The Divine Nine Dragon Cauldron 310

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 310 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนึ่งเดือนต่อมา

 

ที่รอยต่อระหว่างทวีปตอนเหนือกับตะวันออก

 

ป่าไร้ขอบเขตตั้งอยู่กลางหมู่เมฆา ขอบนภาปกคลุมทอดยาว

 

ราวกับคลื่นที่ทอดยาวบนนภา

 

ต้นไม้สูงใหญ่อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น

 

นี่คือป่าทมิฬ

 

เป็นดินแดนรกร้าง ไม่มีคนอยู่อาศัยมาหมื่นปี

 

ว่ากันว่าสัตว์อสูรมากมายอยู่ลึกภายในป่าทมิฬ ทำให้เป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับมนุษย์

 

นอกจากคนที่แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ที่จะอยู่ที่นี่ได้ มนุษย์ธรรมดาอื่นไม่เคยกลับออกมาอีกเลยเมื่อเข้ามายังป่าทมิฬ

 

ที่จุดสิ้นสุดของป่าทมิฬคือสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ ดูเหมือนกับดินแดนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันยิ่งใหญ่ตระการตา

 

หากมองลงไปก็จะพบผู้คนที่เข้าออกอยู่มากมาย

 

ฮั่วฉีหลานมองเมืองอย่างนับถือ

 

“เมืองอันยี่เต็มไปด้วยนักรบที่แข็งแกร่งและไม่ขึ้นตรงกับกุมกำลังใด เมื่อเข้าไปสถานะของพวกเราก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เจ้าต้องระวังตัว”

 

ฐานที่ตั้งของเมืองอันยี่นั้นเป็นเอกลักษณ์ไม่ต่างกันอาณาจักรทมิฬ

 

สามขุมกำลังแห่งตอนเหนือ ร้อยดินแดน คณะวิหคเพลิง และหอสดับหิมะมิอาจปกครองเมืองนี้ได้อย่างเต็มตัว

 

ดังนั้นจึงมียอดฝีมือมากมายที่ไร้พื้นเพมารวมตัวกันที่เมืองอันยี่

 

และยังมีกลุ่มคนทรยศจากขุมอำนาจพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือที่เลือกจะปิดบังตัวตนของตัวเอง

 

และก็มีคนอย่างพวกซือหยู คนที่เป็นของขุมกำลังแต่ถูกส่งมาเพื่อบ่มเพาะในป่าทมิฬ

 

ตู่หลงมองเมืองอันยี่ที่คุ้นเคยและถอนหายใจ

 

“ข้าไม่ได้กลับมาหลายสิบปีแล้ว ใครกันจะหวังให้ข้ากลับบ้านอีก?”

 

หืม? ซือหยูเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าตู่หลงจะตั้งใจกลับมาที่ตระกูลตู่ แต่ก็ยังคงกล้าๆกลัวๆ

 

หรือว่าจะเป็นเพราะเขาไม่กล้าจะกลับตระกูล?

 

ซือหยูส่ายหัวและลงไปยังทางเข้าเมือง

 

ทางเข้าเมืองนั้นมีการป้องกันอย่างหนาแน่น มีกฎที่เคร่งเครียดว่าใครเหมาะสมจะได้เข้าเมือง

 

“ต้องให้เหรียญทองพวกเขาก่อนจะเข้าไปงั้นรึ?”

 

ซือหยูถาม

 

บางเมืองจะขอเหรียญทองเพื่อตรวจสอบความร่ำรวยของคนที่จะเข้าเมือง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

ฮั่วฉีหลานชี้ทางเข้าที่มีแผ่นศิลาสูงเท่ากำแพงเมือง

 

“พวกเราไม่ต้องใช้เหรียญทอง เพียงแค่พิสูจน์พลังเท่านั้น”

 

“เมืองอันยี่มีคนหลายประเภท ถ้าเจ้าเข้าไปโดยไม่มีพลังพอ เจ้าก็อาจจะพบจุดจบอันน่าเศร้า ดังนั้นจึงมีการกำหนดขอบเขตพลังที่ขั้นต่ำเอาไว้ ใครที่มีพลังไม่ถึงขั้นต่ำจะเข้าเมืองไม่ได้ เพื่อป้องกันการถูกรังแกในเมือง”

 

“เจ้าจะเข้าเมืองได้ก็ต่อเมื่อเป็นขอบเขตมังกรขึ้นไป การทดสอบจะทำโดยการวางมือเจ้าลงบนแผ่นศิลาและรวบรวมพลังวิญญาณมาที่ฝ่ามือ แผ่นศิลาจะให้ผลลัพธ์ออกมา คนที่แผ่นศิลาให้ผ่านเท่านั้นที่จะได้เข้าเมือง”

 

ทุกคนพยักหน้าและต่อแถววัดพลัง

 

พวกเขารอนานครึ่งชั่วยามอย่างอดทนใต้แสงตะวันร้อนระอุก่อนจะถึงคราวของตัวเอง

 

“ข้าจะไปก่อน”

 

ฮั่วฉีหลานอาสา นางวางมือลงบนแผ่นศิลาและรวบรวมพลังวิญญาณออกมา

 

ซ่า—-

 

แผ่นศิลาส่งเสียงออกมาทันที

 

“มังกรระดับเจ็ดขั้นสูง ผ่าน! ไปได้!”

 

ผู้เฒ่าอำมฤตระดับหนึ่งที่อยู่ข้างแผ่นศิลาพูด

 

ฮั่วฉีหลานเข้าเมืองและรอซือหยูอยู่ข้างใน

 

“ต่อไป”

 

ผู้เฒ่าไม่หันมอง เขานั่งข้างแผ่นศิลาอย่างหยิ่งยโสเมื่อสั่ง

 

ซือหยูกำลังจะก้าวเข้าไป

 

ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดเข้ามาผลักซือหยู

 

เป็นบุรุษชุดสีมรกตอายุประมาณยี่สิบปี เขาใบหน้ารูปวามและดูอ่อนโยน

 

ฐานพลังของเขาไม่ได้อ่อนแอ เขาสำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับสาม!

 

เขาเป็นอำมฤตระดับสามตั้งแต่อายุยี่สิบปี!

 

ในด้านพรสวรรค์ เขาเหนือยิ่งกว่ารองเจ้าตำหนักอังฟางที่เป็นลำดับสี่!

 

เขาถือพัดในมือ พัดในมือแตะอกของซือหยูเบาๆและผลักร่างของเขาเพื่อเปิดทาง

 

ขณะเดียวกันเขาก็หยุดพัดไว้ที่อกซือหยู เพื่อไม่ให้ซือหยูเดินไปข้างหน้า

 

เขาไม่เคยมองซือหยูตรงๆเลยสักครั้ง เขามองด้านหลังอย่างสง่างาม

 

“ศิษย์พี่เว่ยไปก่อนเถอะ”

 

ซือหยูเลิกคิ้ว ยังไม่เป็นไรหากเขาจะแซงแถว มันเป็นเรื่องเล็กน้อย

 

แต่หยุดพัดไว้ที่อกซือหยูและจัดคิวให้คนอื่นเช่นนี้มันรับไม่ได้!

 

“ออกไป!”

 

ซือหยูใจเย็น

 

แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจเขา เขายิ้มและมองศิษย์พี่เว่ยที่ค่อยๆเดินมาทางแผ่นศิลา

 

ราวกับว่าไม่ได้ยินคนที่พูดอยู่ข้างๆ

 

ในตอนนั้นศิษย์พี่เว่ยก็เดินตามทางเข้ามา

 

เขาอายุยี่สิบปี เขาตัวสูงใหญ่ เส้นผมสีดำเรียบลื่น ใบหน้าเฉียบคม เขาดูไม่เหมือนผู้ใด

 

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือรังสีพลังที่เขาปล่อยออกมาเล็กน้อย

 

เขามีพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!

