The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 190 ทรงพระเจริญองค์ชายหลินมู่อวี่

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 190 ทรงพระเจริญองค์ชายหลินมู่อวี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงดาวสาดส่องบนทิวเขา กองทัพแห่งจักรวรรดิและองครักษ์อวี้หลินตั้งค่ายรอบๆ กองบัญชาการเพื่อพักแรม หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั่งอยู่บนก้อนหินด้านหลังและดื่มสุรา ด้านข้างมีเว่ยโฉวก่อกองไฟและย่างขาแกะอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นของที่เหลือจากการทำศึก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีหยางและหลี่เฉียนซุนใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยถึงเพียงไหน

“ท่านแม่ทัพ!”

ผู้บัญชาการกองพันนายหนึ่งเข้ามาพร้อมประสานหมัด “เรารวบรวมหญิงสาวทั้งหมดในสำนักอัศวิน ซึ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดร้อยสิบสองคน…เราควรส่งพวกนางไปที่แห่งใดขอรับ?”

เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม “แล้วตามกฎของจักรวรรดิ พวกนางต้องไปที่แห่งใดล่ะ?”

ผู้บัญชาการกองพันกล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ตามกฎของจักรวรรดิ หญิงสาวเหล่านี้อยู่ร่วมกับกบฏมาเป็นเวลานานจนมีร่างกายสกปรก หลังจากทำความสะอาดแล้วจะถูกส่งไปยังหอเลี้ยงดูเพื่อฝึกให้เป็นผู้หญิงในค่าย ก่อนจะส่งไปยังกองบัญชาการต่างๆ”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ไม่มีทางเลือกอื่นหรือ?”

“ข…ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ…”

หลินมู่อวี่เงยหน้ามองเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง หญิงสาวเหล่านี้ล้วนถูกลักพาตัวมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากรับใช้เหล่าทหารสำนักอัศวิน พี่ใหญ่รู้หรือไม่ว่าหอเลี้ยงดูเป็นสถานที่เช่นไร…ข้าคิดว่า…เราปล่อยหญิงสาวเหล่านี้ไปได้หรือไม่? หากส่งไปที่หอเลี้ยงดู คงไม่ต่างจากการส่งพวกนางไปลงนรกอีกขุม”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดสักครู่ “อาอวี่ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้แล้วว่าต้องจัดการอย่างไร!”

พูดจบเฟิงจี้สิงก็ออกคำสั่ง “นายพลจ้าว นำเหรียญทองจำนวนหนึ่งจากที่เรายึดมาแจกจ่ายให้กับพวกนางคนละห้าสิบเหรียญทอง จากนั้นถามพวกนางว่าหากยังมีครอบครัวเหลืออยู่ ทหารของเราจะเป็นคนพากลับเอง ทว่าหากไม่มีครอบครัว พวกเราจะพากลับเมืองหลวงและส่งไปที่สมาพันธ์แรงงาน อย่างน้อยก็ให้พวกนางทำงานเป็นสาวใช้ คงดีกว่าปล่อยให้สูญเสียอิสรภาพและเกียรติยศ”

ผู้บัญชาการกองพันแซ่จ้าวประสานมือรับพร้อมเผยสีหน้ายินดี “ท่านแม่ทัพช่างหลักแหลม ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนของเหล่าหญิงสาวขอบคุณพระคุณท่านผู้บัญชาการขอรับ!”

เฟิงจี้สิงโบกมือ “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ไปทำงาน! อย่าลืมเตือนเหล่าพี่น้องทหารแห่งจักรวรรดิที่รับผิดชอบในการส่งพวกนางให้กลับมาทำงานด้วย ฮึ่ม…หากใครกล้าหนีไป ข้าจะจับกลับมาทีละคน!”

“ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพช่างมีอารมณ์ขัน ใครกันเล่าที่จะไม่กลับมา…ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ยกจอกสุราขึ้นมาชนเบาๆ กับจอกของเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง ขอบคุณท่านมาก”

เฟิงจี้สิงถอนหายใจแผ่วเบา “อาอวี่…การที่เจ้าเอ่ยถึงหอเลี้ยงดู ทำให้ข้าแอบชมเจ้าอยู่ลับๆ บางที…อาจเป็นเพราะมังกรผงาดของเจ้าที่ทำให้ข้ากล้าทำสิ่งนี้…เฟิงจี้สิงมักระมัดระวังตัวเสมอ และไม่เคยก้าวข้ามขอบเขตของตัวเอง จนกระทั่งพบเจ้า…ในที่สุดข้าก็มีความกล้าที่จะทำอะไรบ้าๆ”

“จริงหรือ?”

