The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 198 เพลิงสวรรค์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 198 เพลิงสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.198 เพลิงสวรรค์  

 

 

ร่มมีขนาดไม่ใหญ่นัก ถังเสี่ยวซีจึงต้องเดินเบียดหลินมู่อวี่ เขาดูให้แน่ใจว่าร่มส่วนใหญ่อยู่ด้านเสี่ยวซี ดังนั้นอีกไม่นานเสื้อผ้าเขาคงต้องเปียกหมด  

 

 

พื้นที่ภูเขารังอินทรีมีลักษณะดั่งชื่อของมัน มีหน้าผานับพัน และมียอดเขาที่ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา มันมีภูมิศาสตร์ที่คล้ายกับภูเขาหลงหยานของทหารรับจ้างมังกรผงาดมาก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือภูเขาหลงหยานมีบริเวณกว้างกว่าและจุคนได้มากกว่า  

 

 

เสียงฟ้าคำรามดังมาแต่ไกลพร้อมเม็ดฝนที่ตกโปรยปราย  

 

 

หลินมู่อวี่เอื้อมมือโอบไหล่ถังเสี่ยวซีอย่างแนบเนียน ทั้งสองเดินไปยังหน้าผาด้านข้างภูเขารังอินทรีและเหม่อมองออกไปด้านนอก เมืองหลันเยี่ยนสว่างไสวไปด้วยสายฟ้าพาดผ่าน และกลายเป็นภาพเบลอพลิ้วไหวไปตามแรงลมและสายฝน ถังเสี่ยวซีหันมองหลินมู่อวี่พร้อมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือที่โอบเธอไว้ก่อนจะหน้าแดงก่ำ ลักยิ้มปรากฏขึ้นขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่คิดเหมือนกันไหมว่า…บรรยากาศในตอนนี้มันดีมากเลย?”  

 

 

“บรรยากาศดี?”  

 

 

หลินมู่อวี่อดยิ้มไม่ได้ “สายฟ้าฟาดลงมาเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน อำนาจแห่งสวรรค์มิใช่เรื่องเล็ก ภูเขารังอินทรีเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นมีโอกาสบ่อยครั้งที่จะโดนฟ้าผ่า ซึ่งไม่ได้บรรยากาศดีแม้แต่น้อย…”  

 

 

ถังเสี่ยวซีหัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอ่านสถานการณ์ไม่เป็นจริงๆ…”  

 

 

“หืม อะไรเหรอ?”  

 

 

“เปล่า เจ้าจะไปตรวจค่ายหรือไม่?”  

 

 

“ไม่ไป…ในเมื่อมีเว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และเหล่าทหารยาม อีกทั้งหน้าผาที่นี่ก็ไม่ง่ายที่จะปีนขึ้นมา วางใจเถิด รังอินทรีนั้นปลอดภัย ทุกคนที่นี่ต่างอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา คนจากจวนเสินโหวในรังอินทรีถูกข้าไล่ไปหมดแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ข้าจะยอมรับทหารที่รับใช้คนอื่นในสถานที่ของข้าได้อย่างไร? ข้ามิได้เหมือนกับฝ่าบาทที่สามารถอดทนกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”  

 

 

ถังเสี่ยวซีตกตะลึงก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “ความจริงแล้ว…”  

 

 

“ความจริงแล้วอะไรหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม  

 

 

ถังเสี่ยวซีไม่ได้กล่าวสิ่งใด เธอพลันเอื้อมมือโอบรอบเอวหลินมู่อวี่ก่อนจะซุกตัวในอ้อมแขนเขา ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกหนาวหรือด้วยสาเหตุใด ทว่าร่างกายของเธอสั่นเทิ้ม “ความจริงแล้วฝ่าบาทมีหลายสิ่งที่ไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้ เจ้ารู้หรือไม่อาอวี่? ราชาผู้ส่องแสงฉินจิ้น ที่มาของชื่อก็เนื่องจากฝ่าบาทปราบปรามการก่อกบฏ โดยสังหารศัตรูสามแสนคนทางเหนือ และอีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคนทางใต้จนเป็นที่รู้จักกันในนามราชาผู้ส่องแสง ทว่าแม่ทัพที่แท้จริงในการทำศึกเหล่านั้นคือเจิ้งอี้ฝาน…หรือที่รู้จักกันในนามเสินโหว!”  

