The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 61 ดอกหงอนไก่พิษ

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 61 ดอกหงอนไก่พิษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

EP.61  ดอกหงอนไก่พิษ

หนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ นึกไม่ถึงว่ากลับต้องมาเสียท่า ตกอยู่ในเงื้อมมือของเด็กสองคน สำหรับกวานหยางแล้วนี่เป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิต

ปลายดาบเป็นประกาย เปลวไฟร้อนแรงพุ่งใส่หลินมู่อวี่

เจ้าเด็กนี่เดิมทีก็ไม่ต่อสู้แบบซึ่งหน้าอยู่แล้ว หลินมู่อวี่กระโดดหลบราวกับกระต่าย หนีออกจากระยะโจมตี

“ ไป!”

หลินมู่อวี่โอบเอวฉู่เหยา แล้วใช้พลังฝีเท้าดาวตก วิ่งหายลับไปกับตา

“ อย่าหนีนะ ไอ้เด็กชั่วช้าไร้ยางอาย!”

กวานหยางเดือดดาล เคลื่อนพลังปราณ จับดาบยาวแล้วรีบไล่ตาม เพียงแต่เขาไม่รู้ตัวว่าบริเวณบาดแผลของตัวเองที่ถูกหนามของเถาวัลย์น้ำเต้าแทงนั้น ปราณกำลังรั่วไหลออกมาไม่หยุด

หลินมู่อวี่วิ่งไปจนเกือบยี่สิบลี้ ในที่สุดก็หยุดวิ่ง และวางฉู่เหยาที่อุ้มอยู่ลง เขาหันไปมองกวานหยางที่หอบหายใจ ค่อยๆ ชักกระบี่เหล็กออกมา

“ วิ่งจนเหนื่อยแล้วสินะ” กวานหยางหัวเราะเยาะ พร้อมชูดาบยาวขึ้น “ในเมื่อวิ่งเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นก็ยอมรับความตายเสียเถิด!”

หลินมู่อวี่ยิ้ม ยิ้มอย่างสดใสเป็นที่สุด

“ ซ่าๆ …”

เท้าเหยียบบนพื้นหญ้าแล้วพุ่งตัวออกไป หลินมู่อวี่เคลื่อนปราณทั่วร่างให้ไปสะสมอยู่ที่กระบี่ เกิดสายฟ้าวูบวาบแปลบปลาบ นี่คือท่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา สุดยอดวิชาที่ชวีฉู่ถ่ายทอดให้ พิฆาตอสนีบาต!

“ เปรี้ยง!”

คมกระบี่พุ่งแสงอสนีบาตออกมา สองแขนของกวานหยางเปลี้ยชา สองมือไม่มีแรง ดาบยาวหลุดออกจากมือ เขาตกตะลึง สถานการณ์พลิกผันกลับตาลปัตร ปราณของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งเหนือขั้นกว่าเขาเสียอีก

“ เป็นไปได้ยังไง” กวานหยางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หลินมู่อวี่หัวเราะอย่างเย็นชา วาดมือซ้ายกลางอากาศ ท่ามกลางเสียงหวีดแหลมนั้น มีดเสียงปีศาจก็พุ่งเข้าใส่กวานหยาง

กวานหยางรีบโน้มตัวไปหยิบดาบยาว แล้วยกดาบขึ้น หันกลับมาป้องกัน

เกิดประกายไฟขึ้น การโจมตีของมีดเสียงปีศาจถูกสกัดเอาไว้ได้

หลินมู่อวี่ยกหมัดซ้ายขึ้นด้วยความเร็ว “เปรี้ยง เปรี้ยง” หมัดเสียงปีศาจโจมตีดังขึ้นกลางอากาศสองครั้ง การโจมตีครั้งแรกบีบบังคับให้กวานหยางต้องเค้นปราณออกมาปกป้องร่างกาย มิเช่นนั้นแล้วหมัดเสียงปีศาจจะพุ่งเข้าทำลายอวัยวะภายในของเขา การโจมตีครั้งที่เป้าหมายอยู่ที่มีดเสียงปีศาจที่หมุนอยู่กลางอากาศ

“ ฉัวะ!”

