The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง

เมื่อเปรียบเทียบกับสายฟ้ามรณะของฉินเหลย รัศมีพลังของหลินมู่อวี่อ่อนโยนกว่ามาก น้ำเต้าสีทองเป็นตัวแทนพลังแห่งชีวิตซึ่งให้ความรู้สึกสบายใจ ทว่าพลังปีศาจรอบใบดาบก็ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้น ทั้งสองกำลังออกไปเผชิญหน้ากัน เป็นเหตุให้เหล่าผู้ชมคาดหวังกับผลการประลองมาก

เหล่าหญิงสาวชนชั้นสูงนั่งดื่มชาหอมขณะสนทนากันอยู่บนอัฒจันทร์

“โอ้ สมแล้วที่ท่านฉินเหลยเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลิน รัศมีพลังของเขาช่างน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้ ท่านหลินมู่อวี่คงจะพ่ายแพ้เป็นแน่…”

“เป็นไปไม่ได้ ท่านหลินมู่อวี่จะต้องไม่แพ้!”

“เหตุใดหรือ?”

“เพราะท่านหลินมู่อวี่ดูดีกว่าท่านฉินเหลยมากอย่างไรล่ะ!”

“เหอะ ช่างไม่มียางอาย!”

“หน็อย! จะเป็นไปได้หรือที่คนอย่างเจ้าจะไม่ได้มองท่านหลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และเฟิงจี้สิงอยู่ตลอดเวลา?”

“ฮึ่ม! แน่นอน ข้ามิได้เป็นหญิงสาวเช่นนั้น!”

“แล้วเหตุใดจึงหายใจเร็วขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ อีกทั้งยังขยับเสื้อชั้นในที่หน้าอกเมื่อเห็นท่านหลินมู่อวี่ด้วย?”

“กรี๊ด! ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อปิดปากซะ!”

หินแข็งบนลานประลองหลุดลอยขึ้นบนอากาศท้าทายกฎแรงโน้มถ่วง เศษหินและก้อนกรวดลอยขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการปะทะพลังของหลินมู่อวี่และฉินเหลยก่อเกิดเป็นพายุหมุนพัดกระโชก

สายฟ้ายังคงส่องแสงแปลบปลาบขณะที่ดาบอัสนีทลายเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้าสู่รูปแบบการต่อสู้ขั้นสูงสุด ดวงตาฉินเหลยลุกโชนพร้อมหัวเราะ “อาอวี่ ลองลิ้มรสการโจมตีดาบอัสนีทลายกระบวนท่าที่หกของพี่ใหญ่หน่อยไหม!”

พูดจบฉินเหลยก็คำรามก้อง “อสนีทลายนภา!”

‘วิ้ง!’

ลมกระโชกอย่างรุนแรงพร้อมดาบอัสนีทลายกลายเป็นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นดาบอสนีทลายนับพัน!

ดวงตาหลินมู่อวี่กลายเป็นเย็นชาพร้อมยกฝ่ามือรวบรวมปราณยุทธ์ล้อมรอบตัว จิตวิญญาณงูมังกรที่สถิตอยู่ในกระบี่วิญญาณมังกรคำรามก้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่เกลียวเพลิงมังกรจะพุ่งจู่โจมดาบอสนีทลายทันที!

‘ตูม!’

อาวุธทั้งสองปะทะกันเกิดการระเบิดของพลังดังกึกก้อง กระบี่วิญญาณมังกรพุ่งปะทะดาบอสนีทลายเล่มแรกทันที จากนั้นก็เล่มสอง เล่มสาม และพุ่งไปอย่างต่อเนื่อง หลินมู่อวี่ผายฝ่ามือที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขณะที่ควบคุมกระบี่วิญญาณมังกร ลมพัดกระโชกรุนแรงจนต้องหรี่ตาลง หลินมู่อวี่ไม่เปิดโอกาสให้ฉินเหลยได้โจมตี!

“น่าสนุกนี่!”

ฉินเหลยคำรามก้องขณะที่รวบรวมปราณเพิ่มเพื่อโจมตีด้วยอสนีทลายนภาอย่างดุเดือด!

หลินมู่อวี่ไม่สามารถถอยหนีได้ มิเช่นนั้นร่างกายคงฉีกออกจากกันเป็นแน่! เขาไม่คิดเลยว่าฉินเหลยจะสามารถหยุดการโจมตีอย่างดุเดือดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น หลินมู่อวี่คงต้องเอาชนะในศึกครานี้ให้ได้

พลังเจ็ดประทีปไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเมื่อกระบี่วิญญาณมังกรทะลวงอัสนีทลายกว่าร้อยเล่ม มันก็เริ่มอ่อนแรง เมื่อเทียบกันแล้ว อัสนีทลายนภาของฉินเหลยยังทรงพลังไม่น้อยลงเลย!

ลองอีกครั้ง!

หลินมู่อวี่เปิดฝ่ามือพร้อมพลังสามประทีปพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง แสงดาวปรากฏขึ้นบนลานประลองก่อนจะล้อมรอบกระบี่วิญญาณมังกร ‘ตูม!’ แสงสีทองระเบิดขึ้น ราวกับกระบี่วิญญาณมังกรได้รับการฟื้นพลัง มันพุ่งตรงไปที่ฉินเหลยพร้อมทะลวงดาบอสนีทลายไปอีกหลายสิบเล่มทันที!

หลินมู่อวี่ใช้พละกำลังทั้งหมดในการควบคุมกระบี่วิญญาณมังกร ใบหน้าเขาซีดเซียวเล็กน้อยขณะที่แอบอธิษฐานในใจ ‘พี่ใหญ่รีบแพ้เถิด อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้สี่ประทีปเลย…มันทรงพลังเกินไป แม้แต่ข้าก็ยังเกรงกลัวที่จะใช้มัน…’

ท้ายที่สุดฉินเหลยก็ถูกกระแทกจนตกลานประลองพร้อมกระอักเลือดออกมา เขาไม่สามารถฝืนทนได้อีก ขณะที่โซ่เทวะเริ่มกระจัดกระจาย และดาบอสนีทลายก็เริ่มจางหายไป

‘วิ้ง วิ้ง…’

กระบี่วิญญาณมังกรยังคงพุ่งตรงไปที่ฉินเหลย ทว่าหลินมู่อวี่รีบดึงกลับก่อนที่จะแทงเขา จากนั้นมันก็ตกลงตรงหน้าหลินมู่อวี่ราวกับมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

ฉินเหลยหอบหายใจขณะที่เช็ดเลือดออกจากมุมปาก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินมู่อวี่ “ยอดเยี่ยม…น่าพอใจมาก…อาอวี่ เจ้าได้พลังแปลกประหลาดนี้มาจากที่แห่งใด? การโจมตีดาบอสนีทลายกระบวนท่าที่หกของข้าทรงพลังมาก แม้แต่เฟิงจี้สิงก็สกัดกั้นไม่ได้ ทว่าเจ้าเด็กนี่…ไม่เปิดโอกาสให้ข้าโจมตีได้เลย ไม่ธรรมดาจริงๆ…

ใบหน้าหลินมู่อวี่ซีดเซียวก่อนจะค่อยๆ หยิบด้ามกระบี่ขึ้นมา ร่างกายของเขาโงนเงนเล็กน้อย “ข้าใช้พลังทั้งหมดไปแล้ว หากโจมตีพลาด คงถูกพี่ฉินเหลยเฉือนเป็นชิ้นๆ แน่”

ฉินเหลยหัวเราะ “ข้าแพ้แล้ว อาอวี่ไปแข่งกับเฟิงจี้สิงชิงอันดับหนึ่งซะ!”

“ขอบคุณพี่ฉินเหลยที่ออมมือให้ข้า”

“เหอะ ข้าไม่ได้ออมมือเลย คิดว่าข้าไม่ต้องการเหรียญตรามังกรทองหรืออย่างไร!”

ฉินเหลยเช็ดมุมอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮึ่ม ทหารของข้ามีเพียงเจ็ดพันนาย หากได้เหรียญตรามังกรทองมา ข้าคงจะรวบรวมกองทัพทหารจากมณฑลชางหนานและขยายกองกำลังให้ถึงหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย!”