 

 

พูดจบเสี่ยวซีก็เม้มริมฝีปากและมองสายฟ้าแปลบปลาบในระยะไกล “เจิ้งอี้ฝานได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมพลถึงสองครั้ง และกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของทหารจักรวรรดิอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หลายปีมานี้องค์จักรพรรดิลดอำนาจของเจิ้งอี้ฝานจนก่อเกิดสถานการณ์ขัดแย้งในปัจจุบันนี้ จากเจ็ดหัวเมืองหลัก สามเมืองในนั้นคือ เมืองหลันเยี่ยน เมืองชีไห่ และเมืองหยาดสายัณห์นั้นขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิ ทว่าทหารจากอีกสี่เมืองสนับสนุนเจิ้งอี้ฝาน…และจากสิบสองเมืองรอง ห้าเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองหลวง ส่วนที่เหลือปกครองตนเอง ฝ่าบาทฉินจิ้นมีความเห็นไม่ตรงกับเจิ้งอี้ฝาน แต่ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านเขา!”  

 

 

หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าเอือกใหญ่ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวซีรู้มากกว่าที่ข้ารู้อีก…”  

 

 

ถังเสี่ยวซีเผยยิ้ม “ข้าเติบโตในเมืองชีไห่และเคยได้ยินมาหลายเรื่องราว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้มากกว่าเจ้า? กระนั้นสถานะของมู่มู่ก็แตกต่างจากตอนที่อยู่เมืองหยินซาน ตอนนี้เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสามผู้บังคับบัญชาองครักษ์อวี้หลิน อีกทั้งเป็นผู้บัญชาการระดับสูงที่มีพลังอำนาจ เช่นนั้นคงมีบางสิ่งที่ต้องรู้ไว้ จริงสิ…ข้าจะให้แผนที่การกระจายอำนาจของกำลังทหารในสิบสองแผ่นดิน ไม่ช้าก็เร็วเจ้าควรเรียนรู้สิ่งนี้…”  

 

 

“อื้ม ขอบคุณมากเสี่ยวซี”  

 

 

หลินมู่เผยยิ้ม “น่าเสียดายที่สถานะของเสี่ยวซีนั้นสูงเกินไป มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าอยู่เคียงข้างในฐานะนายทหารนำทัพ”  

 

 

เสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สถานะหรือ? ข้า…มิได้อยู่ในตำแหน่งสูงเลย ตราบใดที่มู่มู่ต้องการ ข้าจะอยู่ที่รังอินทรีกับเจ้าเอง จวนชีไห่นั้นน่าเบื่อมาก…หากพูดถึงสถานะแล้ว เสี่ยวอินมีสถานะที่สูงยิ่งกว่า และคงมาเป็นนายทหารนำทัพให้เจ้าไม่ได้”  

 

 

“ใช่…”  

 

 

หลินมู่อวี่พลันนึกถึงฉินอิน เธอเติบโตมาในตำหนักเจ๋อเทียน บางทีเธอคงรู้เรื่องความกดดันในแผ่นดินนี้ดียิ่งกว่าถังเสี่ยวซี เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินมู่อวี่ก็รีบเอ่ยถาม “เสี่ยวซี กองทหารของเมืองชีไห่อยู่ภายใต้การควบคุมของปู่ของเจ้าหรือก็คือชางหลานกง เช่นนั้นแล้ว…หากชางหลานกงเสียชีวิต ใครจะเป็นผู้ควบคุมกองทหารเหล่านั้นเหรอ? เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”  

 

 

“ไม่ใช่”  

 

 

ถังเสี่ยวซีส่ายหัว “ถึงกระนั้นข้าก็เป็นธิดา หากพวกเขามีทางเลือกอื่น ข้าก็คงไม่ได้ควบคุมกองทหาร อีกทั้งข้ามีเหล่าพี่ชายที่มีตำแหน่งสูงกว่า เช่นนั้นแล้วข้าจะควบคุมกองทหารได้อย่างไร…และข้าก็ไม่ได้สนใจมันนัก หรือว่าเจ้ากำลังบอกว่า…”  

 

 

ดวงตาของเสี่ยวซีเบิกกว้าง “เจ้ากำลังบอกให้ข้าควบคุมเมืองชีไห่ใช่หรือไม่? เมื่อเป็นเช่นนั้น…ข้าจะลองดูแล้วกัน ท่านปู่ค่อนข้างตามใจข้าทีเดียว และหากสามารถกำจัดนิสัยเสียของตนเองออกไปได้ บางทีตำแหน่งผู้ปกครองเมืองชีไห่อาจถูกส่งมาให้ข้า?”  

 

 

หลินมู่อวี่ตกตะลึง “นั่น…ช่างมันเถิด ข้ามิต้องการให้เจ้าต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น อีกทั้งข้าก็พอใจมากแล้วกับการมีเจ้าอยู่เคียงข้าง หากเจ้าต้องกลับไปเมืองชีไห่และกลายเป็นผู้นำตระกูล เช่นนั้นคงเป็นการยากสำหรับข้าที่จะพบเจ้าในแต่ละครั้ง”  

 

 

“ใช่ มู่มู่ฉลาดที่สุด!”  

 

 

‘เปรี้ยง!’ ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงบนยอดเขาต่อหน้าพวกเขา จนทำให้ต้นสนลุกเป็นไฟ มีสายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบบนฟากฟ้าเป็นระยะ จากนั้นเปลวตรงหน้าก็ค่อยๆ แทรกซึมผ่านก้อนหิน ภายในพริบตาก้อนหินนั้นก็ละลาย!  

 

 

“นั่น…”  

 

 

หลินมู่อวี่เบิกตากว้าง “เปลวไฟนั่นละลายหินได้เหรอ?”  

 

 

ถังเสี่ยวซีหรี่ตา “มันคือเพลิงสวรรค์…เพลิงสวรรค์ในตำนานสามารถเผาผลาญทุกสิ่งอย่าง ไม่คิดเลยว่ามันจะมาอยู่ที่นี่! มู่มู่รีบออกจากที่นี่เร็ว! หากเพลิงสวรรค์ลามมาถึงพวกเราคงไม่รอดแน่ แม้แต่ร่างจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน…”  

 

 

“ไม่!”  

 

 

หลินมู่อวี่นึกบางอย่างได้ “เสี่ยวซี เจ้ากลับไปรอข้าที่กระโจมก่อน ข้าต้องการเพลิงสวรรค์นี้!”  

 

 

เพลิงสวรรค์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีความร้อนยิ่งกว่าไฟหลอมโลกันตร์เสียอีก! นี่คือสิ่งที่หลินมู่อวี่กำลังต้องการที่สุดใช่หรือไม่?  

 

 

ถังเสี่ยวซีมองท่าทางมุ่งมั่นของหลินมู่อวี่ เธอพลันกัดริมฝีปากแน่น “ก็ได้ หากมู่มู่ไม่ไป ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”  

 

 

“ไม่! เสี่ยวซีกลับไปซะ! มันอันตรายเกินไป”  

 

 

“ฮึ่ม! มาดูกันว่าเจ้าจะกล้าบังคับข้าหรือไม่ ข้าเป็นถึงองค์หญิงนะ!” องค์หญิงผู้เลอโฉมเผยท่าทางไม่พอใจ  

 

 

หลินมุ่อวี่พลันยักไหล่ “เอาล่ะ เช่นนั้นช่วยข้ากางร่มนี้ที ข้าจะหลอมเพลิงสวรรค์นี้!”  

 

 

“อื้ม!”  

 

 

ถังเสี่ยวซีรับร่มมาถือ ทว่าเนื่องจากส่วนสูงที่แตกต่างกัน เธอจึงต้องยืนเขย่ง  

 

 

หลินมู่อวี่ไม่ได้สนใจฝนที่ตกหนัก เขารีบเดินเข้าไปยังบริเวณที่เพลิงสวรรค์ตกลงมา หลินมู่อวี่ยื่นมือออกไปพร้อมปลดปล่อยปราณยุทธ์ ทันใดนั้น! เกิดแสงสว่างเป็นรูปร่างติ่งหลอมยักษ์ล้อมรอบเพลิงสวรรค์ เขาพลันหลับตาลง การหลอมไฟชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลินมู่อวี่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับอุณหภูมิและธรรมชาติของมัน ไฟหลอมโลกันตร์มีความรุนแรง ทว่าเพลิงสวรรค์นั้นเป็นเพลิงทำลายล้าง  

 

 

‘วิ้ง วิ้ง วิ้ง…’  

 

 

ติ่งหลอมยักษ์เริ่มสั่นช้าๆ ขณะที่เพลิงสวรรค์พยายามหลบหนีจากติ่งหลอมราวกับว่ามีมันสมอง หลินมู่อวี่จึงใช้ปราณยุทธ์ควบคุมเพลิงสวรรค์และทำให้มันยอมจำนนแต่โดยดี  

 

 

…  

 

 

สายลมยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บราวกับใบมีดเฉือนผิวหนัง ถังเสี่ยวซีตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเรียกวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีออกมา มันเกาะไหล่เสี่ยวซีเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเจ้านาย หลินมู่อวี่ยังคงตั้งสมาธิกับการหลอมเพลิงสวรรค์ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงขณะที่ปราณยุทธ์โคจรอยู่รอบตัว ราวกับเทพสงครามกำลังฝึกตนอย่างสันโดษ  

 

 

เมื่อเห็นดังนั้นเสี่ยวซีก็เผยยิ้ม การเฝ้ามองหลินมู่อวี่เช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอสุขใจ  

 

 

กระบวนการหลอมใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดชั่วโมง เมื่อเพลิงสวรรค์ได้รับการหลอมและทำให้เชื่อฟัง มันก็เป็นเวลารุ่งสางของอีกวันแล้ว ทว่าสายฝนที่เยือกเย็นยังคงตกอย่างต่อเนื่อง  

 

 

หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างเชื่องช้าด้วยความโล่งอก ก่อนจะลืมตาขึ้นพบกับแสงแปลกประหลาดที่กระทบกับม่านตา เมื่อหันไปก็เห็นว่าเสี่ยวซีเกือบจะถูกแช่แข็งแล้ว! แม้แต่ผมยาวสลวยก็มีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่! เสี่ยวซีเบิกตามองดูหลินมู่อวี่อย่างเงียบงัน  

 

 

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่เสี่ยวซี?”  

 

 

หัวใจของเขาเป็นกังวลอย่างมากขณะที่รีบพยุงเธอ “หนาวเกินไปหรือเปล่า?”  

 

 

ถังเสี่ยวซีรู้สึกว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น ก่อนจะพยักหน้า “อา…เจ้าไม่หนาวเลยหรือ เหตุใดร่างกายจึงยังอบอุ่นเช่นนี้…”  

 

 

“เพราะข้าเป็นคนหนุ่มแข็งแรง!”  

 

 

“อืม…”  

 

 

“รีบกลับกันเถิด!”  

 

 

“ได้สิ”  

 

 

เมื่อกลับมาถึงกระโจม หลินมู่อวี่รีบสั่งเว่ยโฉวต้มน้ำเพื่อให้เสี่ยวซีอาบน้ำ อีกทั้งสั่งให้ต้มซุปโสมด้วย หลินมู่อวี่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเสี่ยวซีอาบน้ำ กินข้าว และได้พักผ่อนเรียบร้อย หลินมู่อวี่ก็เดินเข้ามา  

 

 

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม?” หลินมู่อวี่มองถังเสี่ยวซีที่นอนอยู่บนเตียง  

 

 

ถังเสี่ยวซีพยักหน้าและยิ้มรับ “อื้ม ดีขึ้นมากแล้ว”  

 

 

“ทหารของเจ้ารออยู่ที่ด้านนอก และพร้อมจะสังหารข้าทุกเมื่อหากไม่ปล่อยเจ้าไปกับพวกเขา…”  

 

 

“ฮ่าๆ ปล่อยพวกเขาไปเถิด! มู่มู่ อย่าไปนะ อยู่กับข้าได้หรือไม่?”  

 

 

“ได้สิ…”  

 

 

หลินมู่อวี่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองดูถังเสี่ยวซีผล็อยหลับไป ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานอีกครั้ง ใช่แล้ว…ตอนนี้เขาสามารถหลอมศิลากระด้างได้!  

 

 

‘วิ้ง!’  

 

 

ติ่งหลอมยักษ์ปรากฏขึ้นในกระโจม หลินมู่อวี่พลันยกมันขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและโยนเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ลงไป ทันใดนั้น! เปลวไฟหลอมชั้นที่หกเพลิงสวรรค์ก็หลั่งไหลเข้ามา จากนั้นเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ก็ร้อนขึ้น จนผิวชั้นนอกเริ่มลอกออก ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็ทำสำเร็จ!  

 

 

เพลิงสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย พลังการหลอมของมันทรงพลังมากเมื่อเทียบกับไฟหลอมโลกันตร์!  

 

 

หลังจากผ่านไปราวสองชั่วโมง เหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ก็ถูกหลอมจนกลายเป็นของเหลว จากนั้นหลินมู่อวี่หยิบศิลาวิญญาณงูมังกรอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปีออกจากถุงสรรพสิ่งก่อนจะเริ่มหลอมมัน!  

 

 

………………..…

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 198 เพลิงสวรรค์

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 198 เพลิงสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.198 เพลิงสวรรค์  

 

 

ร่มมีขนาดไม่ใหญ่นัก ถังเสี่ยวซีจึงต้องเดินเบียดหลินมู่อวี่ เขาดูให้แน่ใจว่าร่มส่วนใหญ่อยู่ด้านเสี่ยวซี ดังนั้นอีกไม่นานเสื้อผ้าเขาคงต้องเปียกหมด  

 

 

พื้นที่ภูเขารังอินทรีมีลักษณะดั่งชื่อของมัน มีหน้าผานับพัน และมียอดเขาที่ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา มันมีภูมิศาสตร์ที่คล้ายกับภูเขาหลงหยานของทหารรับจ้างมังกรผงาดมาก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือภูเขาหลงหยานมีบริเวณกว้างกว่าและจุคนได้มากกว่า  

 

 

เสียงฟ้าคำรามดังมาแต่ไกลพร้อมเม็ดฝนที่ตกโปรยปราย  

 

 

หลินมู่อวี่เอื้อมมือโอบไหล่ถังเสี่ยวซีอย่างแนบเนียน ทั้งสองเดินไปยังหน้าผาด้านข้างภูเขารังอินทรีและเหม่อมองออกไปด้านนอก เมืองหลันเยี่ยนสว่างไสวไปด้วยสายฟ้าพาดผ่าน และกลายเป็นภาพเบลอพลิ้วไหวไปตามแรงลมและสายฝน ถังเสี่ยวซีหันมองหลินมู่อวี่พร้อมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือที่โอบเธอไว้ก่อนจะหน้าแดงก่ำ ลักยิ้มปรากฏขึ้นขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่คิดเหมือนกันไหมว่า…บรรยากาศในตอนนี้มันดีมากเลย?”  

 

 

“บรรยากาศดี?”  

 

 

หลินมู่อวี่อดยิ้มไม่ได้ “สายฟ้าฟาดลงมาเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน อำนาจแห่งสวรรค์มิใช่เรื่องเล็ก ภูเขารังอินทรีเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นมีโอกาสบ่อยครั้งที่จะโดนฟ้าผ่า ซึ่งไม่ได้บรรยากาศดีแม้แต่น้อย…”  

 

 

ถังเสี่ยวซีหัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอ่านสถานการณ์ไม่เป็นจริงๆ…”  

 

 

“หืม อะไรเหรอ?”  

 

 

“เปล่า เจ้าจะไปตรวจค่ายหรือไม่?”  

 

 

“ไม่ไป…ในเมื่อมีเว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และเหล่าทหารยาม อีกทั้งหน้าผาที่นี่ก็ไม่ง่ายที่จะปีนขึ้นมา วางใจเถิด รังอินทรีนั้นปลอดภัย ทุกคนที่นี่ต่างอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา คนจากจวนเสินโหวในรังอินทรีถูกข้าไล่ไปหมดแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ข้าจะยอมรับทหารที่รับใช้คนอื่นในสถานที่ของข้าได้อย่างไร? ข้ามิได้เหมือนกับฝ่าบาทที่สามารถอดทนกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”  

 

 

ถังเสี่ยวซีตกตะลึงก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “ความจริงแล้ว…”  

 

 

“ความจริงแล้วอะไรหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม  

 

 

ถังเสี่ยวซีไม่ได้กล่าวสิ่งใด เธอพลันเอื้อมมือโอบรอบเอวหลินมู่อวี่ก่อนจะซุกตัวในอ้อมแขนเขา ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกหนาวหรือด้วยสาเหตุใด ทว่าร่างกายของเธอสั่นเทิ้ม “ความจริงแล้วฝ่าบาทมีหลายสิ่งที่ไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้ เจ้ารู้หรือไม่อาอวี่? ราชาผู้ส่องแสงฉินจิ้น ที่มาของชื่อก็เนื่องจากฝ่าบาทปราบปรามการก่อกบฏ โดยสังหารศัตรูสามแสนคนทางเหนือ และอีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคนทางใต้จนเป็นที่รู้จักกันในนามราชาผู้ส่องแสง ทว่าแม่ทัพที่แท้จริงในการทำศึกเหล่านั้นคือเจิ้งอี้ฝาน…หรือที่รู้จักกันในนามเสินโหว!”  

 

 

พูดจบเสี่ยวซีก็เม้มริมฝีปากและมองสายฟ้าแปลบปลาบในระยะไกล “เจิ้งอี้ฝานได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมพลถึงสองครั้ง และกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของทหารจักรวรรดิอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หลายปีมานี้องค์จักรพรรดิลดอำนาจของเจิ้งอี้ฝานจนก่อเกิดสถานการณ์ขัดแย้งในปัจจุบันนี้ จากเจ็ดหัวเมืองหลัก สามเมืองในนั้นคือ เมืองหลันเยี่ยน เมืองชีไห่ และเมืองหยาดสายัณห์นั้นขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิ ทว่าทหารจากอีกสี่เมืองสนับสนุนเจิ้งอี้ฝาน…และจากสิบสองเมืองรอง ห้าเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองหลวง ส่วนที่เหลือปกครองตนเอง ฝ่าบาทฉินจิ้นมีความเห็นไม่ตรงกับเจิ้งอี้ฝาน แต่ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านเขา!”  

 

 

หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าเอือกใหญ่ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวซีรู้มากกว่าที่ข้ารู้อีก…”  

 

 

ถังเสี่ยวซีเผยยิ้ม “ข้าเติบโตในเมืองชีไห่และเคยได้ยินมาหลายเรื่องราว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้มากกว่าเจ้า? กระนั้นสถานะของมู่มู่ก็แตกต่างจากตอนที่อยู่เมืองหยินซาน ตอนนี้เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสามผู้บังคับบัญชาองครักษ์อวี้หลิน อีกทั้งเป็นผู้บัญชาการระดับสูงที่มีพลังอำนาจ เช่นนั้นคงมีบางสิ่งที่ต้องรู้ไว้ จริงสิ…ข้าจะให้แผนที่การกระจายอำนาจของกำลังทหารในสิบสองแผ่นดิน ไม่ช้าก็เร็วเจ้าควรเรียนรู้สิ่งนี้…”  

 

 

“อื้ม ขอบคุณมากเสี่ยวซี”  

 

 

หลินมู่เผยยิ้ม “น่าเสียดายที่สถานะของเสี่ยวซีนั้นสูงเกินไป มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าอยู่เคียงข้างในฐานะนายทหารนำทัพ”  

 

 

เสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สถานะหรือ? ข้า…มิได้อยู่ในตำแหน่งสูงเลย ตราบใดที่มู่มู่ต้องการ ข้าจะอยู่ที่รังอินทรีกับเจ้าเอง จวนชีไห่นั้นน่าเบื่อมาก…หากพูดถึงสถานะแล้ว เสี่ยวอินมีสถานะที่สูงยิ่งกว่า และคงมาเป็นนายทหารนำทัพให้เจ้าไม่ได้”  

 

 

“ใช่…”  

 

 

หลินมู่อวี่พลันนึกถึงฉินอิน เธอเติบโตมาในตำหนักเจ๋อเทียน บางทีเธอคงรู้เรื่องความกดดันในแผ่นดินนี้ดียิ่งกว่าถังเสี่ยวซี เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินมู่อวี่ก็รีบเอ่ยถาม “เสี่ยวซี กองทหารของเมืองชีไห่อยู่ภายใต้การควบคุมของปู่ของเจ้าหรือก็คือชางหลานกง เช่นนั้นแล้ว…หากชางหลานกงเสียชีวิต ใครจะเป็นผู้ควบคุมกองทหารเหล่านั้นเหรอ? เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”  

 

 

“ไม่ใช่”  

 

 

ถังเสี่ยวซีส่ายหัว “ถึงกระนั้นข้าก็เป็นธิดา หากพวกเขามีทางเลือกอื่น ข้าก็คงไม่ได้ควบคุมกองทหาร อีกทั้งข้ามีเหล่าพี่ชายที่มีตำแหน่งสูงกว่า เช่นนั้นแล้วข้าจะควบคุมกองทหารได้อย่างไร…และข้าก็ไม่ได้สนใจมันนัก หรือว่าเจ้ากำลังบอกว่า…”  

 

 

ดวงตาของเสี่ยวซีเบิกกว้าง “เจ้ากำลังบอกให้ข้าควบคุมเมืองชีไห่ใช่หรือไม่? เมื่อเป็นเช่นนั้น…ข้าจะลองดูแล้วกัน ท่านปู่ค่อนข้างตามใจข้าทีเดียว และหากสามารถกำจัดนิสัยเสียของตนเองออกไปได้ บางทีตำแหน่งผู้ปกครองเมืองชีไห่อาจถูกส่งมาให้ข้า?”  

 

 

หลินมู่อวี่ตกตะลึง “นั่น…ช่างมันเถิด ข้ามิต้องการให้เจ้าต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น อีกทั้งข้าก็พอใจมากแล้วกับการมีเจ้าอยู่เคียงข้าง หากเจ้าต้องกลับไปเมืองชีไห่และกลายเป็นผู้นำตระกูล เช่นนั้นคงเป็นการยากสำหรับข้าที่จะพบเจ้าในแต่ละครั้ง”  

 

 

“ใช่ มู่มู่ฉลาดที่สุด!”  

 

 

‘เปรี้ยง!’ ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงบนยอดเขาต่อหน้าพวกเขา จนทำให้ต้นสนลุกเป็นไฟ มีสายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบบนฟากฟ้าเป็นระยะ จากนั้นเปลวตรงหน้าก็ค่อยๆ แทรกซึมผ่านก้อนหิน ภายในพริบตาก้อนหินนั้นก็ละลาย!  

 

 

“นั่น…”  

 

 

หลินมู่อวี่เบิกตากว้าง “เปลวไฟนั่นละลายหินได้เหรอ?”  

 

 

ถังเสี่ยวซีหรี่ตา “มันคือเพลิงสวรรค์…เพลิงสวรรค์ในตำนานสามารถเผาผลาญทุกสิ่งอย่าง ไม่คิดเลยว่ามันจะมาอยู่ที่นี่! มู่มู่รีบออกจากที่นี่เร็ว! หากเพลิงสวรรค์ลามมาถึงพวกเราคงไม่รอดแน่ แม้แต่ร่างจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน…”  

 

 

“ไม่!”  

 

 

หลินมู่อวี่นึกบางอย่างได้ “เสี่ยวซี เจ้ากลับไปรอข้าที่กระโจมก่อน ข้าต้องการเพลิงสวรรค์นี้!”  

 

 

เพลิงสวรรค์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีความร้อนยิ่งกว่าไฟหลอมโลกันตร์เสียอีก! นี่คือสิ่งที่หลินมู่อวี่กำลังต้องการที่สุดใช่หรือไม่?  

 

 

ถังเสี่ยวซีมองท่าทางมุ่งมั่นของหลินมู่อวี่ เธอพลันกัดริมฝีปากแน่น “ก็ได้ หากมู่มู่ไม่ไป ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”  

 

 

“ไม่! เสี่ยวซีกลับไปซะ! มันอันตรายเกินไป”  

 

 

“ฮึ่ม! มาดูกันว่าเจ้าจะกล้าบังคับข้าหรือไม่ ข้าเป็นถึงองค์หญิงนะ!” องค์หญิงผู้เลอโฉมเผยท่าทางไม่พอใจ  

 

 

หลินมุ่อวี่พลันยักไหล่ “เอาล่ะ เช่นนั้นช่วยข้ากางร่มนี้ที ข้าจะหลอมเพลิงสวรรค์นี้!”  

 

 

“อื้ม!”  

 

 

ถังเสี่ยวซีรับร่มมาถือ ทว่าเนื่องจากส่วนสูงที่แตกต่างกัน เธอจึงต้องยืนเขย่ง  

 

 

หลินมู่อวี่ไม่ได้สนใจฝนที่ตกหนัก เขารีบเดินเข้าไปยังบริเวณที่เพลิงสวรรค์ตกลงมา หลินมู่อวี่ยื่นมือออกไปพร้อมปลดปล่อยปราณยุทธ์ ทันใดนั้น! เกิดแสงสว่างเป็นรูปร่างติ่งหลอมยักษ์ล้อมรอบเพลิงสวรรค์ เขาพลันหลับตาลง การหลอมไฟชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลินมู่อวี่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับอุณหภูมิและธรรมชาติของมัน ไฟหลอมโลกันตร์มีความรุนแรง ทว่าเพลิงสวรรค์นั้นเป็นเพลิงทำลายล้าง  

 

 

‘วิ้ง วิ้ง วิ้ง…’  

 

 

ติ่งหลอมยักษ์เริ่มสั่นช้าๆ ขณะที่เพลิงสวรรค์พยายามหลบหนีจากติ่งหลอมราวกับว่ามีมันสมอง หลินมู่อวี่จึงใช้ปราณยุทธ์ควบคุมเพลิงสวรรค์และทำให้มันยอมจำนนแต่โดยดี  

 

 

…  

 

 

สายลมยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บราวกับใบมีดเฉือนผิวหนัง ถังเสี่ยวซีตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเรียกวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีออกมา มันเกาะไหล่เสี่ยวซีเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเจ้านาย หลินมู่อวี่ยังคงตั้งสมาธิกับการหลอมเพลิงสวรรค์ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงขณะที่ปราณยุทธ์โคจรอยู่รอบตัว ราวกับเทพสงครามกำลังฝึกตนอย่างสันโดษ  

 

 

เมื่อเห็นดังนั้นเสี่ยวซีก็เผยยิ้ม การเฝ้ามองหลินมู่อวี่เช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอสุขใจ  

 

 

กระบวนการหลอมใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดชั่วโมง เมื่อเพลิงสวรรค์ได้รับการหลอมและทำให้เชื่อฟัง มันก็เป็นเวลารุ่งสางของอีกวันแล้ว ทว่าสายฝนที่เยือกเย็นยังคงตกอย่างต่อเนื่อง  

 

 

หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างเชื่องช้าด้วยความโล่งอก ก่อนจะลืมตาขึ้นพบกับแสงแปลกประหลาดที่กระทบกับม่านตา เมื่อหันไปก็เห็นว่าเสี่ยวซีเกือบจะถูกแช่แข็งแล้ว! แม้แต่ผมยาวสลวยก็มีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่! เสี่ยวซีเบิกตามองดูหลินมู่อวี่อย่างเงียบงัน  

 

 

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่เสี่ยวซี?”  

 

 

หัวใจของเขาเป็นกังวลอย่างมากขณะที่รีบพยุงเธอ “หนาวเกินไปหรือเปล่า?”  

 

 

ถังเสี่ยวซีรู้สึกว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น ก่อนจะพยักหน้า “อา…เจ้าไม่หนาวเลยหรือ เหตุใดร่างกายจึงยังอบอุ่นเช่นนี้…”  

 

 

“เพราะข้าเป็นคนหนุ่มแข็งแรง!”  

 

 

“อืม…”  

 

 

“รีบกลับกันเถิด!”  

 

 

“ได้สิ”  

 

 

เมื่อกลับมาถึงกระโจม หลินมู่อวี่รีบสั่งเว่ยโฉวต้มน้ำเพื่อให้เสี่ยวซีอาบน้ำ อีกทั้งสั่งให้ต้มซุปโสมด้วย หลินมู่อวี่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเสี่ยวซีอาบน้ำ กินข้าว และได้พักผ่อนเรียบร้อย หลินมู่อวี่ก็เดินเข้ามา  

 

 

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม?” หลินมู่อวี่มองถังเสี่ยวซีที่นอนอยู่บนเตียง  

 

 

ถังเสี่ยวซีพยักหน้าและยิ้มรับ “อื้ม ดีขึ้นมากแล้ว”  

 

 

“ทหารของเจ้ารออยู่ที่ด้านนอก และพร้อมจะสังหารข้าทุกเมื่อหากไม่ปล่อยเจ้าไปกับพวกเขา…”  

 

 

“ฮ่าๆ ปล่อยพวกเขาไปเถิด! มู่มู่ อย่าไปนะ อยู่กับข้าได้หรือไม่?”  

 

 

“ได้สิ…”  

 

 

หลินมู่อวี่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองดูถังเสี่ยวซีผล็อยหลับไป ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานอีกครั้ง ใช่แล้ว…ตอนนี้เขาสามารถหลอมศิลากระด้างได้!  

 

 

‘วิ้ง!’  

 

 

ติ่งหลอมยักษ์ปรากฏขึ้นในกระโจม หลินมู่อวี่พลันยกมันขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและโยนเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ลงไป ทันใดนั้น! เปลวไฟหลอมชั้นที่หกเพลิงสวรรค์ก็หลั่งไหลเข้ามา จากนั้นเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ก็ร้อนขึ้น จนผิวชั้นนอกเริ่มลอกออก ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็ทำสำเร็จ!  

 

 

เพลิงสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย พลังการหลอมของมันทรงพลังมากเมื่อเทียบกับไฟหลอมโลกันตร์!  

 

 

หลังจากผ่านไปราวสองชั่วโมง เหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ก็ถูกหลอมจนกลายเป็นของเหลว จากนั้นหลินมู่อวี่หยิบศิลาวิญญาณงูมังกรอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปีออกจากถุงสรรพสิ่งก่อนจะเริ่มหลอมมัน!  

 

 

………………..…

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+