มีดเสียงปีศาจราวกับยมทูตบนท้องฟ้ายามราตรี เพียงชั่วพริบตา ก็เฉือนเข้าที่คอของกวานหยาง เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากเส้นเลือดแดง เขารีบยกมือขึ้นมาปิดป้อง แต่ไหนเลยจะปิดป้องไว้ได้ ในตอนที่สติของเขากำลังจะดับวูบลงนั้น หลินมู่อวี่เอ่ยขึ้นเบาๆ “ฮว๋าเทียนก็ตายเช่นนี้”

กวานหยางใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น ล้มตัวลงไปอย่างช้าๆ แล้วยอดฝีมือแถวหน้าก็ตายลงด้วยมีดเสียงปีศาจเช่นนี้

หลินมู่อวี่รับมีดเสียงปีศาจ แยกมันกลับเป็นมีดบินสี่เล่ม แล้วซ่อนเก็บไว้ที่เอว เขาเดินเข้าไปเปิดถุงย่ามเดินทางของกวานหยาง พบเหรียญทองสิบกว่าเหรียญ และยังมีตั๋วเงินอีกสองใบ แบ่งเป็นตั๋วหนึ่งร้อยเหรียญทองกับตั๋วหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญทอง คิดไม่ถึงว่าหนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์นั้นจะยากจนเช่นนี้  

ฉู่เหยามองร่างของกวานหยางที่พื้น แล้วเอ่ยขึ้น “เพื่อเงินแล้ว แม้แต่ชีวิตก็ไม่สนใจ แบบนี้มันคุ้มแล้วหรือ”

หลินมู่อวี่ยิ้มน้อยๆ “นั่นเพราะพวกเราเป็นฝ่ายชนะ มิเช่นนั้น มันก็จะหิ้วหัวของพวกเราไปรับเงินรางวัลหนึ่งแสนเหรียญทอง ตอนนั้นต่างหากมันถึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”

“ อือ พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

“ อืม”

แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหนไกล หลินมู่อวี่ก็หยุดเดินกะทันหัน แล้วใช้จมูกสูดดมกลิ่นฟุดฟิด เขายิ้มออกมา “พี่ฉู่เหยา ข้าพบสิ่งที่ต้องการหาแล้วล่ะ!”

“ กล้วยไม้ระทม!” ฉู่เหยาดีใจ

ทั้งสองช่วยกันเดินไปตามกลิ่น และก็พบกล้วยไม้กอหนึ่งดังคาดที่ใต้ต้นไม้เก่าแก่อายุพันปี กล้วยไม้ระทมมีพิษร้ายแรงเหมือนเห็ดลิ้นมังกร แต่แก่นโอสถของสมุนไพรสองชนิดนี้หลังจากผ่านการหลอมแล้วกลับไม่มีพิษร้ายแรงอะไร แต่เป็นโอสถพิษอ่อนๆ ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าสายลมเมามาย มันเพียงแค่ทำให้สติของคนอ่อนแรงหยุดชะงัก เคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

หลินมู่อวี่ไม่รีบร้อนที่จะหลอมยา ยังคงพาฉู่เหยาเสาะหาสมุนไพรในป่าต่อไป

ในช่วงดึกสงัด ก็พบสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งเข้า นั่นคือดอกเทพสังสรรค์ สมุนไพรระดับหก หลายวันมานี้ฉู่เหยาจดจำบันทึกในตำราเทพโอสถได้อย่างขึ้นใจ ดอกเทพสังสรรค์สามารถหลอมเป็นโอสถที่เรียกว่าผงเทพสังสรรค์ เป็นโอสถที่มีลักษณะแข็งหาได้ยาก ฉู่เหยาเข้าใจในเจตนาของหลินมู่อวี่ทันที ผงเทพสังสรรค์สามารถถอนพิษของสายลมเมามายได้ ดังนั้นจำเป็นต้องกินผงเทพสังสรรค์เสียก่อน จากนั้นถึงจะหลอมสายลมเมามายได้ มิเช่นนั้นในระหว่างหลอมโอสถ เกรงว่าผู้หลอมจะไม่สามารถทนกับพิษของมันได้ไหว