หลินมู่อวี่เดินเข้ามาประคองฉินเหลย “เจ็ดพันนายก็เพียงพอแล้ว มากกว่านี้คงเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ”

“นั่นก็ใช่…”

ขณะเดียวกันก็มีผู้ดูแลขึ้นมาที่ลานประลองพร้อมตะโกนเสียงดัง “หลินมู่อวี่ชนะแล้ว! ท่านฉินเหลยและท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะประลองเพื่อชิงอันดับสามและอันดับสี่! ต่อจากนั้นท่านเฟิงจี้สิงและท่านหลินมู่อวี่จะต่อสู้เพื่อชิงอันดับหนึ่ง!”

ฝูงชนต่างปรบมืออย่างกึกก้อง ในที่สุดก็มาถึงโค้งสุดท้ายของการประลอง

เฟิงจี้สิงเป็นที่รู้จักกันในฉายา ‘พยัคฆ์แห่งถนนทงเทียน’ ส่วนหลินมู่อวี่คือผู้มีพรสวรรค์ในรอบร้อยปีแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ คนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์รักษาพระองค์พิทักษ์เมืองหลวงเป็นเวลาเกือบเจ็ดปี ขณะที่อีกคนเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตองค์หญิงอินได้ถึงสองครา และสามารถเพิ่มระดับวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับสิบ อีกทั้งยังสามารถทะลวงวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งอย่างโซ่เทวะได้ แล้วการต่อสู้นี้จะลงเอยเช่นไร?

ทุกคนตั้งตารอการประลองของทั้งคู่

ขณะเดียวกันฉินอินก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างเคารพ “เสด็จพ่อ พี่ใหญ่อาอวี่ต่อสู้อย่างหนักและใช้ปราณยุทธ์ไปพอสมควร ขณะที่ผู้บัญชาการเฟิงได้พักฟื้นเป็นเวลานาน หากต่อสู้กันตอนนี้คงไม่ยุติธรรมสำหรับพี่อาอวี่ ลูกมีความประสงค์ให้เวลาพี่อาอวี่ได้พักฟื้นเสียก่อน แล้วค่อยให้ทั้งสองต่อสู้กันหลังจากหยุดพักสองชั่วโมง”

ฉินจิ้นพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “ที่เสี่ยวอินว่ามานั้นพ่อเห็นด้วย ให้ทั้งสองต่อสู้หลังพักสองชั่วโมงเถิด”

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ!”

ไกลออกไป หลินมู่อวี่แสดงท่าทางขอบคุณฉินอิน

ฉินจิ้นหันมองเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหลย ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าใครได้เหรียญตรามังกรทองไป ทั้งสี่ก็จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา สำหรับหลินฉางชิงและมู่หรงโจว ทั้งสองมิได้มีความภักดีอย่างแท้จริง

หลินมู่อวี่นั่งลงบนลานหินอย่างสงบและใช้หลอมกระดูกมังกรฟื้นฟูปราณ การต่อสู้กับฉินเหลยต้องใช้พลังไปมากสมควร หากประลองตอนนี้ คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเฟิงจี้สิงที่สภาพสมบูรณ์ได้ อีกทั้งเพลงดาบเฟิงสิงที่เขาสร้างขึ้นมาเองนั้นแข็งแกร่งมาก หลินมู่อวี่คงไม่สามารถต่อกรได้แม้จะใช้พลังทั้งหมด แทบไม่ต้องพูดถึงการจะเอาชนะด้วยร่างกายที่อ่อนแอขณะนี้เลย…

เฟิงจี้สิงถือดาบสะบั้นวาโยมานั่งข้างหลินมู่อวี่ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ หากเจ้ายอมแพ้ พี่เฟิงจะเลี้ยงซาลาเปาไส้เนื้อและไส้จื่อยินตลอดทั้งเดือนเลย เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม?”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลง “หยุดเลย ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก”

เฟิงจี้สิงพูดต่อทั้งรอยยิ้ม “อาอวี่ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับองค์หญิงอินหรือ? คิดว่านางงดงามที่สุดในปฐพีใช่หรือไม่?”