หลินมู่อวี่ยืนพิงต้นสนที่เหี่ยวเฉาก่อนจะเงยหน้าดื่มสุราในจอก “มีสุภาษิตในบ้านเกิดข้าที่กล่าวว่า ‘ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความรับผิดชอบมากเท่านั้น’ พี่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจของจักรพรรดิ มีสิ่งไม่ยุติธรรมมากมายบนแผ่นดินนี้ที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ และท่านต้องเปลี่ยนความคิดผู้คนเหล่านั้น!”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง ความดุร้ายฉายวาบในดวงตาที่เคร่งขรึม ทว่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตา “เจ้าเด็กนี่กำลังพูดเรื่องบ้าอะไร พวกเราเป็นทหาร และการปฏิบัติตามคำสั่งถือเป็นความรับผิดชอบ  อย่าพูดบ้าๆ เช่นนั้นกับพี่ใหญ่อีก มิเช่นนั้นเฟิงจี้สิงคงได้กลายเป็นหลินมู่อวี่แม่ทัพคลั่งคนที่สอง”

“แม่ทัพคลั่ง?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึง “ใครเรียกข้าเช่นนั้น…”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กล้าท้าทายกับจวนเสินโหวเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยในวิหาร ตัดแขนครูฝึกจ้าวจิ้นอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งคำถามกับองค์จักรพรรดิเพราะหอเลี้ยงดู และสุดท้าย…รอดชีวิตออกจากเจดีย์ทงเทียน บอกข้าสิ…จะมีใครบ้าคลั่งเช่นนี้ในเมืองหลันเยี่ยนอีก? และยังไม่ได้กล่าวถึงกรณีที่กองทหารทั้งหมดในเมืองหลวงต่างก็เรียกเจ้าว่าหลินมู่อวี่แม่ทัพคลั่ง ชื่อนี้เหมาะสมกับเจ้าจริงๆ”

หลินมู่อวี่บีบจอกเหล้าอย่างไม่พอใจ “นั่นมันอะไรกัน ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ พี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…บอกทีว่าข้าหรือพี่เฟิงเป็นฝ่ายถูก?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำลังใช้ดาบเลือกเนื้อแกะที่ส่งกลิ่นหอม ก่อนจะพูดอย่างเกียจคร้าน “เฟิงจี้สิงมีตำแหน่งที่สูงกว่าเจ้า คำพูดเขาจึงสมเหตุสมผลกว่า”

หลินมู่อวี่ไม่รู้จะพูดสิ่งใดได้อีก

จากนั้นทั้งสามก็กินเนื้อแกะด้วยกันหมดทั้งขาในเวลาสั้นๆ พวกเขาเป็นนักรบที่กินจุกว่าบุคคลทั่วไปมาก

หลินมู่อวี่เรอออกมาเสียงดัง และจู่ๆ ก็นึกถึงบางสิ่งได้ “พี่เฟิง กองบัญชาการนี้ได้รับการพัฒนาแล้ว และมีภูเขาทางเหนือที่อยู่ไม่ไกลซึ่งเคยถูกยึดครองโดยกลุ่มทหารรับจ้าง ท่านจะจัดการภูเขาทั้งสองนี้อย่างไร?”

เฟิงจี้สิงไตร่ตรอง “ที่นี่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงซึ่งใช้เวลาเดินทางราวหกชั่วโมง หากไม่จัดการคงถูกสำนักอัศวินหรือกลุ่มทหารรับจ้างพเนจรยึดไปอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชาวบ้านโดยรอบ อืม…หรือเราควรให้กรมแห่งจักรวรรดิเป็นคนจัดการ?”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “หากที่แห่งนี้มีประโยชน์แก่กองทัพ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เหล่าทหารรับจ้างมายึดไปเพื่อปล้นสะดมและเข่นฆ่าผู้คน”

“แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร?” เฟิงจี้สิงคิดไม่ออก

หลินมู่อวี่เผยยิ้ม “หากยกภูเขาแห่งนี้ให้ข้าล่ะ?”

“โอ้?” เฟิงจี้สิงตกใจมาก “เจ้าเด็กนี่…ต้องการภูเขาแห่งนี้เพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอหรือ? หากเป็นเรื่องจริงข้าจะรายงานแก่องค์หญิงอินและองค์หญิงซี”

“พี่เฟิง! พี่คิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน…” หลินมู่อวี่ใจเต้นผิดจังหวะหลังจากได้ยิน ทว่ายังคงเผยความซื่อตรง “ข้าต้องการฝึกกองทหารที่นี่ และคงเพียงพอที่จะทำให้ทหารรับจ้างที่อยู่รอบๆ หวาดกลัว อีกทั้งเป็นการปกป้องชาวบ้านอีกด้วย”

“โอ้?”

เฟิงจี้สิงยิ้มขณะที่เอนกายลงบนก้อนหินและเหม่อมองขึ้นบนท้องนภา “ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มใหม่ในเมืองหลันเยี่ยนชื่อ ‘ค่ายมังการผงาด’ และมีผู้บัญชาการนามว่าหลินมู่อวี่ นั่นใช่เจ้าหรือไม่?”

“ฮ่าๆ หน่วยข่าวกรองของพี่เฟิงเร็วมาก!”

“ไร้สาระน่า ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทหารแห่งจักรวรรดิ ข้ารู้ทุกความเคลื่อนไหวในเมืองหลวง บอกมาสิเจ้าเด็กน้อย ว่าเจ้าตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพื่อการใด?”

หลินมู่อวี่ยกกำปั้นขึ้นก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้ายังคงจำความเกรี้ยวกราดของเจิ้งอี้ฝานเมื่อครั้งที่เขานำทหารค่ายเสินเวยบุกวิหารศักดิ์สิทธิ์ หากข้ามีกองทัพที่แข็งแกร่ง เหตุใดข้าจักต้องเกรงกลัวเจิ้งอี้ฝานอีก? พี่เฟิง…กล่าวอย่างสัตย์จริง ข้าไม่มั่นใจกับความแข็งแกร่งที่กองทหารจักรวรรดิมี หากยังคงเป็นเช่นนี้เราจะสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของทหารรักษาพระองค์ในการปกป้องเมืองหลันเยี่ยนหรือเสี่ยวอินได้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง หลังจากเงียบไปชั่วครู่เขาก็พูดขึ้นว่า “อาอวี่…พี่ใหญ่เพียงต้องการถามให้แน่ใจ การฝึกกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเจ้านั้น…เป็นการทำเพื่อชิงบัลลังก์หรือเพื่อปกป้องเสี่ยวอินกันแน่?”

เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้หลินมู่อวี่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างไม่ลังเล “ข้ามิเคยต้องการบัลลังก์ของจักรพรรดิ ข้าก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพียงเพราะข้ากังวล…ข้ากังวลว่าความแข็งแกร่งที่มีในตอนนี้จะไม่เพียงพอในการปกป้องทุกสิ่ง ข้าฝึกฝนกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพียงเพราะข้าหวังว่าจะปกป้องคนที่ข้าห่วงใยได้ด้วยกำลังของตนเอง…”

“ฮ่า…เป็นเช่นนี้เองรึ…”

เฟิงจี้สิงถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องดี เช่นนั้นพี่เฟิงจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องจากกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเจ้าเป็นกองทหารแห่งจักรวรรดิชั้นต้น ข้าจะปิดตาข้างหนึ่งและปล่อยไป กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “พี่เฟิงทำให้ข้าหวาดกลัว ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้ที่ต้องการชิงบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?”

“ไม่”

เฟิงจี้สิงมองด้วยสายตาเย้าแหย่ “ทว่าหากเจ้าต้องการชิงบัลลังก์จริงๆ ด้วยทักษะทางการทหารและกำลังพลของเจ้า…คงจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจขององค์จักรพรรดิฉินทีเดียว”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจอย่างกระอักกระอ่วน “ข…ข้า…”

เฟิงจี้สิงหัวเราะและเอื้อมมือไปตบไหล่หลินมู่อวี่ “เจ้าเด็กโง่ เจ้าเป็นน้องชายของข้า แล้วเฟิงจี้สิงผู้นี้จะทำร้ายเจ้าได้เยี่ยงไร มาๆ เข้านอนแต่หัววันหลังหมดจอกนี้เถิด พูดตามตรง พี่เฟิงคนนี้รอคอยอย่างคาดหวังว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใดในภายภาคหน้า…เป็นอย่างที่เจ้าพูด กองทัพจักรวรรดิหยุดนิ่งนานเกินไปและสูญเสียพละกำลังส่วนใหญ่ แม้แต่องครักษ์อวี้หลินก็มิได้แข็งแกร่งดังก่อน เราต้องการคนใหม่เลือดร้อน”

