The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 234 แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 234 แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตำหนักเจ๋อเทียนปกคลุมไปด้วยควันสีม่วงจากกำยานส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

มีองครักษ์มังกรอารักขาทั้งสองด้านรวมถึงฉินเหลย เนื่องจากฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้บัญชาการองครักษ์มังกรลาพักจากอาการบาดเจ็บ หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงเดินเข้าไปในโถงหลัก ขณะเดียวกันฉินจิ้นสวมเสื้อคลุมเดินเข้ามาด้วยคิ้วขมวดแน่น ก่อนเอ่ยถาม “อาอวี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกซุ่มโจมตี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินมู่อวี่ประสานมือกล่าว “กระหม่อมมิเป็นไร “ทว่าสูญเสียเหล่าพี่น้ององครักษ์อวี้หลินจำนวนยี่สิบนายพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นถอนหายใจโล่งอก “ดีแล้วที่เจ้าปลอดภัย ข้าไม่สามารถปล่อยให้แม่ทัพทั้งสองแห่งแม่ทัพวาโย พิรุณ อสนี และอรุณบาดเจ็บพร้อมกัน มิเช่นนั้น…คนทั้งแผ่นดินคงหัวเราะเยาะข้า”

เฟิงจี้สิงพลันกล่าว “ฝ่าบาท คงต้องจัดการเรื่องการซุ่มโจมตีของสำนักอัศวินโดยเร็ว จักรวรรดิมิควรอดทนกับสำนักอัศวินอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นเผยความโกรธเกรี้ยว “ข้าทราบดี และได้ออกราชโองการแก่ผู้ว่าการมณฑลแล้ว ทว่ายังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้…เจ้าพวกงี่เง่านั่นรับเบี้ยเลี้ยงโดยมิทำงาน พวกมันเพียงโยนความผิดให้นายพลที่ป่วย หรือไม่ก็ส่งทหารออกไปโดยมิได้ทำศึก ข้าไม่ทราบเลยว่าเจ้าขยะพวกนี้มีประโยชน์อะไร!”

“นั่น…”

หลินมู่อวี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ฝ่าบาท แท้จริงแล้วเสนาบดีหลายคนในมณฑลต่างก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทหารระดับสูงของสำนักอัศวิน หรืออาจะทำงานร่วมกัน หากท่านปราบปรามสำนักอัศวิน ก็อาจจะขัดกับผลประโยชน์กับคนเหล่านั้นได้ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ร่วมมือจัดการสำนักอัศวิน”

“อาอวี่ เราควรจัดการสำนักอัศวินอย่างไร?” ฉินจิ้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

หลินมู่อวี่ประสานมือกล่าว “ควรส่งแม่ทัพไปรวบรวมกำลังพลก่อน หากแม่ทัพท้องถิ่นไม่เต็มใจจะส่งกองทัพเข้าร่วม เช่นนั้นคงต้องส่งแม่ทัพจากเมืองหลันเยี่ยนเข้าไปเจรจา”

ฉินจิ้นเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “นั่น…เป็นความคิดไม่เลวเลย ทว่าเมืองหลวงมิได้มีแม่ทัพมากมายถึงเพียงนั้น อาอวี่เจ้าเป็นหนึ่งในแม่ทัพทั้งหมด ส่วนแม่ทัพฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่เฟิงจี้สิงต้องคอยปกป้องเมืองหลวง และฉินเหลยก็ต้องปกป้องตำหนักเจ๋อเทียน คนที่พอใช้ได้…ก็คงมีอวี่เหวินเหลี่ยนและหลิงเฟิงเท่านั้น?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แท้จริงแล้ว…จางเหว่ย หลัวเลี่ยและองครักษ์นายอื่นๆ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเฟิงจี้สิงก็ถือว่าเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่ง ฝ่าบาททรงวางพระทัยให้พวกเขาทำงานสำคัญได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นเผยยิ้ม “ผู้บัญชาการเฟิง หลัวเลี่ยและจางเหว่ยไว้ใจได้เช่นอาอวี่กล่าวหรือไม่?”

เฟิงจี้สิงประสานมือกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ คราที่กระหม่อมมิสามารถนำทัพ จางเหว่ยและหลัวเลี่ยสามารถออกคำสั่งโจมตีศัตรูได้เป็นอย่างดี”

“ดี!”