“นั่น…”

หัวใจหลินมู่อวี่เต้นเร็วเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าเฟิงจี้สิงกำลังวางแผนจะทำอะไรอยู่ จึงสงบใจก่อนพูดว่า “ฮืม…องค์หญิงอินก็ถือว่างดงามใช้ได้…”

“ฮึ่ม เจ้ายังไม่หลงกลอีกรึ…”

เฟิงจี้สิงยังคงพยายามต่อ “อาอวี่ หากให้เลือกเจ้าจะแต่งงานกับคนไหน? นอกเหนือจากองค์หญิงอิน ก็มีองค์หญิงซี และสาวงามฉู่เหยา เจ้าจะเลือกใคร?”

หลินมู่อวี่จ้องกลับ “หยุดได้แล้ว ข้าไม่เลือกใครทั้งนั้น!”

“อย่างนั้นเหรอ? ช่างน่าเสียดาย…”

เฟิงจี้สิงผิวปากขณะที่นั่งลงบนลานหินข้างหลินมู่อวี่ ท่าทางเขาไม่สมกับเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลินแม้แต่น้อย เหมือนโจรป่ามากกว่า…จากนั้นเฟิงจี้สิงก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรแต่งงานกับองค์หญิงอินและองค์หญิงซีในคราเดียว คนหนึ่งเป็นเมียหลวง ส่วนอีกคนเป็นนางบำเรอ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“ฮะ…ฮ่าๆๆ”

ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ “พี่เฟิงใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดหลอกล่อข้า…ฮ่าๆ อันดับหนึ่งในการประลองยุทธ์สำคัญกับพี่เฟิงถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”

“แน่นอนว่าสำคัญมาก!” เฟิงจี้สิงเผยธาตุแท้ออกมา “อันดับหนึ่งได้หนึ่งแสนเหรียญทอง อันดับสองได้เพียงสามหมื่นเหรียญทอง นั่นไม่พอจะซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงด้วยซ้ำ…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่กำลังพักฟื้นก็ลืมตาขึ้นมาถาม “จะต้องการบ้านหลังใหญ่ไปเพื่ออะไร?”

“ข้าจะแต่งงานโดยไม่มีบ้านหลังใหญ่ได้อย่างไร?” เฟิงจี้สิงเบิกตากว้าง

“เจ้าไม่มีเมียด้วยซ้ำ…” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตอกกลับ

เฟิงจี้สิงพลันชักดาบสะบั้นวาโยพร้อมเลิกคิ้ว “หุบปากไปเลยฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน! หากเป็นชายชาตรีก็ลุกมาสู้กับข้าเดี๋ยวนี้!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง ก่อนจะหลับตาพักฟื้นต่อ “อาอวี่ อย่าหลงกลล่ะ เมื่อสามปีก่อนเพื่อให้ได้อันดับหนึ่ง สหายคนนี้พาข้าไปดื่มคืนก่อนการประลองโดยบอกว่าเป็นสุราข้าว ทว่าความจริงเป็นสุราที่แรงมาก อีกทั้งยังพาหญิงสาวมากมายจากหอชุนฮวามาดื่มด้วย จนทำให้ข้าเมาค้างแล้วเอาชนะไป ฮึ่ม! เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก…”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงแพ้พี่เฟิงไม่ได้แล้ว ข้าก็ต้องการบ้านหลังใหญ่และแต่งงานเหมือนกัน…”

เฟิงจี้สิงเอามือกุมหน้าผากและหัวเราะลั่น “โชคร้ายที่มารู้จักพวกเจ้าจริงๆ”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง “หากเหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์รู้ว่าเฟิงจี้สิงเป็นคนเช่นนี้ ข้าสงสัยเสียจริงว่าจะยังชื่นชมเจ้าอยู่หรือไม่ ฮ่าๆๆ”

หลินมู่อวี่เพียงยิ้มและมิได้พูดสิ่งใด

สองชั่วโมงผ่านไปเร็วมากจนถึงเวลาที่ต้องต่อสู้

หลินมู่อวี่โคจรปราณอย่างเงียบเชียบและพบว่าฟื้นฟูปราณไปได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขาสามารถต่อสู้กับเฟิงจี้สิงได้จนจบ!

………………………………….

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.224 เล่ห์เหลี่ยมเฟิงจี้สิง

เมื่อเปรียบเทียบกับสายฟ้ามรณะของฉินเหลย รัศมีพลังของหลินมู่อวี่อ่อนโยนกว่ามาก น้ำเต้าสีทองเป็นตัวแทนพลังแห่งชีวิตซึ่งให้ความรู้สึกสบายใจ ทว่าพลังปีศาจรอบใบดาบก็ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้น ทั้งสองกำลังออกไปเผชิญหน้ากัน เป็นเหตุให้เหล่าผู้ชมคาดหวังกับผลการประลองมาก

เหล่าหญิงสาวชนชั้นสูงนั่งดื่มชาหอมขณะสนทนากันอยู่บนอัฒจันทร์

“โอ้ สมแล้วที่ท่านฉินเหลยเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลิน รัศมีพลังของเขาช่างน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้ ท่านหลินมู่อวี่คงจะพ่ายแพ้เป็นแน่…”

“เป็นไปไม่ได้ ท่านหลินมู่อวี่จะต้องไม่แพ้!”

“เหตุใดหรือ?”

“เพราะท่านหลินมู่อวี่ดูดีกว่าท่านฉินเหลยมากอย่างไรล่ะ!”

“เหอะ ช่างไม่มียางอาย!”

“หน็อย! จะเป็นไปได้หรือที่คนอย่างเจ้าจะไม่ได้มองท่านหลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และเฟิงจี้สิงอยู่ตลอดเวลา?”

“ฮึ่ม! แน่นอน ข้ามิได้เป็นหญิงสาวเช่นนั้น!”

“แล้วเหตุใดจึงหายใจเร็วขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ อีกทั้งยังขยับเสื้อชั้นในที่หน้าอกเมื่อเห็นท่านหลินมู่อวี่ด้วย?”

“กรี๊ด! ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อปิดปากซะ!”

หินแข็งบนลานประลองหลุดลอยขึ้นบนอากาศท้าทายกฎแรงโน้มถ่วง เศษหินและก้อนกรวดลอยขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการปะทะพลังของหลินมู่อวี่และฉินเหลยก่อเกิดเป็นพายุหมุนพัดกระโชก

สายฟ้ายังคงส่องแสงแปลบปลาบขณะที่ดาบอัสนีทลายเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้าสู่รูปแบบการต่อสู้ขั้นสูงสุด ดวงตาฉินเหลยลุกโชนพร้อมหัวเราะ “อาอวี่ ลองลิ้มรสการโจมตีดาบอัสนีทลายกระบวนท่าที่หกของพี่ใหญ่หน่อยไหม!”

พูดจบฉินเหลยก็คำรามก้อง “อสนีทลายนภา!”

‘วิ้ง!’

ลมกระโชกอย่างรุนแรงพร้อมดาบอัสนีทลายกลายเป็นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นดาบอสนีทลายนับพัน!

ดวงตาหลินมู่อวี่กลายเป็นเย็นชาพร้อมยกฝ่ามือรวบรวมปราณยุทธ์ล้อมรอบตัว จิตวิญญาณงูมังกรที่สถิตอยู่ในกระบี่วิญญาณมังกรคำรามก้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่เกลียวเพลิงมังกรจะพุ่งจู่โจมดาบอสนีทลายทันที!

‘ตูม!’

อาวุธทั้งสองปะทะกันเกิดการระเบิดของพลังดังกึกก้อง กระบี่วิญญาณมังกรพุ่งปะทะดาบอสนีทลายเล่มแรกทันที จากนั้นก็เล่มสอง เล่มสาม และพุ่งไปอย่างต่อเนื่อง หลินมู่อวี่ผายฝ่ามือที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขณะที่ควบคุมกระบี่วิญญาณมังกร ลมพัดกระโชกรุนแรงจนต้องหรี่ตาลง หลินมู่อวี่ไม่เปิดโอกาสให้ฉินเหลยได้โจมตี!

“น่าสนุกนี่!”

ฉินเหลยคำรามก้องขณะที่รวบรวมปราณเพิ่มเพื่อโจมตีด้วยอสนีทลายนภาอย่างดุเดือด!

หลินมู่อวี่ไม่สามารถถอยหนีได้ มิเช่นนั้นร่างกายคงฉีกออกจากกันเป็นแน่! เขาไม่คิดเลยว่าฉินเหลยจะสามารถหยุดการโจมตีอย่างดุเดือดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น หลินมู่อวี่คงต้องเอาชนะในศึกครานี้ให้ได้

พลังเจ็ดประทีปไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเมื่อกระบี่วิญญาณมังกรทะลวงอัสนีทลายกว่าร้อยเล่ม มันก็เริ่มอ่อนแรง เมื่อเทียบกันแล้ว อัสนีทลายนภาของฉินเหลยยังทรงพลังไม่น้อยลงเลย!

ลองอีกครั้ง!

หลินมู่อวี่เปิดฝ่ามือพร้อมพลังสามประทีปพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง แสงดาวปรากฏขึ้นบนลานประลองก่อนจะล้อมรอบกระบี่วิญญาณมังกร ‘ตูม!’ แสงสีทองระเบิดขึ้น ราวกับกระบี่วิญญาณมังกรได้รับการฟื้นพลัง มันพุ่งตรงไปที่ฉินเหลยพร้อมทะลวงดาบอสนีทลายไปอีกหลายสิบเล่มทันที!

หลินมู่อวี่ใช้พละกำลังทั้งหมดในการควบคุมกระบี่วิญญาณมังกร ใบหน้าเขาซีดเซียวเล็กน้อยขณะที่แอบอธิษฐานในใจ ‘พี่ใหญ่รีบแพ้เถิด อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้สี่ประทีปเลย…มันทรงพลังเกินไป แม้แต่ข้าก็ยังเกรงกลัวที่จะใช้มัน…’

ท้ายที่สุดฉินเหลยก็ถูกกระแทกจนตกลานประลองพร้อมกระอักเลือดออกมา เขาไม่สามารถฝืนทนได้อีก ขณะที่โซ่เทวะเริ่มกระจัดกระจาย และดาบอสนีทลายก็เริ่มจางหายไป

‘วิ้ง วิ้ง…’

กระบี่วิญญาณมังกรยังคงพุ่งตรงไปที่ฉินเหลย ทว่าหลินมู่อวี่รีบดึงกลับก่อนที่จะแทงเขา จากนั้นมันก็ตกลงตรงหน้าหลินมู่อวี่ราวกับมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

ฉินเหลยหอบหายใจขณะที่เช็ดเลือดออกจากมุมปาก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินมู่อวี่ “ยอดเยี่ยม…น่าพอใจมาก…อาอวี่ เจ้าได้พลังแปลกประหลาดนี้มาจากที่แห่งใด? การโจมตีดาบอสนีทลายกระบวนท่าที่หกของข้าทรงพลังมาก แม้แต่เฟิงจี้สิงก็สกัดกั้นไม่ได้ ทว่าเจ้าเด็กนี่…ไม่เปิดโอกาสให้ข้าโจมตีได้เลย ไม่ธรรมดาจริงๆ…

ใบหน้าหลินมู่อวี่ซีดเซียวก่อนจะค่อยๆ หยิบด้ามกระบี่ขึ้นมา ร่างกายของเขาโงนเงนเล็กน้อย “ข้าใช้พลังทั้งหมดไปแล้ว หากโจมตีพลาด คงถูกพี่ฉินเหลยเฉือนเป็นชิ้นๆ แน่”

ฉินเหลยหัวเราะ “ข้าแพ้แล้ว อาอวี่ไปแข่งกับเฟิงจี้สิงชิงอันดับหนึ่งซะ!”

“ขอบคุณพี่ฉินเหลยที่ออมมือให้ข้า”

“เหอะ ข้าไม่ได้ออมมือเลย คิดว่าข้าไม่ต้องการเหรียญตรามังกรทองหรืออย่างไร!”

ฉินเหลยเช็ดมุมอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮึ่ม ทหารของข้ามีเพียงเจ็ดพันนาย หากได้เหรียญตรามังกรทองมา ข้าคงจะรวบรวมกองทัพทหารจากมณฑลชางหนานและขยายกองกำลังให้ถึงหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนาย!”