ทั้งสองพบถ้ำหนึ่งในภูเขา พวกเขานำหญ้าแห้งมาปูรองนั่ง หลินมู่อวี่แอบรู้สึกดีใจที่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง หากเข้าสู่ฤดูหนาว เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดในป่าที่รกร้างห่างไกลผู้คนแห่งนี้กับฉู่หยาต่อไปอย่างไร

ตอนกลางวันล่าหมูป่ามาได้ตัวหนึ่ง เนื้อติดมันก้อนหนึ่งถูกใส่ลงไปต้มน้ำแกงในกระทะเหล็ก ฉู่เหยารับหน้าที่ทำอาหาร หลินมู่อวี่มีหน้าที่รักษาการณ์และหลอมโอสถ นี่กลายเป็นความเข้าใจกันเองอย่างเงียบๆ ระหว่างคนทั้งสอง

ดอกเทพสังสรรค์กองหนึ่งถูกหลินมู่อวี่เปลี่ยนเป็นให้กลายเป็นแก่นโอสถอย่างช้าๆ เขาใช้น้ำแร่บนภูเขาในการหลอมโอสถ วิธีการหลอมเทพสังสรรค์นั้นง่ายมาก นั่นก็คือหมักแก่นโอสถของมันกับน้ำ แต่แก่นโอสถจะต้องมีความบริสุทธ์มาก ซึ่งไม่มีทางที่นักปรุงโอสถทั่วไปจะทำได้ แต่หลินมู่อวี่มีฝ่ามือพิสุทธิ์ ระดับความบริสุทธ์ของแก่นโอสถที่เขาสกัดนั้นอยู่ในระดับสูงสุดอยู่แล้ว ดังนั้นการปรุงผงเทพสังสรรค์สำหรับเขานั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

หลังจากปรุงผงเทพสังสรรค์ออกมาได้สองขวด เขากับฉู่เหยาก็แบ่งกันดื่มคนละขวด จากนั้นจึงเริ่มหลอมโอสถพิษ

หลินมู่อวี่ระมัดระวังเป็นอย่างมากในการสกัดแก่นโอสถ จากนั้นก็นำแก่นโอสถของสมุนไพรทั้งสองชนิดผสมกันในขวดเล็กอย่างรอบคอบ    สายลมเมามายไร้สีไร้กลิ่น อีกอย่างทั้งสองคนดื่มโอสถถอนพิษเข้าไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้สึกถึงพิษมากนัก หลินมู่อวี่หลอมสายลมเมามายได้จำนวนหนึ่งก็ยกให้ฉู่เหยาทั้งหมด พร้อมกำชับอย่างระมัดระวังว่า “ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ให้เทโอสถลงบนพื้นหนึ่งขวด โอสถถอนพิษผงเทพสังสรรค์มีฤทธิ์สี่สิบแปดชั่วโมง เราสองคนดื่มกันไปคนละขวดก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”

ฉู่เหยาทำตามอย่างเคร่งครัด โดยไม่ทันรู้ตัว ศิษย์น้องหลินมู่อวี่ผู้นี้ก็ได้กลายเป็นที่พึ่งของนางไปเสียแล้ว นางรู้ดีว่า ศิษย์น้องลึกลับผู้นี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เก็บงำเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ แต่ในเมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่คิดจะไปซักถาม

ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้น หลินมู่อวี่ตื่นแต่เช้า และพบว่าตัวเองนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ดูแล้วระดับพลังของเขาตอนนี้น่าจะอยู่ที่ระดับสามสิบเก้าแล้ว เพียงหาโอกาสก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์สงครามระดับสี่สิบ! และโอกาสที่ว่านี้ก็ง่ายดายมาก แค่ต้องหาสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอสักตัว ฆ่ามัน แล้วดูดซับวิญญาณสัตว์ก็จะสามารถช่วยเขาทะลวงระดับได้!