ฉินจิ้นตบพนักแขน “เช่นนั้นส่งราชโองการไป หลัวเลี่ยแหละจางเหว่ยจะได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพฝ่าย พวกเขาจักนำทหารอวี้หลินห้าพันนายโจมตีสำนักอัศวินทั้งหมดในรัศมีห้าร้อยไมล์จากเมืองหลันเยี่ยน!”

เฟิงจี้สิงกล่าว “ฝ่าบาท การกำจัดสำนักอัศวินในมณฑลหลิงเป่ยนั้นไม่เพียงพอ เราควรส่งกองกำลังไปมณฑลตี่ฉิง มณฑลชางหนาน มณฑลชีไห่ และมณฑลเทียนชู่ด้วย เราจำเป็นต้องกำจัดสำนักอัศวินบริเวณทางเหนือของเทือกเขาฉินทั้งหมดโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ!”

“อืม”

ฉินจิ้นหรี่ตาลง “อาอวี่ เจ้าเป็นผู้บัญชาการรังอินทรี และขณะนี้เป็นฤดูหนาวจึงมีภารกิจน้อย เจ้ายินดีที่จะไปปราบปรามกบฏในมณฑลชางหนานเพื่อเสด็จพ่อหรือไม่?”

“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่โค้งคำนับ เขามิกล้าก้าวข้ามขอบเขตที่จะเรียกฉินจิ้นว่าเสด็จพ่อ แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่ฉินจิ้นต้องการ หลินมู่อวี่รู้สถานะตัวเองดี ดังนั้นจึงถอยออกมาอย่างชาญฉลาด

ฉินเหลยด้านข้างพลันกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท รังอินทรีมีทหารไม่ถึงสามพันนาย ส่วนมณฑลชางหนานมีทหารอย่างน้อยสามหมื่นนาย กระหม่อมเกรงว่ากองกำลังเล็กน้อยเช่นนี้จะไม่สามารถปราบปรามพวกกบฏได้!”

“แน่นอนข้าทราบเรื่องนั้น”

ฉินจิ้นลูบเคราพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีทหารอวี้หลินเหลือเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น และไม่สามารถส่งไปได้ ทว่ายังมีอีกสองกองทัพรอบเมืองหลันเยี่ยน กองทัพแรกคือกองทัพทะลวงนภาซึ่งมีทหารเก้าหมื่นนาย และอีกหนึ่งคือกองทัพมังกรจุติซึ่งคอยปกป้องสุสานราชวงศ์ เฟิงจี้สิงและฉินเหลย พวกเจ้าคิดว่าควรยกกองทัพไหนให้อาอวี่?”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดก่อนจะตอบ “แม้ว่ากองทัพทะลวงนภาจะมีทหารเก้าหมื่นนาย ทว่าพวกเขามีหน้าที่ป้องกันป้อมปราการเขตชายแดนมณฑลชีไห่…ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะที่จะส่งพวกเขาไปรบ ฝ่าบาททรงทราบดีว่าชางหลานกงมีกองกำลังกว่าสองแสนนายในเมืองชีไห่ หากเรานำกองทัพทะลวงนภาไป…กองทหารของชางหลานกงอาจบุกเมืองหลันเยี่ยนผ่านชายแดน…”

ฉินจิ้นหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวว่า “เรื่องนี้…ข้าทราบดี ทว่าชางหลานกงนั้นภักดีและอุทิศตน เขาคงไม่คิดก่อกบฏ อีกทั้งเสี่ยวซีอยู่ในเมืองหลันเยี่ยนมิใช่หรือ?”

“เสี่ยวซีนั้น…”

เฟิงจี้สิงหยุดพูด ก่อนจะรีบประสานมือกล่าว “กระหม่อมเพียงให้คำแนะนำ สำหรับเรื่องการตัดสินพระทัยคงต้องขึ้นอยู่กับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ฉินเหลย เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ฉินจิ้นหันมองฉินเหลย

