The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 200 ขายตัว…ไม่ใช่ขายของ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 200 ขายตัว...ไม่ใช่ขายของ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงค้อนกระทบเหล็กดังสนั่นไปทั่วบริเวณ หลังจากหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีรอมากว่าสองชั่วโมง ในที่สุดปลอกกระบี่เล่มใหม่ของหลินมู่อวี่ก็แล้วเสร็จ ด้วยช่างตีเหล็กระดับสูงห้าคนช่วยกันตีทำให้ใช้เวลาไม่นาน ไม้โลหิตทองคำ เป็นไม้ที่มีสีทองปนสีแดงเลือดและมีลักษณะเป็นเงามันวาว ลวดลายที่สลักบนปลอกเหมือนกับลายของเหล็กที่ใช้หลอมกระบี่วิญญาณมังกร

“ถูกใจหรือไม่ขอรับนายท่าน?” หัวหน้าช่างตีเหล็กเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่จับปลอกกระบี่ขึ้นมาชม มันมีน้ำหนักราวสามปอนด์กำลังดี ก่อนจะใช้ห่อผ้าสีดำมาคลุมปลอกไว้ทำให้หัวหน้าช่างตีเหล็กไม่ทันได้โยนโฉมตัวกระบี่ก่อนที่จะเก็บลงฝัก มันเข้ากันได้พอดีอย่างเหลือเชื่อสมแล้วที่เป็นงานของช่างฝีมือชั้นเยี่ยม!

ถังเสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นหลินมู่อวี่เผยท่าทีพอใจ “หากเรียบร้อยแล้วเราไปกันเถิด”

“รอสักประเดี๋ยว”

“รอทำไมหรือ?”

“อีกสักพักเว่ยโฉวกับทหารคนอื่นๆ จะมาที่นี่”

“หืม?”

ถังเสี่ยวซีไม่เข้าใจ นางยังอยากไปเดินเล่นที่ถนนทงเทียนกับหลินมู่อวี่อยู่ ไม่นานเว่ยโฉวก็นำกองทหารองครักษ์อินทรีหลายร้อยคนมาพร้อมกับม้าหลายตัวเพื่อไปรับโล่งูมังกรตามที่ได้นัดหมายไว้

“ท่านผู้บัญชาการ!” เว่ยโฉวคำนับ “เตรียมการพร้อมแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นไปกันเถิด”

“ขอรับ!”

เมื่อมาถึงร้านขายเหล็ก คนขายที่จำหลินมู่อวี่ได้จึงรีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่ โล่งูมังกรเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญทางนี้…”

“อืม”

เมื่อเข้าไปยังลานกว้างในร้านขายเหล็กมีโล่งูมังกรวางกองอยู่ คนขายหยิบโล่อันหนึ่งขึ้นมาอย่างยากลำบากก่อนจะใช้มือลูบไปตามผิวโลหะของมัน “วัตถุดิบหลักในการทำโล่คือเกล็ดงูมังกร หลอมเคลือบเป็นชั้นด้วยเหล็กนิลอายุร้อยปี ด้ามจับสร้างจากหนังทนไฟทนน้ำ และด้วยเกล็ดของงูมังกรอายุหมื่นปีที่ไม่มีอาวุธใดทำลายได้ จึงไม่เกินจริงเลยหากจะกล่าวว่านี่เป็นโล่ที่แข็งที่สุด”

“อย่างนั้นหรือ?”

หลินมู่อวี่คลี่ยิ้มเตรียมชักกระบี่ออกมา เพียงพริบตา…กระบี่วิญญาณมังกรเคลือบด้วยปราณยุทธ์จนเกิดเป็นเปลวเพลิงฟันเข้ากลางโล่โดยตรง ก่อนจะเก็บเข้าฝักในเวลาไม่ถึงวินาที! ทั้งเว่ยโฉว ถังเสี่ยวซีและคนขายเหล็กต่างก็ทึ่งในความเร็วของกระบี่ที่รวดเร็วปานสายฟ้า!

“ฉึบ…”

ชั้นเหล็กนิลของโล่งูมังกรแตกออกก่อนจะแยกเป็นสองส่วนร่วงคามือคนขายเหล็ก…

“น…นี่มัน…”

คนขายเหล็กอ้าปากพูดด้วยความตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้…เราทดสอบมันหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่อาวุธที่ดีที่สุดของช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในร้านยังไม่สามารถผ่าโล่นี้เป็นสองซีกได้…ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วน ท่านหลินมู่อวี่…ท่านใช้กระบี่อะไรหรือขอรับ?”

หลินมู่อวี่ตอบ “ข้าเพียงแสดงให้เจ้าเห็นว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่ทำลายไม่ได้ ช่างเถิด…ช่วยข้าขนโล่งูมังกรพวกนี้ขึ้นรถม้า”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวมองโล่งูมังกรกองใหญ่แล้วหันมาถามหลินมู่อวี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โล่พวกนี้…เป็นของรังอินทรีใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลินมู่อวี่ราดน้ำเย็นใส่เว่ยโฉว ก่อนจะตอบกลับด้วยคำพูดอันสิ้นหวังแก่เขา “เสียใจด้วยที่ต้องตอบว่าไม่! และเจ้าก็ต้องตามข้าไปเขาผามังกรเพื่อส่งโล่พวกนี้ให้กับกลุ่มมังกรผงาดของข้าด้วย”

“หืม?” เว่ยโฉวทำหน้าสงสัย “ทหารรับจ้างขอท่านหรือขอรับ?”

“ใช่ ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้ว…”

“ขึ้นทะเบียนแล้วรึ? แล้วช่างน่าอิฉาเสียจริง…กลุ่มมังกรผงาดได้รับโล่ชั้นยอด ในขณะที่ทหารจักรวรรดิอย่างเราได้ใช้แต่โล่ไร้คุณภาพ!”

“หากริษยามากนักเจ้าก็ลาออกแล้วไปเข้าร่วมกลุ่มมังกรผงาดในฐานะรองผู้บัญชาการเสียสิ!” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างประชดประชัน

เว่ยโฉวยิ้ม “ข้าหยอกเล่นขอรับ ในเมื่อปฏิญาณตนจงรักภักดีต่อจักรวรรดิแล้วจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”

“ฮ่าๆๆ” หลินมู่อวี่ไม่ได้ต่อความใดๆ

กลุ่มมังกรผงาดเป็นเพียงกองกำลังที่ก่อตั้งขึ้นเอง จะให้เทียบกับทหารองครักษ์อวี้หลินคงทำไม่ได้ เพราะทหารองครักษ์เป็นกองกำลังชั้นสูงของอาณาจักร ในขณะที่กลุ่มมังกรผงาดเป็นเพียงทหารรับจ้างไร้ชื่อไร้พลัง

กระบะขนสัมภาระทั้งห้าบรรทุกโล่มังกรไว้จนเต็มและคลุมไว้ด้วยผ้าดำก่อนจะเคลื่อนทัพมุ่งสู่ถนนทงเทียน

ถังเสี่ยวซีต้องกลับที่พักเมื่อขบวนผ่านมาถึงจวนเจ้าเมืองชีไห่ นางทำหน้ามุ่ยขณะบอกลาหลินมู่อวี่และสัญญาว่าต้องได้เจอกันอีก แม้จะไม่ได้ระบุเวลาไว้ชัดเจนหลินมู่อวี่ก็สัญญาว่าจะมาพบนางที่นี่เมื่อมีเวลา

ขณะขบวนขนค่อยๆ เคลื่อนทัพไปได้ไม่นานนักก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหน้า กลุ่มหญิงสาวในชุดผ้าขี้ริ้วเดินอยู่บนถนนโดยมีทหารคอยควบคุมอยู่ แทบไม่ต้องเดาเลย…คนกลุ่มนี้คือพวกค้าทาส