ป่าสัตตะดารา มีสัตว์ร้ายอยู่มากมาย ไม่ต้องสงสัยในจุดนี้เลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้จำเป็นจะต้องยืนยันเรื่องหนึ่ง นั่นคือสายลมเมามายมีผลต่อสัตว์วิญญาณหรือไม่ ในเกมผู้พิชิตที่หลินมู่อวี่เคยเล่นนั้น สายลมเมามายเป็นโอสถพิษชั้นยอด มีประสิทธิภาพต่อผู้เล่นเป็นอย่างมาก สามารถลดความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้อย่างมหาศาล ส่งผลให้ผู้อ่อนแอว่าเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้ แล้วถ้ากับสัตว์วิญญาณล่ะ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ คงต้องลองดูกันสักตั้ง!

กวานหยางที่มาสังหารครานี้แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ต่อไปจะเป็นใคร บางทีอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า หลินมู่อวี่รู้เพียงว่า ต้องพัฒนาระดับของตัวเองให้สูงขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทางพาฉู่เหยาออกจากป่าแห่งนี้ได้

“ ฟิ้ว” เพิ่งจะเดินออกมาจากถ้ำ ก็มีเสียงธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา

หลินมู่อวี่รีบใช้กระบวนท่าผีเสื้อถอยหลังหลบ ลูกธนูยิงปักเข้ากลางก้อนหิน ธนูดอกนี้ยิงมาแรงมาก เขารีบชักกระบี่เหล็กออก เอ่ยเสียงต่ำ “พี่ฉู่เหยารอข้าอยู่ที่นี่!”

แล้วเขาก็พุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย นายพรานผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่า เขาเป็นทหารรับจ้างเช่นกัน

“ ออกมา!”

หลินมู่อวี่ค่อยๆ ชูฝ่ามือขึ้น เกิดเถาวัลย์สีเขียวงอกออกมา ทหารรับจ้างผู้นี้หมดทางซ่อนตัวต่อไป ทิ้งคันธนูแล้วกระชากกระบี่ออกมาฟันเถาวัลย์น้ำเต้าที่อยู่รอบตัวอย่างสะเปะสะปะ แต่เถาวัลย์น้ำเต้ามีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หนามแหลมของมันแทงเข้าตามตัวของเขา แน่นอนว่าเขารับมือเถาวัลย์เหล่านี้ไม่ได้

“ อ้ากกกก…”

ท่ามกลางเสียงร้องที่น่าเวทนา ทหารรับจ้างเร่ร่อนที่มีความแข็งแกร่งระดับบรรพชนสงครามระดับสามสิบสองผู้นี้ รีบร้องขอชีวิตอย่างลนลาน “จอมยุทธ์หลินโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าน้อยไม่กล้าลอบโจมตีท่านอีกแล้ว ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าแค่ต้องการเงินรางวัลเท่านั้น มิได้มีเจตนาร้ายเลย!”

“ ฆ่าคนเพื่อหวังเงินรางวัล นับว่าไม่มีเจตนาร้ายงั้นหรือ”

หลินมู่อวี่ยกกระบี่ขึ้น สีหน้าเรียบเฉย เขาชี้นิ้วไปยังฉู่เหยาที่อยู่ด้านหลัง “หากข้าถูกเจ้าลอบฆ่าตาย เจ้าจะตัดหัวที่งดงามของนางหรือไม่”

“ อะ…อาจจะตัด…”

“ นี่ก็คือคำตอบที่ข้าต้องการ”