ฉินเหลยไม่ลังเลและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แม้เสี่ยวซีจะเข้าออกเมืองหลันเยี่ยนอย่างอิสระ ท่านถังหลานก็ปล่อยให้เสี่ยวซีอยู่ในเมืองหลันเยี่ยนมาตลอดหลายปีเพื่อแสดงความภักดีต่อฝ่าบาท การที่ปล่อยให้หลานรักมาเช่นนี้ก็เป็นการอธิบายทุกสิ่ง ส่วนกองทัพมังกรจุตินั้นปกป้องสุสานเพียงในนาม ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทำงานร่วมกับทหารอวี้หลินปกป้องเมืองหลวง ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าเราไม่สามารถส่งกองทัพมังกรจุติไปรบได้ กระนั้นเราสามารถแบ่งทหารบางส่วนของกองทัพทะลวงนภาให้หลินมู่อวี่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นยิ้มพึงพอใจ “อืม นี่ฟังดูดี เมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าจะรีบมอบราชโองการแก่อาอวี่เพื่อนำไปชายแดนมณฑลชีไห่เพื่อขอทหารฝีมือดีสองหมื่นนายจากแม่ทัพตู้ไห่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปมณฑลชางหนานและกำจัดสำนักอัศวินที่นั่นภายในหนึ่งเดือน อาอวี่ เจ้าทำได้หรือไม่?”

หลินมู่อวี่แอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตำแหน่งของถังเสี่ยวซีในเมืองหลันเยี่ยนมิได้พิเศษอย่างที่คิด “กระหม่อมมิสามารถรับรองว่าจะทำได้หรือไม่ แต่จะพยายามให้ดีที่สุด กระหม่อมได้ใช้เวลาในสำนักอัศวินมาระยะหนึ่ง และได้เห็นความโหดเหี้ยมของพวกเขา เช่นนั้นฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดสำนักอัศวิน!”

ฉินจิ้นอดไม่ที่จะหัวเราะ “คำพูดอาอวี่ทำให้ข้าพอใจอย่างยิ่ง ดี! เช่นนั้นข้าจักได้เขียนราชโองการแห่งจักรวรรดิและเตรียมเหรียญไว้ให้! อีกทั้งอาอวี่จะได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้เพื่อให้เจ้ามีอำนาจสั่งการกองทหารสองหมื่นนาย”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

หลินมู่อวี่ประสานมือพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้…ตำแหน่งนั้นสูงเพียงใด?”

เฟิงจี้สิงหัวเราะเบาๆ “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้อันดับสูงกว่าแม่ทัพพเนจรซึ่งมีอำนาจระดับผู้บัญชาการกองหมื่น ในระยะสั้นเจ้าสามารถควบคุมทหารสองหมื่นนายหลังจากได้รับการเลื่อนยศเป็นแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ มิเช่นนั้นหากทหารใต้บังคับบัญชามียศสูงกว่า แล้วเจ้าจะสั่งการพวกเขาอย่างไร?”

หลินมู่อวี่ยิ้มรับ “ข้าเข้าใจแล้ว”

ไม่นานพระราชโองการก็ถูกเขียนขึ้น ฉินจิ้นมีลายมือที่สวยงามราวกับมังกรและหงส์ไฟเต้นระบำ ดังนั้นทุกคนจึงจำลายมือฉินจิ้นได้แม้จะไม่มีตราประทับราชวงศ์ ทว่าการมีตราประทับก็สามารถโน้มน้าวใจคนได้มากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันเสนาบดีท่านหนึ่งก็เดินมาพร้อมตราและเหรียญประจำแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ ฉินจิ้นเดินไปรับและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้หลินมู่อวี่ เข้ามาสิ แล้วรับนี่ไป!”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

หลินมู่อวี่โค้งคำนับพร้อมประสานมือก่อนจะยื่นมือออกไปรับ มันเป็นของที่มีน้ำหนัก นอกจากตราแม่ทัพสีแดงเลือด ก็มีเหรียญแม่ทัพสีทอง ซึ่งทั้งสองมีตัวอักษร ‘องครักษ์ทิศใต้’ ตราแม่ทัพมีน้ำหนักเกินกว่าจะนำติดตัว ทว่าเหรียญแม่ทัพสามารถใช้พิสูจน์ตัวตนและสถานะของหลินมู่อวี่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะมีความสุข ยศแม่ทัพมังกรพเนจรไม่สูงนักซึ่งไม่มีแม้แต่ตราประจำตำแหน่ง ทว่าตอนนี้เขาเริ่มมียศมากยิ่งขึ้นแล้ว

ฉินเหลยด้านข้างเผยยิ้มจางๆ “ขอแสดงความยินดีกับอาอวี่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการกองหมื่น!”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ขอบคุณผู้บัญชาการฉินเหลย”

ฉินจิ้นวางมือบนไหล่หลินมู่อวี่และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาอวี่ลูก…ไม่ว่าศึกครานี้จะไปในทิศทางใด เจ้าก็เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ การเดินทางไปยังมณฑลชางหนานจะช่วยให้เจ้าได้ฝึกฝนการต่อสู้ ไปเถิด แล้วระวังตัวด้วย พ่อและน้องสาวตัวน้อยของเจ้าจะรอเจ้ากลับมา”

ฉินจิ้นเป็นจักรพรรดิ แต่ก็เป็นเสมือนพ่อที่ส่งลูกชายออกไปรบ แม้แต่หลินมู่อวี่ก็เห็นภาพซ้อนทับของหลินซุ่นพ่อของเขาบนตัวฉินจิ้นชั่วขณะ ทั้งสองต่างก็ชราและอ่อนแอ ทว่าก็อ่อนโยนเหมือนกัน

“ขอรับเสด็จพ่อ” หลินมู่อวี่ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

ฉินจิ้นตกตะลึง มือที่กำหมัดแน่นค่อยๆ คลายออก “ไปเถิด แล้วพ่อจะเตรียมจัดงานเฉลิมฉลองเมื่อเจ้ากลับมาตำหนักเจ๋อเทียน”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่เก็บตราและเหรียญไว้ที่อกเสื้อ ก่อนจะควบม้าออกจากตำหนักเจ๋อเทียน เฟิงจี้สิงและฉินเหลยออกมาส่งเขานอกตำหนักบริเวณที่เว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางรออยู่ จากนั้นหลินมู่อวี่ก็นำกองทหารของตนกลับรังอินทรี

หลินมู่อวี่ไม่รู้ว่าการเดินทางครานี้จะใช้เวลามากเพียงใด

ภายในใจหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่สามารถจัดการได้ เขาจึงไปหาฉู่เหยา หลังทานอาหารเสร็จก็ตามหาเสี่ยวซีที่จวนเจ้าเมืองชีไห่เพื่อบอกกล่าว แม้ว่าฉู่เหยาและถังเสี่ยวซีจะไม่อยากให้เขาไป ทว่าสถานะปัจจุบันของหลินมู่อวี่นั้นแตกต่างจากอดีต ในฐานะแม่ทัพระดับสูงของจักรวรรดิ หลินมู่อวี่ไม่มีทางเลือกมากนัก

ชีวิตเป็นดั่งคลื่นสูงที่ถาโถมหลินมู่อวี่จนถูกพัดออกไปไกล เห็นได้ชัดว่าเขาจำเป็นต้องเติบโตและสั่งสมประสบการณ์ หากแข็งแกร่งไม่มากพอ…เพียงคลื่นลูกเล็กก็อาจจะทำให้เขาตายได้ ความบาดหมางระหว่างหลินมู่อวี่และจวนเสินโหวได้อธิบายทุกสิ่ง อาอวี่จำเป็นต้องสร้างกองทัพและเพิ่มอำนาจทางการทหาร มิฉะนั้นทุกอย่างคงสูญเปล่า!

หลินมู่อวี่ช่วยถังเสี่ยวซีสกัดโอสถในค่ำคืนนั้น ทว่าไม่มีเวลามากพอที่จะดูว่านางฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีสำเร็จแล้วหรือไม่ เช้าวันรุ่งขึ้นหลินมู่อวี่นำเว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางพร้อมองครักษ์อวี้หลินหกสิบนายออกจากรังอินทรี เขามิได้นำกองทหารมาด้วยมากนัก แต่นำองครักษ์อินทรีมาทั้งหมด เนื่องจากหลินมู่อวี่ต้องการองครักษ์เหล่านี้ปกป้องตัวเขาในยามจำเป็น

อีกทั้งการนำกองทัพเข้าสู่มณฑลชางหนานเพื่อปราบปรามกบฏจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่?