ขณะที่พวกหลินมู่อวี่กำลังเคลื่อนทัพผ่านไป ก็เห็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งซึ่งอายุไม่น่าถึงสิบห้าปี ซึ่งคราบสกปรกที่อยู่บนใบหน้านั้นไม่สามารถปิดบังความงดงามของนางได้เลย มือและเท้าถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา แผลที่ถูกเฆี่ยนยังดูสดใหม่ราวกับเพิ่งโดนลงโทษมา หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหานาง เมื่อทั้งคู่สบตากันหญิงสาวพยายามเอ่ยปากพูดบางอย่างทว่าไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา

“รอก่อน!” หลินมู่อวี่ตะโกนบอก

เว่ยโฉวเมื่อเห็นดังนั้นจึงเข้ามาเตือน “โปรดตริตรองให้ดีก่อนเถิดขอรับ ต่อให้ท่านช่วยหญิงพวกนี้ไป ก็มีคนอื่นถูกจับเข้าไปเพิ่มอีกอยู่ดี…ท่านคงไม่อยากถูกส่งไปเจดีย์ทงเทียนอีกใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่าไม่อยาก…”

หลินมู่อวี่ยิ้มก่อนจะหันกลับคุยกับหญิงสาว “เจ้ามาจากที่ใด?”

หญิงสาวตอบอย่างหวาดกลัว “ทงเทียน…ข้ามาจากมณฑลทงเทียน…”

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมายังเมืองหลันเยี่ยนเล่า?” หลินมู่อวี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรเพื่อให้นางคลายความกลัว

หญิงสาวเงียบปากแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้คือนายทหารระดับสูง หากไม่รู้วังคำพูดมีหวังได้ชะตาขาดเป็นแน่ หญิงสาวก้มหัวลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “ท่านพ่อกับท่านแม่โดนทหารรับจ้างสังหาร ข้าจึงถูกจับมาขายที่นี่ ข้า…”

“ข้าเข้าใจแล้ว…”

หลินมู่อวี่นั่งบนหลังม้าคิดลังเลเล็กน้อย

ทันใดนั้น ผู้บัญชาการกองร้อยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาหลินมู่อวี่ “ท่านหลินมู่อวี่ ผู้หญิงทั้งสี่สิบคนนี้ถูกค่ายทหารซื้อไป ฉะนั้นข้าอยากจะขอความกรุณา…ท่านอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายเลยขอรับ เราเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้น”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “ผู้บัญชาการทหาร ข้าอยากรู้ว่าหญิงที่ถูกจับมาขายพวกนี้มีอีกกี่คนที่พวกเจ้าเก็บไว้?”

ผู้บัญชาการกองร้อยละล่ำละลัก “มีทั้งหมด…ห้าสิบคน ท่านคิดจะทำสิ่งใดหรือขอรับ?”

“อย่างนั้นรึ…” หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะยิ้มตอบ “อย่ากังวลไป พาพวกนางไปตามคำสั่งเถิด ทว่าอย่าให้ใครแตะต้องตัวพวกนางภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนข้าจะตามไป ทำได้หรือไม่?”

ผู้บัญชาการกองร้อยประสานกำปั้นคำนับ “ท่านผู้บัญชาการช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ข้าเป็นผู้น้อยก็ต้องทำตามอยู่แล้วขอรับ”

“ดีมาก”

เว่ยโฉวมองเหล่าหญิงสาวถูกส่งไปค่าย ก่อนจะหันมาถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัย “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ขอรับ?”

หลินมู่อวี่ลอบหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าคิดว่าข้ายิ่งใหญ่ คิดว่าตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงและไม่เพิกเฉยต่อปัญหาเล็กน้อยทุกอย่างได้ ตอนนี้ข้าเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราและยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้’ ลำพังพลังของข้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาค้าทาสนี้ได้ แต่มีบางสิ่งที่ข้าทำได้ เว่ยโฉว…เจ้าพอจะรู้จักแหล่งซ่องสุมในเมืองหลันเยี่ยนแห่งนี้หรือไม่?”

เว่ยโฉวประหลาดใจ “ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่เกิดในตระกูลยากจน ทุกวันนี้เงินเดือนที่ได้ยังต้องส่งเสียให้ทางบ้านใช้ ข้าจะไปมีเงินพอให้ใช้กินใช้เที่ยวได้อย่างไร? ถึงกระนั้น…ข้าน้อยก็พอรู้แหล่งอยู่บ้างขอรับ เป็นตรอกเล็กๆ ชื่อว่า ‘ตรอกแดง’ มีทั้งร้านเหล้าและโรงเตี๊ยมต่างๆ นับว่าเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นยอดเลยขอรับ”

“ทันทีที่ส่งข้าถึงที่นั่นแล้ว พวกเจ้าก็นำโล่งูมังกรไปเก็บที่รังอินทรีก่อน ต่อเมื่อเสร็จธุระข้าจะกลับไปเจรจาเอง”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่กับเว่ยโฉวเข้าไปยังตรอกที่มีโคมไฟส่องสว่างที่อยู่ไม่ไกลนัก รอบบริเวณมีแต่ป้ายที่ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากชนิด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ลานหลี่ชุนจนหลินมู่อวี่เผลอยิ้มออกมา

หลินมู่อวี่และเว่ยโฉวเป็นทหารหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งยังสวมเกราะอันเจิดจรัส เป็นที่หมายตาของบรรดาแม่เล้าในซ่อง กระทั่งมีแม่เล้าคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว แม่นางที่มีใฝบนใบหน้าเกาะแขนหลินมู่อวี่อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจ ก่อนจะจีบปากจีบคอเอ่ยขึ้น “นายท่าน…เหตุใดจึงหายไปนานเช่นนี้เล่าเจ้าคะ?

เว่ยโฉวหลุดหัวเราะ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะ…”

หลินมู่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “หยุดความคิดอันลามกของเจ้าเสีย! ข้าสาบานด้วยเกียรติของข้าเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่มา! มันเป็นการหว่านล้อมของพวกนาง!”

“เช่นนั้นหรือขอรับ?” เว่ยโฉวทำหน้าตาล้อเลียน

ทันทีที่หลินมู่อวี่ลงจากม้าแม่เล้าก็รีบเข้ามาคว้ามือเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านมีหญิงที่คุ้นเคยบ้างหรือไม่เจ้าคะ? หากท่านต้องการสิ่งใด บอกข้าได้ทุกอย่าง…ไม่ต้องเขินอายไปเจ้าค่ะ”

“อืม”

หลินมู่อวี่สะบัดแม่เล้าออกเบาๆ และยิ้มให้ “ข้ามีเรื่องจะถามแม่นางสักเรื่อง เหล่าหญิงงามที่นี่ เจ้าเป็นคนขายหรือ?”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ…มิเช่นนั้นคงไม่มีลูกค้ามา ดูทางนี้เจ้าค่ะ คนนี้คือชั้นหนึ่งของเราคืนละสองเหรียญทอง ชั้นสองคืนละห้าสิบเหรียญเงิน และชั้นสุดท้ายจะถูกที่สุดเพียงคืนละสิบเหรียญเงินเจ้าค่ะ!”

หลินมู่อวี่กล่าว “ข้าไม่ได้หมายความถึงการขายเช่นนั้น…”

“แล้วท่านหมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

“ข้าหมายถึงขายส่งโดยตรง…”

แม่เล้าหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “เรื่องนั้นเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะนายท่าน…สาวงามของเราขายร่างกายไม่ได้ขายของ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกปวดหัวจนอยากตาย เว่ยโฉวยึงช่วยตัดบทให้ “สาวงามขั้นสามคืนละสิบเหรียญเงินเชียวรึ? แล้วมีสาวงามชั้นไหนที่ขายราคาคืนละสิบเหรียญทองแดงบ้างเล่า?”

แม่เล้ายิ้มตอบ “ท่านช่างเป็นคนตลกเสียจริง คืนละสิบเหรียญทองแดงคงไม่มีสาวงามคนไหนรับหรอกเจ้าค่ะ นอกจากแม่หมูในเล้า…”

เว่ยโฉว “…”

…………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 200 ขายตัว…ไม่ใช่ขายของ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 200 ขายตัว...ไม่ใช่ขายของ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงค้อนกระทบเหล็กดังสนั่นไปทั่วบริเวณ หลังจากหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีรอมากว่าสองชั่วโมง ในที่สุดปลอกกระบี่เล่มใหม่ของหลินมู่อวี่ก็แล้วเสร็จ ด้วยช่างตีเหล็กระดับสูงห้าคนช่วยกันตีทำให้ใช้เวลาไม่นาน ไม้โลหิตทองคำ เป็นไม้ที่มีสีทองปนสีแดงเลือดและมีลักษณะเป็นเงามันวาว ลวดลายที่สลักบนปลอกเหมือนกับลายของเหล็กที่ใช้หลอมกระบี่วิญญาณมังกร

“ถูกใจหรือไม่ขอรับนายท่าน?” หัวหน้าช่างตีเหล็กเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่จับปลอกกระบี่ขึ้นมาชม มันมีน้ำหนักราวสามปอนด์กำลังดี ก่อนจะใช้ห่อผ้าสีดำมาคลุมปลอกไว้ทำให้หัวหน้าช่างตีเหล็กไม่ทันได้โยนโฉมตัวกระบี่ก่อนที่จะเก็บลงฝัก มันเข้ากันได้พอดีอย่างเหลือเชื่อสมแล้วที่เป็นงานของช่างฝีมือชั้นเยี่ยม!

ถังเสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นหลินมู่อวี่เผยท่าทีพอใจ “หากเรียบร้อยแล้วเราไปกันเถิด”

“รอสักประเดี๋ยว”

“รอทำไมหรือ?”

“อีกสักพักเว่ยโฉวกับทหารคนอื่นๆ จะมาที่นี่”

“หืม?”

ถังเสี่ยวซีไม่เข้าใจ นางยังอยากไปเดินเล่นที่ถนนทงเทียนกับหลินมู่อวี่อยู่ ไม่นานเว่ยโฉวก็นำกองทหารองครักษ์อินทรีหลายร้อยคนมาพร้อมกับม้าหลายตัวเพื่อไปรับโล่งูมังกรตามที่ได้นัดหมายไว้

“ท่านผู้บัญชาการ!” เว่ยโฉวคำนับ “เตรียมการพร้อมแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นไปกันเถิด”

“ขอรับ!”

เมื่อมาถึงร้านขายเหล็ก คนขายที่จำหลินมู่อวี่ได้จึงรีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่ โล่งูมังกรเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญทางนี้…”

“อืม”

เมื่อเข้าไปยังลานกว้างในร้านขายเหล็กมีโล่งูมังกรวางกองอยู่ คนขายหยิบโล่อันหนึ่งขึ้นมาอย่างยากลำบากก่อนจะใช้มือลูบไปตามผิวโลหะของมัน “วัตถุดิบหลักในการทำโล่คือเกล็ดงูมังกร หลอมเคลือบเป็นชั้นด้วยเหล็กนิลอายุร้อยปี ด้ามจับสร้างจากหนังทนไฟทนน้ำ และด้วยเกล็ดของงูมังกรอายุหมื่นปีที่ไม่มีอาวุธใดทำลายได้ จึงไม่เกินจริงเลยหากจะกล่าวว่านี่เป็นโล่ที่แข็งที่สุด”

“อย่างนั้นหรือ?”

หลินมู่อวี่คลี่ยิ้มเตรียมชักกระบี่ออกมา เพียงพริบตา…กระบี่วิญญาณมังกรเคลือบด้วยปราณยุทธ์จนเกิดเป็นเปลวเพลิงฟันเข้ากลางโล่โดยตรง ก่อนจะเก็บเข้าฝักในเวลาไม่ถึงวินาที! ทั้งเว่ยโฉว ถังเสี่ยวซีและคนขายเหล็กต่างก็ทึ่งในความเร็วของกระบี่ที่รวดเร็วปานสายฟ้า!

“ฉึบ…”

ชั้นเหล็กนิลของโล่งูมังกรแตกออกก่อนจะแยกเป็นสองส่วนร่วงคามือคนขายเหล็ก…

“น…นี่มัน…”

คนขายเหล็กอ้าปากพูดด้วยความตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้…เราทดสอบมันหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่อาวุธที่ดีที่สุดของช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในร้านยังไม่สามารถผ่าโล่นี้เป็นสองซีกได้…ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วน ท่านหลินมู่อวี่…ท่านใช้กระบี่อะไรหรือขอรับ?”

หลินมู่อวี่ตอบ “ข้าเพียงแสดงให้เจ้าเห็นว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่ทำลายไม่ได้ ช่างเถิด…ช่วยข้าขนโล่งูมังกรพวกนี้ขึ้นรถม้า”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวมองโล่งูมังกรกองใหญ่แล้วหันมาถามหลินมู่อวี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โล่พวกนี้…เป็นของรังอินทรีใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลินมู่อวี่ราดน้ำเย็นใส่เว่ยโฉว ก่อนจะตอบกลับด้วยคำพูดอันสิ้นหวังแก่เขา “เสียใจด้วยที่ต้องตอบว่าไม่! และเจ้าก็ต้องตามข้าไปเขาผามังกรเพื่อส่งโล่พวกนี้ให้กับกลุ่มมังกรผงาดของข้าด้วย”

“หืม?” เว่ยโฉวทำหน้าสงสัย “ทหารรับจ้างขอท่านหรือขอรับ?”

“ใช่ ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้ว…”

“ขึ้นทะเบียนแล้วรึ? แล้วช่างน่าอิฉาเสียจริง…กลุ่มมังกรผงาดได้รับโล่ชั้นยอด ในขณะที่ทหารจักรวรรดิอย่างเราได้ใช้แต่โล่ไร้คุณภาพ!”

“หากริษยามากนักเจ้าก็ลาออกแล้วไปเข้าร่วมกลุ่มมังกรผงาดในฐานะรองผู้บัญชาการเสียสิ!” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างประชดประชัน

เว่ยโฉวยิ้ม “ข้าหยอกเล่นขอรับ ในเมื่อปฏิญาณตนจงรักภักดีต่อจักรวรรดิแล้วจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”

“ฮ่าๆๆ” หลินมู่อวี่ไม่ได้ต่อความใดๆ

กลุ่มมังกรผงาดเป็นเพียงกองกำลังที่ก่อตั้งขึ้นเอง จะให้เทียบกับทหารองครักษ์อวี้หลินคงทำไม่ได้ เพราะทหารองครักษ์เป็นกองกำลังชั้นสูงของอาณาจักร ในขณะที่กลุ่มมังกรผงาดเป็นเพียงทหารรับจ้างไร้ชื่อไร้พลัง

กระบะขนสัมภาระทั้งห้าบรรทุกโล่มังกรไว้จนเต็มและคลุมไว้ด้วยผ้าดำก่อนจะเคลื่อนทัพมุ่งสู่ถนนทงเทียน

ถังเสี่ยวซีต้องกลับที่พักเมื่อขบวนผ่านมาถึงจวนเจ้าเมืองชีไห่ นางทำหน้ามุ่ยขณะบอกลาหลินมู่อวี่และสัญญาว่าต้องได้เจอกันอีก แม้จะไม่ได้ระบุเวลาไว้ชัดเจนหลินมู่อวี่ก็สัญญาว่าจะมาพบนางที่นี่เมื่อมีเวลา

ขณะขบวนขนค่อยๆ เคลื่อนทัพไปได้ไม่นานนักก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหน้า กลุ่มหญิงสาวในชุดผ้าขี้ริ้วเดินอยู่บนถนนโดยมีทหารคอยควบคุมอยู่ แทบไม่ต้องเดาเลย…คนกลุ่มนี้คือพวกค้าทาส