หลินมู่อวี่ยิ้มบางๆ กระบี่พุ่งออกไป เสียบตัดขั้วหัวใจของทหารรับจ้างเร่ร่อนผู้นี้ทันที

เขาไม่กล้าที่จะเมตตา หากเขาไม่ฆ่าคนผู้นี้ บางทีมันอาจจะไปเรียกทหารรับจ้างที่มากกว่าเดิมมาตามไล่ล่าตนเองก็เป็นได้ อีกอย่างทหารรับจ้างเร่ร่อนพวกนี้น้อยคนนักที่จะเป็นคนดี ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ จำต้องฆ่าพวกที่ตามไล่ล่าพวกนี้ให้หมด ทำให้คนที่ไล่ล่ามาทีหลังรู้สึกกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ดังนั้นฆ่าได้ก็ฆ่า ไม่จำเป็นต้องใจอ่อน

หลินมู่อวี่ถือกระบี่ที่เต็มไปด้วยเลือด เดินกลับไปอยู่ข้างฉู่เหยา เขายิ้มน้อยๆ “พี่ฉู่เหยา ท่านว่าข้าโหดร้ายเกินไปหรือไม่”

ฉู่เหยามองแขนที่สั่นเทิ้มเบาๆ ของเขา อดที่จะสงสารไม่ได้ นางพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไม่หรอก ข้ารู้ว่าอาอวี่ฆ่าคน ก็ล้วนเพื่อข้า”

หลินมู่อวี่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาจะเต็มใจฆ่าคนได้อย่างไรกัน ทุกครั้งที่ฆ่าหนึ่งชีวิต ความหวาดกลัวของเขาก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น ทุกครั้งที่ฆ่า ความรู้สึกผิดก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้ในความฝันก็เหมือนกับมีคนต้องการมาทวงเอาชีวิต ดังนั้นหลังจากเข้ามาในป่าสัตตะดาราแล้ว เขาแทบจะไม่เคยได้นอนหลับสนิทเลยสักครั้ง การได้นอนหลับสำหรับเขานั้นเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน ในตอนนี้เองที่เขาคิดถึงชวีฉู่ที่ไม่นอนหลับในตอนกลางคืนขึ้นมา ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีเบื้องหลังของคนทุกคนล้วนแล้วแต่มีอดีตที่ไม่ยอมเปิดเผยให้ใครได้รู้กระมัง

ทั้งสองเดินทางต่อไปยังทิศเหนือ หลังจากเดินไปได้หลายสิบลี้ ก็พลันพบกับพืชที่เน่าเปื่อย ทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบราวกับเปลี่ยนสภาพไป หลินมู่อวี่สูดดมกลิ่น แล้วเอ่ยขึ้น “ระวังด้วย ที่นี่มีบางอย่างที่มีพิษร้ายแรง”

“ จะเป็นอะไรกัน” ฉู่เหยาตกใจ

หลินมู่อวี่ยิ้มปลอบ “ไม่ต้องตระหนกไป เราดื่มผงเทพสังสรรค์เข้าไปแล้ว พิษใดๆ ก็แทบจะทำอันตรายเราไม่ได้ชั่วคราว วางใจเถอะ”

“ อือ”

ทั้งคู่เดินต่อไปข้างหน้า ทุกสิ่งโดยรอบส่วนใหญ่ล้วนเหี่ยวเฉา ถูกทำลายสิ้น พวกเขาเข้าใกล้สิ่งมีพิษนั้นขึ้นทุกที

“ ระวัง ถึงแล้ว”

หลินมู่อวี่ชี้ไปด้านหน้าไกลออกไป ที่กอสีแดงคล้ำกอหนึ่ง เขายิ้มถาม “ท่านเดาสิว่านั่นอะไร”

ฉู่เหยาอ้าปากกว้าง “มะ…ไม่รู้…”

“ ดอกหงอนไก่พิษ สัตว์วิญญาณประเภทพืช มีอายุอย่างน้อยสองพันปี!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด