The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 232 หลงเซียนหลิน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 232 หลงเซียนหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมา…หลินมู่อวี่ก็ได้รับดอกผิงเม่ยที่ร้องขอ กลิ่นของมันลอยมาแตะจมูก มันมีลักษณะเหมือนที่ลู่ลู่เคยบอกไว้ แสดงว่าหูเถี่ยหลิงไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมใด คงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิอย่างที่คิด

หลังจากกล่าวขอบคุณและอำลาแล้ว หลินมู่อวี่ก็พาเว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ออกจากเมืองห้าหุบเขาตรงไปยังมณฑลหลิงเป่ยทันที

เมื่อเสียงฝีเท้ากองทัพม้าจางลง กลุ่มของหลินมู่อวี่ก็หายไปจากการมองเห็น

หูเถี่ยหนิงถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น “เซียนหลิน”

หลงเซียนหลินคำนับพลางขานรับ “เรียกหาข้าหรือขอรับ”

“เมื่อคืนเจ้าได้พูดคุยเรื่องคนเถื่อนและพวกค้าทาสกับหลินมู่อวี่หรือไม่?

“ขอรับ”

หูเถี่ยหนิงเลิกคิ้วขึ้นถาม” เขาว่าอย่างไรบ้าง?”

หลงเซียนหลินตอบอย่างนอบน้อม “เขาตอบเพียงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ทว่าไม่ได้คิดจะทำสิ่งใดขอรับ เขาไม่ได้เป็นแม่ทัพหลินมู่อวี่ผู้ป่าเถื่อนพร้อมสร้างปัญหาดังเช่นข่าวลือที่ได้ยินมา”

ประกายคมเฉิดฉายขึ้นในแววตาหูเถี่ยหนิง “เขากำลังข่มอารมณ์ตัวเองไว้อยู่ อีกทั้งพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่ยังเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ข้ารับรู้ได้ว่าเขาพยายามปิดซ่อนพลังของตนและทำตัวเฉกเช่นคนทั่วไปช่างน่าหวั่นเกรงนัก! ในกาลข้างหน้า…หากต้องได้สู้กันมณฑลชางหนานของเราคงยากที่จะชนะคนน่ากลัวเช่นนี้”

หลงเซียนหลินพยักหน้า “ท่านผู้ว่าขอรับ มีคนเถื่อนกว่าเจ็ดร้อยคนถูกพบในค่ายของเรา ทุกคนล้วนยังสาวข้าจึงคิ ดว่า…บางทีแทนที่เราจะส่งพวกนางให้กลุ่มค้าทาส เราจับคู่คนเหล่านี้กับทหารเราไม่ดีกว่าหรือขอรับ? พวกเขาจะได้สร้างครอบครัวแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองห้าหุบเขา ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไรขอรับ?”

“ฮ่าๆๆ”

หูเถี่ยหนิงหันมามองหน้าหลงเซียนหลินก่อนจะพูดด้วยสายตาเย็นชา “เซียนหลิน เจ้าใจอ่อนรึ?”

หลิงเซียนหลินรีบตอบกลับ “ข้า…ข้าเพียงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อพวกนางอย่างที่หลินมู่อวี่บอกไว้ พวกนางไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งที่เราสามารถช่วยพวกนางได้แท้ๆ”

“ไม่!”

หูเถี่ยหนิงตอบเสียงทุ้ม “ข้ายังยืนยันจะส่งพวกมันให้กลุ่มค้าทาส เซียนหลิน…ความสามารถของเจ้าไม่เป็นสองรองใคร เจ้าจะมาใจอ่อนเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ สำหรับผู้มีอำนาจสงครามคือเรื่องสนุก ไม่มีใครสนใจเรื่องเมตตาหรือศีลธรรมลวงโลก มีเพียงพลังและผลประโยชน์เท่านั้น!”