บางทีอาจจะไม่

ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างผู้หนึ่งขึ้นในจิตใจหลินมู่อวี่…หลงเซียนหลิน บุคคลผู้มีอำนาจทางการทหารสูงสุดในมณฑลชางหนานซึ่งคงทำให้การเดินทางครานี้ไม่ราบรื่นนัก ท้ายที่สุดแล้วระหว่างมณฑลชางหนาน เมืองห้าหุบเขา และสำนักอัศวิน ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 234 แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 234 แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตำหนักเจ๋อเทียนปกคลุมไปด้วยควันสีม่วงจากกำยานส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

มีองครักษ์มังกรอารักขาทั้งสองด้านรวมถึงฉินเหลย เนื่องจากฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้บัญชาการองครักษ์มังกรลาพักจากอาการบาดเจ็บ หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงเดินเข้าไปในโถงหลัก ขณะเดียวกันฉินจิ้นสวมเสื้อคลุมเดินเข้ามาด้วยคิ้วขมวดแน่น ก่อนเอ่ยถาม “อาอวี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกซุ่มโจมตี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินมู่อวี่ประสานมือกล่าว “กระหม่อมมิเป็นไร “ทว่าสูญเสียเหล่าพี่น้ององครักษ์อวี้หลินจำนวนยี่สิบนายพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นถอนหายใจโล่งอก “ดีแล้วที่เจ้าปลอดภัย ข้าไม่สามารถปล่อยให้แม่ทัพทั้งสองแห่งแม่ทัพวาโย พิรุณ อสนี และอรุณบาดเจ็บพร้อมกัน มิเช่นนั้น…คนทั้งแผ่นดินคงหัวเราะเยาะข้า”

เฟิงจี้สิงพลันกล่าว “ฝ่าบาท คงต้องจัดการเรื่องการซุ่มโจมตีของสำนักอัศวินโดยเร็ว จักรวรรดิมิควรอดทนกับสำนักอัศวินอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นเผยความโกรธเกรี้ยว “ข้าทราบดี และได้ออกราชโองการแก่ผู้ว่าการมณฑลแล้ว ทว่ายังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้…เจ้าพวกงี่เง่านั่นรับเบี้ยเลี้ยงโดยมิทำงาน พวกมันเพียงโยนความผิดให้นายพลที่ป่วย หรือไม่ก็ส่งทหารออกไปโดยมิได้ทำศึก ข้าไม่ทราบเลยว่าเจ้าขยะพวกนี้มีประโยชน์อะไร!”

“นั่น…”

หลินมู่อวี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ฝ่าบาท แท้จริงแล้วเสนาบดีหลายคนในมณฑลต่างก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทหารระดับสูงของสำนักอัศวิน หรืออาจะทำงานร่วมกัน หากท่านปราบปรามสำนักอัศวิน ก็อาจจะขัดกับผลประโยชน์กับคนเหล่านั้นได้ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ร่วมมือจัดการสำนักอัศวิน”

“อาอวี่ เราควรจัดการสำนักอัศวินอย่างไร?” ฉินจิ้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

หลินมู่อวี่ประสานมือกล่าว “ควรส่งแม่ทัพไปรวบรวมกำลังพลก่อน หากแม่ทัพท้องถิ่นไม่เต็มใจจะส่งกองทัพเข้าร่วม เช่นนั้นคงต้องส่งแม่ทัพจากเมืองหลันเยี่ยนเข้าไปเจรจา”

ฉินจิ้นเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “นั่น…เป็นความคิดไม่เลวเลย ทว่าเมืองหลวงมิได้มีแม่ทัพมากมายถึงเพียงนั้น อาอวี่เจ้าเป็นหนึ่งในแม่ทัพทั้งหมด ส่วนแม่ทัพฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่เฟิงจี้สิงต้องคอยปกป้องเมืองหลวง และฉินเหลยก็ต้องปกป้องตำหนักเจ๋อเทียน คนที่พอใช้ได้…ก็คงมีอวี่เหวินเหลี่ยนและหลิงเฟิงเท่านั้น?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แท้จริงแล้ว…จางเหว่ย หลัวเลี่ยและองครักษ์นายอื่นๆ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเฟิงจี้สิงก็ถือว่าเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่ง ฝ่าบาททรงวางพระทัยให้พวกเขาทำงานสำคัญได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นเผยยิ้ม “ผู้บัญชาการเฟิง หลัวเลี่ยและจางเหว่ยไว้ใจได้เช่นอาอวี่กล่าวหรือไม่?”

เฟิงจี้สิงประสานมือกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ คราที่กระหม่อมมิสามารถนำทัพ จางเหว่ยและหลัวเลี่ยสามารถออกคำสั่งโจมตีศัตรูได้เป็นอย่างดี”

“ดี!”

ฉินจิ้นตบพนักแขน “เช่นนั้นส่งราชโองการไป หลัวเลี่ยแหละจางเหว่ยจะได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพฝ่าย พวกเขาจักนำทหารอวี้หลินห้าพันนายโจมตีสำนักอัศวินทั้งหมดในรัศมีห้าร้อยไมล์จากเมืองหลันเยี่ยน!”

เฟิงจี้สิงกล่าว “ฝ่าบาท การกำจัดสำนักอัศวินในมณฑลหลิงเป่ยนั้นไม่เพียงพอ เราควรส่งกองกำลังไปมณฑลตี่ฉิง มณฑลชางหนาน มณฑลชีไห่ และมณฑลเทียนชู่ด้วย เราจำเป็นต้องกำจัดสำนักอัศวินบริเวณทางเหนือของเทือกเขาฉินทั้งหมดโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ!”

“อืม”

ฉินจิ้นหรี่ตาลง “อาอวี่ เจ้าเป็นผู้บัญชาการรังอินทรี และขณะนี้เป็นฤดูหนาวจึงมีภารกิจน้อย เจ้ายินดีที่จะไปปราบปรามกบฏในมณฑลชางหนานเพื่อเสด็จพ่อหรือไม่?”

“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่โค้งคำนับ เขามิกล้าก้าวข้ามขอบเขตที่จะเรียกฉินจิ้นว่าเสด็จพ่อ แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่ฉินจิ้นต้องการ หลินมู่อวี่รู้สถานะตัวเองดี ดังนั้นจึงถอยออกมาอย่างชาญฉลาด

ฉินเหลยด้านข้างพลันกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท รังอินทรีมีทหารไม่ถึงสามพันนาย ส่วนมณฑลชางหนานมีทหารอย่างน้อยสามหมื่นนาย กระหม่อมเกรงว่ากองกำลังเล็กน้อยเช่นนี้จะไม่สามารถปราบปรามพวกกบฏได้!”

“แน่นอนข้าทราบเรื่องนั้น”

ฉินจิ้นลูบเคราพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีทหารอวี้หลินเหลือเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น และไม่สามารถส่งไปได้ ทว่ายังมีอีกสองกองทัพรอบเมืองหลันเยี่ยน กองทัพแรกคือกองทัพทะลวงนภาซึ่งมีทหารเก้าหมื่นนาย และอีกหนึ่งคือกองทัพมังกรจุติซึ่งคอยปกป้องสุสานราชวงศ์ เฟิงจี้สิงและฉินเหลย พวกเจ้าคิดว่าควรยกกองทัพไหนให้อาอวี่?”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดก่อนจะตอบ “แม้ว่ากองทัพทะลวงนภาจะมีทหารเก้าหมื่นนาย ทว่าพวกเขามีหน้าที่ป้องกันป้อมปราการเขตชายแดนมณฑลชีไห่…ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะที่จะส่งพวกเขาไปรบ ฝ่าบาททรงทราบดีว่าชางหลานกงมีกองกำลังกว่าสองแสนนายในเมืองชีไห่ หากเรานำกองทัพทะลวงนภาไป…กองทหารของชางหลานกงอาจบุกเมืองหลันเยี่ยนผ่านชายแดน…”

ฉินจิ้นหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวว่า “เรื่องนี้…ข้าทราบดี ทว่าชางหลานกงนั้นภักดีและอุทิศตน เขาคงไม่คิดก่อกบฏ อีกทั้งเสี่ยวซีอยู่ในเมืองหลันเยี่ยนมิใช่หรือ?”

“เสี่ยวซีนั้น…”

เฟิงจี้สิงหยุดพูด ก่อนจะรีบประสานมือกล่าว “กระหม่อมเพียงให้คำแนะนำ สำหรับเรื่องการตัดสินพระทัยคงต้องขึ้นอยู่กับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ฉินเหลย เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ฉินจิ้นหันมองฉินเหลย

ฉินเหลยไม่ลังเลและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แม้เสี่ยวซีจะเข้าออกเมืองหลันเยี่ยนอย่างอิสระ ท่านถังหลานก็ปล่อยให้เสี่ยวซีอยู่ในเมืองหลันเยี่ยนมาตลอดหลายปีเพื่อแสดงความภักดีต่อฝ่าบาท การที่ปล่อยให้หลานรักมาเช่นนี้ก็เป็นการอธิบายทุกสิ่ง ส่วนกองทัพมังกรจุตินั้นปกป้องสุสานเพียงในนาม ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทำงานร่วมกับทหารอวี้หลินปกป้องเมืองหลวง ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าเราไม่สามารถส่งกองทัพมังกรจุติไปรบได้ กระนั้นเราสามารถแบ่งทหารบางส่วนของกองทัพทะลวงนภาให้หลินมู่อวี่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินจิ้นยิ้มพึงพอใจ “อืม นี่ฟังดูดี เมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าจะรีบมอบราชโองการแก่อาอวี่เพื่อนำไปชายแดนมณฑลชีไห่เพื่อขอทหารฝีมือดีสองหมื่นนายจากแม่ทัพตู้ไห่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปมณฑลชางหนานและกำจัดสำนักอัศวินที่นั่นภายในหนึ่งเดือน อาอวี่ เจ้าทำได้หรือไม่?”

หลินมู่อวี่แอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตำแหน่งของถังเสี่ยวซีในเมืองหลันเยี่ยนมิได้พิเศษอย่างที่คิด “กระหม่อมมิสามารถรับรองว่าจะทำได้หรือไม่ แต่จะพยายามให้ดีที่สุด กระหม่อมได้ใช้เวลาในสำนักอัศวินมาระยะหนึ่ง และได้เห็นความโหดเหี้ยมของพวกเขา เช่นนั้นฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดสำนักอัศวิน!”

ฉินจิ้นอดไม่ที่จะหัวเราะ “คำพูดอาอวี่ทำให้ข้าพอใจอย่างยิ่ง ดี! เช่นนั้นข้าจักได้เขียนราชโองการแห่งจักรวรรดิและเตรียมเหรียญไว้ให้! อีกทั้งอาอวี่จะได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้เพื่อให้เจ้ามีอำนาจสั่งการกองทหารสองหมื่นนาย”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

หลินมู่อวี่ประสานมือพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้…ตำแหน่งนั้นสูงเพียงใด?”

เฟิงจี้สิงหัวเราะเบาๆ “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้อันดับสูงกว่าแม่ทัพพเนจรซึ่งมีอำนาจระดับผู้บัญชาการกองหมื่น ในระยะสั้นเจ้าสามารถควบคุมทหารสองหมื่นนายหลังจากได้รับการเลื่อนยศเป็นแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ มิเช่นนั้นหากทหารใต้บังคับบัญชามียศสูงกว่า แล้วเจ้าจะสั่งการพวกเขาอย่างไร?”

หลินมู่อวี่ยิ้มรับ “ข้าเข้าใจแล้ว”

ไม่นานพระราชโองการก็ถูกเขียนขึ้น ฉินจิ้นมีลายมือที่สวยงามราวกับมังกรและหงส์ไฟเต้นระบำ ดังนั้นทุกคนจึงจำลายมือฉินจิ้นได้แม้จะไม่มีตราประทับราชวงศ์ ทว่าการมีตราประทับก็สามารถโน้มน้าวใจคนได้มากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันเสนาบดีท่านหนึ่งก็เดินมาพร้อมตราและเหรียญประจำแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ ฉินจิ้นเดินไปรับและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้หลินมู่อวี่ เข้ามาสิ แล้วรับนี่ไป!”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

หลินมู่อวี่โค้งคำนับพร้อมประสานมือก่อนจะยื่นมือออกไปรับ มันเป็นของที่มีน้ำหนัก นอกจากตราแม่ทัพสีแดงเลือด ก็มีเหรียญแม่ทัพสีทอง ซึ่งทั้งสองมีตัวอักษร ‘องครักษ์ทิศใต้’ ตราแม่ทัพมีน้ำหนักเกินกว่าจะนำติดตัว ทว่าเหรียญแม่ทัพสามารถใช้พิสูจน์ตัวตนและสถานะของหลินมู่อวี่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะมีความสุข ยศแม่ทัพมังกรพเนจรไม่สูงนักซึ่งไม่มีแม้แต่ตราประจำตำแหน่ง ทว่าตอนนี้เขาเริ่มมียศมากยิ่งขึ้นแล้ว

ฉินเหลยด้านข้างเผยยิ้มจางๆ “ขอแสดงความยินดีกับอาอวี่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการกองหมื่น!”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ขอบคุณผู้บัญชาการฉินเหลย”

ฉินจิ้นวางมือบนไหล่หลินมู่อวี่และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาอวี่ลูก…ไม่ว่าศึกครานี้จะไปในทิศทางใด เจ้าก็เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ การเดินทางไปยังมณฑลชางหนานจะช่วยให้เจ้าได้ฝึกฝนการต่อสู้ ไปเถิด แล้วระวังตัวด้วย พ่อและน้องสาวตัวน้อยของเจ้าจะรอเจ้ากลับมา”

ฉินจิ้นเป็นจักรพรรดิ แต่ก็เป็นเสมือนพ่อที่ส่งลูกชายออกไปรบ แม้แต่หลินมู่อวี่ก็เห็นภาพซ้อนทับของหลินซุ่นพ่อของเขาบนตัวฉินจิ้นชั่วขณะ ทั้งสองต่างก็ชราและอ่อนแอ ทว่าก็อ่อนโยนเหมือนกัน

“ขอรับเสด็จพ่อ” หลินมู่อวี่ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

ฉินจิ้นตกตะลึง มือที่กำหมัดแน่นค่อยๆ คลายออก “ไปเถิด แล้วพ่อจะเตรียมจัดงานเฉลิมฉลองเมื่อเจ้ากลับมาตำหนักเจ๋อเทียน”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่เก็บตราและเหรียญไว้ที่อกเสื้อ ก่อนจะควบม้าออกจากตำหนักเจ๋อเทียน เฟิงจี้สิงและฉินเหลยออกมาส่งเขานอกตำหนักบริเวณที่เว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางรออยู่ จากนั้นหลินมู่อวี่ก็นำกองทหารของตนกลับรังอินทรี

หลินมู่อวี่ไม่รู้ว่าการเดินทางครานี้จะใช้เวลามากเพียงใด

ภายในใจหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่สามารถจัดการได้ เขาจึงไปหาฉู่เหยา หลังทานอาหารเสร็จก็ตามหาเสี่ยวซีที่จวนเจ้าเมืองชีไห่เพื่อบอกกล่าว แม้ว่าฉู่เหยาและถังเสี่ยวซีจะไม่อยากให้เขาไป ทว่าสถานะปัจจุบันของหลินมู่อวี่นั้นแตกต่างจากอดีต ในฐานะแม่ทัพระดับสูงของจักรวรรดิ หลินมู่อวี่ไม่มีทางเลือกมากนัก

ชีวิตเป็นดั่งคลื่นสูงที่ถาโถมหลินมู่อวี่จนถูกพัดออกไปไกล เห็นได้ชัดว่าเขาจำเป็นต้องเติบโตและสั่งสมประสบการณ์ หากแข็งแกร่งไม่มากพอ…เพียงคลื่นลูกเล็กก็อาจจะทำให้เขาตายได้ ความบาดหมางระหว่างหลินมู่อวี่และจวนเสินโหวได้อธิบายทุกสิ่ง อาอวี่จำเป็นต้องสร้างกองทัพและเพิ่มอำนาจทางการทหาร มิฉะนั้นทุกอย่างคงสูญเปล่า!

หลินมู่อวี่ช่วยถังเสี่ยวซีสกัดโอสถในค่ำคืนนั้น ทว่าไม่มีเวลามากพอที่จะดูว่านางฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีสำเร็จแล้วหรือไม่ เช้าวันรุ่งขึ้นหลินมู่อวี่นำเว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางพร้อมองครักษ์อวี้หลินหกสิบนายออกจากรังอินทรี เขามิได้นำกองทหารมาด้วยมากนัก แต่นำองครักษ์อินทรีมาทั้งหมด เนื่องจากหลินมู่อวี่ต้องการองครักษ์เหล่านี้ปกป้องตัวเขาในยามจำเป็น

อีกทั้งการนำกองทัพเข้าสู่มณฑลชางหนานเพื่อปราบปรามกบฏจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่?

บางทีอาจจะไม่

ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างผู้หนึ่งขึ้นในจิตใจหลินมู่อวี่…หลงเซียนหลิน บุคคลผู้มีอำนาจทางการทหารสูงสุดในมณฑลชางหนานซึ่งคงทำให้การเดินทางครานี้ไม่ราบรื่นนัก ท้ายที่สุดแล้วระหว่างมณฑลชางหนาน เมืองห้าหุบเขา และสำนักอัศวิน ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+