 

ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหนคนก็หันมอง เหล่าสตรีในแถวต่างตั้งใจมอง

 

เว่ยเทียนเฉินดูจะเป็นสุขกับแววตาที่จ้องมอง เขาเดินช้าๆไปยังแผ่นศิลา

 

ผู้เฒ่าที่คุ้มกันทางเข้าเลิกคิ้ว แววตาของเขาไม่เป็นมิตร แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่สองคนแผ่ออกมาเขาก็ต้องทน

 

เว่ยเทียนเฉินก้าวไปที่หน้าแผ่นศิลาและวางมือลงบนแผ่นศิลาพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณ

 

ในตอนนั้นเอง แผ่นศิลาเปล่งแสงสีแดง

 

“ขอบเขตอำมฤตๅ!”

 

“แสงสีเขียวแสดงถึงขอบเขตมังกร แสงสีแดงแสดงถึงขอบเขตอำมฤต!”

 

“พรสวรรค์น่ากลัวนัก เป้นอำมฤตตั้งแต่อายุยี่สิบเช่นนี้!”

 

ซ่า—

 

แผ่นศิลาแสดงข้อความ

 

“อะไรกัน? อำมฤตระดับสามขั้นกลาง!!”

 

เหล่าผู้คนอ้าปากค้าง!

 

ผู้เฒ่าที่นั่งด้านหน้าตัวสั่น เขาหวาดกลัวและนับถือ

 

เขายืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

“อำมฤตระดับสาม โปรดเข้าไป!”

 

น้ำเสียงของเขาแตกต่างจากตอนที่เขาทดสอบฮั่วฉีหลานอย่างมาก

 

เว่ยเทียนเฉินนั้นเป็นสุขกับความสนใจของทุกคน สีหน้าของเขาสงบสุข เขาเดินมือไพล่หลังเข้าเมือง

 

แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น

 

“เจ้าหูหนวกรึ ข้าบอกเจ้าว่าเอาแขนออกไป!”

 

ซือหยูพูดซ้ำ

 

เสียงของเขาไม่ดังนักแต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบกริบ ทุกคนได้ยินเขา!

 

เหล่าผู้คนต่างหันมองเด็กหนุ่มผมสีเงินที่สวมหน้ากาก

 

พวกเขามองไม่เห็นรูปลักษณ์แต่ผมสีเงินอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้ทุกคนสนใจ

 

แม้แต่ชายหนุ่มที่ชี้พัดใส่ซือหยูที่แสร้งไม่ได้ยินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากหันมามอง

 

เขายิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีนัก มันเป็นการยิ้มเยาะ

 

“เจ้าพูดกับข้าอยู่หรอกรึ?”

 

เขามองซือหยูและส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะ

 

“จงจำไว้เมื่อเจ้าพูดคราวหน้า เมื่อเจ้าไร้ซึ่งการถ่อมตัว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพูดด้วยพลังที่มี เช่นนั้นแล้วคนอื่นจะมาสนใจเจ้าได้”

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ซือหยูไม่มีพลังพอที่เขาจะสนใจ

 

“ข้าแค่บอกให้เจ้าเอาพัดออกไป เจ้าพล่ามไร้สาระอะไรของเจ้า?”

 

ซือหยูไม่สนใจ พลังวิญญาณในร่างสั่นไหว

 

ฟึ่บ—

 

เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาผ่านพัดไปถึงฝ่ามือของชายหนุ่ม

 

ชายหนุ่มดึงมือออกอย่างคิดไม่ถึงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากข้อมือ

 

“เจ้าหนู เจ้า…”

 

ชายหนุ่มสะบัดข้อมือที่เจ็บปวด รอยยิ้มเยาะเย้ยของเขาหายไปแทนที่ด้วยความเย็นชา

 

แต่ซือหยูก็พูดแรกขึ้นมา

 

“หึ เจ้าเอาพัดออกไปได้แล้วรึ? ข้าบอกเจ้าดีๆแล้วว่าให้เอาพัดออกไปแต่เจ้าก็ไม่สนใจ เจ้าพอใจรึยังที่ข้าต้องทำให้เจ้าเจ็บตัว?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด