The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 206 ครอบครัว

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 206 ครอบครัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน โกวซุนสวมหมวกทรงสูงยืนกอดอก เขามองเหล่าทหารองครักษ์อินทรีอย่างเคารพ “ข้าขออนุญาตถามได้หรือไม่ ว่าท่านใดที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ขอรับ?”

“ข้า” หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้า ไม่ใช่ว่าเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ ไม่ต้องการเข้าร่วม ทว่าพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหนึ่งร้อยเหรียญทองได้

โกวซุนเผยยิ้มจางๆ “เป็นท่านผู้บัญชาการเองหรือขอรับ เช่นนั้นกรุณาลงชื่อเพื่อลงทะเบียน ประทับลายนิ้วมือ และชำระค่าธรรมเนียมขอรับ”

“ขอบคุณมากขอรับ”

หลินมู่อวี่เดินไปหยิบปากกาเหล็กจากทหารมาเขียนชื่อ และวางนิ้วหัวแม่มือลง ในขณะเดียวกันก็เหลือบมองสองชื่อด้านบน คนแรกคืออวี่เหวินเหลี่ยน และอีกคนคือทั่งเฮาทั้งสองมาจากตระกูลชั้นสูง หลินมู่อวี่จำได้ว่าอวี่เหวินเหลี่ยนเป็นคนที่เขาเห็นในการประมูลครั้งล่าสุด บุตรของอวี่เหวินเซี้ยจวนฮู้กั๋วคงต้องเป็นผู้มีฝีมือเป็นแน่

หลังเขียนเสร็จ โกวซุนมองไปที่ลายมือหลินมู่อวี่ และไม่สามารถกลั้นขำ “เอาล่ะ เรียบร้อยขอรับ ห้าวันนับจากนี้ในช่วงเช้า การประลองยุทธ์จะจัดขึ้นที่ลานประลองด้านหน้าตำหนักเจ๋อเทียน กรุณารักษาเวลาด้วยขอรับ”

“อืม ขอบคุณมาก”

หลินมู่อวี่ประสานมือและนำหน้าพวกเว่ยโฉวออกจากตำหนักเจ๋อเทียน ไม่นานก็มีเหล่าสาวใช้ถือโคมไฟเข้ามา แสงจันทร์นวลสาดส่องลงบนใบหน้าของหญิงสาวตรงกลางเผยความงามที่น่าหลงใหล มิใช่ใครอื่นนอกจากฉินอิน

“พี่ใหญ่อาอวี่!”

ฉินอินวิ่งมาเคียงข้างหลินมู่อวี่อย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อโบยบิน “ท่านมิได้บอกเสี่ยวอินว่าจะเข้ามาที่ตำหนัก โชคดีที่เสด็จพ่อบอกข้า!”

เสี่ยวอินเกาะแขนหลินมู่อวี่อย่างรักใคร่ เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ต่างก็มองด้วยสายตาแปลกประหลาดราวกับเข้าใจบางสิ่งซึ่งทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ข้ามาเพื่อเข้าร่วมการประลองยุทธ์ มิได้มาเพื่อสิ่งใดเป็นพิเศษ และไม่ได้มาเพื่อพบเจ้า”

ฉินอินเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “เช่นนั้นท่านก็มาหาข้าก็ได้…”

หลินมู่อวี่ไม่สามารถพูดสิ่งใดเพื่อหลีกเลี่ยงได้ “นั่นมัน…อา…พระจันทร์คืนนี้งดงามจริงๆ…”

ฉินอินเงยหน้ามองดวงจันทร์และยิ้มตาม “อื้ม พระจันทร์ค่ำคืนนี้งดงามมาก ทว่าพี่ใหญ่อาอวี่…เสด็จพ่อต้องการพบท่าน!”

“โอ้ ฝ่าบาทต้องการให้ข้าเข้าเฝ้าหรือ?”

“อื้ม รีบเข้าไปกันเถิด”

“ได้สิ”

จากนั้นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านตำหนักเจ๋อเทียนไปยังโถงหลัก เว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ รออยู่ด้านนอก ฉินอินจูงมือหลินมู่อวี่เข้าไป ทว่าฉินจิ้นไม่ได้อยู่ในโถงหลัก เขาอยู่ที่โถงด้านหลัง เมื่อหลินมู่อวี่เดินเข้าไปก็ต้องตกใจ ภาพตรงหน้าคือองค์จักรพรรดิฉินจิ้นสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและถือกระทะเหล็ก ผู้ปกครองจักรวรรดิแห่งนี้กำลังทำอาหาร!

“อาอวี่อยู่ที่นี่แล้วหรือ?”

ฉินจิ้นมิได้หันกลับมามอง “รอสักครู่ เนื้อกวางเมฆาผัดพริกของพ่อใกล้จะเสร็จแล้ว เจ้ามิได้บอกว่าจะกลับมาทว่าโชคดีที่ขุนนางทูลบอกพ่อ จึงบอกให้เสี่ยวอินไปเรียกเจ้ามา ดังนั้นครอบครัวเราจะรับประทานอาหารเพื่อเฉลิมฉลองการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง อาวี่จำไว้นะว่าต้องกลับมารับประทานอาหารร่วมกันทุกวันหยุด มิเช่นนั้นโต๊ะตัวใหญ่นี้คงมีเพียงพ่อและเสี่ยวอิน…เจ้าก็รู้ว่าเสี่ยวอินชอบความครึกครื้น”

หัวใจหลินมู่อวี่พลันรู้สึกอบอุ่น “เข้าใจแล้วขอรับเสด็จพ่อ”

“นั่งและรอสักครู่เถิด จริงสิ เสี่ยวอินไปอุ่นไวน์ที วันนี้อากาศหนาว ดื่มไวน์เย็นๆ คงไม่ดีต่อกระเพาะ”

“เพคะ เสด็จพ่อ!”

วิธีอุ่นไวน์ของจักรวรรดินั้นง่ายมาก ฉินอินเพียงวางขวดไวน์ไว้ในหม้อทองคำ ก่อนจะเติมน้ำร้อนลงไป และปล่อยให้มันอุ่นขึ้นก็เป็นอันใช้ได้

หลินมู่อวี่ไม่ได้นั่งลง ทว่าเดินออกไปนอกโถงและพูดกลับกลุ่มเว่ยโฉวว่า “ข้าจะทานอาหารในตำหนักวันนี้ พวกเจ้าควรกลับไปรังอินทรีเพื่อทานอาหาร หากดึกเกินไปหน่วยวิญญาณอัคนีจะปิดเสียก่อน”

เว่ยโฉวเผยยิ้มจางๆ “มิเป็นไรขอรับ ข้าจะรอท่านและเฝ้าระวังอยู่ที่นี่เอง”

“อืม ตกลง”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและเข้าใจความคิดของเว่ยโฉวดี เขาเป็นราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิและยังเป็นสหายกับเฟิงจี้สิง ฉินเหลย และฉินอิน ซึ่งทำให้เว่ยโฉวกลายเป็นเสี้ยนหนามของเสินโหวเจิ้งอี้ฝานเช่นกัน หากเดินทางกลับคนเดียวอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของเจิ้งอี้ฝาน แม้หลินมู่อวี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจิ้งอี้ฝาน ทว่าหากเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ อยู่กับเขา ก็อาจต่อกรกับเจิ้งอี้ฝานได้ กระนั้นพวกเขาก็มั่นใจว่าจะหนีออกมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใด เว่ยโฉวมิได้อ่อนแอเมื่อมีธนูกลืนปีศาจในมือ ตราบใดที่มิได้ตกอยู่ในเขตแดนของเจิ้งอี้ฝาน ลูกศรมรณะจะเป็นสิ่งที่เจิ้งอี้ฝานผู้อยู่ขอบเขตปราชญ์หวาดกลัวมากที่สุด เนื่องจากลูกธนูไม่ได้มีมันสมองและไม่ได้รับผลกระทบจากแขตแดน

เมื่อเขากลับเข้ามาในตำหนักเจ๋อเทียน ฉินอินก็อุ่นไวน์เสร็จเรียบร้อย ‘เนื้อกวางเมฆาผัดพริก’ ที่ฉินจิ้นกำลังทำ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วอากาศและลอยมาแตะจมูก ในขณะเดียวกันฉินจิ้นก็เปิดหม้อที่เต็มไปด้วย ‘กรงเล็บหมีตุ๋นโสมโลหิต’ ซึ่งมีกลิ่นหอมรุนแรงจนทำให้หายใจไม่ออก

อาหารถูกเพิ่มจนเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็วและดูน่าทานมาก

ฉินจิ้นพลันปรบมือและถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะดูสมกับเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง “เจ้ากำลังยืนงงอะไรอยู่? อาอวี่นั่งลงสิ ฉินอินด้วย มารินไวน์ให้พ่อกับพี่ใหญ่”

ฉินอินยิ้มหวาน “เพคะ!”

ไวน์ที่หมักจากดอกจื่อยินส่งกลิ่นหอมมาก ไวน์เพียงจอกเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้มึนเมา หลินมู่อวี่หลับตาลงพร้อมสูดกลิ่นหอมหวานของไวน์ดอกจื่อยิน ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างเสียใจเล็กน้อย หากเขาอยู่ที่โลกนี้นานเกินไป คงได้กลายเป็นคนขี้เหล้าอย่างแน่นอน

ฉินจิ้นมองท่าทีของหลินมู่อวี่แล้วอดยิ้มไม่ได้ “อาอวี่ ดื่มกับพ่อสักจอกสิ”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่ยกจอกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอให้เสด็จพ่อแข็งแรงและโชคชะตาอยู่ข้างท่าน…”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉินจิ้นตกตะลึง ก่อนจะกลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว “อาอวี่ คำอวยพรของเจ้าช่างน่าสนใจจริง! มาดื่มให้หมดจอก นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวเราจะได้ชิมฝีพระหัตถ์ของพ่อร่วมกัน เอาเลย มิต้องเกรงใจ”

“ขอรับ”

เมื่อดื่มจนหมดจอกหลินมู่อวี่ก็รู้สึกร้อนท้อง แม้ว่าไวน์ดอกจื่อยินจะมีกลิ่นหอม ทว่าระดับแอลกอฮอล์นั้นค่อนข้างสูง หากดื่มอย่างกระหายจะต้องเมาอย่างแน่นอน!

ในขณะที่หลินมู่อวี่กำลังครุ่นคิดว่าจะดื่มได้มากเพียงใด ฉินจิ้นก็ดันถ้วยกรงเล็บหมีตุ๋นมาให้ “อาอวี่ลองอาหารจานนี้สิ พ่อตุ๋นกรงเล็บหมีทั้งวันเพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้น ส่วนโสมโลหิตเป็นวัตถุดิบคุณภาพดี ช่วยชำระการอุดตันของเลือด และชำระมลทินเมื่อฝึกยุทธ์ เจ้าและเสี่ยวอินควรรับประทาน”

“ขอบพระทัยขอรับเสด็จพ่อ”

“ไม่ต้องมากพิธีไป เสี่ยวอินดื่มสักจอกกับพี่ใหญ่อาอวี่สิ”

“เพคะ”

ฉินอินตักอาหารให้หลินมู่อวี่ ก่อนจะยกจอกขึ้นเมื่อเห็นอาอวี่กินไปสองคำ “พี่ใหญ่อาอวี่ เสี่ยวอินขออวยพรให้แก่การฝึกยุทธ์ของท่านพี่ หวังว่าท่านจะเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ในเร็ววัน ไม่สิ! ควรจะเป็นขอบเขตเทวะ!”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “การเข้าสู่ขอบเขตนภาระดับสามก็ยากพอแล้ว แทบมิต้องพูดถึงขอบเขตปราชญ์หรือขอบเขตเทวะเลย กระนั้นก็ขอบคุณเสี่ยวอินสำหรับคำอวยพร…”

หลินมู่อวี่เงยหน้าและดื่มจนหมดจอก เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นถึงขนาดจอกของตำหนักเจ๋อเทียน ด้วยสองจอกใหญ่ที่ดื่มเข้าไปทำให้หลินมู่อวี่เริ่มเวียนหัว

หลินมู่อวี่ตักอาหารเข้าปากมากขึ้น ฝีมือของฉินจิ้นนั้นหาใครเปรียบเทียบได้ไม่ แม้แต่หอสดับพิรุณก็มิได้ด้อยไปกว่าเลย หลินมู่อวี่พึงพอใจกับอาหารมื้อนี้มาก และค่อยๆ ลดกำแพงในใจลง สุดท้ายฉินจิ้นและฉินอินก็กลายเป็นครอบครัวใหม่สำหรับเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด หลินมู่อวี่รู้สึกหนักหัวเล็กน้อย เนื่องจากเริ่มเมาและอิ่มท้อง เขาพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่น่าเคารพไว้ อีกทั้งไม่สามารถแสดงท่าทางบ้าคลั่งต่อหน้าฉินจิ้น กระนั้นฉินจิ้นก็เป็นถึงผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้ คงจะไม่เหมาะสมหากเผลอล่วงเกินไป

หากมีคนนับถือ เขาก็จะนับถือคนผู้นั้นยิ่งกว่า นั่นเป็นนิสัยของหลินมู่อวี่

“อาอวี่ เจ้าจะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ด้วยหรือไม่?” ฉินจิ้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ขอรับ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกมึนเมาเล็กน้อยจึงวางมือลงบนโต๊ะ “เมื่อครั้งที่พบเสี่ยวอินก่อนหน้า นางก็สนับสนุนให้ข้าเข้าร่วมการประลองยุทธ์ และขณะนี้ข้าก็เป็นองครักษ์รักษาพระองค์แล้ว คงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วม ทว่า…ผู้ที่ได้รับอันดับต้นๆ จะได้รับยศตำแหน่งใช่หรือไม่ขอรับ?”

ฉินจิ้นทรงพระสรวล “แน่นอน การประลองยุทธ์จัดขึ้นทุกสามปี และเป็นเส้นทางไปสู่การเป็นผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิ แปดอันดับแรกจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการ สามอันดับแรกจะได้ชีวิตตามปรารถนา และผู้ที่ได้อันดับแรก…จะได้รับเหรียญตรามังกรทอง!”

พูดจบฉินจิ้นก็ลุกขึ้นไปหยิบหีบล้ำค่าจากตู้สีทองด้านหลัง ก่อนจะเปิดและหยิบเหรียญตรารูปมังกรสีทองออกมา “นี่คือเหรียญตรามังกรทอง ผู้ที่ได้รับมันจะสามารถเกณฑ์กองทัพหนึ่งหมื่นนายจากทหารแห่งจักรวรรดิ อาอวี่ เจ้าต้องคว้าอันดับแรกมาให้ได้…”

หลินมู่อวี่รู้สึกสับสนเล็กน้อย “พี่เฟิงจี้สิง และพี่ฉินเหลยต่างก็เข้าร่วมการประลองยุทธ์ รวมทั้งจอมยุทธ์ท่านอื่นๆ อีกมากมาย ข้าเกรงว่าคงจะไม่ง่ายที่จะคว้าอันดับหนึ่งมา เสด็จพ่อ…หมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่าข้าต้องคว้าอันดับหนึ่งมา?”

ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์ “อย่าถามให้มากความเลย เพียงพยายามคว้ามาก็พอ ขั้นแรกเจ้าต้องไม่ปล่อยให้เจิ้งฟาง อวี่เหวินเหลี่ยน หลิงเฟิง และคนอื่นๆ เอาเหรียญตรามังกรทองไปได้ อาอวี่…หากเจ้า เฟิงจี้สิง หรือฉินเหลย ได้รับเหรียญตรานี้ไป ทหารหมื่นนายนั้นก็จะยังในการดูแลของพ่อ มิเช่นนั้น…”

หลินมู่อวี่เริ่มเข้าใจบางอย่างขณะที่หรี่ตาลง “ผู้ใดก็ตามที่ถือเหรียญตรามังกรจะสามารถมีกำลังทหารหมื่นนายให้เสด็จพ่อใช่หรือไม่ขอรับ?”

“ช่างมีปัญญาหลักแหลม!”

ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์ “อาอวี่ นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อน”

“ขอบพระทัยขอรับเสด็จพ่อ”

“มีอาหารเหลือมากมาย เจ้าต้องการนำกลับไปหรือไม่?”