หลงเซียนหลินทำได้เพียงคำนับและกัดฟันตอบ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”

“เซียนหลิน”

หูเถี่ยหนิงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเจ้าว่างก็ไปหาเสี่ยวอวิ๋นบ้าง นางเป็นคู่หมั้นของเจ้า เจ้าจะเอาแต่ฝึกรบทั้งวันไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”

หลงเซียนหลินพยักหน้ารับ “ขอรับ…หากข้าแล้วเสร็จภารกิจเรื่องค่ายแล้ว ข้ารับปากจะไปหานางขอรับ”

“อืม…ดีมาก”

ตะวันคล้อยบ่าย กองม้าศึกกำลังวิ่งอยู่บนถนน

“เหตุใดท่านจึงไม่ถามหูเถี่ยหนิงเรื่องใบอนุณาตผ่านทางขอรับ?” เมื่อโฉวควบม้าเข้ามาหาหลินมู่อวี่ด้วยท่าทีสงสัย “แม้จะเอาผิดหูเถี่ยหลิงไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ยังมีโอกาสเตือนคนอื่น”

หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น หากเราทำลายสัมพันธไมตรีต่อกันจะทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น เจ้าเองก็ได้เห็นกำลังพลของเมืองห้าหุบเขาแล้ว ทหารม้าของพวกนั้นนับได้ว่าเป็นทหารชั้นยอดแห่งเทือกเขาฉินทางตอนเหนือ การกำจัดคนเถื่อนสองหมื่นคนลงได้ทั้งที่ตนเสียเปรียบอย่างมากเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนั้น หากมีปัญหากันลำพังองครักษ์อินทรีร้อยกว่าคนของเราคงไม่ต่างไม้ซีกงัดไม้ซุง ฉะนั้นต่อให้หูเถี่ยหนิงจะภักดีต่อจักรวรรดิหรือไม่เรารู้กันเพียงแค่นี้ก็พอ”

“ยังปราดเปรื่องเช่นเคยนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่หันไปหาเซี่ยโหวซางและเอ่ยถาม “เซี่ยโหว ค่ำคืนกับสองนักเต้นสาวเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

เซี่ยโหวซางหน้าแดงด้วยความเขินอายเอ่ยตอบ “ท่านอย่าล้อเลียนข้าสิขอรับ…นอกจากเรื่องนั้นแล้วข้าก็ไม่เก่งเรื่องไหนอีก แต่พูดตามตรง…สองสาวนั่นเร่าร้อนเอาเรื่องนะขอรับ หูเถี่ยหนิงช่างดูแลแขกได้ดีจริงๆ ที่แบ่งสาวงามมาปรนเปรอ…”

หลินมู่อวี่กล่าว “อย่ายอมให้ความงามมาบังตา มิเช่นนั้นวันหนึ่งหูเถี่ยหนิงอาจใช้ช่องโหว่นี้หลอกใช้ประโยชน์จากเจ้าได้”

เซี่ยโหวซางหัวเราะลั่น “ท่านอย่าได้คิดมากไปขอรับ เซี่ยโหวซางผู้นี้ไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูกง่ายๆ เด็ดขาด หากหูเถี่ยหนิงคิดจะหลอกใช้ข้าด้วยเรื่องนั้น ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเขาแน่ เพียงแค่ให้ที่หลับนอนข้าไม่นับว่าเป็นบุญคุณขอรับ”

หลินมู่อวี่ยกนิ้วโป้ง “เจ้าช่างเป็นคนซื่อตรงจริงๆ”

“ฮ่าๆๆ…”

ค่ำคืนมาเยือนอย่างรวดเร็วพร้อมกับหิมะที่เริ่มโปรยปราย ในที่สุดพวกหลินมู่อวี่ก็ถึงป่าในเขตมณฑลชางหนาน ผืนดินโดยรอบยังไม่ถูกหิมะปกคลุมหนามากเพียงสามเซนติเมตรเท่านั้น ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับหนาวเย็นขึ้นอย่างมาก

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะมองทุกสิ่งรอบตัวระหว่างเดินทางผ่านป่า

“มีสิ่งใดผิดปกหรือขอรัย?” เว่ยโฉวสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของหลินมู่อวี่จึงเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “อีกสิบไมล์จากนี้เราจะพักแรมกัน”

“ขอรับ!”

กระทั่งเดินทางมาได้สิบไมล์ พวกหลินมู่อวี่จึงตัดสินใจตั้งค่ายค้างแรมในป่าข้างถนนหลัก หลังจากให้อาหารม้าเรียบร้อยหลินมู่อวี่เดินตรวจตราดูรอบบริเวณก่อนเอ่ยขึ้น “เว่ยโฉว ปล่อยอีกาที่เราซื้อมา!”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์สิบนายเอาตะกร้าจากหลังม้ามา ทันทีที่เปิดฝา…นกสีดำหลายตัวต่างกระพือปีกบินกรูออกมา มันไม่ใช่อีกาธรรมดาหากแต่เป็นอีกาที่ได้รับการฝึกสำหรับใช้ในทางทหาร ด้วยเสียงบินอันเงียบเชียบของพวกมัน จึงมักถูกนำไปใช้เพื่อสอดแนม

“เราได้ทำการลาดตระเวนในระยะสิบกี่โลเมตรแล้ว ท่านยังเป็นสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?” เว่ยโฉวยิ้มถาม

หลินมู่อวี่กระชับกระบี่ขณะยืนอยู่หน้ากำแพงหินขนาดใหญ่ ถูมือไปมาเพื่อไล่ความหนาว “มีบางอย่างตามเรามาตั้งแต่ออกจากเมืองห้าหุบเขา”

“หืม?” เว่ยโฉวชะงัก “เล็ดลอดสายตาเราไปได้อย่างไรกัน?”

“เหมือนจะไม่ใช่มนุษย์”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “เป็นอสูร…ข้าสัมผัสได้ถึงอสูรหลายตัวบนพื้นหิมะ มันมีเท้าสามกีบเคลือบเพชร เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือตัวอะไร?”

“หมาป่าลายพยัคฆ์หรือ?”

เว่ยโฉวตกตะลึงขณะพูด “กล่าวกันว่าหมาป่าลายพัคฆ์นั้นมีทหารจักรวรรดิคอยฝึกเพื่อใช้เป็นนักล่าอยู่ มันมีขนาดตัวที่และเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก ที่สำคัญประสาทรับกลิ่นของมันดีกว่าสุนัขร้อยเท่า จึงเหมาะแก่การใช้สะกดรอยตามอย่างมาก และจากลักษณะที่ท่านบอกมา…เป็นไปได้ว่ามันคือหมาป่าลายพยัคฆ์ขอรับ”

“แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าหมาป่าที่ตามเรามานี้ถูกฝึกโดยเมืองห้าหุบเขา?” หลินมู่อวี่ถาม

“ยากที่จะบอกแต่…”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “เมืองห้าหุบเขานั้นมีกองกำลังอันแข็งแกร่ง ทั้งหลงเซียนหลินเองก็มีความสามารถอันน่าทึ่ง หากมีเขาอยู่การจะฝึกหมาป่าลายพยัคฆ์นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หากเราถูกสะกดรอยจริง…จะทำอย่างไรดีขอรับ?”

หลินมู่อวี่กล่าว “คืนนี้สั่งให้กองกำลังเตรียมอาวุธและพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อจนถึงรุ่งสาง ผูกม้าไว้ในค่ายอย่าปล่อยให้หลุด เราจะตั้งรับจนกว่าอีกาส่งสาส์นจะกลับมา ศัตรูที่จะมานั้นเหนือกว่าเรามาก หากสู้ไหวจงสู้ อยากสู้ไม่ได้ให้ถอย ม้าเราเป็นม้าตะวันตกใช้หนีได้เร็วกว่าศัตรูเราแน่นอน”

“ขอรับ!”

กองทหารเร่งทานอาหารกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งแล้วเสร็จตอนดึก

หลินมู่อวี่ยังคงตื่นอยู่ เขาผูกม้าไว้ในค่ายก่อนจะกระโดดขึ้นบนหินก้อนใหญ่และกวาดหิมะโดยรอบออก ชุดคลุมยาวถูกนำมาสวมทับร่างกายสายตาคมสอดส่องไปทั่วป่า ขณะเดียวกันก็ปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไป ด้วยพลังยุทธ์ในตอนนี้ทำให้เขาสามารถได้ยินทุกการเคลื่อนไหวในระยะห้าไมล์ได้ซึ่งมีประโยชน์ยิ่งกว่าอีกาสอดแนมนัก

เพราะเดินทางมาทั้งวันแล้ว หลินมู่อวี่จึงเริ่มรู้สึกเหนื่อย

เปลือกตาหลินมู่อวี่เริ่มหนักอึ้ง เขากระชับกระบี่ไว้ในมือก่อนจะผล็อยหลับไปบนก้อนหิน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งทักษะชีพจรวิญญาณสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งได้ มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเข้ามาในรัศมีทักษะ หลินมู่อวี่รีบลืมตาขึ้นทันควันก่อนจะลงจากหินมุ่งหน้าไปยังค่าย “เตรียมตัว มีคนกำลังมา!”

เว่ยโฉวกลับมายังค่ายพร้อมเอ่ยขึ้น “อีกายังไม่กลับมาเลยขอรับ!”

“ไม่ต้องรอแล้ว ทุกคนเตรียมม้า! เราจะเคลื่อนไปทางตะวันตกแล้วทำการซุ่มโจมตี!”

“ขอรับ!”

ทหารทุกนายเคลื่อนพลไปยังจุดซุ่มโจมตีอย่างคล่องแคล่ว รอยกีบม้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าบนพื้นหิมะลบเลือนอย่างรวดเร็ว ต่อเมื่อทำการครอบปากม้าแล้ว ทุกคนจึงเข้าประจำตำแหน่งใช้สายตาคอยสอดส่องเป้าหมายจนกว่าพวกมันจะมา

“พรึบๆๆ”

อีกาบินกลับมาหาทหารองครักษ์ที่สามารถสื่อสารกับมันได้ พอฟังเสียงอีการ้องนายทหารก็รีบแจ้งข่าวทันที “กลุ่มคนราวห้าร้อยคนกำลังมุ่งมาทางนี้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นกลุ่มใดขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ อันที่จริงทักษะชีพจรวิญญาณของเขาก็ตรวจจับได้ว่ามีกองกำลังห้าร้อยคน โดยคนที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังยุทธ์อยู่ขอบเขตปฐพีขั้นสาม อีกส่วนน้อยอยู่ขอบเขตมนุษย์ และที่เหลือเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ถึงกระนั้นการที่มารวมตัวกันเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติแน่

“ปิดซ่อนพลังของพวกเจ้าเสีย แล้วอย่าส่งเสียงใด…รอฟังคำสั่งจากข้า” หลินมู่อวี่สั่งเบาๆ

“ขอรับ!”

อย่างแรกหลินมู่อวี่ต้องรู้ให้ได้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร

ไม่มีแสงใดปรากฏขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะโปรยปราย มีเพียงเงามืดเคลื่อนผ่านไปตามถนนในป่า พวกมันเดินทางด้วยม้าที่สวมผ้าคลุมกีบเท้าไว้ทำให้เสียงเบามาก อีกทั้งยังมีการสื่อสารกันเพียงเล็กน้อยนอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก แตกต่างจากสำนักอัศวินที่พบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

หลินมู่อวี่เพ่งมอง ภายใต้แสงอันริบหรี่เขาเห็นเหรียญสีทองติดอยู่บริเวณคอของผู้นำกลุ่ม มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของทหารเหรียญทอง…แต่เป็นของราชทูต!

อย่างที่คาด…คนพวกนี้เป็นสมาชิกสำนักอัศวิน ทว่าน่าจะมาจากศูนย์ใหญ่มณฑลชางหนาน ราชทูตถึงได้ลงมานำกำลังคนขนาดนี้ด้วยตนเอง

เว่ยโฉวหันไปถามหลินมู่อวี่ว่าควรเคลื่อนไหวหรือไม่

หลินมู่อวี่ปล่อยพลังสีทองออกมาจากฝ่ามือ วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏออก หลินมู่อวี่พลันตะโกนขึ้น “องครักษ์อวี้หลินปิดตา!”

“วิ้ง!”

น้ำเต้าทองลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนหลินมู่อวี่จะใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์พิเศษ รุ่งอรุณ!

แสงสุกสกาวเจิดจ้าจนท้องฟ้าสว่างไสวราวกับเป็นกลางวัน ระเบิดแสงอันรุนแรงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันท่ามกลางความมืดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนไหว กองกำลังที่ไม่ได้ปิดตาพากันแตกตื่นทันใด

“อะไรกัน!”

เถาวัลย์น้ำเต้าพุ่งเข้ามัดราชทูตและม้าไว้ หลินมู่อวี่ปล่อยมีดเสียงปีศาจเคลือบปราณยุทธ์ เมื่อแสงสีทองสว่างวาบมีดคมก็ล่องหนหายไป ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “เปิดตาแล้วโจมตีได้!”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 232 หลงเซียนหลิน

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 232 หลงเซียนหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมา…หลินมู่อวี่ก็ได้รับดอกผิงเม่ยที่ร้องขอ กลิ่นของมันลอยมาแตะจมูก มันมีลักษณะเหมือนที่ลู่ลู่เคยบอกไว้ แสดงว่าหูเถี่ยหลิงไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมใด คงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิอย่างที่คิด

หลังจากกล่าวขอบคุณและอำลาแล้ว หลินมู่อวี่ก็พาเว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ออกจากเมืองห้าหุบเขาตรงไปยังมณฑลหลิงเป่ยทันที

เมื่อเสียงฝีเท้ากองทัพม้าจางลง กลุ่มของหลินมู่อวี่ก็หายไปจากการมองเห็น

หูเถี่ยหนิงถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น “เซียนหลิน”

หลงเซียนหลินคำนับพลางขานรับ “เรียกหาข้าหรือขอรับ”

“เมื่อคืนเจ้าได้พูดคุยเรื่องคนเถื่อนและพวกค้าทาสกับหลินมู่อวี่หรือไม่?

“ขอรับ”

หูเถี่ยหนิงเลิกคิ้วขึ้นถาม” เขาว่าอย่างไรบ้าง?”

หลงเซียนหลินตอบอย่างนอบน้อม “เขาตอบเพียงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ทว่าไม่ได้คิดจะทำสิ่งใดขอรับ เขาไม่ได้เป็นแม่ทัพหลินมู่อวี่ผู้ป่าเถื่อนพร้อมสร้างปัญหาดังเช่นข่าวลือที่ได้ยินมา”

ประกายคมเฉิดฉายขึ้นในแววตาหูเถี่ยหนิง “เขากำลังข่มอารมณ์ตัวเองไว้อยู่ อีกทั้งพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่ยังเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ข้ารับรู้ได้ว่าเขาพยายามปิดซ่อนพลังของตนและทำตัวเฉกเช่นคนทั่วไปช่างน่าหวั่นเกรงนัก! ในกาลข้างหน้า…หากต้องได้สู้กันมณฑลชางหนานของเราคงยากที่จะชนะคนน่ากลัวเช่นนี้”

หลงเซียนหลินพยักหน้า “ท่านผู้ว่าขอรับ มีคนเถื่อนกว่าเจ็ดร้อยคนถูกพบในค่ายของเรา ทุกคนล้วนยังสาวข้าจึงคิ ดว่า…บางทีแทนที่เราจะส่งพวกนางให้กลุ่มค้าทาส เราจับคู่คนเหล่านี้กับทหารเราไม่ดีกว่าหรือขอรับ? พวกเขาจะได้สร้างครอบครัวแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองห้าหุบเขา ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไรขอรับ?”

“ฮ่าๆๆ”

หูเถี่ยหนิงหันมามองหน้าหลงเซียนหลินก่อนจะพูดด้วยสายตาเย็นชา “เซียนหลิน เจ้าใจอ่อนรึ?”

หลิงเซียนหลินรีบตอบกลับ “ข้า…ข้าเพียงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อพวกนางอย่างที่หลินมู่อวี่บอกไว้ พวกนางไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งที่เราสามารถช่วยพวกนางได้แท้ๆ”

“ไม่!”

หูเถี่ยหนิงตอบเสียงทุ้ม “ข้ายังยืนยันจะส่งพวกมันให้กลุ่มค้าทาส เซียนหลิน…ความสามารถของเจ้าไม่เป็นสองรองใคร เจ้าจะมาใจอ่อนเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ สำหรับผู้มีอำนาจสงครามคือเรื่องสนุก ไม่มีใครสนใจเรื่องเมตตาหรือศีลธรรมลวงโลก มีเพียงพลังและผลประโยชน์เท่านั้น!”

หลงเซียนหลินทำได้เพียงคำนับและกัดฟันตอบ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!”

“เซียนหลิน”

หูเถี่ยหนิงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเจ้าว่างก็ไปหาเสี่ยวอวิ๋นบ้าง นางเป็นคู่หมั้นของเจ้า เจ้าจะเอาแต่ฝึกรบทั้งวันไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”

หลงเซียนหลินพยักหน้ารับ “ขอรับ…หากข้าแล้วเสร็จภารกิจเรื่องค่ายแล้ว ข้ารับปากจะไปหานางขอรับ”

“อืม…ดีมาก”

ตะวันคล้อยบ่าย กองม้าศึกกำลังวิ่งอยู่บนถนน

“เหตุใดท่านจึงไม่ถามหูเถี่ยหนิงเรื่องใบอนุณาตผ่านทางขอรับ?” เมื่อโฉวควบม้าเข้ามาหาหลินมู่อวี่ด้วยท่าทีสงสัย “แม้จะเอาผิดหูเถี่ยหลิงไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ยังมีโอกาสเตือนคนอื่น”

หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น หากเราทำลายสัมพันธไมตรีต่อกันจะทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น เจ้าเองก็ได้เห็นกำลังพลของเมืองห้าหุบเขาแล้ว ทหารม้าของพวกนั้นนับได้ว่าเป็นทหารชั้นยอดแห่งเทือกเขาฉินทางตอนเหนือ การกำจัดคนเถื่อนสองหมื่นคนลงได้ทั้งที่ตนเสียเปรียบอย่างมากเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนั้น หากมีปัญหากันลำพังองครักษ์อินทรีร้อยกว่าคนของเราคงไม่ต่างไม้ซีกงัดไม้ซุง ฉะนั้นต่อให้หูเถี่ยหนิงจะภักดีต่อจักรวรรดิหรือไม่เรารู้กันเพียงแค่นี้ก็พอ”

“ยังปราดเปรื่องเช่นเคยนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่หันไปหาเซี่ยโหวซางและเอ่ยถาม “เซี่ยโหว ค่ำคืนกับสองนักเต้นสาวเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

เซี่ยโหวซางหน้าแดงด้วยความเขินอายเอ่ยตอบ “ท่านอย่าล้อเลียนข้าสิขอรับ…นอกจากเรื่องนั้นแล้วข้าก็ไม่เก่งเรื่องไหนอีก แต่พูดตามตรง…สองสาวนั่นเร่าร้อนเอาเรื่องนะขอรับ หูเถี่ยหนิงช่างดูแลแขกได้ดีจริงๆ ที่แบ่งสาวงามมาปรนเปรอ…”

หลินมู่อวี่กล่าว “อย่ายอมให้ความงามมาบังตา มิเช่นนั้นวันหนึ่งหูเถี่ยหนิงอาจใช้ช่องโหว่นี้หลอกใช้ประโยชน์จากเจ้าได้”

เซี่ยโหวซางหัวเราะลั่น “ท่านอย่าได้คิดมากไปขอรับ เซี่ยโหวซางผู้นี้ไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูกง่ายๆ เด็ดขาด หากหูเถี่ยหนิงคิดจะหลอกใช้ข้าด้วยเรื่องนั้น ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเขาแน่ เพียงแค่ให้ที่หลับนอนข้าไม่นับว่าเป็นบุญคุณขอรับ”

หลินมู่อวี่ยกนิ้วโป้ง “เจ้าช่างเป็นคนซื่อตรงจริงๆ”

“ฮ่าๆๆ…”

ค่ำคืนมาเยือนอย่างรวดเร็วพร้อมกับหิมะที่เริ่มโปรยปราย ในที่สุดพวกหลินมู่อวี่ก็ถึงป่าในเขตมณฑลชางหนาน ผืนดินโดยรอบยังไม่ถูกหิมะปกคลุมหนามากเพียงสามเซนติเมตรเท่านั้น ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับหนาวเย็นขึ้นอย่างมาก

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะมองทุกสิ่งรอบตัวระหว่างเดินทางผ่านป่า

“มีสิ่งใดผิดปกหรือขอรัย?” เว่ยโฉวสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของหลินมู่อวี่จึงเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร”

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “อีกสิบไมล์จากนี้เราจะพักแรมกัน”

“ขอรับ!”

กระทั่งเดินทางมาได้สิบไมล์ พวกหลินมู่อวี่จึงตัดสินใจตั้งค่ายค้างแรมในป่าข้างถนนหลัก หลังจากให้อาหารม้าเรียบร้อยหลินมู่อวี่เดินตรวจตราดูรอบบริเวณก่อนเอ่ยขึ้น “เว่ยโฉว ปล่อยอีกาที่เราซื้อมา!”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์สิบนายเอาตะกร้าจากหลังม้ามา ทันทีที่เปิดฝา…นกสีดำหลายตัวต่างกระพือปีกบินกรูออกมา มันไม่ใช่อีกาธรรมดาหากแต่เป็นอีกาที่ได้รับการฝึกสำหรับใช้ในทางทหาร ด้วยเสียงบินอันเงียบเชียบของพวกมัน จึงมักถูกนำไปใช้เพื่อสอดแนม

“เราได้ทำการลาดตระเวนในระยะสิบกี่โลเมตรแล้ว ท่านยังเป็นสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?” เว่ยโฉวยิ้มถาม

หลินมู่อวี่กระชับกระบี่ขณะยืนอยู่หน้ากำแพงหินขนาดใหญ่ ถูมือไปมาเพื่อไล่ความหนาว “มีบางอย่างตามเรามาตั้งแต่ออกจากเมืองห้าหุบเขา”

“หืม?” เว่ยโฉวชะงัก “เล็ดลอดสายตาเราไปได้อย่างไรกัน?”

“เหมือนจะไม่ใช่มนุษย์”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “เป็นอสูร…ข้าสัมผัสได้ถึงอสูรหลายตัวบนพื้นหิมะ มันมีเท้าสามกีบเคลือบเพชร เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือตัวอะไร?”

“หมาป่าลายพยัคฆ์หรือ?”

เว่ยโฉวตกตะลึงขณะพูด “กล่าวกันว่าหมาป่าลายพัคฆ์นั้นมีทหารจักรวรรดิคอยฝึกเพื่อใช้เป็นนักล่าอยู่ มันมีขนาดตัวที่และเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก ที่สำคัญประสาทรับกลิ่นของมันดีกว่าสุนัขร้อยเท่า จึงเหมาะแก่การใช้สะกดรอยตามอย่างมาก และจากลักษณะที่ท่านบอกมา…เป็นไปได้ว่ามันคือหมาป่าลายพยัคฆ์ขอรับ”

“แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าหมาป่าที่ตามเรามานี้ถูกฝึกโดยเมืองห้าหุบเขา?” หลินมู่อวี่ถาม

“ยากที่จะบอกแต่…”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “เมืองห้าหุบเขานั้นมีกองกำลังอันแข็งแกร่ง ทั้งหลงเซียนหลินเองก็มีความสามารถอันน่าทึ่ง หากมีเขาอยู่การจะฝึกหมาป่าลายพยัคฆ์นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หากเราถูกสะกดรอยจริง…จะทำอย่างไรดีขอรับ?”

หลินมู่อวี่กล่าว “คืนนี้สั่งให้กองกำลังเตรียมอาวุธและพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อจนถึงรุ่งสาง ผูกม้าไว้ในค่ายอย่าปล่อยให้หลุด เราจะตั้งรับจนกว่าอีกาส่งสาส์นจะกลับมา ศัตรูที่จะมานั้นเหนือกว่าเรามาก หากสู้ไหวจงสู้ อยากสู้ไม่ได้ให้ถอย ม้าเราเป็นม้าตะวันตกใช้หนีได้เร็วกว่าศัตรูเราแน่นอน”

“ขอรับ!”

กองทหารเร่งทานอาหารกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งแล้วเสร็จตอนดึก

หลินมู่อวี่ยังคงตื่นอยู่ เขาผูกม้าไว้ในค่ายก่อนจะกระโดดขึ้นบนหินก้อนใหญ่และกวาดหิมะโดยรอบออก ชุดคลุมยาวถูกนำมาสวมทับร่างกายสายตาคมสอดส่องไปทั่วป่า ขณะเดียวกันก็ปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไป ด้วยพลังยุทธ์ในตอนนี้ทำให้เขาสามารถได้ยินทุกการเคลื่อนไหวในระยะห้าไมล์ได้ซึ่งมีประโยชน์ยิ่งกว่าอีกาสอดแนมนัก

เพราะเดินทางมาทั้งวันแล้ว หลินมู่อวี่จึงเริ่มรู้สึกเหนื่อย

เปลือกตาหลินมู่อวี่เริ่มหนักอึ้ง เขากระชับกระบี่ไว้ในมือก่อนจะผล็อยหลับไปบนก้อนหิน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งทักษะชีพจรวิญญาณสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งได้ มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเข้ามาในรัศมีทักษะ หลินมู่อวี่รีบลืมตาขึ้นทันควันก่อนจะลงจากหินมุ่งหน้าไปยังค่าย “เตรียมตัว มีคนกำลังมา!”

เว่ยโฉวกลับมายังค่ายพร้อมเอ่ยขึ้น “อีกายังไม่กลับมาเลยขอรับ!”

“ไม่ต้องรอแล้ว ทุกคนเตรียมม้า! เราจะเคลื่อนไปทางตะวันตกแล้วทำการซุ่มโจมตี!”

“ขอรับ!”

ทหารทุกนายเคลื่อนพลไปยังจุดซุ่มโจมตีอย่างคล่องแคล่ว รอยกีบม้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าบนพื้นหิมะลบเลือนอย่างรวดเร็ว ต่อเมื่อทำการครอบปากม้าแล้ว ทุกคนจึงเข้าประจำตำแหน่งใช้สายตาคอยสอดส่องเป้าหมายจนกว่าพวกมันจะมา

“พรึบๆๆ”

อีกาบินกลับมาหาทหารองครักษ์ที่สามารถสื่อสารกับมันได้ พอฟังเสียงอีการ้องนายทหารก็รีบแจ้งข่าวทันที “กลุ่มคนราวห้าร้อยคนกำลังมุ่งมาทางนี้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นกลุ่มใดขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ อันที่จริงทักษะชีพจรวิญญาณของเขาก็ตรวจจับได้ว่ามีกองกำลังห้าร้อยคน โดยคนที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังยุทธ์อยู่ขอบเขตปฐพีขั้นสาม อีกส่วนน้อยอยู่ขอบเขตมนุษย์ และที่เหลือเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ถึงกระนั้นการที่มารวมตัวกันเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติแน่

“ปิดซ่อนพลังของพวกเจ้าเสีย แล้วอย่าส่งเสียงใด…รอฟังคำสั่งจากข้า” หลินมู่อวี่สั่งเบาๆ

“ขอรับ!”

อย่างแรกหลินมู่อวี่ต้องรู้ให้ได้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร

ไม่มีแสงใดปรากฏขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะโปรยปราย มีเพียงเงามืดเคลื่อนผ่านไปตามถนนในป่า พวกมันเดินทางด้วยม้าที่สวมผ้าคลุมกีบเท้าไว้ทำให้เสียงเบามาก อีกทั้งยังมีการสื่อสารกันเพียงเล็กน้อยนอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก แตกต่างจากสำนักอัศวินที่พบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

หลินมู่อวี่เพ่งมอง ภายใต้แสงอันริบหรี่เขาเห็นเหรียญสีทองติดอยู่บริเวณคอของผู้นำกลุ่ม มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของทหารเหรียญทอง…แต่เป็นของราชทูต!

อย่างที่คาด…คนพวกนี้เป็นสมาชิกสำนักอัศวิน ทว่าน่าจะมาจากศูนย์ใหญ่มณฑลชางหนาน ราชทูตถึงได้ลงมานำกำลังคนขนาดนี้ด้วยตนเอง

เว่ยโฉวหันไปถามหลินมู่อวี่ว่าควรเคลื่อนไหวหรือไม่

หลินมู่อวี่ปล่อยพลังสีทองออกมาจากฝ่ามือ วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏออก หลินมู่อวี่พลันตะโกนขึ้น “องครักษ์อวี้หลินปิดตา!”

“วิ้ง!”

น้ำเต้าทองลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนหลินมู่อวี่จะใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์พิเศษ รุ่งอรุณ!

แสงสุกสกาวเจิดจ้าจนท้องฟ้าสว่างไสวราวกับเป็นกลางวัน ระเบิดแสงอันรุนแรงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันท่ามกลางความมืดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนไหว กองกำลังที่ไม่ได้ปิดตาพากันแตกตื่นทันใด

“อะไรกัน!”

เถาวัลย์น้ำเต้าพุ่งเข้ามัดราชทูตและม้าไว้ หลินมู่อวี่ปล่อยมีดเสียงปีศาจเคลือบปราณยุทธ์ เมื่อแสงสีทองสว่างวาบมีดคมก็ล่องหนหายไป ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ก็ตะโกนขึ้น “เปิดตาแล้วโจมตีได้!”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+