ขณะที่พวกหลินมู่อวี่กำลังเคลื่อนทัพผ่านไป ก็เห็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งซึ่งอายุไม่น่าถึงสิบห้าปี ซึ่งคราบสกปรกที่อยู่บนใบหน้านั้นไม่สามารถปิดบังความงดงามของนางได้เลย มือและเท้าถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา แผลที่ถูกเฆี่ยนยังดูสดใหม่ราวกับเพิ่งโดนลงโทษมา หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหานาง เมื่อทั้งคู่สบตากันหญิงสาวพยายามเอ่ยปากพูดบางอย่างทว่าไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา

“รอก่อน!” หลินมู่อวี่ตะโกนบอก

เว่ยโฉวเมื่อเห็นดังนั้นจึงเข้ามาเตือน “โปรดตริตรองให้ดีก่อนเถิดขอรับ ต่อให้ท่านช่วยหญิงพวกนี้ไป ก็มีคนอื่นถูกจับเข้าไปเพิ่มอีกอยู่ดี…ท่านคงไม่อยากถูกส่งไปเจดีย์ทงเทียนอีกใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่าไม่อยาก…”

หลินมู่อวี่ยิ้มก่อนจะหันกลับคุยกับหญิงสาว “เจ้ามาจากที่ใด?”

หญิงสาวตอบอย่างหวาดกลัว “ทงเทียน…ข้ามาจากมณฑลทงเทียน…”

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมายังเมืองหลันเยี่ยนเล่า?” หลินมู่อวี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรเพื่อให้นางคลายความกลัว

หญิงสาวเงียบปากแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้คือนายทหารระดับสูง หากไม่รู้วังคำพูดมีหวังได้ชะตาขาดเป็นแน่ หญิงสาวก้มหัวลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “ท่านพ่อกับท่านแม่โดนทหารรับจ้างสังหาร ข้าจึงถูกจับมาขายที่นี่ ข้า…”

“ข้าเข้าใจแล้ว…”

หลินมู่อวี่นั่งบนหลังม้าคิดลังเลเล็กน้อย

ทันใดนั้น ผู้บัญชาการกองร้อยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาหลินมู่อวี่ “ท่านหลินมู่อวี่ ผู้หญิงทั้งสี่สิบคนนี้ถูกค่ายทหารซื้อไป ฉะนั้นข้าอยากจะขอความกรุณา…ท่านอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายเลยขอรับ เราเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้น”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “ผู้บัญชาการทหาร ข้าอยากรู้ว่าหญิงที่ถูกจับมาขายพวกนี้มีอีกกี่คนที่พวกเจ้าเก็บไว้?”

ผู้บัญชาการกองร้อยละล่ำละลัก “มีทั้งหมด…ห้าสิบคน ท่านคิดจะทำสิ่งใดหรือขอรับ?”

“อย่างนั้นรึ…” หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะยิ้มตอบ “อย่ากังวลไป พาพวกนางไปตามคำสั่งเถิด ทว่าอย่าให้ใครแตะต้องตัวพวกนางภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนข้าจะตามไป ทำได้หรือไม่?”

ผู้บัญชาการกองร้อยประสานกำปั้นคำนับ “ท่านผู้บัญชาการช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ข้าเป็นผู้น้อยก็ต้องทำตามอยู่แล้วขอรับ”

“ดีมาก”

เว่ยโฉวมองเหล่าหญิงสาวถูกส่งไปค่าย ก่อนจะหันมาถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัย “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ขอรับ?”

หลินมู่อวี่ลอบหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าคิดว่าข้ายิ่งใหญ่ คิดว่าตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงและไม่เพิกเฉยต่อปัญหาเล็กน้อยทุกอย่างได้ ตอนนี้ข้าเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราและยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้’ ลำพังพลังของข้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาค้าทาสนี้ได้ แต่มีบางสิ่งที่ข้าทำได้ เว่ยโฉว…เจ้าพอจะรู้จักแหล่งซ่องสุมในเมืองหลันเยี่ยนแห่งนี้หรือไม่?”

เว่ยโฉวประหลาดใจ “ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่เกิดในตระกูลยากจน ทุกวันนี้เงินเดือนที่ได้ยังต้องส่งเสียให้ทางบ้านใช้ ข้าจะไปมีเงินพอให้ใช้กินใช้เที่ยวได้อย่างไร? ถึงกระนั้น…ข้าน้อยก็พอรู้แหล่งอยู่บ้างขอรับ เป็นตรอกเล็กๆ ชื่อว่า ‘ตรอกแดง’ มีทั้งร้านเหล้าและโรงเตี๊ยมต่างๆ นับว่าเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นยอดเลยขอรับ”

“ทันทีที่ส่งข้าถึงที่นั่นแล้ว พวกเจ้าก็นำโล่งูมังกรไปเก็บที่รังอินทรีก่อน ต่อเมื่อเสร็จธุระข้าจะกลับไปเจรจาเอง”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่กับเว่ยโฉวเข้าไปยังตรอกที่มีโคมไฟส่องสว่างที่อยู่ไม่ไกลนัก รอบบริเวณมีแต่ป้ายที่ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากชนิด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ลานหลี่ชุนจนหลินมู่อวี่เผลอยิ้มออกมา

หลินมู่อวี่และเว่ยโฉวเป็นทหารหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งยังสวมเกราะอันเจิดจรัส เป็นที่หมายตาของบรรดาแม่เล้าในซ่อง กระทั่งมีแม่เล้าคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว แม่นางที่มีใฝบนใบหน้าเกาะแขนหลินมู่อวี่อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจ ก่อนจะจีบปากจีบคอเอ่ยขึ้น “นายท่าน…เหตุใดจึงหายไปนานเช่นนี้เล่าเจ้าคะ?

เว่ยโฉวหลุดหัวเราะ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะ…”

หลินมู่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “หยุดความคิดอันลามกของเจ้าเสีย! ข้าสาบานด้วยเกียรติของข้าเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่มา! มันเป็นการหว่านล้อมของพวกนาง!”

“เช่นนั้นหรือขอรับ?” เว่ยโฉวทำหน้าตาล้อเลียน

ทันทีที่หลินมู่อวี่ลงจากม้าแม่เล้าก็รีบเข้ามาคว้ามือเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านมีหญิงที่คุ้นเคยบ้างหรือไม่เจ้าคะ? หากท่านต้องการสิ่งใด บอกข้าได้ทุกอย่าง…ไม่ต้องเขินอายไปเจ้าค่ะ”

“อืม”

หลินมู่อวี่สะบัดแม่เล้าออกเบาๆ และยิ้มให้ “ข้ามีเรื่องจะถามแม่นางสักเรื่อง เหล่าหญิงงามที่นี่ เจ้าเป็นคนขายหรือ?”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ…มิเช่นนั้นคงไม่มีลูกค้ามา ดูทางนี้เจ้าค่ะ คนนี้คือชั้นหนึ่งของเราคืนละสองเหรียญทอง ชั้นสองคืนละห้าสิบเหรียญเงิน และชั้นสุดท้ายจะถูกที่สุดเพียงคืนละสิบเหรียญเงินเจ้าค่ะ!”

หลินมู่อวี่กล่าว “ข้าไม่ได้หมายความถึงการขายเช่นนั้น…”

“แล้วท่านหมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

“ข้าหมายถึงขายส่งโดยตรง…”

แม่เล้าหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “เรื่องนั้นเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะนายท่าน…สาวงามของเราขายร่างกายไม่ได้ขายของ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกปวดหัวจนอยากตาย เว่ยโฉวยึงช่วยตัดบทให้ “สาวงามขั้นสามคืนละสิบเหรียญเงินเชียวรึ? แล้วมีสาวงามชั้นไหนที่ขายราคาคืนละสิบเหรียญทองแดงบ้างเล่า?”

แม่เล้ายิ้มตอบ “ท่านช่างเป็นคนตลกเสียจริง คืนละสิบเหรียญทองแดงคงไม่มีสาวงามคนไหนรับหรอกเจ้าค่ะ นอกจากแม่หมูในเล้า…”

เว่ยโฉว “…”

…………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+