หลินมู่อวี่เดินเข้ามาประคองฉินเหลย “เจ็ดพันนายก็เพียงพอแล้ว มากกว่านี้คงเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ”

“นั่นก็ใช่…”

ขณะเดียวกันก็มีผู้ดูแลขึ้นมาที่ลานประลองพร้อมตะโกนเสียงดัง “หลินมู่อวี่ชนะแล้ว! ท่านฉินเหลยและท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะประลองเพื่อชิงอันดับสามและอันดับสี่! ต่อจากนั้นท่านเฟิงจี้สิงและท่านหลินมู่อวี่จะต่อสู้เพื่อชิงอันดับหนึ่ง!”

ฝูงชนต่างปรบมืออย่างกึกก้อง ในที่สุดก็มาถึงโค้งสุดท้ายของการประลอง

เฟิงจี้สิงเป็นที่รู้จักกันในฉายา ‘พยัคฆ์แห่งถนนทงเทียน’ ส่วนหลินมู่อวี่คือผู้มีพรสวรรค์ในรอบร้อยปีแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ คนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์รักษาพระองค์พิทักษ์เมืองหลวงเป็นเวลาเกือบเจ็ดปี ขณะที่อีกคนเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตองค์หญิงอินได้ถึงสองครา และสามารถเพิ่มระดับวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับสิบ อีกทั้งยังสามารถทะลวงวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งอย่างโซ่เทวะได้ แล้วการต่อสู้นี้จะลงเอยเช่นไร?

ทุกคนตั้งตารอการประลองของทั้งคู่

ขณะเดียวกันฉินอินก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างเคารพ “เสด็จพ่อ พี่ใหญ่อาอวี่ต่อสู้อย่างหนักและใช้ปราณยุทธ์ไปพอสมควร ขณะที่ผู้บัญชาการเฟิงได้พักฟื้นเป็นเวลานาน หากต่อสู้กันตอนนี้คงไม่ยุติธรรมสำหรับพี่อาอวี่ ลูกมีความประสงค์ให้เวลาพี่อาอวี่ได้พักฟื้นเสียก่อน แล้วค่อยให้ทั้งสองต่อสู้กันหลังจากหยุดพักสองชั่วโมง”

ฉินจิ้นพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “ที่เสี่ยวอินว่ามานั้นพ่อเห็นด้วย ให้ทั้งสองต่อสู้หลังพักสองชั่วโมงเถิด”

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ!”

ไกลออกไป หลินมู่อวี่แสดงท่าทางขอบคุณฉินอิน

ฉินจิ้นหันมองเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหลย ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าใครได้เหรียญตรามังกรทองไป ทั้งสี่ก็จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา สำหรับหลินฉางชิงและมู่หรงโจว ทั้งสองมิได้มีความภักดีอย่างแท้จริง

หลินมู่อวี่นั่งลงบนลานหินอย่างสงบและใช้หลอมกระดูกมังกรฟื้นฟูปราณ การต่อสู้กับฉินเหลยต้องใช้พลังไปมากสมควร หากประลองตอนนี้ คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเฟิงจี้สิงที่สภาพสมบูรณ์ได้ อีกทั้งเพลงดาบเฟิงสิงที่เขาสร้างขึ้นมาเองนั้นแข็งแกร่งมาก หลินมู่อวี่คงไม่สามารถต่อกรได้แม้จะใช้พลังทั้งหมด แทบไม่ต้องพูดถึงการจะเอาชนะด้วยร่างกายที่อ่อนแอขณะนี้เลย…

เฟิงจี้สิงถือดาบสะบั้นวาโยมานั่งข้างหลินมู่อวี่ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ หากเจ้ายอมแพ้ พี่เฟิงจะเลี้ยงซาลาเปาไส้เนื้อและไส้จื่อยินตลอดทั้งเดือนเลย เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม?”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลง “หยุดเลย ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก”

เฟิงจี้สิงพูดต่อทั้งรอยยิ้ม “อาอวี่ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับองค์หญิงอินหรือ? คิดว่านางงดงามที่สุดในปฐพีใช่หรือไม่?”

“นั่น…”

หัวใจหลินมู่อวี่เต้นเร็วเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าเฟิงจี้สิงกำลังวางแผนจะทำอะไรอยู่ จึงสงบใจก่อนพูดว่า “ฮืม…องค์หญิงอินก็ถือว่างดงามใช้ได้…”

“ฮึ่ม เจ้ายังไม่หลงกลอีกรึ…”

เฟิงจี้สิงยังคงพยายามต่อ “อาอวี่ หากให้เลือกเจ้าจะแต่งงานกับคนไหน? นอกเหนือจากองค์หญิงอิน ก็มีองค์หญิงซี และสาวงามฉู่เหยา เจ้าจะเลือกใคร?”

หลินมู่อวี่จ้องกลับ “หยุดได้แล้ว ข้าไม่เลือกใครทั้งนั้น!”

“อย่างนั้นเหรอ? ช่างน่าเสียดาย…”

เฟิงจี้สิงผิวปากขณะที่นั่งลงบนลานหินข้างหลินมู่อวี่ ท่าทางเขาไม่สมกับเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลินแม้แต่น้อย เหมือนโจรป่ามากกว่า…จากนั้นเฟิงจี้สิงก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรแต่งงานกับองค์หญิงอินและองค์หญิงซีในคราเดียว คนหนึ่งเป็นเมียหลวง ส่วนอีกคนเป็นนางบำเรอ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“ฮะ…ฮ่าๆๆ”

ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ “พี่เฟิงใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดหลอกล่อข้า…ฮ่าๆ อันดับหนึ่งในการประลองยุทธ์สำคัญกับพี่เฟิงถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”

“แน่นอนว่าสำคัญมาก!” เฟิงจี้สิงเผยธาตุแท้ออกมา “อันดับหนึ่งได้หนึ่งแสนเหรียญทอง อันดับสองได้เพียงสามหมื่นเหรียญทอง นั่นไม่พอจะซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงด้วยซ้ำ…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่กำลังพักฟื้นก็ลืมตาขึ้นมาถาม “จะต้องการบ้านหลังใหญ่ไปเพื่ออะไร?”

“ข้าจะแต่งงานโดยไม่มีบ้านหลังใหญ่ได้อย่างไร?” เฟิงจี้สิงเบิกตากว้าง

“เจ้าไม่มีเมียด้วยซ้ำ…” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตอกกลับ

เฟิงจี้สิงพลันชักดาบสะบั้นวาโยพร้อมเลิกคิ้ว “หุบปากไปเลยฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน! หากเป็นชายชาตรีก็ลุกมาสู้กับข้าเดี๋ยวนี้!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง ก่อนจะหลับตาพักฟื้นต่อ “อาอวี่ อย่าหลงกลล่ะ เมื่อสามปีก่อนเพื่อให้ได้อันดับหนึ่ง สหายคนนี้พาข้าไปดื่มคืนก่อนการประลองโดยบอกว่าเป็นสุราข้าว ทว่าความจริงเป็นสุราที่แรงมาก อีกทั้งยังพาหญิงสาวมากมายจากหอชุนฮวามาดื่มด้วย จนทำให้ข้าเมาค้างแล้วเอาชนะไป ฮึ่ม! เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก…”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงแพ้พี่เฟิงไม่ได้แล้ว ข้าก็ต้องการบ้านหลังใหญ่และแต่งงานเหมือนกัน…”

เฟิงจี้สิงเอามือกุมหน้าผากและหัวเราะลั่น “โชคร้ายที่มารู้จักพวกเจ้าจริงๆ”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง “หากเหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์รู้ว่าเฟิงจี้สิงเป็นคนเช่นนี้ ข้าสงสัยเสียจริงว่าจะยังชื่นชมเจ้าอยู่หรือไม่ ฮ่าๆๆ”

หลินมู่อวี่เพียงยิ้มและมิได้พูดสิ่งใด

สองชั่วโมงผ่านไปเร็วมากจนถึงเวลาที่ต้องต่อสู้

หลินมู่อวี่โคจรปราณอย่างเงียบเชียบและพบว่าฟื้นฟูปราณไปได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขาสามารถต่อสู้กับเฟิงจี้สิงได้จนจบ!

………………………………….

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+