“อืม”

หลินมู่อวี่พลันเงยหน้าขึ้นเพื่อดื่มสุราจนหมดจอก รสชาติเข้มไหลลงคอจนทำให้เกือบน้ำตาไหล หลินมู่อวี่เช็ดริมฝีปากก่อนจะเหม่อมองดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า เขาครุ่นคิดว่า…หากบนท้องฟ้านั่นเต็มไปด้วยดวงดาวจักรพรรดิและหมู่ดาวเคราะห์ แล้วเขาคือดาวอะไรจากทั้งสองนั่น?

เขาอาจไม่ได้ต้องการจะเป็นจักรพรรดิ ทว่าหากไม่ได้เป็นจักรพรรดิ…แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงดินแดนซุ่ยติงแห่งนี้ด้วยพละกำลังที่มีได้หรือไม่?

ยาก…สำหรับแผ่นดินนี้มันเป็นเรื่องยาก กระนั้นหลินมู่อวี่ก็ต้องเดินบนทางเส้นนี้

ช่างเถอะ เขาควรจะไปดูกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดในวันรุ่งขึ้นเมื่อกลับไปเมืองหลันเยี่ยน ไม่รู้ว่าหลัวอวี่คัดเลือกมากี่คนแล้ว และเนื่องจากได้รับภูเขาลูกนี้จากเฟิงจี้สิง สถานการณ์ของกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดคงดีขึ้น ภูเขาแห่งนี้ไม่มีชื่อด้วยซ้ำ ทว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีการสร้างค่ายทหารไว้แล้ว ซึ่งสามารถรองรับทหารได้กว่าหมื่นคน มันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด

เฟิงจี้สิงวางก้อนหินยักษ์ลงพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็มองลงไปที่หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มจางๆ และเมื่อมองขึ้นไปท้องฟ้าอีกครั้งก็เห็นดาวตกบินผ่านฟากฟ้า เฟิงจี้สิงตกตะลึงเล็กน้อยและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 190 ทรงพระเจริญองค์ชายหลินมู่อวี่

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 190 ทรงพระเจริญองค์ชายหลินมู่อวี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงดาวสาดส่องบนทิวเขา กองทัพแห่งจักรวรรดิและองครักษ์อวี้หลินตั้งค่ายรอบๆ กองบัญชาการเพื่อพักแรม หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั่งอยู่บนก้อนหินด้านหลังและดื่มสุรา ด้านข้างมีเว่ยโฉวก่อกองไฟและย่างขาแกะอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นของที่เหลือจากการทำศึก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีหยางและหลี่เฉียนซุนใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยถึงเพียงไหน

“ท่านแม่ทัพ!”

ผู้บัญชาการกองพันนายหนึ่งเข้ามาพร้อมประสานหมัด “เรารวบรวมหญิงสาวทั้งหมดในสำนักอัศวิน ซึ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดร้อยสิบสองคน…เราควรส่งพวกนางไปที่แห่งใดขอรับ?”

เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม “แล้วตามกฎของจักรวรรดิ พวกนางต้องไปที่แห่งใดล่ะ?”

ผู้บัญชาการกองพันกล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ตามกฎของจักรวรรดิ หญิงสาวเหล่านี้อยู่ร่วมกับกบฏมาเป็นเวลานานจนมีร่างกายสกปรก หลังจากทำความสะอาดแล้วจะถูกส่งไปยังหอเลี้ยงดูเพื่อฝึกให้เป็นผู้หญิงในค่าย ก่อนจะส่งไปยังกองบัญชาการต่างๆ”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ไม่มีทางเลือกอื่นหรือ?”

“ข…ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ…”

หลินมู่อวี่เงยหน้ามองเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง หญิงสาวเหล่านี้ล้วนถูกลักพาตัวมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากรับใช้เหล่าทหารสำนักอัศวิน พี่ใหญ่รู้หรือไม่ว่าหอเลี้ยงดูเป็นสถานที่เช่นไร…ข้าคิดว่า…เราปล่อยหญิงสาวเหล่านี้ไปได้หรือไม่? หากส่งไปที่หอเลี้ยงดู คงไม่ต่างจากการส่งพวกนางไปลงนรกอีกขุม”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดสักครู่ “อาอวี่ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้แล้วว่าต้องจัดการอย่างไร!”

พูดจบเฟิงจี้สิงก็ออกคำสั่ง “นายพลจ้าว นำเหรียญทองจำนวนหนึ่งจากที่เรายึดมาแจกจ่ายให้กับพวกนางคนละห้าสิบเหรียญทอง จากนั้นถามพวกนางว่าหากยังมีครอบครัวเหลืออยู่ ทหารของเราจะเป็นคนพากลับเอง ทว่าหากไม่มีครอบครัว พวกเราจะพากลับเมืองหลวงและส่งไปที่สมาพันธ์แรงงาน อย่างน้อยก็ให้พวกนางทำงานเป็นสาวใช้ คงดีกว่าปล่อยให้สูญเสียอิสรภาพและเกียรติยศ”

ผู้บัญชาการกองพันแซ่จ้าวประสานมือรับพร้อมเผยสีหน้ายินดี “ท่านแม่ทัพช่างหลักแหลม ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนของเหล่าหญิงสาวขอบคุณพระคุณท่านผู้บัญชาการขอรับ!”

เฟิงจี้สิงโบกมือ “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ไปทำงาน! อย่าลืมเตือนเหล่าพี่น้องทหารแห่งจักรวรรดิที่รับผิดชอบในการส่งพวกนางให้กลับมาทำงานด้วย ฮึ่ม…หากใครกล้าหนีไป ข้าจะจับกลับมาทีละคน!”

“ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพช่างมีอารมณ์ขัน ใครกันเล่าที่จะไม่กลับมา…ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ยกจอกสุราขึ้นมาชนเบาๆ กับจอกของเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง ขอบคุณท่านมาก”

เฟิงจี้สิงถอนหายใจแผ่วเบา “อาอวี่…การที่เจ้าเอ่ยถึงหอเลี้ยงดู ทำให้ข้าแอบชมเจ้าอยู่ลับๆ บางที…อาจเป็นเพราะมังกรผงาดของเจ้าที่ทำให้ข้ากล้าทำสิ่งนี้…เฟิงจี้สิงมักระมัดระวังตัวเสมอ และไม่เคยก้าวข้ามขอบเขตของตัวเอง จนกระทั่งพบเจ้า…ในที่สุดข้าก็มีความกล้าที่จะทำอะไรบ้าๆ”

“จริงหรือ?”

หลินมู่อวี่ยืนพิงต้นสนที่เหี่ยวเฉาก่อนจะเงยหน้าดื่มสุราในจอก “มีสุภาษิตในบ้านเกิดข้าที่กล่าวว่า ‘ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความรับผิดชอบมากเท่านั้น’ พี่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจของจักรพรรดิ มีสิ่งไม่ยุติธรรมมากมายบนแผ่นดินนี้ที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ และท่านต้องเปลี่ยนความคิดผู้คนเหล่านั้น!”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง ความดุร้ายฉายวาบในดวงตาที่เคร่งขรึม ทว่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตา “เจ้าเด็กนี่กำลังพูดเรื่องบ้าอะไร พวกเราเป็นทหาร และการปฏิบัติตามคำสั่งถือเป็นความรับผิดชอบ  อย่าพูดบ้าๆ เช่นนั้นกับพี่ใหญ่อีก มิเช่นนั้นเฟิงจี้สิงคงได้กลายเป็นหลินมู่อวี่แม่ทัพคลั่งคนที่สอง”

“แม่ทัพคลั่ง?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึง “ใครเรียกข้าเช่นนั้น…”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กล้าท้าทายกับจวนเสินโหวเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยในวิหาร ตัดแขนครูฝึกจ้าวจิ้นอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งคำถามกับองค์จักรพรรดิเพราะหอเลี้ยงดู และสุดท้าย…รอดชีวิตออกจากเจดีย์ทงเทียน บอกข้าสิ…จะมีใครบ้าคลั่งเช่นนี้ในเมืองหลันเยี่ยนอีก? และยังไม่ได้กล่าวถึงกรณีที่กองทหารทั้งหมดในเมืองหลวงต่างก็เรียกเจ้าว่าหลินมู่อวี่แม่ทัพคลั่ง ชื่อนี้เหมาะสมกับเจ้าจริงๆ”

หลินมู่อวี่บีบจอกเหล้าอย่างไม่พอใจ “นั่นมันอะไรกัน ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ พี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…บอกทีว่าข้าหรือพี่เฟิงเป็นฝ่ายถูก?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำลังใช้ดาบเลือกเนื้อแกะที่ส่งกลิ่นหอม ก่อนจะพูดอย่างเกียจคร้าน “เฟิงจี้สิงมีตำแหน่งที่สูงกว่าเจ้า คำพูดเขาจึงสมเหตุสมผลกว่า”

หลินมู่อวี่ไม่รู้จะพูดสิ่งใดได้อีก

จากนั้นทั้งสามก็กินเนื้อแกะด้วยกันหมดทั้งขาในเวลาสั้นๆ พวกเขาเป็นนักรบที่กินจุกว่าบุคคลทั่วไปมาก

หลินมู่อวี่เรอออกมาเสียงดัง และจู่ๆ ก็นึกถึงบางสิ่งได้ “พี่เฟิง กองบัญชาการนี้ได้รับการพัฒนาแล้ว และมีภูเขาทางเหนือที่อยู่ไม่ไกลซึ่งเคยถูกยึดครองโดยกลุ่มทหารรับจ้าง ท่านจะจัดการภูเขาทั้งสองนี้อย่างไร?”

เฟิงจี้สิงไตร่ตรอง “ที่นี่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงซึ่งใช้เวลาเดินทางราวหกชั่วโมง หากไม่จัดการคงถูกสำนักอัศวินหรือกลุ่มทหารรับจ้างพเนจรยึดไปอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชาวบ้านโดยรอบ อืม…หรือเราควรให้กรมแห่งจักรวรรดิเป็นคนจัดการ?”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “หากที่แห่งนี้มีประโยชน์แก่กองทัพ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เหล่าทหารรับจ้างมายึดไปเพื่อปล้นสะดมและเข่นฆ่าผู้คน”

“แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร?” เฟิงจี้สิงคิดไม่ออก

หลินมู่อวี่เผยยิ้ม “หากยกภูเขาแห่งนี้ให้ข้าล่ะ?”

“โอ้?” เฟิงจี้สิงตกใจมาก “เจ้าเด็กนี่…ต้องการภูเขาแห่งนี้เพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอหรือ? หากเป็นเรื่องจริงข้าจะรายงานแก่องค์หญิงอินและองค์หญิงซี”

“พี่เฟิง! พี่คิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน…” หลินมู่อวี่ใจเต้นผิดจังหวะหลังจากได้ยิน ทว่ายังคงเผยความซื่อตรง “ข้าต้องการฝึกกองทหารที่นี่ และคงเพียงพอที่จะทำให้ทหารรับจ้างที่อยู่รอบๆ หวาดกลัว อีกทั้งเป็นการปกป้องชาวบ้านอีกด้วย”

“โอ้?”

เฟิงจี้สิงยิ้มขณะที่เอนกายลงบนก้อนหินและเหม่อมองขึ้นบนท้องนภา “ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มใหม่ในเมืองหลันเยี่ยนชื่อ ‘ค่ายมังการผงาด’ และมีผู้บัญชาการนามว่าหลินมู่อวี่ นั่นใช่เจ้าหรือไม่?”

“ฮ่าๆ หน่วยข่าวกรองของพี่เฟิงเร็วมาก!”

“ไร้สาระน่า ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทหารแห่งจักรวรรดิ ข้ารู้ทุกความเคลื่อนไหวในเมืองหลวง บอกมาสิเจ้าเด็กน้อย ว่าเจ้าตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพื่อการใด?”

หลินมู่อวี่ยกกำปั้นขึ้นก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้ายังคงจำความเกรี้ยวกราดของเจิ้งอี้ฝานเมื่อครั้งที่เขานำทหารค่ายเสินเวยบุกวิหารศักดิ์สิทธิ์ หากข้ามีกองทัพที่แข็งแกร่ง เหตุใดข้าจักต้องเกรงกลัวเจิ้งอี้ฝานอีก? พี่เฟิง…กล่าวอย่างสัตย์จริง ข้าไม่มั่นใจกับความแข็งแกร่งที่กองทหารจักรวรรดิมี หากยังคงเป็นเช่นนี้เราจะสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของทหารรักษาพระองค์ในการปกป้องเมืองหลันเยี่ยนหรือเสี่ยวอินได้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง หลังจากเงียบไปชั่วครู่เขาก็พูดขึ้นว่า “อาอวี่…พี่ใหญ่เพียงต้องการถามให้แน่ใจ การฝึกกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเจ้านั้น…เป็นการทำเพื่อชิงบัลลังก์หรือเพื่อปกป้องเสี่ยวอินกันแน่?”

เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้หลินมู่อวี่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างไม่ลังเล “ข้ามิเคยต้องการบัลลังก์ของจักรพรรดิ ข้าก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพียงเพราะข้ากังวล…ข้ากังวลว่าความแข็งแกร่งที่มีในตอนนี้จะไม่เพียงพอในการปกป้องทุกสิ่ง ข้าฝึกฝนกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพียงเพราะข้าหวังว่าจะปกป้องคนที่ข้าห่วงใยได้ด้วยกำลังของตนเอง…”

“ฮ่า…เป็นเช่นนี้เองรึ…”

เฟิงจี้สิงถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องดี เช่นนั้นพี่เฟิงจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องจากกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเจ้าเป็นกองทหารแห่งจักรวรรดิชั้นต้น ข้าจะปิดตาข้างหนึ่งและปล่อยไป กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “พี่เฟิงทำให้ข้าหวาดกลัว ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้ที่ต้องการชิงบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?”

“ไม่”

เฟิงจี้สิงมองด้วยสายตาเย้าแหย่ “ทว่าหากเจ้าต้องการชิงบัลลังก์จริงๆ ด้วยทักษะทางการทหารและกำลังพลของเจ้า…คงจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจขององค์จักรพรรดิฉินทีเดียว”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจอย่างกระอักกระอ่วน “ข…ข้า…”

เฟิงจี้สิงหัวเราะและเอื้อมมือไปตบไหล่หลินมู่อวี่ “เจ้าเด็กโง่ เจ้าเป็นน้องชายของข้า แล้วเฟิงจี้สิงผู้นี้จะทำร้ายเจ้าได้เยี่ยงไร มาๆ เข้านอนแต่หัววันหลังหมดจอกนี้เถิด พูดตามตรง พี่เฟิงคนนี้รอคอยอย่างคาดหวังว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใดในภายภาคหน้า…เป็นอย่างที่เจ้าพูด กองทัพจักรวรรดิหยุดนิ่งนานเกินไปและสูญเสียพละกำลังส่วนใหญ่ แม้แต่องครักษ์อวี้หลินก็มิได้แข็งแกร่งดังก่อน เราต้องการคนใหม่เลือดร้อน”

“อืม”

หลินมู่อวี่พลันเงยหน้าขึ้นเพื่อดื่มสุราจนหมดจอก รสชาติเข้มไหลลงคอจนทำให้เกือบน้ำตาไหล หลินมู่อวี่เช็ดริมฝีปากก่อนจะเหม่อมองดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า เขาครุ่นคิดว่า…หากบนท้องฟ้านั่นเต็มไปด้วยดวงดาวจักรพรรดิและหมู่ดาวเคราะห์ แล้วเขาคือดาวอะไรจากทั้งสองนั่น?

เขาอาจไม่ได้ต้องการจะเป็นจักรพรรดิ ทว่าหากไม่ได้เป็นจักรพรรดิ…แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงดินแดนซุ่ยติงแห่งนี้ด้วยพละกำลังที่มีได้หรือไม่?

ยาก…สำหรับแผ่นดินนี้มันเป็นเรื่องยาก กระนั้นหลินมู่อวี่ก็ต้องเดินบนทางเส้นนี้

ช่างเถอะ เขาควรจะไปดูกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดในวันรุ่งขึ้นเมื่อกลับไปเมืองหลันเยี่ยน ไม่รู้ว่าหลัวอวี่คัดเลือกมากี่คนแล้ว และเนื่องจากได้รับภูเขาลูกนี้จากเฟิงจี้สิง สถานการณ์ของกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดคงดีขึ้น ภูเขาแห่งนี้ไม่มีชื่อด้วยซ้ำ ทว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีการสร้างค่ายทหารไว้แล้ว ซึ่งสามารถรองรับทหารได้กว่าหมื่นคน มันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด

เฟิงจี้สิงวางก้อนหินยักษ์ลงพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็มองลงไปที่หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มจางๆ และเมื่อมองขึ้นไปท้องฟ้าอีกครั้งก็เห็นดาวตกบินผ่านฟากฟ้า เฟิงจี้สิงตกตะลึงเล็กน้อยและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+