หลินมู่อวี่พลันนึกถึงทหารของตนที่รออยู่ด้านนอกก็พยักหน้า “ขอรับ ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”

…………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 206 ครอบครัว

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 206 ครอบครัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน โกวซุนสวมหมวกทรงสูงยืนกอดอก เขามองเหล่าทหารองครักษ์อินทรีอย่างเคารพ “ข้าขออนุญาตถามได้หรือไม่ ว่าท่านใดที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ขอรับ?”

“ข้า” หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้า ไม่ใช่ว่าเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ ไม่ต้องการเข้าร่วม ทว่าพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหนึ่งร้อยเหรียญทองได้

โกวซุนเผยยิ้มจางๆ “เป็นท่านผู้บัญชาการเองหรือขอรับ เช่นนั้นกรุณาลงชื่อเพื่อลงทะเบียน ประทับลายนิ้วมือ และชำระค่าธรรมเนียมขอรับ”

“ขอบคุณมากขอรับ”

หลินมู่อวี่เดินไปหยิบปากกาเหล็กจากทหารมาเขียนชื่อ และวางนิ้วหัวแม่มือลง ในขณะเดียวกันก็เหลือบมองสองชื่อด้านบน คนแรกคืออวี่เหวินเหลี่ยน และอีกคนคือทั่งเฮาทั้งสองมาจากตระกูลชั้นสูง หลินมู่อวี่จำได้ว่าอวี่เหวินเหลี่ยนเป็นคนที่เขาเห็นในการประมูลครั้งล่าสุด บุตรของอวี่เหวินเซี้ยจวนฮู้กั๋วคงต้องเป็นผู้มีฝีมือเป็นแน่

หลังเขียนเสร็จ โกวซุนมองไปที่ลายมือหลินมู่อวี่ และไม่สามารถกลั้นขำ “เอาล่ะ เรียบร้อยขอรับ ห้าวันนับจากนี้ในช่วงเช้า การประลองยุทธ์จะจัดขึ้นที่ลานประลองด้านหน้าตำหนักเจ๋อเทียน กรุณารักษาเวลาด้วยขอรับ”

“อืม ขอบคุณมาก”

หลินมู่อวี่ประสานมือและนำหน้าพวกเว่ยโฉวออกจากตำหนักเจ๋อเทียน ไม่นานก็มีเหล่าสาวใช้ถือโคมไฟเข้ามา แสงจันทร์นวลสาดส่องลงบนใบหน้าของหญิงสาวตรงกลางเผยความงามที่น่าหลงใหล มิใช่ใครอื่นนอกจากฉินอิน

“พี่ใหญ่อาอวี่!”

ฉินอินวิ่งมาเคียงข้างหลินมู่อวี่อย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อโบยบิน “ท่านมิได้บอกเสี่ยวอินว่าจะเข้ามาที่ตำหนัก โชคดีที่เสด็จพ่อบอกข้า!”

เสี่ยวอินเกาะแขนหลินมู่อวี่อย่างรักใคร่ เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ต่างก็มองด้วยสายตาแปลกประหลาดราวกับเข้าใจบางสิ่งซึ่งทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ข้ามาเพื่อเข้าร่วมการประลองยุทธ์ มิได้มาเพื่อสิ่งใดเป็นพิเศษ และไม่ได้มาเพื่อพบเจ้า”

ฉินอินเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “เช่นนั้นท่านก็มาหาข้าก็ได้…”

หลินมู่อวี่ไม่สามารถพูดสิ่งใดเพื่อหลีกเลี่ยงได้ “นั่นมัน…อา…พระจันทร์คืนนี้งดงามจริงๆ…”

ฉินอินเงยหน้ามองดวงจันทร์และยิ้มตาม “อื้ม พระจันทร์ค่ำคืนนี้งดงามมาก ทว่าพี่ใหญ่อาอวี่…เสด็จพ่อต้องการพบท่าน!”

“โอ้ ฝ่าบาทต้องการให้ข้าเข้าเฝ้าหรือ?”

“อื้ม รีบเข้าไปกันเถิด”

“ได้สิ”

จากนั้นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านตำหนักเจ๋อเทียนไปยังโถงหลัก เว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ รออยู่ด้านนอก ฉินอินจูงมือหลินมู่อวี่เข้าไป ทว่าฉินจิ้นไม่ได้อยู่ในโถงหลัก เขาอยู่ที่โถงด้านหลัง เมื่อหลินมู่อวี่เดินเข้าไปก็ต้องตกใจ ภาพตรงหน้าคือองค์จักรพรรดิฉินจิ้นสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและถือกระทะเหล็ก ผู้ปกครองจักรวรรดิแห่งนี้กำลังทำอาหาร!

“อาอวี่อยู่ที่นี่แล้วหรือ?”

ฉินจิ้นมิได้หันกลับมามอง “รอสักครู่ เนื้อกวางเมฆาผัดพริกของพ่อใกล้จะเสร็จแล้ว เจ้ามิได้บอกว่าจะกลับมาทว่าโชคดีที่ขุนนางทูลบอกพ่อ จึงบอกให้เสี่ยวอินไปเรียกเจ้ามา ดังนั้นครอบครัวเราจะรับประทานอาหารเพื่อเฉลิมฉลองการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง อาวี่จำไว้นะว่าต้องกลับมารับประทานอาหารร่วมกันทุกวันหยุด มิเช่นนั้นโต๊ะตัวใหญ่นี้คงมีเพียงพ่อและเสี่ยวอิน…เจ้าก็รู้ว่าเสี่ยวอินชอบความครึกครื้น”

หัวใจหลินมู่อวี่พลันรู้สึกอบอุ่น “เข้าใจแล้วขอรับเสด็จพ่อ”

“นั่งและรอสักครู่เถิด จริงสิ เสี่ยวอินไปอุ่นไวน์ที วันนี้อากาศหนาว ดื่มไวน์เย็นๆ คงไม่ดีต่อกระเพาะ”

“เพคะ เสด็จพ่อ!”

วิธีอุ่นไวน์ของจักรวรรดินั้นง่ายมาก ฉินอินเพียงวางขวดไวน์ไว้ในหม้อทองคำ ก่อนจะเติมน้ำร้อนลงไป และปล่อยให้มันอุ่นขึ้นก็เป็นอันใช้ได้

หลินมู่อวี่ไม่ได้นั่งลง ทว่าเดินออกไปนอกโถงและพูดกลับกลุ่มเว่ยโฉวว่า “ข้าจะทานอาหารในตำหนักวันนี้ พวกเจ้าควรกลับไปรังอินทรีเพื่อทานอาหาร หากดึกเกินไปหน่วยวิญญาณอัคนีจะปิดเสียก่อน”

เว่ยโฉวเผยยิ้มจางๆ “มิเป็นไรขอรับ ข้าจะรอท่านและเฝ้าระวังอยู่ที่นี่เอง”

“อืม ตกลง”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและเข้าใจความคิดของเว่ยโฉวดี เขาเป็นราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิและยังเป็นสหายกับเฟิงจี้สิง ฉินเหลย และฉินอิน ซึ่งทำให้เว่ยโฉวกลายเป็นเสี้ยนหนามของเสินโหวเจิ้งอี้ฝานเช่นกัน หากเดินทางกลับคนเดียวอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของเจิ้งอี้ฝาน แม้หลินมู่อวี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจิ้งอี้ฝาน ทว่าหากเว่ยโฉวและองครักษ์นายอื่นๆ อยู่กับเขา ก็อาจต่อกรกับเจิ้งอี้ฝานได้ กระนั้นพวกเขาก็มั่นใจว่าจะหนีออกมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใด เว่ยโฉวมิได้อ่อนแอเมื่อมีธนูกลืนปีศาจในมือ ตราบใดที่มิได้ตกอยู่ในเขตแดนของเจิ้งอี้ฝาน ลูกศรมรณะจะเป็นสิ่งที่เจิ้งอี้ฝานผู้อยู่ขอบเขตปราชญ์หวาดกลัวมากที่สุด เนื่องจากลูกธนูไม่ได้มีมันสมองและไม่ได้รับผลกระทบจากแขตแดน

เมื่อเขากลับเข้ามาในตำหนักเจ๋อเทียน ฉินอินก็อุ่นไวน์เสร็จเรียบร้อย ‘เนื้อกวางเมฆาผัดพริก’ ที่ฉินจิ้นกำลังทำ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วอากาศและลอยมาแตะจมูก ในขณะเดียวกันฉินจิ้นก็เปิดหม้อที่เต็มไปด้วย ‘กรงเล็บหมีตุ๋นโสมโลหิต’ ซึ่งมีกลิ่นหอมรุนแรงจนทำให้หายใจไม่ออก

อาหารถูกเพิ่มจนเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็วและดูน่าทานมาก

ฉินจิ้นพลันปรบมือและถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะดูสมกับเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง “เจ้ากำลังยืนงงอะไรอยู่? อาอวี่นั่งลงสิ ฉินอินด้วย มารินไวน์ให้พ่อกับพี่ใหญ่”

ฉินอินยิ้มหวาน “เพคะ!”

ไวน์ที่หมักจากดอกจื่อยินส่งกลิ่นหอมมาก ไวน์เพียงจอกเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้มึนเมา หลินมู่อวี่หลับตาลงพร้อมสูดกลิ่นหอมหวานของไวน์ดอกจื่อยิน ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างเสียใจเล็กน้อย หากเขาอยู่ที่โลกนี้นานเกินไป คงได้กลายเป็นคนขี้เหล้าอย่างแน่นอน

ฉินจิ้นมองท่าทีของหลินมู่อวี่แล้วอดยิ้มไม่ได้ “อาอวี่ ดื่มกับพ่อสักจอกสิ”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่ยกจอกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอให้เสด็จพ่อแข็งแรงและโชคชะตาอยู่ข้างท่าน…”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉินจิ้นตกตะลึง ก่อนจะกลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว “อาอวี่ คำอวยพรของเจ้าช่างน่าสนใจจริง! มาดื่มให้หมดจอก นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวเราจะได้ชิมฝีพระหัตถ์ของพ่อร่วมกัน เอาเลย มิต้องเกรงใจ”

“ขอรับ”

เมื่อดื่มจนหมดจอกหลินมู่อวี่ก็รู้สึกร้อนท้อง แม้ว่าไวน์ดอกจื่อยินจะมีกลิ่นหอม ทว่าระดับแอลกอฮอล์นั้นค่อนข้างสูง หากดื่มอย่างกระหายจะต้องเมาอย่างแน่นอน!

ในขณะที่หลินมู่อวี่กำลังครุ่นคิดว่าจะดื่มได้มากเพียงใด ฉินจิ้นก็ดันถ้วยกรงเล็บหมีตุ๋นมาให้ “อาอวี่ลองอาหารจานนี้สิ พ่อตุ๋นกรงเล็บหมีทั้งวันเพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้น ส่วนโสมโลหิตเป็นวัตถุดิบคุณภาพดี ช่วยชำระการอุดตันของเลือด และชำระมลทินเมื่อฝึกยุทธ์ เจ้าและเสี่ยวอินควรรับประทาน”

“ขอบพระทัยขอรับเสด็จพ่อ”

“ไม่ต้องมากพิธีไป เสี่ยวอินดื่มสักจอกกับพี่ใหญ่อาอวี่สิ”

“เพคะ”

ฉินอินตักอาหารให้หลินมู่อวี่ ก่อนจะยกจอกขึ้นเมื่อเห็นอาอวี่กินไปสองคำ “พี่ใหญ่อาอวี่ เสี่ยวอินขออวยพรให้แก่การฝึกยุทธ์ของท่านพี่ หวังว่าท่านจะเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ในเร็ววัน ไม่สิ! ควรจะเป็นขอบเขตเทวะ!”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “การเข้าสู่ขอบเขตนภาระดับสามก็ยากพอแล้ว แทบมิต้องพูดถึงขอบเขตปราชญ์หรือขอบเขตเทวะเลย กระนั้นก็ขอบคุณเสี่ยวอินสำหรับคำอวยพร…”

หลินมู่อวี่เงยหน้าและดื่มจนหมดจอก เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นถึงขนาดจอกของตำหนักเจ๋อเทียน ด้วยสองจอกใหญ่ที่ดื่มเข้าไปทำให้หลินมู่อวี่เริ่มเวียนหัว

หลินมู่อวี่ตักอาหารเข้าปากมากขึ้น ฝีมือของฉินจิ้นนั้นหาใครเปรียบเทียบได้ไม่ แม้แต่หอสดับพิรุณก็มิได้ด้อยไปกว่าเลย หลินมู่อวี่พึงพอใจกับอาหารมื้อนี้มาก และค่อยๆ ลดกำแพงในใจลง สุดท้ายฉินจิ้นและฉินอินก็กลายเป็นครอบครัวใหม่สำหรับเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด หลินมู่อวี่รู้สึกหนักหัวเล็กน้อย เนื่องจากเริ่มเมาและอิ่มท้อง เขาพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่น่าเคารพไว้ อีกทั้งไม่สามารถแสดงท่าทางบ้าคลั่งต่อหน้าฉินจิ้น กระนั้นฉินจิ้นก็เป็นถึงผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้ คงจะไม่เหมาะสมหากเผลอล่วงเกินไป

หากมีคนนับถือ เขาก็จะนับถือคนผู้นั้นยิ่งกว่า นั่นเป็นนิสัยของหลินมู่อวี่

“อาอวี่ เจ้าจะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ด้วยหรือไม่?” ฉินจิ้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ขอรับ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกมึนเมาเล็กน้อยจึงวางมือลงบนโต๊ะ “เมื่อครั้งที่พบเสี่ยวอินก่อนหน้า นางก็สนับสนุนให้ข้าเข้าร่วมการประลองยุทธ์ และขณะนี้ข้าก็เป็นองครักษ์รักษาพระองค์แล้ว คงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วม ทว่า…ผู้ที่ได้รับอันดับต้นๆ จะได้รับยศตำแหน่งใช่หรือไม่ขอรับ?”

ฉินจิ้นทรงพระสรวล “แน่นอน การประลองยุทธ์จัดขึ้นทุกสามปี และเป็นเส้นทางไปสู่การเป็นผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิ แปดอันดับแรกจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการ สามอันดับแรกจะได้ชีวิตตามปรารถนา และผู้ที่ได้อันดับแรก…จะได้รับเหรียญตรามังกรทอง!”

พูดจบฉินจิ้นก็ลุกขึ้นไปหยิบหีบล้ำค่าจากตู้สีทองด้านหลัง ก่อนจะเปิดและหยิบเหรียญตรารูปมังกรสีทองออกมา “นี่คือเหรียญตรามังกรทอง ผู้ที่ได้รับมันจะสามารถเกณฑ์กองทัพหนึ่งหมื่นนายจากทหารแห่งจักรวรรดิ อาอวี่ เจ้าต้องคว้าอันดับแรกมาให้ได้…”

หลินมู่อวี่รู้สึกสับสนเล็กน้อย “พี่เฟิงจี้สิง และพี่ฉินเหลยต่างก็เข้าร่วมการประลองยุทธ์ รวมทั้งจอมยุทธ์ท่านอื่นๆ อีกมากมาย ข้าเกรงว่าคงจะไม่ง่ายที่จะคว้าอันดับหนึ่งมา เสด็จพ่อ…หมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่าข้าต้องคว้าอันดับหนึ่งมา?”

ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์ “อย่าถามให้มากความเลย เพียงพยายามคว้ามาก็พอ ขั้นแรกเจ้าต้องไม่ปล่อยให้เจิ้งฟาง อวี่เหวินเหลี่ยน หลิงเฟิง และคนอื่นๆ เอาเหรียญตรามังกรทองไปได้ อาอวี่…หากเจ้า เฟิงจี้สิง หรือฉินเหลย ได้รับเหรียญตรานี้ไป ทหารหมื่นนายนั้นก็จะยังในการดูแลของพ่อ มิเช่นนั้น…”

หลินมู่อวี่เริ่มเข้าใจบางอย่างขณะที่หรี่ตาลง “ผู้ใดก็ตามที่ถือเหรียญตรามังกรจะสามารถมีกำลังทหารหมื่นนายให้เสด็จพ่อใช่หรือไม่ขอรับ?”

“ช่างมีปัญญาหลักแหลม!”

ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์ “อาอวี่ นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อน”

“ขอบพระทัยขอรับเสด็จพ่อ”

“มีอาหารเหลือมากมาย เจ้าต้องการนำกลับไปหรือไม่?”

หลินมู่อวี่พลันนึกถึงทหารของตนที่รออยู่ด้านนอกก็พยักหน้า “ขอรับ ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”

…………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+