งที่ตำหนักของรับ!”

“งั้นรึ”

หลินมู่อวี่ตามคนส่งสาสน์ไป กระทั่งมาถึงตำหนักด้านหลัง เขาพบว่าฉินจิ้นและฉินอินได้รออยู่ก่อนแล้ว ฉินอินยังคงสวมชุดเจ้าหญิงขณะที่ฉินจิ้นเปลี่ยนจากชุดคลุมมังกรเป็นชุดสีขาวเรียบร้อยแล้ว ฉินจิ้นเอ่ยขึ้น “หลินมู่อวี่เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงเรียกเจ้ามา?

“หามิได้ขอรับ…” หลินมู่อวี่ตอบด้วยความสัตย์ซื่อ

ฉินจิ้นหัวเราะ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำในเมืองหยินซาน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมาจากไหน ตอนนี้เจ้านึกออกหรือยังเล่า?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ยังจำไม่ได้ขอรับ…”

“เยี่ยม!”

ฉินจิ้นสะบัดแขนเสื้อและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะอุปการะเจ้าเป็นลูกชาย เจ้าว่าอย่างไร?”

“อุปการะบุตรชาย?” หลินมู่อวี่ยิ่งทำตัวไม่ถูก…

ณ ป่าล่ามังกรบนภูเขาอันหนาวเหน็บก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

มีชายแก่คนหนึ่งมุดออกมาจากหลุมประหลาดหลุมหนึ่ง ผมขาวโพลนกับตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่สมุนไพรอยู่ข้างหลัง ใบหน้าเผยความภาคภูมิใจและหัวเราะออกมา “กระทั่งสมุนไพรระดับก็ถูกข้าคนนี้ค้นพบ! อืม…หลังจากนี้มาดูว่าเจ้าเด็กเมื่อวานซืนหลินมู่อวี่ยังจะกล้ากล่าวหาว่าข้าไม่รู้วิชาปรุงยาอีกหรือไม่?!”

ชายออกตัวบินมุ่งหน้าสู่เมืองหลันเยี่ยนทันที

เสียงฝีเท้าของม้ามาจากด้านล่างภูเขา ม้าศึกสีดำตัวหนึ่งหอบหายใจแรงขณะวิ่งตามถนนโดยมีชายแก่ถือไม้เท้าร่างโชกเลือดอยู่บนหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเลือดที่เกรอะกรังอยู่ตามเส้นผมและหนวดเคราของชายผู้นี้เป็นขององครักษ์และทหารอวี้หลิน…

ชางไป๋เฮ่อที่เหลือปราณยุทธ์ไม่ถึงครึ่งดูอ่อนแรงขณะกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าแห่งความเกลียดชัง “ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าฉินเหลยจะเข้าสู่ขอบเขตนภาขั้นสองแล้ว ไอ้บัดซบฉินเหลยกับโซ่เทวะของมัน! หากไม่เป็นเพราะมันข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว ไหนจะงูมังกรที่น่าสงสารของข้าต้องมาตายอีก…”

ทันใดนั้นก็ปรากฏไอร้อนระอุขึ้นเหนือหัวชางไป๋เฮ่อ

ชางไป๋เฮ่อเงยหน้าเห็นฝ่ามือเพลิงยักษ์ตกลงมาจากท้องฟ้า ความกดดันอันทรงพลังของขอบเขตนภาแผ่ออกมาจากสิ่งนี้! ไม่นานเสียงทุ้มของชวีฉูก็เอ่ยขึ้น “ไอ้แก่ชาง ไม่มีหนทางไปสู่สวรรค์สำหรับเจ้า คนชั่วช้าสมควรลงนรกเท่านั้น!”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 189 เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพมังกรพเนจร

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 189 เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพมังกรพเนจร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลานกว้างกลางตำหนักกวางโศกา ณ เวลานี้เต็มไปด้วยการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เหล่าขุนนางที่มาร่วมชุมนุมรวมไปถึงองครักษ์และทหารอวี้หลินอยู่กระจัดกระจายจนเต็มลาน หลังจากการลอบโจมตีของสำนักอัศวิน เฟิงจี้สิงจึงได้รวบรวมทหารกว่าหมื่นนายเพื่ออารักขาจักรพรรดิและองค์หญิงในตำหนักอย่างเต็มกำลัง

ท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งสองฝั่ง เฟิงจี้สิง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่ที่สวมชุดคลุมขาวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตามพรมแดงที่ถูกปูไว้จนถึงหน้าบัลลังก์จักรพรรดิฉินจิ้น ทั้งหมดทำการถวายบังคม “ทรงพระเจริญองค์จักรพรรดิ!”

หลินมู่อวี่รู้สึกปลื้มปีติอยู่ลึกๆ ตั้งแต่เขาเข้ามายังเมืองหลันเยี่ยนก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพทันที ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งดีสำหรับเขา เพราะหลินมู่อวี่อยากถวายบังคมเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเท่านั้น ไม่ต้องคุกเข่าบ่อยครั้งเหมือนพวกขุนนาง เพราะคนอย่างเขาไม่เหมาะกับการก้มหัวให้ใครง่ายๆ

ฉินจิ้นพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้!”

ฉินอินยืนยิ้มให้หลินมู่อวี่อยู่ข้างเสด็จพ่อของนาง ขณะที่เหล่าขุนนางก้มหน้าหมอบอยู่ ด้วยใบหน้าอันงดงามทำให้ฉินอินเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในจักรวรรดิ ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนแอบยิ้มและส่ายหัวเบาๆ ทว่าเฟิงจี้สิงกลับถลึงตาก่อนจะกล่าว “ไอ้แก่ฉู๋ จริงจังด้วย…”

หลินมู่อวี่หุบยิ้มเงยหน้ามองฉินอินและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“อุบ!”

ในที่สุดองค์หญิงก็หลุดหัวเราะ ทำให้ความตึงเครียดหายไปในพริบตา

“ฮ่าๆ”

ฉินจิ้นมองลูกสาวอันเป็นที่รักอย่างเหลืออดก่อนจะดุนาง “สำนักอัศวินเป็นกบฏใจหยาบที่เข้าจู่โจมตำหนักกวางโศกากลางดึกคืนหนึ่งซึ่งเป็นความผิดอันใหญ่หลวง ข้าจึงตัดสินให้มีการปราบปรามสำนักอัศวินทั่วอาณาจักร ส่งสาส์นไปยังเจ้าเมืองทุกเมืองให้ทำการกำจัดสำนักอัศวินทุกสาขาภายในหนึ่งเดือนทันที!”

“ทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางกล่าวสรรเสริญ

ฉินจิ้นถอนหายใจ “ครานี้ชางไป๋เฮ่อแห่งขอบเขตนภาก็ร่วมก่อกบฏด้วย ทว่าโชคยังดีที่เฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและทหารคนอื่นๆ อยู่ที่นั่น มิเช่นนั้นข้ากับองค์หญิงฉินอินคงไม่รอด และผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่งในการนี้คือหลินมู่อวี่ หากเขาไม่ขัดคำสั่งผู้บัญชาการหน่วยอินทรีเมิ่งฟางแล้วนำทัพองครักษ์อินทรีสามร้อยนายมา คงได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเป็นแน่”

ฉินจิ้นมองไปยังหลินมู่อวี่ด้วยสายตายกย่อง “หลินมู่อวี่ เจ้าประสงค์สิ่งใดเป็นการตอบแทน?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ “ข้าแต่ฝ่าพระบาท…ข้าน้อยผู้นี้ไม่ต้องการสิ่งใดเลยขอรับ…”

ทั้งฉินจิ้นและเหล่าขุนนางต่างพากันยิ้ม “เจ้าช่วยชีวิตข้ากับเหล่าขุนนางไว้ ทั้งยังเสี่ยงชีวิตกระโดดเข้าท้องงูเพื่อช่วยลูกสาวข้าอีก เป็นบุญคุณที่ทดแทนไม่ได้ หากข้าไม่มีสิ่งใดให้เจ้าเลยจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญูเอาได้ บอกมาเถิด…จะเป็นทรัพย์สินหรือตำแหน่งก็ย่อมได้”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าแต่ฝ่าพระบาท ข้ามิได้อับจนถึงขั้นไร้อันจะกิน เช่นเดียวกันกับตำแหน่ง…ข้าไม่ทราบดีถึงการจัดอันดับต่างๆ ในจักรวรรดิแห่งนี้ ข้าจึงให้คำตอบไม่ได้ว่าต้องการตำแหน่งใด ดังนั้นกระหม่อมขอตามพระทัยพระองค์เห็นสมควรและขอน้อมรับด้วยความยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นหัวเราะร่วน “ยอดเยี่ยมมากหลินมู่อวี่ เจ้าช่างนิสัยเหมือนท่านชวีฉูแห่งติ่งอัคนีเสียจริง”

เมื่อกล่าวจบฉินจิ้นจึงหันไปหาฉินอินที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวอิน เจ้าคิดว่าข้าควรมอบสิ่งใดให้แก่หลินมู่อวี่?”

ฉินอินกะพริบตากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ไม่มีประสบการณ์ด้านการนำทัพ เขาจึงไม่เหมาะกับตำแหน่งใหญ่ทางทหาร ข้าคิดว่า…เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันพิเศษระดับแม่ทัพมังกรพเนจร ให้เขาขึ้นเป็นผู้บัญชาการรังอินทรีและอนุญาตให้เข้าออกตำหนักเจ๋อเทียนได้อย่างอิสระ…เสด็จพ่อคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”

“พ่อเห็นด้วย!”

ฉินจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินมู่อวี่ เจ้าจะรับตำแหน่งที่องค์หญิงเสนอให้หรือไม่?”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “ขอรับ…ข้าน้อมรับตามที่องค์หญิงเสนอมา”

ฉินจิ้นหัวเราะก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “หลินมู่อวี่ ตามที่เจ้าได้รับแจ้งแล้ว ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพมังกรพเนจรและได้เงินเดือนเท่ากับผู้บัญชาการกองพัน อีกทั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการรังอินทรีแทนเจ้าคนไร้ประโยชน์เมิ่งฟางซึ่งจะถูกลดขั้นและส่งไปยังชายแดน!”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณขอรับฝ่าบาท!” หลินมู่อวี่ประสานมือคำนับ

เฟิงจี้สิงยิ้ม “ยินดีด้วยหลินมู่อวี่ องครักษ์อวี้หลินมีสามเหล่าทัพได้แก่ หน่วยมังกร หน่วยพยัคฆ์ และหน่วยอินทรี ตอนนี้เจ้าได้เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทั้งสามเช่นเดียวกับเจ้าบ้าฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนแล้ว!”

ในเมื่อฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์มังกร แสดงว่าสองในสามหน่วยองครักษ์อยู่ใต้บัญชาของหลินมู่อวี่และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน!

หลังจากนั้นฉินจิ้นจึงทำการมอบรางวัลให้แก่เฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและคนอื่นๆ ตามลำดับด้วยเหรียญทองและที่ดินต่างๆ ตามยศที่ได้รับ

หลินมู่อวี่ยืนฟังอย่างเงียบๆ อันที่จริงเขาไม่มีสิทธิ์มายืนฟังการประชุมนี้เสียด้วยซ้ำ ในบรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิทั้งสิบสี่ตำแหน่ง ได้แก่ แม่ทัพฝ่ายแข็งแกร่งและมีอำนาจอันดับสูงที่สุด รองลงมาเป็นแม่ทัพองครักษ์ตะวันออก และแม่ทัพพิทักษ์เมือง แม่ทัพองครักษ์ แม่ทัพระดับสูง แม่ทัพมังกรพเนจร พลจัตวา ผู้บัญชาการพิเศษ ผู้บัญชาการทหารม้า ผู้บัญชาการพลหอก ผู้นำ หัวหน้ากอง…ตามลำดับ หลินมู่อวี่ได้รับตำแหน่งมังกรพเนจร…เขาคิดว่าตนมีพลังมากกว่า และไม่ควรได้รับตำแหน่งระดับกลางเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น…หากไม่มีแม่ทัพมังกรพเนจรในเมืองหลันเยี่ยน ตอนนั้นกรมหลวงคงมีอำนาจเยอะกว่ากรมท้องถิ่นเป็นแน่ และอาจทำให้อำนาจในมือหลินมู่อวี่นั้นแปรเปลี่ยน ดังนั้นการที่ผู้บัญชาการระดับล่างอย่างเขาได้กลายเป็นแม่ทัพทหารชายแดนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก นั่นก็เพราะกรมหลวงต้องการให้คนของตนเองเข้าไปแทรกซึมอยู่นั่นเอง

หลังการอวยยศ ฉินจิ้นกระชับดาบไร้วิญญาณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถึงเวลาหารือกันแล้วว่าเราจะกำจัดกลุ่มกบฏสำนักอัศวินอย่างไรดี?”

แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยก้าวออกมาแล้วประสานมือคำนับ “ฝ่าบาท…คนของสำนักอัศวินกระจัดกระจายอยู่หลายแห่งในทุกเมือง อีกทั้งในแต่ละหัวเมืองใหญ่มีทหารกว่าสามล้านนายประจำการ ข้าน้อยเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“เลื่อนการพิจารณารึ?” ฉินเหลยขมวดคิ้ว “แม่ทัพอวี่เหวิน…สำนักอัศวินเกือบทำการปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิและองค์หญิงได้สำเร็จ เรายังต้องพิจารณาอันใดอีกรึ? หรือท่านคิดว่าราชวงศ์ฉินไม่สมควรมีชีวิตอยู่? หากองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้กำจัดสำนักอัศวิน พวกมันก็ต้องถูกกำจัดโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ!”

อวี่เหวินเซี่ยกล่าวตอบด้วยความตกตะลึง “ผู้บัญชาการฉินเหลย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ การถกประเด็นเรื่องนี้ไม่ควรเร่งร้อน…ให้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าขอรับ”

ฉินจิ้นเอ่ยขึ้น “อย่าทะเลาะกัน เฟิงจี้สิง…เจ้าเป็นคนที่รอบคอบและมีประสบการณ์ที่สุด เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

“ขอรับฝ่าพระบาท”

เฟิงจี้สิงคำนับด้วยแววตาเป็นประกาย “ง่ายมากขอรับ…เริ่มจากการกำจัดสำนักอัศวินบริเวณเมืองหลันเยี่ยนก่อน ตามด้วยส่งทหารชั้นยอดเข้ากำจัดสาขาทางตอนเหนือ เมื่อสถานการณ์ทางเหนือเริ่มคงที่แล้วเราจึงเข้าบุกฝั่งใต้ เช่นนี้ต่อให้พวกมันฝังรากลึกสักเพียงใดก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ฉินจิ้นพยักหน้ายิ้ม “เช่นนั้นข้าจะยกให้เจ้าเป็นคนควบคุมภารกิจนี้”

“ขอรับ!”

เฟิงจี้สิงประสานมือ “ทว่าข้ามีเรื่องอยากขอร้องพระองค์ขอรับ”

“ว่าอย่างไรเล่า?”

“ข้าต้องการคนสองคน”

“อืม…เจ้าต้องการผู้ใด?” ฉินจิ้นสงสัย

เฟิงจี้สิงยิ้ม “หลินมู่อวี่และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนขอรับ…องครักษ์สองคนนี้ฉลาดและแข็งแกร่ง หากได้ทั้งสองมาช่วยในภารกิจครั้งนี้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นเป็นสองเท่าขอรับ”

“ข้าเห็นด้วย!”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหามิได้ขอรับ” เฟิงจี้สิงเผยท่าทีแห่งความสุข

หลินมู่อวี่ขยับปากกล่าวเสียงอ่อย “ท่านได้ถามท่านพี่ใหญ่ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกับข้าหรือยัง? เช่นนี้เขาเรียกละเมิดสิทธิมนุษยชนนะขอรับ…”

เฟิงจี้สิงยังคงคำนับอยู่ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าโง่ พี่เฟิ้งผู้นี้ต้องการความช่วยเหลือ หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร? อีกอย่างภารกิจที่ต้องกำจัดสำนักอัศวินทั้งหมด หากข้าพลาดขึ้นมาเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนคอยเย้ยหยันข้าอยู่? ดีไม่ดีอาจถึงขั้นโดนกฎหมายอาญาและสูญเสียตำแหน่งผู้บัญชาการเชียวนะ”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นก็ดีสิขอรับ…ท่านจะได้มาเป็นผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างของข้า”

“ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีก…” เฟิงจี้สิงน้อยใจ

ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “ดูเหมือนเสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้จริงๆ…”

เฟิงจี้สิง “…”

หลินมู่อวี่ “…”

หลังการประชุมอย่างเป็นทางการจบลง จักรพรรดิอนุญาตให้ทุกคนแยกย้ายกลับเมืองหลันเยี่ยนได้ในช่วงบ่าย เหล่าขุนนางค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังจะกลับ จู่ๆ มีชายส่งสาสน์มาขอเข้าพบ “ท่านหลินมู่อวี่ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เข้าฝั่งที่ตำหนักของรับ!”

“งั้นรึ”

หลินมู่อวี่ตามคนส่งสาสน์ไป กระทั่งมาถึงตำหนักด้านหลัง เขาพบว่าฉินจิ้นและฉินอินได้รออยู่ก่อนแล้ว ฉินอินยังคงสวมชุดเจ้าหญิงขณะที่ฉินจิ้นเปลี่ยนจากชุดคลุมมังกรเป็นชุดสีขาวเรียบร้อยแล้ว ฉินจิ้นเอ่ยขึ้น “หลินมู่อวี่เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงเรียกเจ้ามา?

“หามิได้ขอรับ…” หลินมู่อวี่ตอบด้วยความสัตย์ซื่อ

ฉินจิ้นหัวเราะ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำในเมืองหยินซาน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมาจากไหน ตอนนี้เจ้านึกออกหรือยังเล่า?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ยังจำไม่ได้ขอรับ…”

“เยี่ยม!”

ฉินจิ้นสะบัดแขนเสื้อและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะอุปการะเจ้าเป็นลูกชาย เจ้าว่าอย่างไร?”

“อุปการะบุตรชาย?” หลินมู่อวี่ยิ่งทำตัวไม่ถูก…

ณ ป่าล่ามังกรบนภูเขาอันหนาวเหน็บก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

มีชายแก่คนหนึ่งมุดออกมาจากหลุมประหลาดหลุมหนึ่ง ผมขาวโพลนกับตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่สมุนไพรอยู่ข้างหลัง ใบหน้าเผยความภาคภูมิใจและหัวเราะออกมา “กระทั่งสมุนไพรระดับก็ถูกข้าคนนี้ค้นพบ! อืม…หลังจากนี้มาดูว่าเจ้าเด็กเมื่อวานซืนหลินมู่อวี่ยังจะกล้ากล่าวหาว่าข้าไม่รู้วิชาปรุงยาอีกหรือไม่?!”

ชายออกตัวบินมุ่งหน้าสู่เมืองหลันเยี่ยนทันที

เสียงฝีเท้าของม้ามาจากด้านล่างภูเขา ม้าศึกสีดำตัวหนึ่งหอบหายใจแรงขณะวิ่งตามถนนโดยมีชายแก่ถือไม้เท้าร่างโชกเลือดอยู่บนหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเลือดที่เกรอะกรังอยู่ตามเส้นผมและหนวดเคราของชายผู้นี้เป็นขององครักษ์และทหารอวี้หลิน…

ชางไป๋เฮ่อที่เหลือปราณยุทธ์ไม่ถึงครึ่งดูอ่อนแรงขณะกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าแห่งความเกลียดชัง “ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าฉินเหลยจะเข้าสู่ขอบเขตนภาขั้นสองแล้ว ไอ้บัดซบฉินเหลยกับโซ่เทวะของมัน! หากไม่เป็นเพราะมันข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว ไหนจะงูมังกรที่น่าสงสารของข้าต้องมาตายอีก…”

ทันใดนั้นก็ปรากฏไอร้อนระอุขึ้นเหนือหัวชางไป๋เฮ่อ

ชางไป๋เฮ่อเงยหน้าเห็นฝ่ามือเพลิงยักษ์ตกลงมาจากท้องฟ้า ความกดดันอันทรงพลังของขอบเขตนภาแผ่ออกมาจากสิ่งนี้! ไม่นานเสียงทุ้มของชวีฉูก็เอ่ยขึ้น “ไอ้แก่ชาง ไม่มีหนทางไปสู่สวรรค์สำหรับเจ้า คนชั่วช้าสมควรลงนรกเท่านั้น!”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+